แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ในวันพฤหัสบดีที่ ๒๙ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๖
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง คุณของพระพุทธเจ้า ตอนที่ ๒๕ ปัจจุบันต้องมีเครื่องอยู่ของใจ เพื่อใช้ธรรมะมาเผด็จการอวิชชาความหลง
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
พระพุทธเจ้านั้นให้เรามีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้องในปัจจุบัน ให้เอาความสุขความดับทุกข์ในปัจจุบัน เพราะนี้คือธรรมะโอสถ เป็นอาหารสด มีความสุขความดับทุกข์ในปัจจุบัน ไม่เกี่ยวกับคนรวยคนจน ไม่เกี่ยวกับคนเฒ่าคนแก่คนหนุ่มคนสาว มันอยู่ที่เรามีความเห็นถุกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง ปฏิบัติพัฒนาทั้งเทคโนโลยีวิทยาศาสตร์ สร้างเหตุสร้างปัจจัย เราถึงจะมีอยู่มีกิน จะได้ให้อาหารกาย เราก็พัฒนาใจของเรา ว่าบนรากฐานของเราตั้งอยู่ในพระไตรลักษณ์ อนิจจัง ไม่แน่ไม่เที่ยง ทุกขัง มันเป็นทุกข์ เพราะเราต้องรับวิบากกรรมที่เราได้เกิดมา อนัตตานั้นไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน
ในปัจจุบันนนี้เราต้องปรับตัวเข้าหาธรรมะ เข้าหาเวลา มีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ มีฉันทะ มีความพอใจ เป็นผู้ที่มีตาปัญญา มีกิจกรรมคือพระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่ต่างๆ เป็นปัญญา เราดูพระพุทธเจ้าที่ท่านไม่มีอะไรเลย ท่านมีความสุขที่สุดในโลกเลยเวลาท่านเสียสละ วันหนึ่งคืนหนึ่ง ท่านก็ทรงบรรทมเพียงวันละ ๔ ชม. เพราะการพักผ่อนของท่านคือได้วางความยึดมั่นถือมั่น วางธาตุ วางขันธ์ วางอายตนะทางจิตใจแล้ว ผู้พักผ่อนแท้จริงมีสติสัมปชัญญะ ไม่เป็นคนอยู่ในความฟุ้งซ่านหรือว่าอยู่ในความฝัน คนเรานี้ความสุขความดับทุกข์ของมนุษย์มันถึงอยู่ที่ปัจจุบัน คนเรามันมีความบกพร่องอยู่เป็นนิจ มันไม่พอ มันอยู่ในความฝัน มันอยู่ในอนาคต มันตามอวิชชา ตามความหลง มันเพิ่มโรคจิต โรคประสาท
ให้เราทุกคนน่ะเข้าใจ พระพุทธเจ้าถึงบอกเราว่า สติสัมปชัญญะนี้สำคัญ เราต้องมีความสุขในการทำงานนะ อริยมรรคมีองค์ ๘ ก็คืองาน จะให้พูดมาก ให้พูดละเอียดมันก็เสียเวลาพูดเสียเวลาฟัง ให้จับใจความเอา เพราะคนเรามันต้องบังคับตัวเองเข้าหาเวลา เข้าหาธรรมะ มันต้องเผด็จการธรรมะ ต้องเอาธรรมะมาเผด็จการอวิชชา!! ต้องเผด็จการความหลง!! เพราะเราน่ะมันมาโง่มาหลายร้อย หลายพัน หมื่น แสน ล้านชาติแล้ว เราต้องเอาตัวเอง เพราะเกิดมาเพื่อมีพระพุทธเจ้าในใจ มีพระธรรมในใจ มีพระอริยสงฆ์ในใจ ต้องมีความสุขในการประพฤติในการปฏิบัติ เราจะทำไร่ ทำนา ทำสวน เราก็ต้องมีความสุขในปัจจุบัน มันจะฟุ้งซ่านไม่ได้ เราวิ่งตามอารมณ์ วิ่งตามความอยากไม่ได้ ต้องเอาความสุขความดับทุกข์ในปัจจุบัน อย่างประเทศพม่า ท่านมหาสีสะยาดอ ท่านถึงได้สอนสติปัฎฐาน ๔ พองหนอยุบหนอ เพื่อให้ใจมันอยู่กับปัจจุบัน หลวงปู่มั่นก็ให้เจริญสติปัฏฐาน เจริญพุทโธอยู่กับปัจจุบัน มันก็คืออันเดียวกันนั่นแหละ
พระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่ ให้ลงละเอียด เพราะว่าคนมันคิดไม่เป็นอะไรไม่เป็น เรื่องแง่มุมสิกขาบทน้อยใหญ่ที่พวกนั้นทำผิดไว้ด้วยความไม่รอบครอบ มันถึงเกิดมีพระวินั ยเราไปทิ้งไม่ได้ เพราะเราทิ้งเราก็เป็นนักปรัชญาเป็นผู้มีปัญญา เหมือนที่กล่าวเมื่อวาน มันกลายเป็นพระวัดบ้านไป กินข้าวเพล กินข้าวสองมื้อ กลายเป็นเหมือนที่ได้พูดไป ในตำรับตำราไม่มีหรอก พระพุทธเจ้าฉันเพลที่ไหน
ให้เราเข้าใจ อย่าคิดว่านั่งสมาธิเดินจงกรม เท่านั้นเป็นการปฏิบัติธรรม การทำงาน การพูดจา คือการไฟต์ติ้งกับตัวเอง ให้มีความสุข พวกที่มาอยู่วัด สำนักปฏิบัติใหญ่ๆ มันก็มีการทำครัว พวกนี้ก็ให้เข้าใจความสุขนั้นหน่ะ คือการเสียสละ คือสติปัฏฐาน ๔ คือให้เรามีความสุขในการทำงาน คิดไปเรื่อยไม่ได้ เพราะความคิดมันคืออาหารใจ คิดให้มันเป็นเรื่อง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไม่ใช่คิดถึงลูกถึงหลาน เหมือนที่กล่าวเมื่อวาน เห็นไหมมีความพะวงเลยเป็นพระอรหันต์ไม่ได้ เป็นได้แต่พระอริยเจ้าเบื้องต้น เบื้องกลาง ให้เข้าใจ ทำไมพวกมาอยู่วัด บางคนหลวงพ่อก็ให้ไปรดน้ำต้นไม้ บางคนก็ไปทำนู้นทำนี่ ทำไมไม่ไปทำงานนู้นงานนี้ บางคนก็เป็นโรคจิต โรคประสาทเยอะ มันเข้ากับใครก็ไม่ได้ มันมีระเบิดมีอวิชชาคือความหลง ก็ต้องให้ไปทำงานเดี่ยว ดูแลต้นไม้ดูแลห้องน้ำห้องสุขา ทำงานพวกที่ไม่ได้ยุ่งกับหมู่มวลมนุษย์ มันต้องมีเครื่องอยู่
คนเราต้องมีเครื่องอยู่ ไม่มีเครื่องอยู่ไม่ได้ เราไปอยู่กับมิจฉาทิฏฐินี่ คิดไปเรื่อยฟุ้งไปเรื่อยไม่ได้ เหมือนกับหลายปีก่อน มีพระองค์หนึ่งเป็นโรคบ้า โรคอะไรขึ้นมาเอามีดมาลับเอาขวานมาลับแวววับเลย แล้วก็มองหาว่า เฝ้าดูแต่ผิดถูก จะฟันหัวใครดี จะปาดคอใครดี หลวงพ่อใหญ่ก็โอ้เจ้านี้ต้องแก้อย่างนี้ แก้โดยเอารถ 6 ล้อมาเทดินเป็นกองไว้ 9-10 รถ ก็ให้พระองค์นั้นเอาดินมาปูวัดหนาสัก 10 เซนต์ ถ้าหนาเกินต้นไม้มันก็จะตาย ต้นไม้มันไม่หายใจ ให้มีความสุขในการทำงาน มันมีธรรมะมาก หลวงพ่อก็ให้เก้าอี้อันหนึ่งให้เทศน์กับต้นไม้ ก็เทศน์อยู่กับต้นไม้ บอกให้สบายเทศน์กับต้นไม้อยู่นั้นหล่ะ หลายวันมันอยู่กับปัจจุบัน หลายวันใจของเรามันก็สงบ ถ้าเรามีเครื่องอยู่
“คนเราทุกคนต้องมีเครื่องอยู่ ไม่ว่าจะเป็นพระ หรือฆราวาสญาติโยม ให้ลองสังเกต คนในสังคมทั่วไป เขาไม่อาจปล่อยจิตให้อยู่ลำพังได้นาน บ้างก็จะออกไปห้างสรรพสินค้า จิตก็จะไปจับอยู่ที่การช็อปปิ้งบ้าง ผู้ชายอาจจะไปนั่งกินเหล้ากับเพื่อน จิตจะได้เกาะอยู่กับวงสนทนาบ้าง บางคนก็ใช้การดูทีวี บางคนก็ใช้การฟังเพลง บางคนก็ใช้การท่องเที่ยว ฯลฯ ต่างๆ นานา ... คือยังไม่มีหลักธรรมที่ชัดเจน จิตยังเคว้งคว้าง หาเครื่องอยู่ที่ถูกต้องไม่ได้ คล้ายจิตเป็นอนาถา ธรรมชาติของจิตมันว่องไว จึงต้องหาอะไรเกาะยึดอยู่เสมอ และคนส่วนมากยังปลีกวิเวก ทำจิตสงบกันไม่เป็น จึงหาเครื่องอยู่อันประเสริฐยังไม่ได้”
อย่างสุนัขใช้การนอนกลางวัน เป็นเครื่องอยู่ ฯลฯ ไปถึงผู้คนทั่วไป บางคน อาศัยการเตรียมอาหารเพื่อใส่บาตรทุกเช้า เป็นเครื่องอยู่ ลูกชายมหาเศรษฐี ใช้การสะสมเครื่องบินเล็ก บังคับวิทยุ เป็นเครื่องอยู่ คุณย่าคุณยาย อาศัยการดูแลรับส่งหลานอย่างใกล้ชิดเป็นเครื่องอยู่ แม่ค้าตามตลาด อาศัยหวยรัฐบาล เป็นเครื่องอยู่ เดือนละ ๒ หนก็ยังดี บางคนอาศัยการบริหารพอร์ทหุ้นเป็นเครื่องอยู่ คนไฮโซบางคนอาศัยการบริจาคงานการกุศล ได้ออกทีวีเป็นที่รู้จักกว้างขวาง เชิดหน้าชูตา เป็นเครื่องอยู่ สาวกลัทธิเมาบุญ อาศัยความงมงายได้เห็นมโนนินิต ยึดติดตามอุปาทานหมู่ ตู่เสมือนได้นิพพาน จึงบริจาคทานเต็มตัว การสะสมบุญตุนเสบียง เป็นเครื่องอยู่ของพวกเขา และอื่นๆ อีกมากมายที่ต่างมี "เครื่องอยู่" เป็นของตัวเอง
เท่าที่สาธยายมา ก็เห็นแต่ "เครื่องอยู่" ในทางโลกอันสวนทางพระนิพพานเสียเป็นส่วนมาก แล้วอะไรล่ะ คือธรรมเป็นเครื่องอยู่ (วิหารธรรม) ของพระพุทธเจ้าและพระอรหันตสาวกทั้งหลาย ?
พุทธดำรัสตอบ... “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ถ้าพวกปริพพาชกผู้ถือลัทธิอื่นจะพึงถามเธอทั้งหลายว่า...พระสมณโคดมอยู่จำพรรษาด้วยวิหารธรรมข้อไหนเป็นส่วนมาก เธอทั้งหลายพึงตอบอย่างนี้ว่า พระผู้มีพระภาคอยู่จำพรรษาด้วยสมาธิ อันประกอบด้วยอานาปานสติมาก...
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรามีสติหายใจออก มีสติหายใจเข้า เมื่อหายใจออก ยาวก็รู้ชัดว่า หายใจออกยาว หรือเมื่อหายใจเข้ายาว ก็รู้ชัดว่า หายใจเข้ายาว เมื่อหายใจออกสั้น ก็รู้ชัดว่า หายใจออกสั้น หรือเมื่อหายใจเข้าสั้นก็รู้ชัดว่า หายใจเข้าสั้น ย่อมรู้ชัดว่า เราจักกำหนดรู้กองลมหายใจทั้งปวงหายใจออก... ย่อมรู้ชัดว่า เราจักพิจารณาเห็นโดยความสละคืนหายใจออก ย่อมรู้ชัดว่าเราจักพิจารณาเห็นโดยความสละคืนหายใจเข้า.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุเมื่อจะกล่าวถึงสิ่งใดโดยชอบ...พึงกล่าวถึงสมาธิอันประกอบด้วยอานาปานสติว่า เป็นธรรมเครื่องอยู่ของพระอริยะบ้าง ของพรหมบ้าง ของพระตถาคตบ้าง ภิกษุเหล่าใดเป็นเสขะยังไม่บรรลุพระอรหัตผล ปรารถนาความเกษมจากโยคะอันยอดเยี่ยมอยู่ สมาธิอันประกอบด้วยอานาปานสติอันภิกษุนั้นเจริญแล้ว เพิ่มพูนแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความสิ้นอาสวะ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุเหล่าใดเป็นพระอรหันตขีณาสพ อยู่จบพรหมจรรย์ มีกิจที่ควรทำทำเสร็จแล้ว ปลงภาระลงแล้ว บรรลุประโยชน์ตนแล้วโดยลำดับ สิ้นสังโยชน์เครื่องนำไปสู่ภพแล้ว หลุดพ้นแล้วเพราะรู้โดยชอบ สมาธิอันสัมปยุตด้วยอานาปานสติ อันภิกษุเหล่านั้นเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความอยู่เป็นสุขในปัจจุบัน และเพื่อสติสัมปชัญญะ.” (อิจฉานังคลสูตร)
ว่าโดยง่ายคือใช้สุญญตาวิหารเป็นเครื่องอยู่นั่นเอง... ใช้ได้ดีทั้งพระหรือฆราวาสก็ตาม อย่าคิดว่า พุทธพจน์ที่พระองค์ตรัสไว้ จะเป็นแนวทางเฉพาะแก่พระภิกษุสงฆ์เท่านั้น แท้ที่จริง เครื่องอยู่ชนิดนี้เหมาะสมกับทั้งพุทธบริษัท ๔ (ภิกษุ, ภิกษุณี, อุบาสก, อุบาสิกา) โดยเสมอกันนั่นแหละ พระพุทธเจ้ายังปรารภไว้ด้วยว่า ยิ่งกับคฤหัสถ์ ผู้ใช้ชีวิตอยู่ในโลกกิเลสรุมเร้า ยิ่งจำเป็นจะต้องมีสุญญตาวิหารเป็นเครื่องอยู่มากกว่าพระเสียอีก... เปรียบประดุจเตาหลอมเหล็กกล้าอันร้อนแรง ยังมีสุญญตา (ความว่าง) อยู่ใจกลางเตาหลอมนั้น เป็นเครื่องหล่อเลี้ยงนั่นเอง
คำว่า “สุญญตาวิหาร” ก็แปลว่า การเข้าอยู่ในสุญญตา.
สุญญตา แปลว่า ภาวะของจิตที่ว่างจากกิเลส; โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ว่างจากความรู้สึกว่า... เป็นตัวเป็นตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นเรา เป็นเขา, ภาวะที่ไม่มีความรู้สึกว่า เป็นตัวตน หรือของตนนั้น เรียกว่า... สุญญตา. ถ้าจิตเข้าไปอยู่ในภาวะอย่างนั้น เรียกว่าอยู่ในสุญญตาวิหาร.
แต่มีคำอธิบายที่ละเอียดพิสดาร มากไปกว่าที่จะพูด สั้นๆ ลุ่นๆ ว่า... ปราศจาก ราคะ โทสะ โมหะ; เพราะเหตุว่า... ท่านเพ่งเล็งถึงความหมายของคำว่า “ว่าง” เป็นหลักใหญ่. เราควรจะเข้าใจคำว่า “ว่าง” กันเสียให้สมควรก่อน. คำว่า “ว่าง" นี้ ถ้าทางวัตถุก็คือว่างชนิดไม่มีอะไร; ว่างทางจิตใจ ก็หมายความว่า อะไรๆ ก็มีอยู่ตามเดิม แต่ว่างจากสาระที่ควรจะเข้าไปยึดมั่นสำคัญมั่นหมายว่า... เป็นตัวเราหรือเป็นของเรา; คำว่า “ว่าง” ในทางธรรมเป็นอย่างนี้.
คำว่า “ว่าง” ในทางโลกหมายความว่าไม่มีอะไรเลย.
แม้คำว่า จิตว่างในทางธรรม ก็มิได้หมายความว่า… จิตไม่ได้คิดได้นึกอะไรเลย; จิตยังรู้สึกอยู่ตามเดิมทุกประการ, เพียงแต่ว่า จิตไม่มีความรู้สึกว่าเป็นตัวตน หรือของตน เท่านั้น. มันมีความรู้สึกนึกในหน้าที่การงาน หรือในวิชาความรู้ในสิ่งต่างๆ ได้; ว่างอย่างเดียวแต่ความรู้สึกที่เป็นตัวเป็นตนเท่านั้น.
เกี่ยวกับคำว่า “สุญญตวิหาร” นี้ เราควรจะเข้าใจคำว่า “ว่าง” กันให้ชัดเจนเสียก่อน ไปตามลำดับ. พระผู้มีพระภาคเจ้าท่านตรัสว่า : ดูก่อนอานนท์, ในกาลก่อนก็ดี ในกาลบัดนี้ก็ดี ตถาคตอยู่มากด้วยสุญญตาวิหาร. นี้เป็นประโยคแรกที่พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสในสูตรนี้ ว่า... เดี๋ยวนี้ก็ดี ที่แล้วๆ มาก็ดี ตถาคตใช้เวลาส่วนมาก ให้ล่วงไปด้วยสุญญตาวิหาร; หมายความว่า... อยู่ด้วยความรู้สึกของจิตที่มิได้กำหนดสิ่งใดสิ่งหนึ่งโดยความเป็นตัวตน, หรืออยู่ด้วยมีความหมายอันประกอบไปด้วยคุณค่า อย่างใดอย่างหนึ่ง.
อานาปานสติเป็นอุบายชั้นเลิศของการอยู่ในสุญญตาวิหาร... เพราะลมหายใจ ติดตัวเราไปอยู่ในทุกขณะ ทุกสถานที่ เราอาจจะลืมโทรศัพท์มือถือ หรือเอกสารสำคัญ ก่อนออกจากบ้าน แต่เราไม่เคยลืมที่จะเอาลมหายใจไปด้วยเสมอ
อานาปานสติ ใช้ลมหายใจเป็นเครื่องอยู่ของสติ ทำได้ทุกที่ ทุกเวลา เข้าสู่ความว่างได้ทั้งในยามหลับตาหรือลืมตา ทั้งในอิริยาบถที่นิ่งเฉย (เช่นขณะนั่งสมาธิ) หรือ ในอิริยาบถที่กำลังเคลื่อนไหว
เครื่องอยู่ชนิดนี้มีกันทุกคน เพียงแต่ต้องอาศัยการฝึกฝนและพัฒนาอย่างเป็นระบบและมีสัมมาทิฏฐิเท่านั้น ใครใช้เป็นแล้ว จะไม่เหงา เปล่าเปลี่ยวเดียวดาย แม้จะอยู่วิเวกโดยลำพังก็ตาม (คนเมืองให้ลองสังเกตดู พวกท่านอาจกำลังเหงาสุดขั้วหัวใจ แม้ขณะอยู่ท่ามกลางผู้คน เพื่อนฝูง และเสียงดนตรีคลอเคล้า ก็ได้?) เครื่องอยู่ชนิดนี้ยังไม่ต้องอิงอาศัยอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ใดๆ ไม่ว่าจะเป็น ทีวี วิทยุ สมาร์ทโฟน หรือคอมพิวเตอร์ก็ตาม ไม่ต้องอาศัยผู้คน ญาติมิตร ทั้งไม่ต้องใช้สตางค์แม้แต่บาทเดียว
เป็นไปตามพุทธพจน์จริงๆ “นัตถิ สันติ ปะรัง สุขัง สุขอื่นนอกเหนือจากความสงบไม่มี” และเครื่องอยู่ชนิดนี้แหละ ที่พัฒนาหัวจิตหัวใจของคนเรา ให้ยกระดับดีกรีที่สูงขึ้น ละเอียด ปราณีตยิ่งๆ ขึ้น จนเริ่มสังเกตเห็นด้วยตัวท่านเองแล้วว่า... ความทุกข์ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต มันค่อย ผ่อนคลาย จืดจาง เบาบางลงเรื่อยๆ เรื่อยๆ จนกระทั่งสิ้นทุกข์ อย่างไม่เหลือวิสัยเลยทีเดียว
อย่างพระพุทธเจ้าก็อยู่กับอานาปานสติ ท่านก็อยู่กับพระนิพพาน อยู่กับการเสียสละ เขาเรียกว่ามีธรรมเครื่องอยู่ พวกเราเนี่ยกำลังเป็นคนไม่มีบ้านเป็นคน Homeless เราพากระชับเข้ามาหาตัวเองนะ ต้องมีความสุขในปัจจุบัน ต้องปรับปรุงตัวเอง คนเรามันต้องปฏิบัติต้องฝึก เขาจะมีความรู้ทางความรู้ต้องเข้าโรงเรียน เขาจะบรรลุธรรมเขาก็ต้องศึกษาเข้าใจแล้วประพฤติปฏิบัติในปัจจุบัน เพราะเรามันมีต้องมีเหตุมีปัจจัย เพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปมันถึงมี มันต้องมีการประพฤติการปฏิบัติ เป็นอริยมรรคมีองค์ 8 อย่างนี้ ประเทศไทยเรานี้ ถ้าไม่มีการประพฤติการปฏิบัติอะไรเลย พระเจ้าพระสงฆ์ก็จะเป็นพระแต่ทางแบรนด์เนม ไม่มีอริยมรรคมีองค์ ๘ ไม่มีกิจกรรมคือสีล สมาธิ ปัญญา มันไม่ได้
เราเป็นมนุษย์อย่างนี้ มันก็เป็นมนุษย์แต่เพียงร่างกาย แต่จิตใจของเราไม่ได้เป็นมนุษย์ เพราะว่ามันไม่ได้พัฒนาวิทยาศาสตร์ตามหลักเหตุหลักผล ถ้าเราพัฒนาแต่ทางร่างกายมันก็เป็นเหมือนสัตว์ ไม่ได้พัฒนาอะไรเลย ทำบ้านทำเรือน ทำเครื่องบิน ทำรถ มันก็ไม่เป็น มันก็ไปเที่ยวดวงจันทร์ไม่ได้ พวกวิทยาศาสตร์ต่างๆ มันก็ต้องพัฒนา แต่ต้องพัฒนาใจขึ้นอีก แต่หมู่มวลมนุษย์ไม่ได้พัฒนาใจ ไม่ปฏิบัติใจ การเข้าประพฤติเข้าปฏิบัติก็ต้องใช้เวลาอย่างนี้ๆ ผู้มาอยู่วัด ที่ได้รับสิทธิพิเศษ ต้องเข้าสู่ภาคปฏิบัติเต็มที่ ต้องไฟต์ติ้งกับตัวเอง
เมื่อวานก็ได้เทศน์ไปแล้วว่าพระกรรมฐานก็เสียรู้ อวิชชา เสียรู้ความหลง พระฉันเพลไปโดยไม่รู้ตัว ที่จริงความสุขความดับทุกข์ไม่เกี่ยวกับพระวัดป่าวัดบ้าน มันเกี่ยวกับใจของเราเอง มันอยู่กับอริยมรรคมีองค์ ๘ ให้เข้าใจอย่างนี้แหละ ไม่สมควรที่จะแยกแตกแยกกัน เป็นธรรมยุติ มหานิกาย เป็นมหายาน หรือวัชรยาน เพราะอันนั้นมันสังฆเภท เพราะศาสนาทุกศาสนาถือว่าเป็นไปในแนวเดียวกัน เป็นธรรมะ
การบรรลุธรรมเป็นเรื่องจิตเรื่องใจ เรื่องของเจตนาของความตั้งใจ เป็นเรื่องสลัดคืนซึ่งตัวซึ่งตน เป็นความเบื่อหน่ายที่จะต้องเวียนว่ายตายเกิด เพราะการเกิดบ่อยๆ มันเป็นภาระเป็นทุกข์ ความเกิดมาจากไหนล่ะ ความเกิดก็มาจากใจของเรานั้น ตามใจ ตามอารมณ์ ตามความรู้สึกไป เป็นสาเหตุแห่งความเกิด เราต้องพากันเข้าใจนะ การประพฤติปฏิบัติธรรม มันก็ไม่ใช่ของยาก ที่มันยาก เพราะเราจะไปเอาตามใจ ตามอารมณ์ ตามความรู้สึกของเรา มันเลยกลายเป็นของยาก เพราะว่าพระนิพพานไม่ใช่เรื่องตามใจของตัวเอง ไม่ใช่ตามอารมณ์ ตามความรู้สึกของตัวเอง
ส่วนใหญ่ยังไม่เข้าใจกัน ผู้ที่มาบวชทั้งผู้ที่อยู่ที่บ้านก็ยังไม่เข้าใจ เราดูการดำเนินชีวิตของบรรพชิตและของประชาชน อย่างพวกมีการเรียนการศึกษา อย่างพวกที่เป็นเศรษฐีมหาเศรษฐีอย่างนี้ ทุกคนก็แสวงหาสิ่งที่เป็นการตามใจของตัวเอง เป็นนายทุน พระภิกษุก็เป็นนายทุน พากันลงทุน ปลงผมนุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ แต่จุดมุ่งหมายไม่ได้มุ่งมรรคผลพระนิพพาน หวังในกามหวังในวัตถุ
การเรียนการศึกษาก็เป็นการลงทุน เพื่อหวังในกาม หวังในวัตถุ มนุษย์เราถึงมีปัญญาไม่สมบูรณ์แบบ ทีนี่แหละ ความเห็นผิดเข้าใจผิดมันไปเล่นงานเราทีหลังนะ เช่น พ่อตายแม่ตาย ญาติพี่น้องตาย ที่นี่แหละมีความทุกข์สารพัด อันเกิดจากการพลัดพรากจากคนรักของรัก เขาไม่ยกยอปอปั้น เขาไม่เคารพนับถือ อย่างนี้มันเครียด ก็เป็นทุกข์ เพราะว่าไม่มีธรรมะเลย มีแต่ความยึดมั่นถือมั่น มีแต่อวิชชา มีแต่ความหลง ตามที่เรามีความเห็นไม่ถูกต้องเข้าใจไม่ถูกต้องมันเล่นงานเรา ทุกคนถึงต้องพัฒนาทั้งสองอย่างพัฒนาทั้งการเรียนการศึกษาการทำงานและพัฒนาใจไปพร้อมๆกัน ต้องพากันฝึกสมาธิให้มากขึ้น สัมมาสมาธิคือความตั้งมั่นในธรรมในพระนิพพาน ต้องกลับมาหาตัวเองว่า ศีล 5 ของเรานี้หน่ะ ที่ได้ตั้งใจ ตั้งเจตนา มันเต็ม 100% หรือยัง ถ้ายังไม่เต็ม 100% หน่ะ มันเป็นพระอริยะเจ้าไม่ได้นะ ชื่อว่าเรายังมีอวิชชายังเป็นคนหลงอยู่นะ ถ้าเราคิดว่าปฏิบัติขนาดนี้พอไหม คิดแบบนี้แสดงว่ามันยังไม่พอหรอก เหมือนคนที่สงสัยตัวเองว่า ปฏิบัติธรรมได้ขั้นไหนแล้วหน่ะ แล้วไปถามครูบาอาจารย์ ถ้ายังมีความคิดแบบนี้ มันลังเลสงสัยอยู่ ยังมีวิจิกิจฉาอยู่
ศีล 5 ของเราต้องให้ได้ 100% ศีล 8 ที่เรารักษาก็ต้อง 100% อย่าให้มันดำๆ ด่างๆ มัวๆ หรือว่าลังเลสงสัยในศีล 227 อย่างนี้เป็นต้น เราจะได้สร้างวัดที่แท้จริงคือวัตรปฏิบัติ ทุกคนหน่ะ ไม่ว่าไทยจีนไม่ว่าฝรั่งทุกประเทศให้ความสำคัญของวันเกิด จัดงานวันเกิด ฉลองกัน รู้หรือเปล่าว่า ความหมายหน่ะ เราเกิดมาเป็นผู้ประเสริฐ เพื่อเราจะได้มุ่งมรรคผลนิพพาน คนเราเวลาตายมันเอาคืนมาไม่ได้นะ เวลาแก่ก็เอาคืนมาไม่ได้ เวลาผ่านไปก็เอาคืนมาไม่ได้ ต้องมีความสุขในการประพฤติปฏิบัติธรรม ฝึกตัวเองปฏิบัติตัวเองให้มีศีล 100% อย่าให้มีความลังเลสงสัย สัมมาสมาธิความตั้งมั่นก็เหมือนกัน เราอย่าไปคิดว่าถ้ารักษาศีลอย่างนี้ ปฏิบัติอย่างนี้ มันจะทำมาหากินได้ยังไง ความคิดอย่างนี้มันเป็นมิจฉาทิฏฐิ มันเป็นความเห็นผิด เป็นวิจิกิจฉา มันเป็นความลังเลสงสัย เป็นสีลพตปรามาส ลูบคลำในศีล ความคิดอย่างนี้เป็นความคิดที่หลงในตัวในตน เราอย่าไปเชื่อมัน
ชีวิตของเราชีวิต อย่างนักบวชมันไม่ต้องห่วง พระพุทธเจ้าไม่ได้พาเราห่วงเรื่องฉัน เรื่องอยู่ เรื่องอาหาร ให้เน้นที่ใจเข้าถึงจิตถึงธรรม เราจะไม่ต้องวิตกกังวลเรื่องอนาคต ไม่ต้องไปสนใจเรื่องเจ้าอาวาส ไม่ต้องสนใจเรื่องประธานสงฆ์ เรื่องยศ เรื่องตำแหน่ง ความคิดอย่างนี้มันถือว่าโง่มาก มันปิดพระนิพพาน เขาตั้งชื่อว่าชื่อนู้นชื่อนี้ เขานินทาก็ยังเครียด เขาสรรเสริญก็ดีใจ มันก็ทำให้เราเป็นทุกข์พอสมควร มันไม่ใช่ที่พึ่ง มันไม่ใช่ความฉลาด
พระพุทธเจ้าท่านถึงให้เรามีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติที่ปัจจุบัน ปัจจุบันคือการปฏิบัติของเรา คือเราต้องพัฒนาทั้งจิตใจพัฒนาทั้งเทคโนโลยี ต้องมีความสุขในการเสียสละ คนไม่เสียสละเขาเรียกว่าคนไม่มีศีล ไม่มีสมาธิ ไม่มีปัญญา ต้องเข้าสู่ภาคปฏิบัติ ถึงจะอยู่องค์เดียวก็ดีกว่าอยู่กับมหาโจร จะให้หลวงพ่อสร้างวัดเป็นหลายร้อยวัดก็ไม่ยาก แต่จะให้สร้างเจ้าอาวาสนี้มันสร้างยาก อดีตที่ผ่านมาถือว่าเป็นประสบการณ์ ปัจจุบันเราต้องยกใจสู่ธรรมวินัย เข้าสู่มรรคผลพระนิพพาน มีความสุขในการเสียสละ คนเราเสียสละไม่ได้ เขาเรียกว่า สักกายทิฏฐิ มีตัวมีตน เราเสียสละเราก็มีความสุข อันไหนไม่ดีเราไม่คิด อันไหนไม่ดีเราไม่พูด มีความสุขในการทำวัตร ทำกิจวัตร อริยมรรคมีองค์แปด เราคิดดีๆ ก็เป็นธรรม เราพูดดีๆ ก็เป็นธรรมวินัย เรากิริยามารยาทดีๆ ก็เป็นวินัย เราไม่ถือพรรคถือพวก ไม่ถือทิฏฐิมานะ เอาธรรมเอาพระวินัย เราจะได้ไม่ต้องกลัวใคร ไม่มีอะไรให้กลัว เพราะเราคิดดีๆ เราพูดดีๆ เราทำดีๆ จะเป็นปัจจุบันธรรม ต่อยอดไปเรื่อยๆ เป็นธรรมะ เป็นวินัย จะเป็นเหมือนหลวงปู่มั่นได้ เหมือนหลวงพ่อชา เหมือนหลวงตามหาบัว เหมือนเจ้าคุณพุทธทาสได้ เราต้องทำอย่างนี้ ให้มีความสุข
อย่าไปตามใจตัวเอง อย่าไปตามอารมณ์ตัวเอง อย่าไปตามความรู้สึกตัวเอง อย่าไปตามสิ่งแวดล้อม เพราะว่าฐานของพระศาสนามันเปลี่ยน ฐานของโลกมันเปลี่ยน ทุกคนเอาตัวตนเป็นใหญ่ ทำตามอัธยาศัย ทำตามอารมณ์ ทำตามความรู้สึก นึกว่ามันถูกต้อง มันไม่ถูกต้อง มันเป็นมิจฉาทิฏฐิ เราต้องกลับมาหาอานาปานสติ หายใจเข้ามีความสุข หายใจออกมีความสุข คนเรามันไม่ได้อยู่ที่รวยที่จน ไม่ได้อยู่ที่ใคร อยู่ที่เรามีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง มันถึงจะมีความสุขมาก เดินก็มีความสุข นั่งก็มีความสุข นอนก็มีความสุข ต้องพัฒนาอย่างนี้ ที่มันแล้วก็ให้แล้วไป ช่างหัวมัน มันไม่สายหรอก คนเราถึงจะมีชีวิตอยู่แม้แต่ลมหายใจเดียว ที่มีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้องดีกว่าที่มีอายุเป็นร้อยๆ ปี เราต้องมีความสุข เราจะไปทำอะไรเพื่อจะเอา เพื่อจะมีเพื่อจะเป็น มันโรคประสาทพอแล้ว จะไปเพิ่มโรคประสาทอีก ตัวตนก็มีมากแล้ว จะไปเอาตัวตนมากขึ้นอีก ความเป็นพระแท้จะได้เกิดแก่เรา จักษุจะได้เกิดแก่เรา
เราเป็นแต่เพียงภิกษุผู้ขออย่างนี้ไม่เอา เราเป็นโจรในพระศาสนา พากันนุ่งผ้ากาสาวพักตร์ ปลงผมห่มผ้าเหลือง มันเป็นพระไม่ได้ เพราะพระคือพระธรรมคือพระวินัย ต้องทำอย่างนี้ ปฏิบัติอย่างนี้ เราจะได้มีความสุข เทศน์ก็เทศน์ออกจากใจ ออกจากความเป็นจริง เพราะธรรมะไม่ได้อยู่ในหนังสือ ไม่ได้อยู่ในพระไตรปิฎก อยู่ที่เรามีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง ให้มันครบองค์ เรามีตาก็เพื่อฉลาด มีหูก็เพื่อฉลาด มีจมูก มีลิ้น มีกาย มีใจก็เพื่อฉลาด ถ้าเราปฏิบัติตามอริยมรรคมีองค์แปด จะปรับตัวให้เอง ถ้าเราพูดดีๆ มันไม่ตายหรอก กิริยามารยาทอ่อนน้อมถ่อมตน เราไม่ต้องไปก๋าไปกร่าง คำว่าเถระ มันคือ ละตัวละตน ละทิฏฐิมานะ ไม่ได้อยู่ที่บวชนานนะ บวชนานไม่ใช่เถระเพราะยังถือนิสัยตัวเองอยู่ ไม่ได้ถือนิสัยพระพุทธเจ้า เราต้องเข้าใจอย่างนี้ เมื่อก่อนเราคิดว่าพระบวชนานคือพระเถระมันไม่จริง เราตามใจตัวเอง ตามอารมณ์ตัวเอง ตามความรู้สึกนั้นไม่ใช่เถระ เราอย่าไปอนุโลมพระวินัยเล็กๆน้อยๆ มันจะเป็นมหายาน นึกว่าตัวเองมีปัญญา ทิ้งพระวินัย เป็นบางส่วน ใหม่ๆ ยังมีพระอรหันต์มากก็ดีอยู่ ทีนี้พวกที่ทำตามอาจารย์ที่เป็นปุถุชนสามัญชน มันเลยเสียหาย ต้องเอาใหม่ เราต้องทวนกระแส ต้องแก้ที่ตัวเอง เราจะมีวัดอย่างโง่ๆ มีกุฏิวิหารอย่างโง่ๆ เราอย่าโกนหัว ห่มจีวรอย่างโง่ๆ เราต้องเอาปฏิปทา เอาความรู้สึกที่เป็นความรู้สึกของพระอรหันต์ ของพระพุทธเจ้ามาไว้ในใจของเรา เราต้องทำอย่างนี้ให้มันสมศักดิ์ศรีหน่อย
ต้องมีสติปัญญา เพราะจะต้องบริโภคทุกอย่างด้วยสติ ด้วยปัญญา เราทำอย่างนี้ ทำอะไรให้มีความสุข เราคิดไปในเรื่องอะไรต่างๆ เขาเรียกว่าก่อภพก่อชาติ ทุกข์เป็นสิ่งที่ต้องกำหนดรู้ รู้จักก็อย่าไปวุ่นวาย อย่าไปปรุงแต่ง ถ้ารู้จักแล้วไปปรุงแต่ง เวลาละก็ละแบบโง่ๆ ละแบบไม่เห็นหน้ากัน ละแบบพวกข้าพวกฉัน คนเราจะเอาพระนิพพานเป็นตัวตน เราต้องรู้จักความคิดความปรุงแต่ง การละแบบปล่อยปะละเลยมันไม่ใช่ ทุกข์เป็นสิ่งที่ต้องกำหนดรู้จัก พอรู้จักก็ไม่ต้องไปวุ่นวาย สติสัมปัชชัญญะเราไม่สมบูรณ์เพราะเรามีตัวมีตน เราต้องเข้าใจ หลวงปู่มั่นเราก็เห็นอยู่ หลวงพ่อชาเราก็เห็นอยู่ หลวงตามหาบัวเราก็เห็นอยู่ เจ้าคุณพุทธทาสเราก็เห็นอยู่ ท่านก็มีให้ดูเป็นแบบอย่าง ท่านก็มีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง ให้ตัวตนของเราเป็นเลขศูนย์ไปเลย อย่าไปก๋าอย่าไปกร่าง อย่าไปนั่งพิงหมอน ไม่ได้เป็นเถระอะไรหรอก เถระเดี๋ยวนี้หายาก เพราะยังถือตัวตนอยู่ ไม่ได้เอาธรรมวินัย เราอย่าไปคิดว่าไม่เป็นไร เราเดินทางสายกลางตามอัธยาศัยอย่างนี้ไม่ได้ มันเป็นตัวอย่างไม่ดี เราก็บอกโยมบอกประชาชน เราต้องพากันเดินตามพระพุทธเจ้า 100% เรามาสร้างวัดสร้างวา ถึงจะเกิดประโยชน์ต่อตนเอง ต่อส่วนรวม และต่อกุลบุตรลูกหลาน
ให้เรามีความสุขในการทำสิ่งเหล่านี้ ให้กายกับใจให้มันอยู่ด้วยกัน ให้ใจของเราอยู่กับหน้าที่นั้นๆ เรียกว่า ความตั้งใจมั่นชอบ
ชีวิตของเราก็จะมีความสุข มีหัวใจที่มีความสุข ขึ้นสวรรค์ตั้งแต่ยังไม่ตาย มีหัวใจติดแอร์คอนดิชั่นทั้งวัน เป็นผู้หยุดได้เย็นได้ รอกาล รอเวลาได้ ไม่เผาตัวเอง มีสติสัมปชัญญะดี มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์
คนเรามีสติสัมปชัญญะไม่สมบูรณ์มันชอบเผาจิตเผาใจตัวเอง สมาธิมันถึงเป็นสิ่งที่จำเป็นต่อทุกๆ คน ชีวิตของคนเราถึงจะมี ความสุข ปัญญาของเรามันถึงจะเกิด
แจกปัญญา แจกศาสนา แจกธรรมวินัย แจกสิ่งที่ถูกต้อง
เพื่อเดินตามรอยพระพุทธเจ้าร้อยเปอร์เซ็นต์
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
โดยทุกท่านสามารถติดตามเพิ่มเติมได้ที่
https://linktr.ee/watsubthawee
Share wisdom, spread Buddhism and its discipline.
Advocate righteousness to follow Lord of Buddha's footsteps 100%
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
You can receive new Dharma updates.
https://linktr.ee/watsubthawee