แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ในอังคารที่ ๒๗ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๖
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง คุณของพระพุทธเจ้า ตอนที่ ๒๔ สิ่งที่ถูกต้องไม่ได้เป็นพี่เป็นน้องกับใคร เป็นสัจธรรมความจริง เพื่อจะได้ประพฤติปฏิบัติให้ถูกต้อง
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
ประเทศไทย ประเทศลาว ประเทศเขมร ประเทศพม่า ประเทศจีน ประเทศอินเดีย ประเทศศรีลังกา เป็นต้น สมัยหลายร้อยหลายพันปีก็อาพระพุทธศาสนาเป็นการดำเนินชีวิต เพื่อพัฒนาวิทยาศาสตร์ เพื่อพัฒนาใจไปพร้อมๆกัน พระพุทธเจ้าถึงบอกว่า สมณะที่ 1-4 อยู่ที่อริยมรรคมีองค์ 8 ที่มีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง แล้วปฏิบัติถูกต้อง รู้สัจธรรม รู้ความเป็นจริง ทุกประเทศที่กล่าวมานี้ ส่วนใหญ่ก็ยังพากันถือพระพุทธศาสนาเพียงแบรนด์เนม ยังไม่เข้าถึงภาคประพฤติภาคปฏิบัติ เข้าถึงศีล สมาธิ ปัญญา หรือยังว่าไม่ได้เข้าถึงตามหลักวิทยาศาสตร์ ตามหลักเหตุผล ที่จะให้อาหารกาย เข้าถึงธรรมวินัย สิกขาบทน้อยใหญ่ ที่เป็นอาหารใจ ที่นำหมู่มวลมนุษย์เข้าสู่มรรคผลนิพพาน
ผู้ที่สงสัยว่าการเป็นพระอริยะเจ้านี้เป็นได้ทุกศาสนาหรือมีได้เฉพาะศาสนาพุทธ พระพุทธเจ้าตรัสบอกว่า พระพุทธองค์จึงตรัสว่า... “ดูก่อนสุภัททะ อริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ หาได้ในธรรมวินัยใด สมณะที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ ย่อมหาได้ในธรรมวินัยนั้น สุภัททะ อริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ หาได้ในธรรมวินัยนี้ สมณะที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ ก็มีอยู่ในธรรมวินัยนี้ ลัทธิ คือ คำสอนอื่นๆ ที่เว้นจากอริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ ย่อมว่างจากสมณะผู้รู้ สุภัททะ ภิกษุเหล่านี้ พึงอยู่โดยชอบ โลกจะไม่พึงว่างจากพระอรหันต์ทั้งหลาย...”
สมณะที่ ๑-๔ ขึ้นอยู่ที่ความประพฤติ ขึ้นอยู่ที่ศีล ขึ้นอยู่ที่สมาธิ ขึ้นอยู่ที่ปัญญา พัฒนาวิทยาศาาสตร์ พัฒนาใจไปพร้อมๆ กัน ปัญญาที่ของหมู่มวลมนุษย์ที่พัฒนากันอยู่ทุกวันนี้เนี่ย มันเป็นปัญญาที่ดำรงชีพเพื่อมีบ้าน มีรถ มีเครื่องบิน มีเทคโนโลยี มีคอมพิวเตอร์ มีการอยู่ดี กินดี เป็นปัญญาที่เพียงเพื่อสุขภาพร่างกาย แต่ไม่เข้าถึงปัญญาทางใจ
มีวัดมีอะไรอลังการตั้งแต่บรรพบุรุษ จนมีวัตถุโบราณ ร้างไปตั้งหลายยุคหลายสมัย แม้สมัยใหม่ อันนี้ก็ยังเป็นเพียงที่อยู่ที่อาศัยของผู้ที่มุ่งมรรคผลนิพพานรุ่นเก่า และก็รุ่นปัจจุบัน พระพุทธเจ้าถึงให้เราเข้าใจ ที่ในวาระสุดท้ายที่พระพุทธเจ้าบอกเราทุกคน ต้องมีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง และปฏิบัติถูกต้อง ต้องตั้งอยู่ในความไม่เพลิดเพลินไม่หลง ไม่ประมาท ต้องดำรงชีวิต ด้วยความเห็น เข้าใจถูกต้อง และปฏิบัติถูกต้อง ในปัจจุบัน หมู่มวลมนุษย์ของเราถึงจะแก้ปัญหาได้ ดับทุกข์ได้
การที่เรามีพระศาสนา มีมหาเถรสมาคม กรรมการมหาเถรสมาคม ชื่อว่าเรายังไม่เข้าถึงพระศาสนานะ เพราะพระส่วนใหญ่ ประชาชนส่วนใหญ่ ทิ้งพระวินัยสิกขาบท บางคนก็ทิ้งสิกขาบทน้อยๆ หรือว่าสิกขาบทเกือบจะแรง หรือว่าบางคนทำผิดสิกขาบทใหญ่ ประเทศเราเลยยังไม่เข้าถึงศาสนานะ ถ้าเข้าถึงศาสนาแล้วการโกงกินคอรัปชั่น มันจะไม่มี เพราะมันจะไม่จำเป็นต้องมีรั้วมีกำแพงกันโจรกันขโมย
ให้เข้าใจว่าสมณะที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 นั้น มีไม่ได้ เกิดไม่ได้ เพราะว่าเราไม่ได้ปฏิบัติใจ พร้อมกับปฏิบัติทางวิทยาศาสตร์ในความประพฤติไปพร้อมๆ กัน เป็นคนล้มเหลวในการสร้างบ้านสร้างเมือง ล้มเหลวในการใช้ทรัพยากร สร้างโบสถ์ สร้างวิหาร สร้างพระพุทธรูป มันเป็นสิ่งที่ดีแล้ว แต่ว่าเรายังไม่เข้าถึงภาคประพฤติภาคปฏิบัติ ผู้ที่เรียนผู้ที่ศึกษาต้องเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ ไม่ต้องมีคำว่าวัดป่า วัดบ้าน ไม่ว่าคฤหัสถ์บรรพชิต ก็ต้องเอาธรรมะเป็นหลัก เอาธรรมะเป็นใหญ่ ไม่ว่าศาสนาไหนก็ต้องไปในทางเดียวกันนี่แหละ มันตนในโลกจะเอาชื่อเดียวกันก็ไม่ได้ ไม่รู้จะใช้งานยังไง ก็ต้องมีศาสนาพุทธ ศาสนาคริสต์ ศาสนาอิสลาม ศาสนาพราหมณ์ ฮินดู เพราะอันนี้มันเป็นชื่อ แต่ว่าความเป็นจริงมันก็คืออันเดียวกัน คือหยุดอวิชชาหยุดความหลง
เราต้องมีความสุขในการทำหน้าที่ของตัวเองให้สมบูรณ์ ผู้ที่เกิดก่อนมันติดสุขติดสบาย มันยากที่จะละได้ ถ้ามันละได้ง่าย พระพุทธเจ้าท่านคงไม่เอาศีล เอาสมาธิ เอาปัญญามาปฏิบัติหรอก ศีลตั้ง 21,000 ธรรมขันธ์ อันนี้มันเป็นยานเป็นพาหนะ ที่จะนำใจเราออกจากวัฏฏะสงสาร เป็นอาหารใจ อาหารที่จะพาเราไปนิพพาน เพราะสิ่งนี้มี สิ่งนี้ถึงมี เข้าถึงความเป็นพระ
ทุกๆ คน เราถึงให้เรามีความสุขในการทำงานในปัจจุบัน อย่ามีปลิโพธ เห็นมั้ยมีปลิโพธ ธรรมะพระพุทธเจ้าเทศน์ดี อยากให้พี่ ให้น้องฟัง คิดถึงแต่พี่แต่น้อง มันก็ได้บรรลุธรรมแค่พระโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี ไม่ได้เป็นพระอรหันต์นะ เหมือนท่านพระปิงคิยะ เกิดในสกุลพราหมณ์ ในนครสาวัตถี เมื่อเจริญวัยแล้ว ได้ไปฝากตัวเป็นศิษย์ศึกษาเล่าเรียนศิลปวิทยาในสำนักของพราหมณ์พาวรี ผู้เป็นปุโรหิตของพระเจ้าปเสนทิโกศล
ครั้นต่อมาพราหมณ์พาวรี มีความเบื่อหน่ายในฆราวาส จึงทูลลาพระเจ้าปเสนทิโกศลออกจากตำแหน่งปุโรหิต เมื่อได้รับพระบรมราชานุญาตแล้ว ได้ออกบวชเป็นชฏิลประพฤติพรตตามลัทธิของพราหมณ์ ตั้งอาศรมอยู่ที่ฝั่งแม่น้ำโคธาวารี ที่พรมแดนแห่งเมืองอัสสกะ และอาฬกะต่อกัน เป็นคณาจารย์ใหญ่บอกไตรเพทแก่หมู่ศิษย์
ปิงคิยมาณพพร้อมด้วยมาณพอื่นผู้เป็นศิษย์ ออกบวชติดตามไปศึกษาศิลปวิทยาอยู่ด้วย ปิงคิยมาณพเป็นคนหนึ่งซึ่งอยู่ในจำนวนมาณพ ๑๖ คน ที่พราหมณ์พาวรีผูกปัญหาให้ไปทูลถามพระบรมศาสดา ซึ่งประทับอยู่ที่ปาสาณเจดีย์ แคว้นมคธ ปิงคิยมาณพได้ทูลถามปัญหาเป็นคนสุดท้ายว่า
ปิงคิยมาณพ : ข้าพระองค์ได้ข้าพระองค์เป็นคนแก่แล้ว ไม่มีกำลัง มีผิวพรรณ เหี่ยวย่นแล้ว ดวงตาของข้าพระองค์ก็เห็นไม่ชัดนัก หูก็ฟังไม่ชัด ขอข้าพระองค์อย่าเป็นผู้หลงฉิบหายเสียในระหว่างเลย ขอพระองค์จงตรัสบอกธรรมเป็นเครื่องละชาติชราในอัตภาพนี้ด้วยเถิด พระเจ้าข้า ?
ทูลถามปัญหาถึงสองครั้งแล้ว พระองค์ไม่ทรงแก้ประทานแก่ข้าพระองค์ ข้าพระองค์ได้ยินว่า ถ้าทูลถามถึงสามครั้งแล้วพระองค์จะทรงแก้ จึงได้ทูลถามปัญหาเป็นคนที่สิบห้าว่า โลกนี้ก็ดี โลกอื่นก็ดี พรหมโลกกับเทวโลกก็ดีย่อมไม่ทราบความเห็นของพระองค์ เหตุฉะนี้ จึงมีปัญหามาถึงพระองค์ผู้ทรงพระปรีชาเห็นล่วงสามัญชนทั้งปวงอย่างนี้ ข้าพระองค์พิจารณาเห็นโลกอย่างไร มัจจุราช (ความตาย) จึงจะไม่แลเห็น คือ จะตามไม่ทัน ?
พระบรมศาสดาทรงพยากรณ์ว่า ท่านเห็นว่า ชนทั้งหลายประมาทแล้ว ย่อมเดือดร้อนเพราะรูปเป็นเหตุ เพราะฉะนั้น ท่านจงเป็นคนไม่ประมาท ละความพอใจในรูปเสีย จะได้ไม่เกิดอีก
ปิงคิยมาณพ : ทิศใหญ่สี่ ทิศน้อยสี่ เป็นสิบทิศทั้งเบื้องบน เบื้องต่ำ ที่พระองค์ไม่เคยเห็น ไม่เคยฟัง ไม่เคยทราบ ไม่ได้รู้แล้ว แม้แต่น้อยหนึ่งมิได้มีในโลก ขอพระองค์ตรัสบอกธรรมเป็นเครื่องละชาติชราในชาตินี้เสีย ?
พระบรมศาสดาทรงพยากรณ์ว่า เมื่อท่านเห็นหมู่มนุษย์อันตัณหาครอบงำ มีความเดือดร้อนเกิดขึ้น อันชราถึงรอบด้านแล้ว เหตุนั้น ท่านจงอย่าประมาท ละตัณหาเสีย จะได้ไม่เกิดอีก
ครั้นพระบรมศาสดา ทรงแก้ปัญหาจบลงแล้ว ปิงคิยมาณพได้เพียงดวงตาเห็นธรรม คือ ได้บรรลุเพียงโสดาปัตติผล เพราะเวลาฟังปัญหาพยากรณ์ มีจิตฟุ้งซานคิดถึงพราหมณ์พาวรีผู้เป็นอาจารย์ ว่า ลุงของเราหาได้ฟังธรรมเทศนาที่ไพเราะอย่างนี้ไม่ อาศัยโทษที่จิตฟุ้งซ่าน เพราะความรักใคร่ในอาจารย์จึงไม่อาจทำจิตให้สิ้นจากอาสวะได้ ในลำดับนั้น ปิงคิยมาณพพร้อมกับ มาณพสิบห้าคน ทูลขออุปสมบทในพระธรรมวินัย พระองค์ททรงอนุญาตให้เป็นภิกษุด้วยวิธี เอหิภิกขุอุปสัมปทา
ท่านพระปิงคิยะได้อุปสมบทแล้ว จึงทูลลาพระบรมศาสดา กลับไปแจ้งข่าวแก่พราหมณ์พาวรีผู้เป็นอาจารย์แล้ว แสดงธรรมเทศนาแก้ปัญหาสิบหกข้อนั้นให้ฟัง ภายหลังได้สดับโอวาทที่พระบรมศาสดาตรัสสั่งสอน ได้บรรลุพระอรหัตตผล เป็นพระอรหันต์ในพระธรรมวินัย ส่วนพราหมณ์พาวรีผู้เป็นอาจารย์ ได้บรรลุธรรมาภิสมัย ชั้นเสขภูมิ (อนาคามิผล)
ต้องเข้าถึงความดับทุกข์เหมือนทีมงานที่พระเจ้าสุทโธทะนะ ส่งไปนิมนต์พระพุทธเจ้ากลับไปโปรดพระประยูรญาติ ได้เข้าถึงปัจจุบันธรรม มีความสุขทิ้งอดีตทิ้งอนาคต จนปล่อยให้เวลามันผ่านไป ต้องให้ทีมใหม่มาอีกมาตั้ง ๘ คณะ
เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะเสด็จออกทรงผนวชแล้ว บรรลุพระอนุตรสัมมาสัมโฑธิญาณตามลำดับ ทรงประกาศพระศาสนา และทรงประทับอยู่ในพระเวฬุวันมหาวิหาร กรุงราชคฤห์, นับแต่วันที่พระโพธิสัตว์เสด็จออกอภิเนษกรมณ์ พระเจ้าสุทโธทนะมหาราชทรงสดับความเป็นไปของเจ้าชายสิทธัตถะอยู่ตลอดเวลา ทรงสดับการบำเพ็ญเพียร การตรัสรู้เองและ พุทธกิจทั้งหลายมีการประกาศศาสนาเป็นต้น ของพระผู้มีพระภาคเจ้า
ครั้นเมื่อได้ทรงทราบว่า พระบรมศาสดาทรงอยู่ในกรุงราชคฤห์ จึงทรงส่งอำมาตย์ผู้หนึ่ง พร้อมบริวาร ๑,๐๐๐ คน ไปสู่กรุงราชคฤห์ เพื่ออัญเชิญพระบรมศาสดามายังนครกบิลพัสดุ์ ครั้นเมื่ออำมาตย์ผู้นั้นไปเข้าเฝ้าพระบรมศาสดา ณ พระเวฬุวันมหาวิหาร ก็เป็นเวลาแสดงธรรมแก่พุทธบริษัท อำมาตย์ผู้นั้นจึงถวายบังคมพระบาทพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วนั่งอยู่ท้ายบริษัท โดยหวังว่าเมื่อทรงแสดงธรรมเสร็จแล้ว จะได้กราบทูลให้พระพุทธองค์ทรงทราบความที่พระพุทธบิดาทรงอาราธนาให้มาสู่นครกบิลพัสดุ์
ครั้นเมื่อได้ฟังธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดง อรหัตผลก็ได้บังเกิดขึ้นแก่อำมาตย์ผู้นั้น กับบริวารทั้งสิ้น ทั้งหมดจึงได้ทูลขอบรรพชา และอุปสมบทที่นั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าให้อำมาตย์กับทั้งบริวารเหล่านั้น อุปสมบทด้วยเอหิภิกขุอุปสัมปทา ภิกษุนั้นกับทั้งบริษัทบรรลุพระอรหัตแล้ว ก็ได้อยู่เสวยสุขอันเกิดแต่ผลสมาบัติในที่นั้นเอง ด้วยความเป็นพระอริยเจ้าผู้มีความวางเฉยเท่านั้น เพราะฉะนั้นจึงมิได้กราบทูลอาราธนาพระบรมศาสดาตามพระบัญชาของพระเจ้าสุทโธทนะ
พระเจ้าสุทโธทนะเมื่อทรงมิได้ทรงสดับข่าวจากอำมาตย์กับทั้งบริวาร จึงทรงส่งทูตอื่นไปอีก ๘ คณะโดยลักษณะเดียวกัน คณะทูตเหล่านั้นทั้งหมด รวม ๘,๐๐๐ คนก็ได้บรรลุพระอรหันต์ และทูลขอบรรพชาเป็นภิกษุด้วยกันทั้งสิ้น
ฝ่ายพระเจ้าสุทโทธนะ เมื่อทรงเห็นว่าคณะทูตที่ส่งไปทั้งหมดไม่มีการส่งข่าวกลับมา ก็ทรงน้อยพระทัย คิดว่าบรรดาเหล่าอำมาตย์ที่ส่งไปนั้นไม่มีความรักในพระองค์เลย จึงไม่ยอมอาราธนาพระพุทธองค์ให้เสด็จมายังกรุงกบิลพัสดุ์ จึงได้ทรงดำริว่า คงมีแต่อุทายีอำมาตย์คนนี้แหละ ที่เป็นผู้มีวัยเสมอกันกับพระพุทธองค์ เคยร่วมเล่นในวัยเด็กมาด้วยกัน และคงมีความรักเยื่อใยในพระองค์ท่าน จึงได้ทรงดำรัสสั่งให้อุทายีอำมาตย์พร้อมด้วยบริวาร ๑,๐๐๐ คน ให้ไปยังกรุงราชคฤห์แล้วอาราธนาพระทศพลมาให้ได้
ฝ่ายกาฬุทายีอำมาตย์นั้น เมื่อจะไปจึงกราบทูลขอพระบรมราชานุญาตว่า ถ้าอนุญาตให้ท่านบวชได้ ท่านก็จะอาราธนาพระผู้มีพระภาคเจ้าให้เสด็จมา พระเจ้าสุทโทธนะมีพระดำรัสพระราชทานพระบรมราชานุญาตว่า เธอจะทำอย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ ขอให้อาราธนาพระพุทธองค์มาให้ได้ก็แล้วกัน
ดังนั้นกาฬุทายีอำมาตย์จึงไปยังกรุงราชคฤห์ ครั้นเมื่อไปถึงพอดีเป็นเวลาพระศาสดาทรงแสดงธรรม จึงยืนฟัง ธรรมอยู่ข้างท้ายบริษัท พร้อมด้วยบริวาร เมื่อจบเทศนาหมู่อำมาตย์นั้นก็ได้บรรลุพระอรหัตพร้อมทั้งปฏิสัมภิทา พระบรมศาสดาทรงประทานเอหิภิกขุอุปสัมปทา
จำเดิมแต่วันที่พระอุทายีเถระมาแล้ว เวลาได้ล่วงไป ๗-๘ วัน ในวันเพ็ญเดือน ๔ พระอุทายีเถระนั้นคิดว่า ฤดูเหมันต์ก็ล่วงไปแล้ว ฤดูวสันต์กำลังย่างเข้ามา พวกมนุษย์ถอนข้าวกล้าไปแล้ว ทำให้หนทางในที่ที่ตรงหน้าชุ่ม แผ่นดินดาดาษไปด้วยหญ้าเขียวสด ราวป่ามีดอกไม้บานสพรั่ง หนทางเหมาะแก่การที่จะเดิน กาลนี้เป็นกาลที่พระทศพลจะทรงกระทำการสงเคราะห์พระญาติ
เราต้องเข้าใจเรื่องพระศาสนานะเราจะไปทิ้งพระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่ไม่ได้ เพราะว่ามันไม่ได้เป็นศาสนา เหมือนพวกพระฝรั่งบางท่าน มาเรียนมาศึกษาธรรมวินัยจากสายกรรมฐานสายหลวงปู่มั่น มาเป็นลูกศิษย์อาจารย์ชาบ้าง หลวงตามมหาบัวบ้าง ลูกศิษย์ท่านเจ้าคุณพุทธทาส เป็นหลัก และก็มาเอาเรื่องจิตเรื่องใจ นึกว่ากายมันไม่ได้เป็นพระอริยเจ้า แต่ใจมันเป็นพระอริยเจ้า เอาแต่ใจเลยทิ้งพระวินัยไป ผลสุดท้าย 10 ปี 20 ปี มานี้ มันก็เกิดความล้มเหลว เพราะเราไปทิ้งพระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่ การไปเผยแผ่มันเลยเป็นแต่นักปรัชญา สอนเก่งมากเหมือนกับเป็นพระอรหันต์แล้ว แต่พากันย่อหย่อนอ่อนแอ ทิ้งพระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่ ชอบพูดคุยกับผู้หญิงสองต่อสอง ชอบเล่นโทรศัพท์ ใหม่ๆ ก็ฉันอาหารมื้อเดียว ใหม่ๆ ก็พากันดื่มโกโก้ กาแฟ น้ำชา แล้วก็ลามปามไปเรื่อยเอาอาหารว่าง เมื่อได้ฉันหลายครั้งได้ดื่มหลายครั้ง มันก็ติดใจ มันเลยเป็นสังฆประชาธิปไตยไป เลยกลายเป็นพระวัดบ้านตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ ทิ้งธุดงค์กรรมฐานที่เป็นธรรมวินัย ไปมีความสุขตั้งแต่เป็นนักปรัชญา ศาสนามันเลยไปไม่ได้ไปไม่รอด ให้เข้าใจนะ พวกนี้ก็ต้องรู้ตัวนะ เราจะเอาความเห็นแก่ตัวเป็นที่ตั้งไม่ได้
เห็นไหมเราเป็นพระวัดบ้าน ทีแรกกลายเป็นวัดบ้านตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ ปฏิปทาเช่นเรื่องฉันเพล ฉันอะไร พวกฉันเพลมันมาจากที่พระผู้เฒ่า พระป่วย จึงฉันเพล เพราะเราต้องดูแลคนเฒ่า คนแก่ คนป่วย พวกพระหนุ่ม พระที่ยังแข็งแรง เค้าต้องฉันมื้อเดียว แต่ทุกวันนี้ประเทศไทยเรา ส่วนใหญ่แทบทุกวัดพากันฉันเพลกันหมดเลย เพราะเรามองข้ามความเพลิดเพลินความประมาทนิดหน่อย เห็นไหมรถมันเกิดอุบัติเหตุ เครื่องบินมันเกิดอุบัติเหตุ เคลิบเคลิ้มนิดเดียว จึงทำให้เกิดอุบัติเหตุทั้งหลาย หรือว่าคำพูดเรามันจะอุบัติเหตุ หรือว่าการกระทำของเรามันจะอุบัติเหตุ มันอยู่ที่ความเผลอ ความเพลิดเพลิน เพราะสำหรับการฉันเพลนี้ไม่มีในพระธรรมวินัย สิกขาบทน้อยใหญ่ มีแต่พระป่วย พวกน้ำปานะ มันสำหรับพระป่วย อย่างนี้ก็ถือว่าอนุโลม แล้วมันก็หย่อนไปเรื่อย จากพระกรรมฐานสมัยโบราณฉันเพียวๆ ฉันจะข้าวกับแกงอะไรนิดหน่อย ที่นี่ก็พากันฟอร์มจัด อย่างการถือเนสัชชิกวันพระ สู้กันทั้งคืน เดินจงกรม นั่งสมาธิทั้งคืน โยมสงสารพระก็ ต้มนมข้นใส่โอวัลตินให้ดื่ม พอมีกำลังไปบิณฑบาต พอได้กินได้ฉัน ครั้งหนึ่ง สองครั้ง มันก็ติดใจเลย โอ๋...ถ้าเป็นข้าวต้ม ถ้าจะดีกว่านี้ มันกลายเป็นเสียธรรม เสียวินัยไป มันเป็นอย่างนี้นะ
อย่างพวกที่มีโทรศัพท์มือถือใหม่ๆ ก็ขอโทรกับเค้า ขอโทรกับโยม มันก็ไม่สะดวก เลยให้โยมหามา เลยติดโทรศัพท์ทุกเจ้าอาวาสเลย มันกลายเป็นฆราวาส ฆราวาสแปลว่า มีระบบครอบครัว มันติดมันหลง มันกลายเป็นเรื่องจิตเรื่องใจ เรื่องความยึดมั่นถือมั่น โทรศัพท์มือถือนี้มันหนักกว่าพวกมีลูกมีเมียอีกนะ เมียนี่เอาใส่กระเป๋าไม่ได้ แต่โทรศัพท์เอาใส่กระเป๋าได้ ไปห้องนอน ไปห้องน้ำ มันก็เอาไปได้ มันติด มันหลงนะ เพราะบางคนเค้าติดไพ่ แม้แต่ตกปลา มันติดอย่างนี้แหละ พวกเหล้า พวกเบียร์เป็นสิ่งที่ไม่ดี แต่มันเป็นสิ่งที่เสพติด เราต้องรู้จักนะ ถ้าอย่างนั้นเราไม่มีศาสนาในตัวในตน
ประเทศไทยเรามีพระศาสนา มีคนรักษาศีล 5 ได้สมบูรณ์ ไม่กี่คนหรอก ประเทศไทยเรานี่จะถึงหมื่นคนหรือเปล่า จากคน 70 ล้านคน เพราะว่าเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง ไม่ได้เอาพระศาสนาเป็นที่ตั้ง สมณะที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 มันก็เกิดขึ้นไม่ได้ ความเป็นจริงแล้วพระอริยเจ้า มันต้องเกิดกับเรา กับทุกๆ คน อยู่ทุกหนทุกแห่งอยู่ในภาคประพฤติภาคปฏิบัติ เราอย่าไปทิ้งพระธรรมวินัย เห็นไหมพระมหายานเน้นเรื่องจิตเรื่องใจ เรื่องธรรมะ เอาแต่เรื่องจิตเรื่องใจ พระวินัยไม่เอา ไปดัดแปลงจากจีวรไปใส่กางเกง ใส่เสื้อ ไปอย่างนี้ จะฉันก็ไม่ต้องประเคนไม่ต้องอะไร ไปทำอาหารกัน มันใจอ่อน ศีลเรื่อง วิกาลโภชเน ปาจิตติยัง เลยไม่มี ฉันได้ทั้งวันทั้งคืน จะว่าฉันก็ไม่ถูกหรอก ควรเรียกว่ากินดีกว่า แล้วก็ห้ามปรามประชาชนไม่ให้อ่านพระวินัย มันเลยเป็นความล้มเหลวของผู้ที่ทิ้งธรรม ทิ้งวินัย เราเลยมีแต่แบรนด์เนม แต่ว่าเรายังไม่มีศาสสนานะ เราไม่มีศีล สมาธิ ปัญญา เราไม่มีเผด็จการทางธรรมะ ธรรมะของพระพุทธเจ้ามันเป็นเผด็จการของธรรมะ คือเอาธรรมะเป็นหลักเอาธรรมะเป็นใหญ่ ไม่คิดไม่พูดไม่ทำ มีความสุขในการประพฤติปฏิบัติ ทุกท่านทุกคนต้องพากันประพฤติ พากันปฏิบัติ ถึงแม้เราจะประพฤติปฏิบัติกันเหมือนที่ประเทศเราเป็นไปอย่างนี้ มันไม่เพียงพอที่จะเป็นพระอริยเจ้าได้ เพราะว่าเหตุผลมันไม่เพียงพอ ถ้าเราดูแล้วมันเป็นไปจากว่างจากสิ่งที่ไม่มีอยู่มากกว่า เพราะดูแล้ววัดไหนก็สกปรก พวกเรียนพวกศึกษาก็พัฒนาตัวเองเพื่อเป็นลูกเขยชาวบ้าน ไปเป็นผู้แข่งบารมีกับชาวบ้าน มันเลยพากันเคร่งเกินคำสอน หย่อนตามความหลง เอายศถาบรรดาศักดิ์เอาตัวตนเป็นหลัก มันไม่ได้ปฏิบัติบูชา ไม่ได้แก้ไขตัวเองเลย ถือว่าเป็นความเสียหายความล้มเหลวของคณะสงฆ์ทุกประเทศ
เราทั้งหลายต้องตั้งอยู่ในความไม่ประมาท มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ ถ้าสติสัมปชัญญะไม่สมบูรณ์ มันไม่ได้ เราจะปลูกต้นเพื่อเอาแก่น มันก็ต้องมีรากสมบูรณ์ รากแก้ว รากฝอย มีใบสมบูรณ์ มีเปลือก มีกระพี้สมบูรณ์ แก่นมันถึงจะสมบูรณ์
ผู้ที่แก้ไขไม่ต้องมามองหาคนภายนอก ผู้ที่แก้ไขก็คือตัวของเราเอง เราอย่าไปมองหาแก้ไขคนอื่น ที่พระธรรมวินัยของพระพุทธเจ้าที่ทรงบอกทรงสอน ที่ตรัสไว้ดีแล้ว ไม่มีอะไรที่จะไปตัดออก และไม่มีอะไรที่จะไปเอามาเพิ่ม เพราะพระอรหันต์ประชุมกันแล้ว โดยมีพระมหากัสสปะเถระเป็นประธาน ว่าหลังจากพระพุทธองค์ปรินิพพานไปแล้ว ๓ เดือน อันไหนจะตัดออก อันไหนจะเพิ่ม พระพุทธเจ้าตรัสอปริหานิยธรรม ๗ ประการ สำหรับพระภิกษุสงฆ์ ข้อ ที่ ๓. ที่ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย และภิกษุทั้งหลาย ยังจักไม่บัญญัติสิ่งที่ตถาคตมิได้บัญญัติไว้จักไม่เพิกถอนสิ่งที่ตถาคตบัญญัติไว้แล้ว ยังจักสมาทานประพฤติอยู่ในสิกขาบททั้งหลายตามที่ตถาคตบัญญัติไว้แล้ว ตลอดกาลเพียงไร ภิกษุทั้งหลายพึงหวังความเจริญอย่างเดียว หาความเสื่อมมิได้
นั่นคือ ไม่บัญญัติสิ่งที่พระพุทธเจ้าไม่บัญญัติขึ้น ไม่ถอนสิ่งที่พระองค์ทรงบัญญัติไว้แล้ว สมาทานศึกษาและประพฤติอยู่ในสิกขาบทตามที่พระองค์ทรงบัญญัติไว้ หมายถึง ไม่บัญญัติในสิ่งที่พระพุทธเจ้าไม่ทรงบัญญัติ ไม่ล้มเลิกสิ่งที่พระองค์บัญญัติไว้ ถือว่าสิกขาบทที่พระพุทธเจ้าบัญญัติไว้ เปรียบเสมือนรัฐธรรมนูญที่พระสงฆ์จะต้องปฏิบัติตาม ไม่เพิกถอนไม่เพิ่มเติม ไม่ละเมิดพุทธบัญญัติ เอาใจใส่ประพฤติตนตามพุทธบัญญัติอย่างเคร่งครัด
ข้อนี้เป็นหลักการใหญ่ ต้นไม้ที่จะแข็งแรงทนทานต้องมีแก่น รัฐที่จะมั่นคงก็ต้องมีบัญญัติสูงสุดที่เรียกว่าธรรมนูญ ซึ่งทุกคนต้องยึดถือเป็นหลัก ไม่ใช่ใครมีอำนาจอยากทำอะไรก็ทำตามอำเภอใจ ศาสนาก็เหมือนกันมีพระพุทธบัญญัติเป็นเหมือนรัฐธรรมนูญสงฆ์ที่ดีย่อมไม่ยกเลิกเพิกถอน
สรุปโดยรวมความแล้ว ธรรมและสิกขาบทน้อยใหญ่ ไม่มีอะไรที่จะไปตัดไปเพิ่ม เราจะไปเก่งกว่าพระพุทธเจ้า เก่งกว่าพระอรหันต์มันไม่ได้ เก่งในทางไม่ดีไม่ถูกต้อง สรุปแล้วเราทุกคน ไม่ต้องไปแก้ไขที่คนอื่น ให้มาแก้ไขที่ตัวเราเอง พระก็แก้ไขที่พระ สามเณรก็แก้ไขที่สามเณร พ่อก็แก้ไขที่พ่อ แม่ก็แก้ไขที่แม่ ปู่ยาตายาย ข้าราชการ ทหาร ตำรวจ ทุกท่านทุกคนต้องแก้ที่ตัวของท่านเอง เพื่อจะให้มีศีลเหมือนกัน มีสมาธิเหมือนกัน มีความตั้งมั่นเหมือนกัน มีปัญญาเหมือนกัน
เรามีเทคโนโลยีมีวัตถุ เราต้องรู้จักเอาไปใช้ให้เกิดคุณประโยชน์ อย่าเอาไปใช้ในการบริโภคกาม เช่น โทรศัพท์มือถือ อินเทอร์เน็ต เฟสบุ๊ค ที่ใช้ในการดำรงชีพต้องใช้เพื่อเข้าหาธรรม การดำรงธรรมะแห่งความเป็นมนุษย์ของเราจึงจะสมบูรณ์ ตระกูลมนุษย์จะได้สมบูรณ์ ครอบครัวเราจะได้สมบูรณ์ ที่มีธรรมเป็นหลัก มีธรรมเป็นใหญ่ ดำรงไว้ซึ่งศีลห้า คนที่แก้ในระดับครอบครัวก็คือพ่อคือแม่ คนที่แก้ในระดับท้องถิ่นก็คือ ผู้ใหญ่บ้าน กำนัน คนที่แก้ในระดับพระสงฆ์ก็คือ เจ้าอาวาส เจ้าคณะตำบล อำเภอ ไปจนถึง มหาเถรสมาคม ถ้าเราแก้ที่ปลายแถว ไปแก้ที่คนอื่น จะทำจนสมองระเบิดมันก็แก้ปัญหาไม่ได้ เพราะว่ามันแก้ไม่ถูก
บางคนเป็นข้าราชการก็เพื่อจะไปจัดการคนอื่น เป็นพระสังฆาธิการก็เพื่อจะไปจัดการคนอื่น ไม่ได้มาจัดการตัวเองก่อน สิ่งที่ง่ายที่สุดไม่ต้องไปคิดให้มันยากให้มันปวดหัว ก็คือตัวเราเอง ถ้าเราไม่แก้ที่ตัวเอง อย่างพระลูกวัดที่ไหนจะมาเลื่อมใส ประชาชนที่ไหนจะมาเลื่อมใส เพราะไม่มีศีลไม่มีธรรม เราต้องเผด็จการตัวเองทางธรรมะ อย่าไปยืดเยื้อ ทุกคนต้องยกใจขึ้นสูง สู่ศีลสู่ธรรมสู่คุณธรรม เพราะเวลามันไม่คอยท่า
เราอย่าไปเอาของคนอื่น เราต้องเป็นผู้ให้ ให้ความรัก ความเมตตา อนุเคราะห์ ให้กายวาจาใจ ให้สิ่งที่ดีๆ “ททํ ปิโย โหติ ภชนฺติ นํ พหู - ผู้ให้ ย่อมเป็นที่รัก คนหมู่มากย่อมคบเขา” “ททํ มิตฺตานิ คนฺถติ - ผู้ให้ ย่อมผูกไมตรีไว้ได้” ผู้ให้นะเขาเรียกว่า ผู้ที่มีหนทางดำเนินไปถูก เปิดประตูสู่พระนิพพาน ไปทางถนน super highway ถนนทางสายเอก ถ้าไม่อย่างนั้น เรามีพระสงฆ์มีคณะสงฆ์มันก็ไม่มีประโยชน์อะไร ทำให้วุ่นวายเฉยๆ เรามีข้าราชการที่โกงกินคอรัปชั่น รัฐครึ่งหนึ่ง ข้าราชการครึ่งหนึ่ง มันไม่ได้ เพราะโจรในเครื่องแบบมันอันตรายกว่าโจรนอกเครื่องแบบ เราต้องพากันหยุดเถิด หยุดเป็นโจรในเครื่องแบบกัน โจรมันก็อยู่ที่เรานี้แหล่ะ เราจะไปเป็นพ่อเป็นแม่เป็นครูบาอาจารย์เขาได้ยังไง เพราะเราไม่ได้แก้ไขที่ตัวเอง คนเราผู้ที่ยิ่งใหญ่คือผู้ที่สู้กับตัวเอง สู้กับอวิชชา ความหลง ต้องมีปัญญา มีความเสียสละ มีความตั้งมั่น อย่าไปตามเพื่อนตามฝูงตามประเพณีที่มันเห็นแก่ตัว
นี้เป็นการถวายความรู้ เป็นการให้ความรู้ให้สติให้ปัญญาเพื่อประโยชน์ส่วนรวมของมหาชน เพื่อทุกคนจะได้สละความเห็นแก่ตัว เราเกิดมาร่วมกันสุข ร่วมกันทุกข์ ร่วมกันทำความดี เพื่อเป็นคนกตัญญูกตเวทีเหมือนพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าท่านบำเพ็ญพระพุทธบารมีเพราะท่านกตัญญูกตเวทีต่อพุทธปณิธานเพื่อจะช่วยขนรื้อส่ำสัตว์ออกจากวัฏสงสารอันกันดารในห้วงทะเลทุกข์ เราจะเป็นคนไม่มีบุญไม่บาปไม่ใช่ มันเห็นแก่ตัว น่ารังเกียจเกิน เราจะไปมองหน้าใครได้ มองหน้าลูกหน้าหลานที่เราเห็นแก่ตัว ไม่พากันเสียสละ เป็นการสร้างหนี้สร้างสินไว้ให้ลูกหลานนะ เป็นการทำลายความมั่นคงในสิ่งที่ประเสริฐนะ ทุกคนต้องพากันมาแก้ที่ตัวเองมันถึงจะไม่มีการเดินขบวน ถ้าไม่อย่างนั้นการเดินขบวนมันจะหยุดได้ไหม ไม่หยุด เพราะว่าทุกท่านทุกคนไม่พากันเสียสละ
ที่พูดมาทั้งหมดมานี้ ไม่ถือว่าแรงนะ นี้คือความถูกต้อง ความเป็นธรรม ความยุติธรรม เพราะสิ่งที่ถูกต้องมันไม่ได้เป็นพี่เป็นน้องกับใคร เกิด แก่ เจ็บ ตาย มันไม่ได้เป็นพี่เป็นน้องกับใคร สัจธรรมก็คือความจริงเราจะได้พากันประพฤติปฏิบัติให้ถูกต้อง ความยากจนมันจะได้หายจากตัวเรา หายจากพี่น้องลูกหลานของเรา ด้วยการพากันมาเสียสละ
แจกปัญญา แจกศาสนา แจกธรรมวินัย แจกสิ่งที่ถูกต้อง
เพื่อเดินตามรอยพระพุทธเจ้าร้อยเปอร์เซ็นต์
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
โดยทุกท่านสามารถติดตามเพิ่มเติมได้ที่
https://linktr.ee/watsubthawee
Share wisdom, spread Buddhism and its discipline.
Advocate righteousness to follow Lord of Buddha's footsteps 100%
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
You can receive new Dharma updates.
https://linktr.ee/watsubthawee