แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ในวันเสาร์ที่ ๒๔ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๖
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง คุณของพระพุทธเจ้า ตอนที่ ๒๑ มีความรับผิดชอบการงานทุกอย่างไม่ให้ค้างคา ด้วยเต็มใจทำ แข็งใจทำ ตั้งใจทำ และเข้าใจทำ
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
มนุษย์เราคือผู้ที่ประเสริฐ ที่เกิดมาในโลกนี้ ไม่ว่าเราจะเป็นไทย จีน ฝรั่ง ทุกชาติ ทุกศาสนาคือผู้ที่ประเสริฐ เราทุกคนต้องมีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง และปฏิบัติถูกต้อง การเรียนการศึกษา นี้ทำให้มนุษย์มีสัมมาทิฏฐิ มีปัญญา การฝึกการหัด การปฏิบัติ ที่ตามหลักเหตุหลักผล ตามหลักวิทยาศาสตร์เพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปถึงมี พร้อมทั้งพัฒนาทางจิตใจ เอาธรรมเป็นหลักเอาธรรมเป็นใหญ่เอาทำเป็นการดำเนินชีวิตมีความสุขในการ ประพฤติการปฏิบัติอยู่ทุกหนทุกแห่ง ที่พระพุทธเจ้าบอกว่าอริยมรรคมีองค์ ๘ การปฏิบัติไม่ใช่เฉพาะเรานั่งสมาธิเดินจงกรม หรือเจริญพระกรรมฐานมันต้องอยู่ในทุกๆ อิริยาบถของมนุษย์ อิริยาบถใหญ่ อิริยาบถย่อย
ถ้าเมื่อเราไม่รู้ว่าการเรียนการศึกษา เราอาศัยแต่จำพ่อ จำแม่ จำสิ่งที่เห็นคนอื่นทำ จำในสิ่งที่ดี นี่แหละโลกสมัยใหม่เราได้พัฒนากาย พัฒนาบ้าน พัฒนารถเครื่องบิน พัฒนาวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ เรารู้แล้วความสุขความดับทุกข์ มันอยู่ที่พวกเรามีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้องและพากันปฏิบัติถูกต้อง ต้องพัฒนาทั้งเหตุ ทั้งผล ทั้งวิทยาศาสตร์ พัฒนาทั้งจิตทั้งใจไปพร้อมๆ กัน ความสุข ความดับทุกข์มันถึงอยู่กับเราทุกหนทุกแห่ง ไม่ว่าเราจะเป็นคนภาคไหน ทำอะไรความสุขความดับทุกข์ของเราอยู่ที่นั่นแหละ อย่างนี้แหละแต่ก่อนเราไม่เข้าใจเพราะเราไม่ได้เรียนไม่ได้ศึกษา เราไปหาความเป็นพระ หาความเป็นศาสนาอยู่ที่อื่น ไม่ได้หาความดับทุกข์ในตัวของตัวเอง ความดับทุกข์มันอยู่ในตัวของเราเอง คนเรามันต้องปรับทางความเห็น ความเข้าใจ ปรับทั้งภาคประพฤติภาคปฏิบัติ
เราทุกคนเกิดมาในโลกนี้ ถ้าเราไม่รู้ทุกข์ ไม่รู้เหตุเกิดทุกข์ ไม่รู้ก็ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ เราถึงพากันมาหลงขยะ ส่วนใหญ่ในโลกนี้ เขาหลงขยะกันนะ เราเป็นพี่น้องเราลองคิดดูดีๆ เช่นว่า ลูกอายุไล่เรี่ยกัน ถ้าได้อะไรไม่เหมือนกัน ก็ทะเลาะกัน พี่น้องแย่งมรดก เพื่อนบ้านแย่งเศรษฐกิจกัน เขาถึงบอกว่าผู้ที่เป็นเพื่อนกัน เพื่อนรักกัน เค้าถึงไม่ให้ร่วมลงทุนสร้างบริษัทร่วมกัน เพราะความไม่ฉลาด ความหลงของเรา มันจะทำลายความเป็นเพื่อน เราดูสิ ดูพ่อกับแม่เราทะเลาะกันไม่ใช่เรื่องอะไรหรอก ก็เรื่องเศรษฐกิจ ทะเลาะกับพี่กับน้องไม่ใช่เรื่องอะไรก็เรื่องเศรษฐกิจ
พระคุณเจ้าทิ้งธรรมะ ทิ้งวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่ เป็นได้แต่เพียงแบรนด์เนม เพราะเรื่องเงินเรื่องสตางค์ เรื่องลาภสักการะ เราทุกคนต้องพากันเข้าใจ เราดูแล้วความสุขความดับทุกข์ มันมีอยู่กับเราทุกคน ถ้าทุกคนรู้แล้วก็พากันปฏิบัติ เราทุกคน ก็ต่างคนต่างปฏิบัติ เข้าถึงเศรษฐกิจพอเพียงอย่างนี้ แต่ประเทศเราก็ยังกว้างขวาง ดูภาพรวมแล้วก็ยังมีที่ดินอยู่คนละ 5 ไร่ 10 ไร่ ถ้าเรารู้จักพัฒนาใจ มันก็อยู่ได้อย่างมีความสุข ไม่ต้องเร่ร่อนไปหากินถึงเมืองนอก เราไม่ต้องเร่ร่อนไปเรียนหนังสือถึงเมืองนอก การเรียนการศึกษาของเรามันดี มันถูกต้อง แต่ว่าเราเรียนเพื่อความเห็นแก่ตัว มันเป็นหายนะ มันเป็นความพินาศ
เราคิดดูก็สงสารตัวเองนะ คิดดูแล้วก็สงสารคนอื่น ต่างคนก็ต่างไม่รู้ เราต้องเข้าใจนะว่า พระพุทธเจ้าเราท่านบำเพ็ญพุทธบารมีมา มาบอกมาสอน เราก็ยังเอาทิฏฐิมานะตัวตน ความมีตัวมีตน ไม่ลืมหูลืมตา มันจะเอาแต่ตัวตนเป็นใหญ่ มันก็เลยทำลายพระพุทธเจ้าในตัวของเรา ทำลายพระธรรม ทำลายพระอริยสงฆ์ ทำตามอัธยาศัย นี่แหละคือความหายนะ ความวิบัติ เราทุกคนอย่าไปหลงความเป็นมนุษย์ เราต้องเข้าถึงสัจธรรม เราจะได้เข้าถึงความเป็นมนุษย์ เข้าถึงความเป็นข้าราชการ ทหาร ตำรวจ บ้านเราเมืองเรามันจะได้หยุดโกงกินคอรัปชั่น มันต้องมีสมณะ มีข้าราชการ ทหาร ตำรวจ มีกระทรวง ทบวง กรม องค์กรอะไรต่างๆ เพื่อให้เป็นกลไกแห่งการพัฒนา
เราต้องมีความสุขในการทำงาน เราต้องหยุดโกงกินคอรัปชั่น เราอย่าไปทำตามอวิชชา ความหลง อย่าไปทำตามผู้หลักผู้ใหญ่ที่พากันกินบ้านกินเมือง มันไม่ดี มันไม่ใช่ทาง มันเป็นความแตกแยก เป็นสังฆเภท เป็นการเอาความดับทุกข์กับความทุกข์ของคนอื่น เราทุกคนต้องจัดการตัวเอง ไฟต์ติ้งกับตัวเอง ด้วยทางจิตใจ ต้องหยุดตัวเอง อย่าไปท้อใจ เราเป็นพ่อเป็นแม่อย่างนี้ เราก็ต้องควบคุมตัวเองให้ได้ ต้องมีศีล ๕ มีธรรมะ เพราะอันนั้นคือศาสนา ไม่ทำตามใจตัวเอง ไม่ทำตามอารมณ์ตัวเอง ไม่ทำตามความรู้สึกตัวเอง มีความสุขในการมีศีลมีธรรมเขาเรียกว่ามีศาสนา เข้าถึงความเป็นพระศาสนาคือเข้าถึงความเป็นพระ พระเข้านับเอาตั้งแต่พระโสดาบัน จนถึงพระอรหันต์ เราเป็นประชาชนคนไม่ได้บวช ก็ถึงพระอนาคามีได้ พวกที่มาบวชก็ให้ถึงจากพระโสดาบันไปถึงพระอรหันต์ ไม่ใช่มีแต่แบรนด์เนมเหมือนทุกวันนี้ มันไม่ถูก นี่คือการคอร์รัปชั่นในความที่ไม่ถูกต้อง ให้พากันรู้จัก
เราดูแล้วเรื่องเศรษฐกิจเรื่องเงินเรื่องทองเรื่องขยะนี่แหละ ทำให้ทุกคนบาดหมางกัน ทำให้ไม่พอใจกัน มันเป็นสิ่งที่เสียหาย แทนที่เกิดมาในโลกนี้แล้ว ต้องพากันมีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง มีความสุขในการทำงาน มันทำงานก็ดีอยู่ถูกต้องอยู่ แต่มันทำเพื่อความเห็นแก่ตัว ไม่ได้ทำเพื่อเสียสละ ไม่ได้ทำเพื่อธรรมะ มันทำเพื่อตัวเพื่อตน เพื่อความเป็นความบ้า ของมหาบ้า ให้เข้าใจ เราต้องพากันแก้ปรับปรุง เพราะเราจะทำตามภาพรวมของความหลงนี้ไม่ได้
ความสุขทางร่างกาย ความสุขทางวัตถุ เราต้องรู้จักว่าร่างกายของเราต้องมีความสุข ร่างกายของเราต้องแข็งแรง โภชเน มัตตัญญุตา รู้จักประมาณในการบริโภค สิ่งไหนมันไม่ดีไม่มีประโยชน์ก็พยายามอดทน เพราะว่าอาหารทุกอย่างมันเป็นยา เราต้องพัฒนาไปอย่างนี้ มนุษย์เราต้องหยุดอบายมุข อบายภูมิ พวกกินเหล้ากินเบียร์เล่นการพนัน มันต้องหยุด เราไม่หยุดไม่ได้ รัฐบาลก็อย่าไปโง่ อย่าไปเอาภาษีกับพวกเหล้าเบียร์พวกบ่อน พวกอะไรนี้ ถึงแม้เขาจะรวยเป็นมหาเศรษฐีของโลก มันก็ไม่ใช่ความดับทุกข์ เป็นรัฐบาลก็เป็นรัฐบาลที่มีปัญญาหน่อย อย่าเป็นรัฐบาลโง่ๆ หรือเป็นรัฐบาลมิจฉาทิฏฐิ อย่าพาเค้าลุยไปอย่างนี้ ไปแสวงหาสิทธิมนุษยธรรม มันเป็นมนุษยธรรมได้ที่ไหน เอาแต่ความหลง เอาแต่อวิชชา
การเรียนการศึกษาเราต้องให้ฉลาดด้วย มีปัญญาด้วย เข้าสู่ภาคปฏิบัติ มันเก่งมันฉลาด ไม่ได้เป็นคนดี คนเสียสละมันไม่ได้ เราดูวัดวาต่างๆ มันสกปรกเพราะอะไรเพราะใจมันสกปรก ดูที่โรงเรียนหรือว่าส่วนราชการ บ้านเราทุกคน บ้านช่องมันสกปรก มันสกปรกมาจากใจ ใจมันใจมันขี้เกียจขี้คร้าน ใจไม่มีความสุขในการเสียสละ มันก็สกปรก มันจะเป็นตั้งแต่นายทุน เป็นตั้งแต่ชี้ให้เขาทำอย่างโน้นนี่แต่ตัวเองไม่ทำ มันก็ไม่มีตัวอย่างแบบอย่าง ในโลกนี้เราต้องเทคแคร์กัน เราทำอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้
เพราะดูแล้วพวกที่เคยอยู่ประจำถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา คิดไปนู้นคิดไปนี้ มีเมียทั้งวันมีผัวทั้งวัน พวกเป็นผู้หญิงผู้ชายน่ะ อยากจะได้สวรรค์วิมาน เขาเรียกว่าเป็นคนอวิชชาน่ะ เป็นคนที่มีเซ็กส์ทางความคิด มีเซ็กส์ทางอารมณ์ ที่ไม่ได้พัฒนาตัวเอง มันไม่รู้จักตัวเอง ปล่อยให้ตัวเองคิดไปเรื่อย ถือความหลงเป็นสรณะ ถืออบายมุข อบายภูมิเป็นสรณะ เราต้องกลับมาหาจิตหาใจของเรา เพราะเวลาของเรามันจำกัดนะ เราจะทำอะไรให้รวดเร็วว่องไว เน้นที่ปัจจุบัน อย่าไปทำเหมือนพวกข้าราชการทั้งหลาย ปัจจุบันไม่ดี ทำงานเดือนนึง ก็ไม่เท่ากับผู้ที่มีพุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานในปัจจุบันวันเดียวหรอก เพราะว่ามันตรวจสอบอะไรรอบครอบก็จริง แต่ว่ามันติดนิสัยสิ่งที่ทำอะไรจดๆ จ้องๆ ลูบๆคลำๆ เป็นงานค้างคา
ความจริงแล้วการทำงานกับคนนั้น เป็นสิ่งที่แยกกันไม่ได้ เมื่อเราเกิดมาเป็นคนแล้ว จำเป็นเหลือเกินที่จะต้องทำงาน แต่ก็ยังมีบางคนเข้าใจผิดคิดว่าตัวเองนั้นไม่ได้เกิดมาเพื่อทำงาน แต่เกิดมาเพื่อจะกินและนอนเฉยๆ ถ้าคิดอย่างนั้นแล้วก็เหมือนกับว่าตนนั้นได้ตายไปแล้ว เพราะคนตายไม่ต้องทำงาน นอนวันยังค่ำคืนยันรุ่งก็ได้
แท้จริงแล้ว การงานเป็นสมบัติของคน คนที่มีงานคือคนที่มีสมบัติ ตรงข้ามคนที่ไม่มีงาน คือคนที่ไม่มีสมบัติ เป็นคนที่วิบัติดังนั้น คนที่วิบัติเพราะไร้งาน หรือเพราะมีความเกียจคร้านไม่ทำงาน จึงเป็นคนที่อาภัพน่าสงสารที่สุด เพราะว่าหลักฐานที่จะพิสูจน์คนว่าดีหรือไม่ดีนั้น อยู่ที่การงาน โรงงานทุกแห่งก็คือโรงทำเงิน ทำเกียรติยศซื่อเสียงให้แก่ตนเอง
การงานนั้น เป็นอุดมการณ์ของมนุษย์ที่รักจะครองชีวิตอยู่ในโลก มนุษย์ที่มีการงานเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ เพราะการทำงานตามปกติย่อมสร้างกำลังกาย สร้างกำลังใจ สร้างกำลังปัญญา สร้างความเจริญ สร้างความสุขให้แก่ชีวิตในโลก ทำให้ชีวิตสูงด้วยค่า ตรงข้ามคนที่เกียจคร้านไม่เอาการเอางาน จึงเป็นคนที่โง่ อ่อนแอ ไม่มีเรี่ยวแรง เป็นคนรกโลก ด้วยเหตุที่ความสำคัญของกิจการงาน นั้นเป็นความสำคัญของชีวิต ด้วยเหตุนี้ในมงคลข้อนี้ พระพุทธเจ้าจึงได้ทรงชี้ความเป็นมงคลลงไปที่การงาน
พระพุทธเจ้าของเรา ทรงเป็นนักทำงานตัวอย่างของคนทำงานที่ดีเด่นที่สุด ชั่วในระยะ ๒,๕๐๐ ปีเศษมาแล้ว ยังไม่มีผู้ใดทำงานได้เกินกว่าพระองค์ งานก็ดี ผลก็ดี คนก็นิยม พระองค์ได้ทรงทำงานตลอดพระชนม์ชีพของพระองค์ ตลอด ๘๐ พรรษา เราลองสำรวจดูการทำงานของพระองค์อย่างคร่าวๆ ทุกสิ่งทุกอย่างได้เป็นไปตามแผนที่ทรงกำหนดไว้ตั้งแต่เสด็จออกผนวช ตั้งพระทัยที่จะแสวงหาความพ้นทุกข์ให้ได้ ก็ทรงกระทำความเพียรจนได้พบทางพ้นทุกข์จริง ครั้นตรัสรู้แล้วทรงวางแผนในการประกาศศาสนาและตั้งพระทัยว่า เมื่อพระศาสนาได้ประดิษฐานมั่นคงแล้ว จึงจะปรินิพพาน การทั้งปวงก็เป็นไปตามแผนทุกประการ
มงคลชีวิตข้อที่ว่า การทำงานที่ไม่คั่งค้างเป็นมงคล ซึ่งข้อนี้พระพุทธเจ้าเป็นผู้ตรัสเอาไว้ คำที่ว่า อนากุลา ซึ่งแปลว่าคั่งค้าง งานอากูลคืองานค้าง ที่ว่าค้างนั้นหมายความว่าคนทำๆ ให้ค้าง ไม่ใช่หมายความถึงงานที่ทำต่อกันแต่ยังไม่สำเร็จ คืองานบางอย่างนั้น จะต้องอาศัยปัจจัยและสิ่งแวดล้อมต่างๆ ซึ่งผู้ทำจำเป็นจะต้องรอ การทำงานอย่างนี้ไม่เรียกว่างานอากูล การทำงานแบบนี้เป็นนิสัยของคนจำพวกหนึ่ง ซึ่งแรงใจมีไม่พอจะทำงาน ทำงานแล้วต้องทิ้งลงกลางคัน ทำงานไม่ถึงที่เสร็จทิ้งเสียก่อน ไปริทำงานอย่างใหม่ต่อไป คว้างานใหม่มาทำ ก็ทำไม่เสร็จอีกเหมือนกัน เป็นคนดีแต่ขึ้นต้น แต่ทำงานจริงๆ แล้วไปไม่รอด คนที่มีนิสัยทิ้งๆ ขว้างๆ ก็เพราะเป็นนิสัยจับจดของตัวเอง อะไรก็ไม่เสร็จสักอย่าง สานกระด้งไว้หน่อยแล้วทิ้งไปสานกระจาดอีกนิด และก็ไพล่ไปทอกระสอบ แล้วก็ทิ้งอีกเหมือนกัน งานที่สานกระจาดก็ไม่เป็นกระจาด กระด้งก็ไม่เป็นกระด้ง กระสอบก็ไม่เป็นกระสอบ นี่แหละเรียกว่างานคั่งค้างอากูล
“บุคคลใดไม่คำนึงถึงหนาวร้อน อดทนให้เหมือนหญ้า กระทำกิจที่ควรทำด้วยเรี่ยวแรงของลูกผู้ชาย บุคคลนั้นย่อมไม่เสื่อมจากสุข”
วิธีทำงานให้เสร็จ วิธีทำงานที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้คือ อิทธิบาท ๔ ได้แก่ ๑. ฉันทะ คือ ความรักงาน หรือ ความเต็มใจ ๒. วิริยะ คือ ความพากเพียร หรือ ความแข็งใจทำ ๓. จิตตะ คือ ความเอาใจใส่ หรือ ความตั้งใจทำ ๔. วิมังสา คือ การพินิจพิเคราะห์ หรือ ความเข้าใจทำ
คนที่ทำงานด้วยปัญญานั้นจะต้อง - ทำให้ถูกกาล ไม่ทำก่อนหรือหลังเวลาอันควร - ทำให้ถูกลักษณะของงาน
สรุปวิธีการทำงานให้สำเร็จนั้น มีลักษณะล้วนขึ้นอยู่กับใจทั้งสิ้น คือเต็มใจทำ แข็งใจทำ ตั้งใจทำ และเข้าใจทำ วิธีการฝึกฝนใจที่ดีที่สุด ก็คือ การให้ทาน การรักษาศีล และการทำสมาธิเพื่อให้ใจผ่องใส ทำให้เกิด ปัญญาพิจารณาเห็นผลของงานได้ รู้และเข้าใจวิธีการทำงาน มีกำลังใจ และมีใจจดจ่ออยู่กับงาน ไม่วอกแวก
อุปสรรคใหญ่ในการทำงานให้เสร็จก็คือ อบายมุข ๖ ได้แก่ ๑. ดื่มน้ำเมา ๒. เที่ยวกลางคืน ๓. ดูการละเล่นเป็นนิจ ๔. เล่นการพนัน ๕. คบคนชั่วเป็นมิตร ๖. เกียจคร้านในการทำงาน
อบาย แปลว่า ความเสื่อม ความฉิบหาย มุข แปลว่า ปาก, หน้า
อบายมุข จึงแปลว่า ปากทางแห่งความเสื่อม เนื่องจากมันเป็น ปากทาง ส่วนตัวความเสื่อมจริงๆ นั้นอยู่ ปลายทาง เมื่อมองเพียงผิวเผิน เราจึงมักยังมองไม่เห็นความเสื่อม แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าและท่านผู้รู้ทั้งหลายมองเห็น
ถ้าจะดูกันแต่ปากทางแล้ว ก็อาจเห็นเป็นความเจริญด้วยซ้ำ เหมือน... ปากทางที่จะไปเข้าคุก ก็เป็นถนนราบเรียบ แต่ปลายทางเป็นคุกที่ทรมาน
ปากทางที่จะตกลงบ่อ ก็เป็นพื้นดินสะอาด แต่ก้นบ่อมีน้ำที่จะทำให้ผู้ตกลงไปจมหรือสำลักน้ำตาย ปากทางที่จะตกลงเหว ก็เป็นป่าหญ้างามดี แต่ก้นเหวลึกมากจนทำให้คนที่ตกลงไปตายได้ เช่นกัน อบายมุขซึ่งเป็นปากทางแห่งความฉิบหายนี้ ดูเผินๆ ก็ไม่มีพิษสงอะไร เที่ยวกลางคืนก็สนุกดี เล่นการพนันก็เพลิดเพลินดี แต่ก็ทำให้ผู้ประพฤติทำการงานไม่สำเร็จ เสื่อมไปจากความเจริญก้าวหน้าและกุศลธรรม ทั้งหลาย ที่ถึงกับฉิบหายขายตัวไปแล้วก็มากต่อมาก อบายมุขจึงเป็นเสมือนหน้าตา สัญลักษณ์ของความเสื่อม บุคคลใดยุ่งเกี่ยวกับอบายมุขก็รู้ได้ทันทีว่า ผู้นั้นมีความเสื่อมเกิดขึ้นแล้ว
“นิทฺทาสีลี สภาสีลี อนุฏฺฐาตา จ โย นโร อลโส โกธปญฺญาโณ ตํ ปราภวโต มุขํ. ฐานะ ๕ อย่างคือ ความชอบนอน ความชอบคุย ความไม่หมั่น ความเกียจคร้าน และความโกธรง่าย พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า เป็นทางแห่งความเสื่อม, เพราะคนถึงพร้อมด้วยฐานะ ๕ อย่างนั้น เป็นคฤหัสถ์ก็ไม่ถึงความเจริญของคฤหัสถ์ เป็นบรรพชิตก็ไม่ถึงความเจริญของบรรพชิตย่อมเสียหายถ่ายเดียว ย่อมเสื่อมถ่ายเดียวแน่แท้”
พระนี้จะดูความก้าวหน้าหรือไม่ก้าวหน้าให้ดูที่ความรับผิดชอบ การงานไม่ค้างคา คนรับผิดชอบสูงจะทำอะไรก็จะเห็นความสำคัญ การงานก็จะไปด้วยดีไม่ค้างคา การงานเราต้องไม่ค้างคา เพราะศักยภาพของแต่ละคนอยู่ที่การงานไม่ค้างคา อย่างโครงการของข้าราชการเป็นเดือนหรือหลายเดือนยังไม่คืบหน้า อันนี้เขาเรียกว่าการงานค้างคา สู้เอกชนก็ไม่ได้ เรื่องต่างๆ มันค้างคา เรียกว่าข้าราชการเห็นแก่ตัว แบบนี้เขาเรียกว่าข้าราชกิน ไม่ใช่จะนำประเทศไปได้ นำตัวเองก็ไม่ได้ ต้องทำงานด้วยจิตว่าง ถึงเวลาหยุดต้องหยุด เพราะการงานคือความสุข ความเสียสละ ไม่ใช่ค้างคา
การงานค้างคาก็หมายถึงว่าจิตเราไม่ว่าง คนเราจิตไม่ว่างมันอยู่แต่อดีต กรรมเก่าของเรามันคืออดีต ถึงจะรับผิดชอบเก่ง แต่การงานค้างคา เอาความเครียดกลับบ้าน ไม่ทะเลาะกับลูกกับเมีย ปัจจุบันต้องดี ต้องทิ้งอดีตให้เป็นศูนย์ อนาคตก็คือปัจจุบันนี้แหละ ปัจจุบันมันจะเป็นอดีตที่ดี และเป็นอนาคตที่ดี เดินไปทีละก้าว จิตต้องเข้าถึงความว่าง เราอยู่แต่กับความเครียด ไม่ได้อยู่กับปัจจุบัน มันก็ไม่มีความสุข เป็นนักวิชาการที่เป็นโรคจิต โรคประสาท มันไม่ได้ละวาง ไม่ได้วางขันธ์ ๕ ไม่ได้เป็นธรรม ไม่ได้เป็นปัจจุบันธรรม ปัจจุบันต้องเต็มที่ ต้องมีความสุข
ดินที่พอกหางหมู มีแต่จะเพิ่มมากขึ้นๆ และถ่วงหมูให้กินอยู่หลับนอนไม่เป็นสุขยิ่งๆ ขึ้นไปฉันใด การงานที่ปล่อยทิ้งไว้คั่งค้าง ก็มีแต่จะยิ่งเพิ่มมากขึ้นและถ่วงความเจริญก้าวหน้าทั้งแก่ตนเอง และหมู่คณะฉันนั้น “ค่าของคนอยู่ที่ผลของงาน หากปล่อยการงานให้คั่งค้าง ก็เท่ากับกำลังทำลายค่าของตนเอง”
เมื่อบุคคลปรารภจะทำอะไรแล้ว พึงกระทำสิ่งนั้นให้สำเร็จ ไม่ควรปล่อยทิ้งไว้ เพราะสิ่งเหล่านี้จะถ่วงความเจริญก้าวหน้าในชีวิตของเรา เหมือนดินพอกหางหมู ไม่เกิดประโยชน์อันใด ควรที่เราจะเร่งรีบขวนขวายทำงานให้สำเร็จสมบูรณ์ จะได้เป็นอุปนิสัยติดตัวเราไปข้ามภพข้ามชาติ เมื่อตัดสินใจจะทำอะไรต่อไป จะได้ไม่ต้องมาห่วงหน้าพะวงหลัง เพราะเรายังมีงานหลักที่เป็นงานสำคัญกำลังรอเราอยู่ งานหลักที่แท้จริงนั้น คือ การประพฤติปฏิบัติเพื่อละตัวละตน ละลายภพชาติ ตัดวัฏสงสาร ทำพระนิพพานให้แจ้ง ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสไว้ใน ขุททกนิกาย อปทาน ว่า "โกสชฺชํ ภยโต ทิสฺวา วิริยารมฺภญฺจ เขมโต อารทฺธวิริยา โหถ เอสา พุทฺธานุสาสนี - ท่านทั้งหลายจงเห็นความเกียจคร้าน ว่าเป็นภัย และเห็นการปรารภความเพียร ว่าเป็นความปลอดภัย แล้วปรารภความเพียรกันเถิด นี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า ทั้งหลาย"
คนเราถ้ารู้ว่าอันไหนดีก็พูดอันนั้น รู้ว่าอันไหนไม่ดีก็หยุดอันนั้น ปัจจุบันเป็นสิ่งที่สำคัญมันต้องอย่างนี้ ไม่ต้องไปแคร์อะไรหรอก เอาธรรมะเป็นหลัก เอาธรรมะเป็นใหญ่ ทุกคนก็ยอมรับได้อะไรได้ เพราะเราไม่ได้เอาตัว เอาตน เพราะเราทุกคนต้องหยุดเป็นคนเจ้าอารมณ์ เขาเรียกว่าอย่าให้มันเป็นเหมือนเจ้าอาวาส คือเจ้าอารมณ์ อย่าเหมือนพระคุณเจ้า เพราะพระคุณเจ้าคือเจ้าอารมณ์ ต้องเอาธรรมะเป็นหลักเอาธรรมะเป็นใหญ่นี่แหละคือศาสนา คือความดับทุกข์ อันนี้เป็นธรรมเป็นความยุติธรรมที่เราปรับปรุง ประชาธิปไตยหรือสังคมนิยม ให้เป็นธรรมะ ที่ถูกต้อง ทำที่สุดแห่งความดับทุกข์ทั้งหลายทั้งปวง
หลวงพ่อชาท่านพูดว่า พระเณรเราต้องพากันซื่อสัตย์ต่อพระพุทธเจ้า อย่าไปคิดในสิ่งที่ไม่ดี อยากคิดเราก็ไม่คิด ถ้าเราอยากคิดเราก็คิดเลยมันจะมีการประพฤติการปฏิบัติที่ไหน ถ้าเราคิดในสิ่งที่ไม่ดีมันเป็นการคอร์รัปชั่นคุณธรรม คุณงามความดีของเรานะ พระภิกษุสามเณรเราต้องเป็นคนซื่อสัตย์ ไม่เป็นคนโกงกินคอร์รัปชั่น เราคิดไม่ดีนั้นเค้าเรียกว่าเป็นการโกงกินคอร์รัปชั่น เราบวชเป็นพระเป็นเณรเราจะไปคิดอย่างนั้นได้อย่างไร การอบรมบ่มอินทรีย์เค้าต้องไม่คิดในสิ่งที่ไม่ดี ระหว่างคนซื่อสัตย์กับคนมีปัญญา เราจะเลือกใคร ถ้าคนซื่อสัตย์เค้าไม่กล้าคิด ไม่กล้าทำ ไม่กล้าพูดในสิ่งที่ไม่ดีนะ แต่คนที่มีปัญญานั้นนะ ถ้าไม่มีความซื่อสัตย์นั้นแหละคือผู้ที่ทำลายชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์นะ คุณธรรมมันต้องนำหน้าทางวัตถุ พระเณรที่พากันคอร์รัปชั่นทั้งหลาย ต้องพากันปรับปรุงแก้ไขตัวเองนะ ต้องสมาทานเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ได้ ถ้าไม่สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง ก็เท่ากับว่าไม่ได้สร้างประโยชน์ตน ไม่ได้สร้างประโยชน์ผู้อื่น เป็นผู้ตั้งอยู่ในความประมาท ตั้งอยู่ในความหลง ความเพลิดเพลิน อินทรีย์บารมีจะแข็งแรงแก่กล้าได้อย่างไร ความอดทน ความรับผิดชอบมีน้อยมากนะ
ผู้ประพฤติหรือผู้ปฏิบัติของเราทุกวันนี้นั้นศรัทธามันน้อย พอปฏิบัติได้ ปี สองปี เดือน สองเดือน ก็อยากจะได้อยากไปไวๆ ไม่รู้จักนึกบ้างเลยว่าพระพุทธเจ้าของเรานั้นท่านทรงสร้างบารมีของท่านมานานแสนนานเพียงใด แล้วท่านยังต้องมาต่อสู้ในพระชาติสุดท้ายอยู่อีกถึง ๖ ปี ฉะนั้น ท่านจึงทรงตั้งนิสัยพระนวกะว่า จะต้องอยู่ฝึกอบรมกับพระอุปัชฌาย์อย่างน้อย ๕ พรรษา
ผู้ศึกษาเล่าเรียน ผู้ปฏิบัติที่มีปัญญาตรวจค้น มีศรัทธาจริงๆ ผู้บากบั่นพยายามตลอด ๕ พรรษา นี่ก็เรียกว่าใช้ได้ แต่ให้ปฏิบัติจริงๆนะ ไม่ใช่ว่าอยู่เฉยๆ ถ้าเราพยายามทำจริงๆได้ ๕ พรรษาแล้ว จะได้รู้ว่าคุณค่าของพระพุทธโอวาทที่สมเด็จพระบรมศาสดาท่านบัญญัติไว้นั้นมันเป็นเช่นไร จะได้รู้จัก ๕ พรรษาคือคนใช้ได้ จิตใจก็ใช้ได้ อะไรก็พอเป็นพอไปแล้วแน่นอน ฉะนั้น อย่างน้อยที่สุดก็ต้องเป็นพระอริยบุคคลขั้นแรก แต่ทว่าต้องไม่ใช่ ๕ พรรษาแต่อายุเท่านั้น ต้องเป็น๕ พรรษาในจิตด้วย
ผู้ปฏิบัติเข้าถึงจิตใจเช่นนี้ จะมีความกลัว ความละอายทั้งต่อหน้าและลับหลัง ทั้งในที่มืดและที่แจ้ง เพราะเข้าถึงพระพุทธเจ้า แล้วอาศัยพระธรรม อาศัยพระสงฆ์ แล้วมีพระพุทธ มีพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง มีพระธรรมเป็นที่พึ่ง มีพระสงฆ์เป็นที่พึ่งแล้ว ถ้าพึ่งพระพุทธเจ้าจริงๆ ก็ต้องเห็นพระพุทธเจ้า ต้องเห็นพระธรรม ต้องเห็นพระสงฆ์ ถ้าเราขอพึ่งท่านขอพึ่งพระพุทธ พึ่งพระธรรม พึ่งพระสงฆ์ แล้วเรายังไม่เห็นท่านนั้นจะเป็นประโยชน์อะไร ถ้าเราขอพึ่งท่านก็ต้องรู้จักท่าน จะรู้จักแต่กายเท่านั้น ยังไม่พอ ต้องรู้จักด้วยใจจึงจะใช้ได้
ถ้าเข้าใจถึงแล้วจึงจะได้รู้ว่า พระพุทธเจ้าเป็นอย่างนี้อย่างนี้ พระธรรมเป็นอย่างนี้อย่างนี้ พระสงฆ์เป็นอย่างนี้อย่างนี้ พระพุทธเจ้าเป็นรูปลักษณะอาการอย่างนั้นอย่างนั้น พระธรรมก็เช่นเดียวกัน จึงจะได้เป็นที่พึ่งของเรา เพราะสิ่งเหล่านี้เกิดอยู่ที่จิตของเรา จะไปอยู่ที่ไหนก็ตามมีพระพุทธ มีพระธรรม มีพระสงฆ์อยู่เรื่อยไปในจิตผู้นั้น ฉะนั้น ผู้นี้จึงไม่กล้ากระทำบาป
พระภิกษุสามเณรผู้ปฏิบัติธรรมไม่ได้ต่อสู้กับใครนะ ต่อสู้กับตัวเองนี่แหละ เราอย่าขาดทำวัตร สวดมนต์ นั่งสมาธิ ทำข้อวัตรกิจวัตร วัดนี้คือสถานที่ฝึกพระให้เป็นพระที่ดีนะ ฝึกเณรให้เป็นเณรที่ดีนะ ฝึกอุบาสกอุบาสิกาผู้ที่มาอยู่วัดเป็นคนดี อย่างนี้นะ ที่มีขาดตกบกพร่องผ่านมาแล้วก็แล้วไปนะ ต้องเอาใหม่ ต้องพากันยกเครื่องใหม่
อุบาสกอุบาสิกาที่พากันมาอยู่วัด ถ้ามีความบกพร่อง ย่อหย่อนอ่อนแอ ยังใช้ไม่ได้ ยังไม่ได้มาตรฐาน ต้องให้พากันปรับปรุงแก้ไขตัวเองให้ดีกว่านี้ รักษาศีล ข้อวัตรกิจวัตรให้ดีกว่านี้ มาอยู่วัดลอยๆ เป็นกาฝาก อย่างนี้ไม่ได้นะ ต้องมีความสุขใจสบายใจในการรักษาศีล ในการทำงาน ผู้ที่ทำครัวก็ถือว่าดี ทำเพื่อพระศาสนา ทำเพื่อส่วนรวม ผู้ที่อยู่ลอยๆ นี้ก็ต้องปรับปรุงตัวเอง อย่าลอยหน้าลอยตา ออกนอกวัดเป็นปฏิปทานะ ให้แก้ไขปรับปรุงพัฒนาจิตใจของตัวเองให้มากๆ นะ
เราพากันเห็นพระเทวทูต พ่อเราก็แก่ แม่เราก็แก่ บางคนก็พ่อเราก็ตาย แม่เราก็ตาย พวกนี้มีแต่เกิดมา แก่ เจ็บ ตายทั้งนั้น เราจะมาเอาแก่ เจ็บ ตาย เหมือนเขา มันก็ไม่ดีไม่ถูกต้อง ประชาชนนะเราก็เป็นคนรวย เราก็เป็นคนมีฐานะ เราจะมาหลง มาเพลิดเพลิน ก็ไม่ได้ ทุกคนก็ต้องภาวนา วิปัสสนา ต้องมีความสุขในการเดินทางตามพระพุทธเจ้า ด้วยการเสียสละ เรามาหลงในเงิน หลงในสตางค์ ในบ้าน ในรถ ลาภ ยศ สรรเสริญ มันไม่ได้ เราจะพากันมารวยอย่างโง่ๆ ยิ้มแย้มแจ่มใสอยู่ไม่ได้ สิ่งที่มันจะมาถึงเราก็คือ ความแก่ ความเจ็บ ความตาย นี่มัน100%
ทุกๆ คนต้องวางแผนชีวิตไว้ เพราะทุกคนก็ต้องไปหาจุดนั้นอยู่แล้ว ถึงจะเป็นมหาเศรษฐีก็ต้องจากโลกนี้ไป ถ้าคนเรายังมีความเห็นผิด เข้าใจผิด ปฏิบัติผิด ชื่อว่าแก้ปัญหายังไม่ได้ ดับทุกข์ยังไม่ได้ อย่าพากันยิ้มกระย่องกระแย่ง มีเงินมีสตางค์ ร้อยล้าน พันล้าน หมื่นล้าน ถือว่ายังไม่ปลอดภัย เมื่อท่านยังไม่ตกสู่กระแสแห่งพระนิพพาน เราต้องรู้จัก อย่าเพลิดเพลินอยู่แค่ สวรรค์ แค่ความรวย เพราะว่าพระส่วนใหญ่สอน เป็นพระสามัญชน ก็สอนแต่เรื่องให้ทาน เรื่องมั่งมีศรีสุข มีกินมีใช้ เดี๋ยวท่านจะคางเหลืองนะ เพราะพระพุทธะเจ้านะ สอนแต่เรื่องทุกข์ เรื่องเหตุเกิดทุกข์ ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ ให้เข้าสู่มรรคผลนิพพานกันเพื่อความปลอดภัย
มนุษย์เราจะประเสริฐได้ก็ด้วยการฝึกตน มีความสุขในการประพฤติปฏิบัติธรรม ปฏิบัติธรรมก็คือ มีความสุขในการทำงาน การทำงานกับการปฏิบัติธรรมก็คืออันหนึ่งอันเดียวกัน
พระพุทธเจ้าตรัสว่า ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตนคน อื่นใครเล่าจะเป็นที่พึ่งได้ เมื่อมีตนที่ฝึกฝนดีแล้ว ย่อมได้ที่พึ่งที่ได้โดยยากคือพระนิพพาน พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้ามีชัดเจนอยู่แล้ว เราเอาพระธรรมคำสอนนั่นแหละมาประพฤติปฏิบัติ เน้นลงที่ปัจจุบัน สิ่งภายนอกให้ทุกคนตัดออกให้หมด ทิ้งอดีตอนาคต สิ่งแวดล้อมต่างๆ เราก็ตัดออกไปให้เป็นศูนย์ มาโฟกัสที่ปัจจุบันขณะ เพื่อให้เป็นธรรมะล้วนๆ ปราศจากตัวตน จึงต้องทำอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้ กายจึงจะวิเวกได้ จิตจึงจะวิเวกได้ สงบระงับสังขารการปรุงแต่งทั้งหลายจึงจะเป็นอุปธิวิเวกได้ในที่สุด
แจกปัญญา แจกศาสนา แจกธรรมวินัย แจกสิ่งที่ถูกต้อง
เพื่อเดินตามรอยพระพุทธเจ้าร้อยเปอร์เซ็นต์
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
โดยทุกท่านสามารถติดตามเพิ่มเติมได้ที่
https://linktr.ee/watsubthawee
Share wisdom, spread Buddhism and its discipline.
Advocate righteousness to follow Lord of Buddha's footsteps 100%
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
You can receive new Dharma updates.
https://linktr.ee/watsubthawee