แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ในวันพฤหัสบดีที่ ๒๒ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๖
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง คุณของพระพุทธเจ้า ตอนที่ ๑๙ ทำบุญให้เป็นกุศลคือความฉลาด จะได้ไม่เป็นโรคจิตโรคประสาท เพราะความบ้าบุญ เมาบุญ
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
แจกปัญญา แจกศาสนา แจกธรรมวินัย แจกสิ่งที่ถูกต้อง
หมู่มวลมนุษย์คือผู้ที่ประเสริฐ หมู่มวลมนุษย์ต้องมีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง การเรียนการศึกษานี้เป็นสิ่งที่สำคัญ เพราะเราต้องรู้ เราต้องเข้าใจ ในการดำรงชีพ เพื่อเราจะได้สร้างเหตุ สร้างปัจจัย ไปตามหลักเหตุผล ตามหลักวิทยาศาสตร์ เพื่อที่จะหยุดสายมู หยุดไสยศาสตร์ การเรียนการศึกษานี้แหละ เราต้องเรียน เรียนตั้งแต่น้อยๆ ไปจนถึงหมดลมหายใจ การเรียนการศึกษาของเรา เพื่อเราจะมาพัฒนาสายกลาง คือพัฒนาตามหลักเหตุผล ตามหลักวิทยาศาสตร์ เพราะสิ่งเหล่านี้มี สิ่งต่อไปถึงมี พร้อมทั้งพัฒนาจิตใจไปพร้อมๆ กัน หมู่มวลมนุษย์ ส่วนใหญ่ 7-8 พันล้านคน การเรียนการศึกษาที่ถือว่ายังผิดอยู่ เพราะพัฒนาตั้งแต่เทคโนโลยี พัฒนาวิทยาศาสตร์เพื่อตัว เพื่อตน ไม่ได้เพื่อความสงบ เพื่อความร่มเย็น
มนุษย์เป็นสัตว์ประเสริฐด้วยการฝึกด้วยการศึกษา ถ้าไม่ฝึกไม่ศึกษาหาประเสริฐไม่ มนุษย์ที่ไม่มีการฝึกเป็นสัตว์ที่แย่ที่สุดยิ่งกว่าสัตว์ใดๆ
การฝึกศึกษา เป็นหน้าที่ของมนุษย์ คือฝึกอบรมตนให้เจริญในไตรสิกขาศีล สมาธิ ปัญญา ก็จะทำให้บรรลุจุดหมายของชีวิตที่ประเสริฐที่ควรได้ควรถึง
สิกขา แปลเป็นภาษาไทยว่า ศึกษา ที่จริงศึกษาเองก็เป็นคำที่มาจากภาษาสันสกฤตว่า ศิกฺษา สามคำนี้ความหมายเดียวกันคือ สิกฺขา เป็นบาลี ศิกฺษา เป็นสันสกฤต แล้วก็ศึกษา เป็นคำไทยที่แผลงจากสันสกฤตมา อันแปลความหมายว่า การเรียนรู้ ที่จะทำให้เห็นเอง
พระพุทธศาสนาถือหลัก “สิกขา” ตามธรรมชาติของมนุษย์เรานี่เอง มนุษย์เรานี้ เป็นสัตว์ที่ต้องฝึก และก็ฝึกได้ด้วย คือชีวิตของมนุษย์ที่เป็นอยู่นี้เป็นชีวิตที่ได้มาด้วยการเรียนรู้ และฝึกหัดพัฒนา ไม่ใช่เป็นอยู่เพียงด้วยสัญชาติญาณ ต่างจากสัตว์ทั้งหลายอื่น ซึ่งโดยส่วนใหญ่จะอยู่ด้วยสัญชาติญาณเท่านั้น มันมีการเรียนรู้เพียงนิดหน่อย เกิดมาไม่นานเท่าไร ก็หากินเป็นอยู่เองได้ แต่มันก็อยู่แค่สัญชาตญาณไปจนตาย ฝึกหัดได้น้อย
ส่วนมนุษย์นั้นสัญชาตญาณไม่พอ เราอาศัยสัญชาตญาณได้น้อยอย่างยิ่ง ความรู้ที่เราจะใช้ในการเป็นอยู่หรือดำเนินชีวิตนั้น ต้องเรียนรู้เอา ต้องฝึกต้องหัดเอา เพราะฉะนั้น มนุษย์จึงต้องอาศัยผู้อื่น เช่น พ่อ แม่เลี้ยงดู เป็นเวลายาวนาน เกิดมาแล้วอยู่เป็นเดือนเป็นปี แม้แต่สิบปีก็ยังอยู่ด้วยตนเองไม่รอด ต้องอาศัยพ่อแม่คอยอุ้มชูเลี้ยงดูด้วยประการต่างๆ จึงจะสามารถอยู่รอดได้ ในระหว่างที่พ่อแม่และผู้อื่นเลี้ยงดูอยู่นั้น ตนเองก็ต้องเรียนรู้ทุกอย่าง ฝึกหัดทุกอย่าง โดยที่พ่อแม่เป็นต้นนั้น คอยแนะนำหรือถ่ายทอดความรู้ให้ แม่แต่จะรับประทานอาหาร แม้แต่ขับถ่าย แม้แต่นั่ง-นอน-ยืน ก็ต้องเรียนรู้ ต้องฝึกต้องหัดพัฒนาขึ้น
ต่อมาก็หัดพูด หัดเดิน แล้งจึงสามารถดำเนินชีวิตอยู่ได้ รวมความว่า การดำเนินชีวิตของมนุษย์นั้น ไม่ได้มาเปล่า ๆ ต้องเรียนรู้ฝึกหัดพัฒนาคือสิกขา
จึงพูดสั้นๆ ว่า ชีวิตที่จะเป็นอยู่ดีนั้น ได้มาด้วยสิกขา คือ การศึกษาฝึกหัดเรียนรู้ ถ้าเราไม่หยุดการศึกษา เราก็จะทำชีวิตให้ดีงามประเสริฐยิ่งขึ้นได้ไม่มีที่สิ้นสุด เพราะฉะนั้น มนุษย์ซึ่งเป็นสัตว์ที่ต้องฝึกนี้ จึงมีแง่ดีที่ว่าเป็นสัตว์ที่ฝึกได้ด้วย ส่วนสัตว์ชนิดอื่นนั้น เขาอาศัยสัญชาตญาณอยู่ได้จริง แต่เขาก็ฝึกให้มากกว่านั้นไม่ได้ เขาฝึกได้เพียงเล็กน้อย หรือให้มนุษย์ฝึกให้ แล้วมนุษย์ก็เอามาใช้งาน หรือเอามาเล่นละครสัตว์ แต่เสร็จแล้วเขาก็อยู่ด้วยสัญชาตญาณต่อไป เกิดมาอย่างไรก็ตายไปอย่างนั้น
ไม่เหมือนมนุษย์ที่เป็นสัตว์ฝึกได้ พอฝึกแล้วก็เป็นอย่างที่ฝึกได้ทุกอย่าง คิดได้ พูดได้ ทำได้ มากมายสุดพรรณนา ในทางวัตถุภายนอก มนุษย์ก็ฝึกศึกษาเรียนรู้จนกระทั่งสามารถสร้างสรรค์โลกให้เจริญก้าวหน้ามีเทคโนโลยีต่างๆ อย่างที่มองเห็นกันนี้ ทำให้โลกเจริญด้วยวัฒนธรรม มีอารยธรรม
ในทางจิตใจก็เช่นเดียวกัน มีจิตใจที่ดีงาม สูงส่งประเสริฐ จนกระทั่งเป็นพระพุทธเจ้าผู้มีพระทัยสะอาดบริสุทธิ์ ประกอบด้วยพระมหากรุณา แต่ที่สำคัญที่สุด เป็นความประเสริฐเลิศล้ำของมนุษย์ ก็คือ ในทางปัญญา ที่พัฒนาจนตรัสรู้ เข้าถึงความจริงของธรรมชาติ มองเห็นสัจธรรมแท้จริง
ฉะนั้น มนุษย์จึงเป็นสัตว์ประเสริฐ คือประเสริฐด้วยการฝึก ด้วยการศึกษา ด้วยการเรียนรู้สิ่ง ต่างๆ ถ้ามนุษย์ตั้งใจปฏิบัติตามธรรมชาติของตนที่เป็นสัตว์ผู้ฝึกได้ ก็จะเป็นผู้ที่ประเสริฐอย่างยิ่ง
ตอนแรกเมื่อเกิดมาใหม่ๆ ยังไม่ได้ฝึก มนุษย์สู้สัตว์เดรัจฉานทั้งหลายไม่ได้ แต่พอได้ฝึกก็จะเก่งขึ้นดีขึ้นจนกระทั่งในที่สุดจะประเสริฐ แม้แต่ยิ่งกว่าเทวดา หรือยิ่งกว่าพระพรหม ตอนแรกมนุษย์ไปกราบไหว้เทวดา บูชาพระพรหมกัน แต่ถ้ามนุษย์ฝึกตนเองพัฒนาตนให้ดีแล้ว เทวดาและพรหมกลับมากราบไหว้มนุษย์
ทุกคนจึงควรระลึกไว้เสมอ ตามหลักพระพุทธศาสนาที่ถือว่า ความประเสริฐของมนุษย์อยู่ที่การเรียนรู้ฝึกหัดพัฒนาตนเองที่เรียกว่า สิกขานี้ ถ้าเราไม่หยุด ก็จะสิกขาได้จนกระทั่งเป็นพระพุทธเจ้า เพราะพระพุทธเจ้าก่อนโน้นก็เป็นมนุษย์สามัญ แต่ด้วยสิกขาคือการศึกษาเรียนรู้ฝึกฝนพัฒนาตนนี้จึงได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า
การที่เราร่ำเรียน เพื่อร่ำรวย ไม่ได้ผิดอะไร แต่เราควรร่ำเรียน เพื่อร่ำรวย ด้วยการมีศีลธรรม กำกับด้วย เพื่อให้เราอยู่ร่วมกันได้อย่าง สุข สงบ และสันติ
ที่โลกเรายังคงวุ่นวาย ไม่ใช่เพราะเราขาดแคลน คนเรียนเก่ง คนมีความรู้ โลกเรามีคนแบบนั้นมากมาย คนที่เราขาดแคลนคือ... เราขาดคนที่ใช้คุณธรรมนำความรู้ต่างหาก จะไปเรียนเรื่องต่างๆ ได้ปริญญา มาไม่รู้กี่สิบปริญญาแต่ไม่มีเรื่องดับทุกข์เลย ในทางธรรมะไม่เรียกว่าวิชชา, ต่อเมื่อมันมีส่วนแห่งการดับทุกข์ได้ จึงจะเรียกว่าวิชชา
ถ้ามีความรู้ทางโลกอย่างเดียว ไม่ว่าตนเองจะเป็นคนฉลาดเพียงใดก็มีโอกาสพลาดพลั้งได้ เช่น มีความรู้เรื่องปรมาณู อาจนำไปใช้ในทางสันติเป็นแหล่งพลังงาน หรือนำไปสร้างเป็นระเบิดทำลายล้างชีวิตมนุษย์ก็ได้ เราจึงต้องศึกษาความรู้ทางธรรมไว้คอยกำกับความรู้ทางโลกด้วย ความรู้ทางธรรมจะเป็น เสมือนดวงประทีปส่องให้เห็นว่า สิ่งที่กระทำนั้นถูกหรือผิด ควรหรือไม่ควร
ผู้ที่คิดแต่จะตักตวงความรู้ทางโลก แม้จะฉลาดร่ำรวย มีอำนาจสักปานใดก็ไม่น่ารัก ไม่น่าเคารพ ไม่น่ายำเกรง ไม่น่านับถือ ยังเป็นบุคคลประเภท เอาตัวไม่รอด “ความรู้ที่เกิดแก่คนพาล ย่อมนำความฉิบหายมาให้ เพราะเขาจะนำความรู้ไปใช้ในทางที่ผิดๆ”
เราทุกคนจึงควรจะแสวงหาโอกาสศึกษาทั้งทางโลกและทางธรรม และ รู้ให้ลึกซึ้งเกินกว่าการงานที่ตนรับผิดชอบ ความรู้ที่เกินมานี้ จะเป็นเสมือนดวงประทีปส่องให้ทางเบื้องหน้านำไปสู่ความสำเร็จได้โดยง่าย
ไม่มีแสงสว่างใดเสมอด้วยปัญญา (นตฺถิ ปญฺญาสมา อาภา) แสงอาทิตย์สว่างในกลางวัน แสงจันทร์สว่างในกลางคืน บางคืนก็ไม่สว่าง เช่นคืนข้างแรม แสงตะเกียง แสงไฟฟ้า เป็นต้น ล้วนแต่ไปจากปัญญาของมนุษย์ทั้งนั้น สัตว์โลกชนิดอื่นไม่มีปัญญาที่จะทำแสงสว่างให้เกิดขึ้นได้ คงอยู่ไปตามธรรมชาติ อาศัยแต่เฉพาะแสงอาทิตย์และแสงจันทร์เท่านั้น
อาศัยแสงสว่างคือปัญญา ทำให้มนุษย์สามารถสร้างสรรค์สิ่งต่างๆ ได้มากมาย ที่อำนวยความสุขความสะดวกสบายให้แก่หมู่มนุษย์ เช่น ที่อยู่อาศัย เครื่องอำนวยความสะดวกต่างๆ มากมาย เหลือที่จะพรรณนาได้ ซึ่งสัตว์เหล่าอื่นไม่มี เคยอยู่กันมาอย่างไรเมื่อแสนปีล้านปีก่อน ก็คงอยู่กันไปอย่างนั้น ทั้งนี้เพราะไม่มีแสงสว่างคือปัญญา
แต่ปัญญาของมนุษย์ ก็ได้สร้างเครื่องมือสำหรับทำลายมนุษย์ด้วยกันเอง และสัตว์อื่น มากมายเหมือนกัน เช่น อาวุธชนิดต่างๆ ตลอดถึงอาวุธสงคราม ระเบิดปรมาณูและขีปนาวุธเป็นต้น
เมื่อสงครามโลกครั้งที่ ๒ สิ้นสุดลงปี พ.ศ. ๒๔๘๘ เมืองฮิโรชิมาและนางาซากิของญี่ปุ่นได้พังพินาศไปแล้ว ด้วยฤทธิ์ระเบิดปรมาณูของทหารอเมริกัน มีผู้ถามอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์นักวิทยาศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่ว่า สงครามโลกครั้งที่ ๓ มนุษย์จะรบกันด้วยอะไร ไอน์สไตน์ตอบว่าไม่รู้ แต่สงครามโลกครั้งที่ ๔ มนุษย์จะต้องใช้ก้อนหินปากัน นั่นหมายความว่า สงครามโลกครั้งที่ ๓ มนุษย์จะใช้อาวุธที่ร้ายแรงถึงขนาดล้างโลกทีเดียว มนุษย์ต้องถอยหลังไปสมัยหินอีก จะจริงหรือไม่ใครจะเป็นคนคอยดู แสดงให้เห็นอีกอย่างหนึ่งว่า ปัญญาของมนุษย์นี้สร้างสรรค์ก็ได้ทำลายก็ได้ สุดแล้วแต่ว่าได้รับการควบคุมด้วยศีลธรรม หรือมโนธรรมเพียงไร ที่สำคัญมากอย่างหนึ่งก็คือ ความทุกข์ในใจของมนุษย์นั้น จะเอาชนะได้ด้วยปัญญา บุคคลจะบริสุทธิ์ได้ด้วยปัญญา
ทุกๆ ท่านทุกคนต้องพากันเข้าใจ เพราะความเป็นมนุษย์มันอยู่ที่สัมมาทิฏฐิ ความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง เอาธรรมเป็นหลัก เอาธรรมเป็นใหญ่ ถ้าไม่อย่างนั้นเราก็จะเป็นได้แต่เพียงคน การเรียนการศึกษาเพื่อตัวเพื่อตน เพื่อพ่อเพื่อแม่ เพื่อพรรค เพื่อพวก มันคือการทำลายโลก ประเทศไทยเรา หรือว่าทุกประเทศเรียนศึกษา เพื่อจะเอา เพื่อจะมี เพื่อจะเป็น อย่างนี้มันไม่ได้ เพราะว่ามันเอาแต่ทางกาย เอาแต่ทางวัตถุ ทางอัตตาตัวตน มันต้องพัฒนาใจไปด้วย เพราะชีวิตของหมู่มวลมนุษย์มันจะอยู่ได้ก็ไม่เกิน 120 ปี สมัยหลาย 10 ปีก่อน พวกหมู่มวลมนุษย์อายุ 50-60 ปี มันก็เริ่มแก่ เดี๋ยวนี้การแพทย์ การพยาบาล การโภชนาการ ทำให้มองเห็นคนอายุ 90-100 ปีมากขึ้น เราต้องเข้าใจว่า ความสุขความดับทุกข์มันต้องมีอยู่กับหมู่มวลมนุษย์ทุกๆ คน เพราะการเรียน การศึกษามันดีมันถูกต้อง แต่เราต้องเรียนศึกษาเพื่อตัวเองเข้าใจ จะได้ประพฤติ ปฏิบัติ จะได้ไฟต์ติ้งกับตัวเอง และจะเป็นตัวอย่างแบบอย่าง กับผู้ที่ไม่มีโอกาสเรียนศึกษา ผู้ที่แก่เฒ่าชรา หรือว่าพวกพิกลพิการ
เราต้องเข้าใจ เพราะแม้แต่การศาสนานี้ที่เราไสยศาสตร์นำหน้า พวกขายเหรียญ หล่อรูปพระพุทธเจ้า เราก็ต้องรู้ว่า พระพุทธเจ้าท่านขลัง ท่านศักดิ์สิทธิ์ ครูบาอาจารย์ที่ท่านเป็นพระอริยเจ้าท่านขลัง ท่านศักดิ์สิทธิ์ เราต้องเอาปัจจัยในการสร้างเสนาสนะ ในการเรียนการศึกษา เพื่อเอามาพัฒนาจิตใจ เพื่อให้จากแบรนด์เนมเข้าสู่ภาคปฏิบัติ เรียกว่าศีก สมาธิ ปัญญา คนเราการเรียนการศึกษา มันจำเป็น แล้วก็อยู่ในปัจจุบัน มันต้องติดต่อ ต่อเนื่องกัน ในปัจจุบัน พวกพระวัดบ้าน มันก็ต้องเอาธรรมะ ธรรมโม มาใช้มาปฏิบัติ เพราะว่ามันดีแล้วเรามีรถ มีเครื่องบิน มีคอมพิวเตอร์ แต่เราต้องเข้าสู่ภาคประพฤติ ภาคปฏิบัติ การเรียนการศึกษามันถึงจะสมบูรณ์ ไม่ใช่การเรียนการศึกษาเพื่อทำลายโลก มีศาสนามีอะไรเพื่อทำลายโลก มีชาติเพื่อทำลายโลก เราเห็นเค้ารบกันประเทศรัสเซีย ประเทศยูเครน ปัจจุบันมันก็เป็นสิ่งที่น่าเกลียด ไม่สมควร เพราะมันเป็นการแย่งขยะ มันเป็นการศึกษาเพื่อทำลายโลก พวกนั้นมีรถถังมีปืน ต่างคนเค้าก็จะส่งให้กัน มันเป็นการศึกษาเพื่อความโง่ เพื่อมหาโง่
ทุกคนต้องพากันประพฤติปฏิบัติ เน้นปัจจุบัน การบรรลุธรรมเค้าต้องบรรลุในปัจจุบัน ไม่ใช่รอให้ตาย ถ้าอย่างนั้นเราจะไม่ได้เข้าสู่กิจกรรมทางศาสนา ศาสนาพุทธ คริสต์ อิสลาม ทุกอย่างมันก็ต้องพาเข้าสู่ความดับทุกข์ หรือว่าพระนิพพาน มันต้องว่างจากสิ่งที่ทั้งหลายมีอยู่ ไม่ใช่ว่างจากสิ่งที่ไม่มีอยู่ อันนั้นเป็นแค่สมาธิ แค่สมถะ การประพฤติการปฏิบัติในการเรียนการศึกษา ต้องเข้าถึงสัมมาทิฏฐิ สัมมาสมาธิ เข้าถึงกิจกรรม ในปัจจุบัน ทุกๆ คนจะได้ไม่ทำอะไรเพื่อจะเอา จะมี จะเป็น เพื่อพรรคพวก อันนี้มันไม่ใช่ความสมัครสมานสามัคคี
มนุษย์เรายังมีอวิชชา มีความหลง มันดับทุกข์ไม่ได้ แก้ปัญหาไม่ได้ เราเป็นคนโชคดีเราเป็นมนุษย์ เรามีพระศาสนา ทุกคนก็ให้สิทธิพิเศษในผู้ที่มาบรรพชาอุปสมบท บ้านไม่ได้เช่า ข้าวไม่ได้ซื้อ และก็ต้องมากราบ มาไหว้คนพวกนี้ คนพวกนี้ต้องพากันเข้าใจ ไม่ใช่เอาพระศาสนาหาเลี้ยงชีพ มันคือการทำลายประเทศชาติ บ้านเมือง หรือว่าทำลายทรัพยากร เพราะไม่มีตัวอย่างแบบอย่าง มันมีแต่สายมู สายทำให้หลงงงมงาย อันที่จริงไม่ใช่เอามรรคผลได้แต่พระวัดป่า พระกรรมฐานอะไร มันไม่ใช่เอามรรคผลนิพพานได้แต่พวกมาบวช เพราะธรรมะมันเป็นของทุกๆ คน พระเค้านับเอาพระโสดาบัน จนถึงพระอรหันต์ ไม่ได้ว่า นี่มาพูดโก้ๆ ว่าพระเฉยๆ จริงมันเป็นเพียงภิกษุ ให้พระคุณเจ้าทั้งหลาย พระคุณเจ้าก็คือเจ้าอารมณ์ทั้งหลายพากันเข้าใจว่า เรานี้ยังไม่เป็นพระธรรม พระวินัยนะ ยังทำตามใจตัวเอง ทำตามความรู้สึก ทำตามอวิชชา ตามความหลง อันนั้นเป็นการทำลายพระพุทธเจ้า ทำลายพระธรรม ทำลายพระอริยสงฆ์นะ เรานี้ไม่ได้ทำหน้าที่ ประเทศเราจะไม่มีพระศาสนา มันจะมีแต่ไสยศาสตร์ มันจะไม่มีข้าราชการ ตำรวจ พ่อค้า ประชาชน ที่เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์
อันนี้เป็นพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า บางทีพระเหล่านี้ก็ไม่อยากพูดความจริงให้ประชาชนเค้ารู้ เพราะสายมูมันหลอกเค้าไม่ได้ หลอกคนโง่ไม่ได้ ยังมาขอพรกับหลวงพ่อเลย 2-3 ปีนี้ ขายวัตถุมงคลไม่ได้เลย อย่างนี้แหละว่าโชคไม่ดี มันหากินในการหลอกลวง มันไม่ดี ถ้าเราไม่เอามรรคผลนิพพาน มันไม่ได้ ผู้ที่มาบวช ถึงแม้เราจะเป็นคนบ้านนอกบ้านนา ยากจนมาบวชเรียน ก็ต้องตั้งใจดีๆ เอาพระธรรมวินัยเต็มที่ เต็มร้อย อย่าไปหน้าด้านหน้ามึน ไม่ละอายต่อบาป ไม่เกรงกลัวต่อบาป คือมันทำลายชาติ ศาสน์ กษัตริย์ โดยที่เราไม่มีปัญญา ถึงมีปัญญาอยู่ มีปัญญาแต่จะหลอกคนอื่น มีปัญญาทำมาหากิน
พระพุทธเจ้าตรัสสอนในเรื่องนี้ไว้ว่า “ภิกษุทั้งหลาย! เพราะเหตุนั้น ในเรื่องนี้ พวกเธอทั้งหลาย พึงสำเหนียกว่า "เราทั้งหลาย จักไม่เป็น ผู้มักมาก, จักไม่เป็นผู้ร้อนใจเพราะความมักมาก, แต่เป็นผู้รู้จักพอด้วยผ้านุ่งห่ม อาหาร ที่อยู่อาศัย และ หยูกยาแก้ไข้ ตามมีตามได้; จักไม่ตั้งความปรารถนาลามก เพื่อให้ได้รับการคอยเอาอกเอาใจจากคนอื่น และเพื่อให้ได้ลากสักการะและเสียงเยินยอ; จักไม่วิ่งเต้น ขวนขวาย พยายาม เพื่อให้ได้รับการคอย เอาอกเอาใจจากคนอื่น,และเพื่อให้ได้ลากสักการะและเสียงเยินยอ; จักเป็นผู้อดทนต่อหนาว ร้อน หิว ระหาย ต่อสัมผัสแห่งเหลือบ ยุง ลม แดด และสัตว์เสือกคลานทั้งหลาย,ต่อถ้อยคำหยาบคายร้าย แรงต่างๆ, เป็นผู้อดทนต่อเวทนา ที่เกิดในกาย อันเป็นทุกข์ กล้าแข็ง เผ็ดร้อน ขมขื่น ไม่เจริญใจ ถึง ขนาดจะคร่าเอาชีวิตเสียได้" ดังนี้. ภิกษุทั้งหลาย! พวกเธอทั้งหลาย พึงสำเหนียกใจไว้อย่างนี้แล.”
พระพุทธเจ้าตรัสไว้เสมอในเรื่องกาม สมณะใดยังละกามไม่ได้ ผู้นั้นเป็นคนลวงโลก ใครทำบุญกับสมณะเช่นนั้น ย่อมไม่ได้บุญเลย เพราะไม่ใช่เนื้อนาบุญ ฉะนั้นผู้ใดทำบุญเพื่อให้ได้บุญแล้วก็จำเป็นต้องเลือกนะเนื้อนาให้ดีๆเสียก่อน นักบวชใดที่รู้ตัวว่าตนไม่ใช่เนื้อนาบุญก็รีบแก้ไขความบกพร่องเสีย มิฉะนั้นกินอาหารของชาวบ้านชาวเมืองเขาแล้ว จะต้องไปตกนรกเสวยวิบากกรรมมากมาย คนทั่วไปมักได้รับคำสั่งสอนอบรมมาผิดๆว่า ถ้าทำบุญตักบาตรถวายอาหารถวายข้าว แก่ภิกษุแล้วตนจะได้บุญมากตายแล้วจะได้ไปบังเกิดในสวรรค์ชั้นนั้น ผู้ที่หวังสวรรค์หรือความสุขในทางกามารมณ์ชั้นดีเยี่ยมอย่างพวกเทวดา จึงอุตส่าห์อดออมกิน อดออมอยู่ เพื่อเจียดเอาอาหารหรือข้าวของต่างๆของตนนำไปถวายภิกษุ อุตส่าห์ตื่นแต่เช้าทำอาหารอันตนเองไม่กล้าซื้อหรือทำกิน ได้ยินดีซื้อยินดีทำต่อให้ภิกษุ รายได้ของชาวสวนชาวนาไทย หมดไปไม่น้อยกว่า 60% เพื่อบำรุงภิกษุ ซึ่งส่วนมากเวลานี้ก็เป็นประเภทเนื้อนาที่ไม่เกิดบุญ เพราะท่านเหล่านั้นอย่างเต็มไปด้วยความอยากนานาประการ ชอบดูหญิง ฟังดนตรี ชอบดมของหอม ชอบแสวงหาอาหารเครื่องดื่มอันโอชารส ชอบสัมผัสทางกายให้เกิดอารมณ์ ไม่เห็นละกามให้ผิดไปจากฆราวาสเลย แล้วจะถือว่าตัวเองสูงกว่าชาวบ้านไปได้อย่างไร เป็นเนื้อนาบุญได้อย่างไร
ชอบแต่สอนให้คนเมาบุญมาสวรรค์ หลอกให้คนโง่บำรุงตน ให้เงินแก่ตน โดยอ้างว่าจะได้ไปเกิดในสวรรค์ในวิมาน อิ่มเอิบไปด้วยกามารมณ์ การสอนเรื่องสวรรค์ก็คือสอนคนให้ก่อเหตุชนิดที่ทำให้คนนั้นต้องเกิดอีก แก่อีก ตายอีก โศกอีก ร่ำไรรำพันอีก มีความทุกข์ใจคับแค้นใจ ไม่หลุดพ้นจากทุกข์ไปเช่นเดิม เวียนว่ายตายเกิดเช่นเดิม กิเลสตัณหาอุปาทานเช่นเดิม พระพุทธเจ้าชี้แจงเรื่องโทษของสวรรค์เอาไว้มาก แต่ภิกษุไม่กล้าบอกประชาชนเพราะกลัวว่าจะขาดคนปรนเปรอจึงสอนแต่เพียงว่าสวรรค์เป็นของที่มนุษย์ควรได้ในชาติหน้า นี่เป็นการผิดความประสงค์ของพระพุทธเจ้าพระองค์ทรงมุ่งสอนคนมีให้ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งอะไรอะไร สอนคนไม่ให้โลภจึงแนะให้ทำทานเพื่อทำลายความตระหนี่และความเห็นแก่ตัวจัด ไม่ได้มุ่งให้คนเกิดปัญหาเกิดความอยากไปอยู่สวรรค์ ไปเสพกามคุณที่ดีเลิศ เพราะสวรรค์ก็ยังเป็นสภาพที่ไม่หมดความทุกข์ใจ ยังเต็มไปด้วยกิเลส คนที่ตายจากสวรรค์แล้วก็ตกนรกเสียเป็นส่วนมาก พระองค์จึงสอนให้มุ่งแต่พระนิพพาน กล่าวคือหมดความยึดมั่นถือมั่น ซึ่งภิกษุไม่ยอมสอนกัน
บ้าบุญ เมาบุญ นั่นแหละ เป็นมูลเหตุแห่งโรคจิตชนิดหนึ่ง เป็นโรคประสาทชนิดหนึ่ง หรือกลายเป็นโรคจิตไปเลยก็ได้ มีโรคจิตชนิดหนึ่งซึ่งหมอเขาจัดไว้ว่ามีมูลเหตุมาจากพระศาสนา จะหมายถึงพุทธศาสนา หรือศาสนาอื่นก็ได้ทั้งนั้นแหละ แต่ถ้าความวุ่นวายใจ ความไม่พักผ่อนแห่งจิตใจ มันได้เกิดขึ้นเพราะความหลงใหลในศาสนาเป็นต้นเหตุ
แล้วโรคจิตชนิดนั้นก็จัดไว้ว่าเป็นโรคจิตที่มีมูลมาจากพระศาสนา รักษายาก ยิ่งกว่าโรคจิตธรรมดา อาตมาเคยสนทนากับหมอโรคจิต บางคนเขาเอาตำราให้ดูว่า โรคจิตที่เนื่องมาแต่ศาสนานี่รักษายากที่สุดเลย เพราะมันลึกซึ้งเหนียวแน่น ยิ่งกว่าโรคจิตธรรมดา ซึ่งกระทบอารมณ์เพียงบางอย่างบางคราวนี้ อาจจะหายไปได้ แต่ถ้าเป็นโรคจิตมามีมูลมาจากเรื่องทางศาสนา ฝังแน่นลึกอยู่ในสันดาน แล้วรักษายาก นี่แหละจึงเป็นสิ่งที่ต้องเอาใจใส่ แล้วสิ่งที่ต้องศึกษา ต้องใคร่ครวญดูให้ดี ๆ
ทีนี้ ก็จะสรุปความว่า จะเอือมบุญกันเมื่อไร มันก็แล้วแต่บารมีที่สร้างสมมาดีหรือไม่ ถ้าสร้างสมบารมีมาดี มันก็จะเอือมบุญกันได้เร็วกว่า พูดอย่างนี้อย่าเข้าใจผิด ว่าอาตมาสอนให้เลิกทำบุญ ไม่ได้สอนให้เลิกทำบุญ เพราะบุญที่เป็นชื่อของความสุขที่ควรปรารถนาก็มี แล้วบุญเป็นชื่อของเครื่องชำระบาป ล้างบาปให้หมดไปก็มี คนทำบุญอย่างนี้ไปได้ แต่ขอให้มันถูกต้องอย่างนี้ อย่าให้กลายเป็นบุญที่เป็นที่ตั้งแห่งความบ้าบุญ เมาบุญ จนกระทั่งเป็นโรคจิตไปเสีย
ทำไมจึงต้องหยิบปัญหานี้ ขึ้นมาพิจารณาเพราะว่าเรื่องบุญนี้ มันมีด้วยกันทุกชาติ ทุกศาสนา ในบรรดาหมู่มนุษย์ในโลกนี้ ก็มีคำพูดใช้ตรงกันหมด คือสิ่งที่เรียกว่าดี หรือว่าบุญ แล้วก็ส่วนใหญ่มันก็เนื่องกันอยู่กับศาสนา หรือเป็นคำสอนในทางศาสนา สอนให้รู้เรื่องบุญ ให้ทำบุญ ให้มีบุญ เขาสอนผิด ๆ เขาก็อาจจะเลยไปถึงว่าให้บ้าบุญ
ถ้าเอากันแต่เพียงว่าเป็นเครื่องล้างบาปอย่างนี้ ก็จะไม่เป็นไร เช่นทำบุญให้ทาน เพื่อจะล้างความขี้เหนียวความตระหนี่ ล้างความเห็นแก่ตัว ล้างโทสะ ล้างจิตที่มันเลวร้ายก็ดีแหละ มันเป็นส่วนดี เป็นความดีโดยส่วนเดียว บุญที่เป็นเครื่องชำระกิเลส แต่แล้วส่วนมากในโลกนี้ เกือบจะทุกศาสนา ไม่ค่อยจะได้มีบุญกันในลักษณะล้างบาป แต่มีบุญกันในลักษณะที่เป็นอุปธิ คือของหนักที่ยินดีที่จะแบก จะหาม จะทูน จะหอบ จะหิ้ว ไปกับตัวทีเดียว เป็นเสียอย่างนี้โดยมาก แล้วก็เป็นโรคประสาทหรือเป็นโรคจิตเพราะบุญนั้นเองก็ไม่รู้สึก มันก็ไม่รู้สึก
การเรียนการศึกษาถ้าเราไม่เข้าใจ มันก็ไปสู่ความพินาศ เพราะทุกคนทำได้ ปฏิบัติได้ มันก็เป็นความสุขความดับทุกข์ โลกนี้เค้าต้องว่างจากสิ่งที่มีอยู่ ไม่ใช่ว่างจากสิ่งที่ไม่มี อันนั้นมันเป็นอาการของอวิชชาความหลง จะเอาแต่สิ่งที่ชอบๆ สิ่งที่ไม่ชอบมันก็คืออันเดียวกัน คืออวิชชาคือความหลง มรรคผลนิพพานมันต้องเกิดแก่หมู่มวลมนุษย์ เราทุกคนจะได้รักความถูกต้อง รักความเป็นธรรม ความยุติธรรม เราทุกคนต้องพากันฝึกตัวเอง ปฏิบัติตัวเอง ประเทศเจริญให้มันเจริญทั้งเทคโนโลยี เจริญทั้งธรรมะไปพร้อมๆ กัน เราจะไปแยกทางโลกทางธรรมได้อย่างไร อันนั้นมันเป็นมิจฉาทิฏฐิ เพราะศาสนาก็คือความถูกต้อง ความเป็นธรรม ความยุติธรรม เป็นการศึกษาเพื่อความสงบ ความร่มเย็น เข้าสู่ภาคปฏิบัติ การศึกษามันก็อยู่ที่ปัจจุบัน เรามีตา หู จมูก ลิ้น กายใจ ก็เพื่อฉลาด เมื่อฉลาดแล้วเราก็ยกทุกอย่างสู่พระไตรลักษณ์ สู่อนิจจัง สู่ทุกขัง สู่อนัตตา เป็นสิ่งที่ให้เราทุกคนได้น้อมระลึกนึกถึง โดยการปฏิบัติติดต่อ ต่อเนื่องกัน
คนเราน่ะ คนเก่าๆ นิสัยเก่าๆ อวิชชามันฝังลึกอยู่ในใจ มันเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ที่ทุกคนต้องมาละสักกายทิฏฐิ ละอัตตาตัวตน ละตัวกูของกู ปัจจุบันต้องละอดีตให้เป็นศูนย์ อนาคตก็มาจากปัจจุบันธรรม จึงต้องเอาชีวิตเป็นเดิมพัน ประพฤติปฏิบัติจนตายไปข้างหนึ่ง ตายไปจากตัวตน ตายไปจากตัวกูของกู ตายไปจากความชอบ ไม่ชอบ ตายไปจากกิเลสตัณหาให้ได้ เราต้องกลับมาหาตนเอง มาหยุดตนเอง หยุดการทำบาปทั้งปวง
ถ้าเอาธรรมะเป็นหลัก เอาธรรมะเป็นใหญ่ ปัญหาต่างๆ ก็จะไม่มีเลย ให้มีความสุขในการประพฤติปฏิบัติธรรมอย่างนี้ คนเรา ต้องกลับมาหางานหลักของเรา คืออานาปานสติ หายใจเข้าให้สบาย หายใจออกให้สบาย นี่คืองานหลัก จะทำอะไรก็ทำให้มีความสุข ทำงานก็มีความสุข ปฏิบัติธรรมก็มีความสุขในปัจจุบัน จะไปหาพระนิพพานที่ไหน นี่แหละ คือ พระนิพพานจะเกิดขึ้นในปัจจุบันนี่แหละ
เพื่อเดินตามรอยพระพุทธเจ้าร้อยเปอร์เซ็นต์
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
โดยทุกท่านสามารถติดตามเพิ่มเติมได้ที่
https://linktr.ee/watsubthawee
Share wisdom, spread Buddhism and its discipline.
Advocate righteousness to follow Lord of Buddha's footsteps 100%
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
You can receive new Dharma updates.
https://linktr.ee/watsubthawee