แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ในวันพุธที่ ๒๑ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๖
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง คุณของพระพุทธเจ้า ตอนที่ ๑๘ เข้าถึงศาสนธรรมด้วยการปฏิบัติ อย่าไปติดเพียงแค่รูปแบบศาสนพิธี
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
การปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้าให้พวกเราพากันเข้าใจนะ เพราะการปฏิบัติธรรม คือมีความเห็นถูกต้อง มีความเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง เน้นที่ปัจจุบัน เพราะว่าอดีตมันก็ปฏิบัติไม่ได้อยู่แล้ว อนาคตมันก็ปฏิบัติไม่ได้ เพราะว่ามันยังมาไม่ถึง ปัจจุบันเราต้องเอาธรรมะเป็นหลัก เอาธรรมะเป็นใหญ่ มีฉันทะ มีความพอใจมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ อันนี้เราต้องปฏิบัติให้มันเป็นอริยมรรค เป็นทางสายกลาง พัฒนาเทคโนโลยี และก็พัฒนาใจไปพร้อมๆ กัน ปัจจุบันเราต้องติดต่อต่อเนื่อง ที่พระพุทธเจ้าบอกว่าให้ปฏิบัติธรรมต้องทุกอิริยาบถ หมายถึงอริยมรรคมีองค์ 8 มันจะไม่ได้เฉพาะนั่งสมาธิ เฉพาะเดินจงกรม มันเป็นปัจจุบัน
เราดูตัวอย่างแบบอย่าง ผู้ที่ตกกระแสพระนิพพาน ที่ได้เป็นพระโสดาบัน บางคนก็ตามอัธยาศัย นานถึง 7 ชาติ ผู้ที่ตั้งอกตั้งใจก็ชาติปัจจุบันเลย การปฏิบัติที่ติดต่อต่อเนื่อง เราถึงจะหยุดความฟุ้งซ่าน หยุดความฝันทั้งกลางวัน ทั้งกลางคืน ที่บอกว่าพระพุทธเจ้าท่านไม่ฝัน พระอรหันต์ไม่ฝัน เพราะปัจจุบันสมบูรณ์ สติสัมปชัญญะท่านสมบูรณ์ ต้องติดต่อ ต่อเนื่อง ปัจจุบันนี้เราปล่อยให้เราคิด ปล่อยให้เราตามสัญชาตญาณไม่ได้ เพราะอันนั้นมันคืออวิชชา ความหลง เราต้องปฏิบัติต่อต่อเนื่อง ครูบาอาจารย์ถ้าสังเกตุดู เช่น บอกงานลูกศิษย์ลูกหา เค้ารับปากไป บางทีเสร็จจากหลวงพ่อไป เค้าก็ไม่ได้ไปทำงานที่ฝากฝัง เพราะอันนี้มันเป็นการไม่ติดต่อต่อเนื่องของปัจจุบัน
การปฏิบัติมันต้องติดต่อต่อเนื่อง เพราะพระพุทธเจ้าก็อุปมาให้ฟัง เหมือนบุรุษสีไฟ การสีไฟมันก็จะสีสม่ำเสมอ ไม่เร็วเกิน ไม่ช้าเกิน ต้องเอาที่ปัจจุบันดีๆ ติดต่อต่อเนื่อง หรือว่าเหมือนไก่มันฟักไข่ ปกติไข่มันต้องออกทุกลูก แต่มันอยู่ที่แม่ไก่มันไม่ฉลาด ไม่อดทน มันกกไข่ไม่ดี แต่ละครั้งมันก็เสียหายไปหลายฟอง ปัจจุบันนี้สำคัญ เราจะปล่อยให้ตัวเอง หลงงมงายตามสิ่งแวดล้อม ตามสิ่งที่ถือว่าอวิชชา หรือความหลง หรือว่าไสยศาสตร์ไม่ได้
เปรียบเหมือนไข่ของแม่ไก่ ๘ ฟอง ๑๐ ฟอง หรือ ๑๒ ฟอง แม่ไก่กกไว้โดยชอบ ให้อบอุ่นโดยชอบ ฟักโดยชอบ ถึงแม่ไก่นั้น จะไม่ปรารถนาอย่างนี้ว่า ขอให้ลูกไก่เหล่านี้จงทำลายเปลือกไข่ด้วยปลายเล็บเท้า หรือด้วยจะงอยปาก ออกมาโดยสวัสดีก็ตาม ลูกไก่เหล่านั้นก็ต้องทำลายเปลือกไข่ด้วยปลายเล็บเท้า หรือด้วยจะงอยปาก ออกมาโดยสวัสดีได้
จริงอยู่ เพราะไข่ทั้งหลายอันแม่ไกนั้นเพียรฟักด้วยอาการ ๓ อย่างนี้ ย่อมไม่เน่า ยางเหนียวของไข่เหล่านั้นก็จะถึงความแก่ขึ้น เปลือกไข่ก็จะบาง ปลายเล็บเท้าและจะงอยปากก็จะแข็ง ไข่ทั้งหลายก็จะแก่รอบ แสงสว่างข้างนอกก็จะปรากฏข้างในเพราะเปลือกไข่บาง เพราะฉะนั้น ลูกไก่เหล่านั้นจึงใคร่จะออกด้วยคิดว่า เรางอปีกงอเท้าอยู่ในที่คับแคบ เป็นเวลานานแล้วหนอ และแสงสว่างภายนอกนี้ก็ปรากฏ บัดนี้ พวกเราจักอยู่เป็นสุขในที่มีแสงสว่างนั้นดังนี้ แล้วกะเทาะเปลือกด้วยเท้า ยื่นคอออก แต่นั้นเปลือกก็จะแตกออกเป็นสองส่วน ลำดับต่อมา ลูกไก่ทั้งหลายขยับปีกร้อง ออกมาตามสมควร เมื่อออกมาแล้วก็จะเที่ยวหากินตามที่ต่างๆ
ความไม่เสื่อมแห่งวิปัสสนาญาณเพราะความถึงพร้อมด้วยอนุปัสสนา ๓ อย่างของภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๑๕ เหมือนความที่ไข่ทั้งหลายไม่เน่า เพราะความถึงพร้อมด้วยกิริยา ๓ อย่างของแม่ไก่ฉะนั้น
การถือเอายางเหนียวคือความใคร่อันเป็นไปในภพ ๓ ด้วยความถึงพร้อมด้วยอนุปัสสนา ๓ อย่าง (อนิจจานุปัสสนา คือ พิจารณาเห็นโดยอาการไม่เที่ยง ทุกขานุปัสสนา คือ พิจารณาเห็นโดยอาการเป็นทุกข์ และอนัตตานุปัสสนา คือ พิจารณาเห็นโดยอาการเป็นอนัตตา) ของภิกษุนั้น เหมือนการแก่รอบแห่งยางเหนียวของไข่ทั้งหลายด้วยการกระทำกิริยา ๓ อย่างของแม่ไก่ฉะนั้น
ความที่เปลือกไข่คืออวิชชาของภิกษุเป็นธรรมชาติเบาบาง เหมือนความที่เปลือกไข่เป็นของบางฉะนั้น ความที่วิปัสสนาญาณของภิกษุเป็นธรรมชาติคมแข็ง ผ่องใสและกล้า เหมือนความที่ปลายเล็บเท้าและจะงอยปากของลูกไก่ทั้งหลาย เป็นธรรมชาติกระด้างและแข็ง ฉะนั้น
กาลเปลี่ยนแปลง กาลอันเจริญแล้ว กาลแห่งการถือห้องแห่งวิปัสสนาญาณของภิกษุ เหมือนกาลแปรไปแห่งลูกไก่ทั้งหลายฉะนั้น กาลที่ภิกษุนั้นให้ถือห้องคือวิปัสสนาญาณไป ได้อุตุสัปปายะ โภชนสัปปายะ ปุคคลสัปปายะ หรือธรรมสวนสัปปายะ อันเกิดแต่วิปัสสนาญาณนั้น นั่งบนอาสนะเดียวเจริญวิปัสสนา ทำลายเปลือกไข่คืออวิชชาด้วยอรหัตมรรคที่บรรลุแล้วโดยลำดับ ขยับปีกคืออภิญญาแล้ว บรรลุพระอรหัตโดยสวัสดี เหมือนกาลที่ลูกไก่ทั้งหลายกะเทาะเปลือกไข่ด้วยปลายเล็บเท้า หรือด้วยจะงอยปากแล้ว ขยับปีกทั้งหลายออกมาโดยความสวัสดีฉะนั้น จำเดิมแต่นั้น ลูกไก่เหล่านั้นยังคามเขตให้งาม เที่ยวไปในคามเขตนั้นฉันใด ภิกษุแม้นี้เป็นพระมหาขีณาสพบรรลุผลสมาบัติอันมีนิพพานเป็นอารมณ์แล้ว ยังสังฆารามให้งามอยู่เที่ยวไปฉันนั้น
ปัจจุบันนี้ทุกท่านทุกคนให้ถือว่ามันเป็นหน้าที่ เป็นภาระ เป็นสิ่งที่ทุกคนที่จะต้องเห็นภัยในวัฏฏะสงสาร พากันปฏิบัติติดต่อต่อเนื่อง ในปัจจุบัน เราต้องเอาทุกอย่างสู่พระไตรลักษณ์ให้ได้ สู่อนิจจังคือมันไม่แน่ สู่อนัตตา มันไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน ต้องให้มันเข้าถึงสภาวะธรรม เป็นของใหม่ ของสด เห็นมั้ยพระพุทธเจ้าท่านห่วงเรา ก่อนจะเสด็จดับขันธ์ปรินิพพานว่า ไม่ให้เราหลง ไม่ให้เพลิดเพลิน เพราะชีวิตของเรามันจำกัด มันไม่เกิน120 ปี ก็ต้องจากโลกนี้ไป
ทุกท่านทุกคนเป็นผู้ที่ประเสริฐ ความเป็นพระหรือว่าความเป็นพระศาสนา มันไม่ได้อยู่ที่นักบวช อยู่ที่คฤหัสถ์ อยู่ที่เรามีความเห็นถูกต้อง มีความเข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง ในปัจจุบัน เพราะพวกที่มาบวชมันก็เป็นได้แต่แบรนด์เนม เป็นได้แต่ศาสนพิธี เหมือนข้าราชการทหาร ตำรวจ พ่อค้า ประชาชน มันก็เป็นได้แต่แบร์นเนม เราเป็นผู้ปฏิบัติ ต้องกระชับเข้ามาหาตัวเองนะ เข้ามาหาตัวเรานะ ต้องมีความสุขในปัจจุบัน เพราะอันนี้มันมีความทุกข์ไม่ได้ ถ้ามีความทุกข์ ถ้าเราไม่พอใจมันก็จะเป็นโรคจิตโรคประสาท ทุกท่านทุกคนต้องรู้จักว่าอันนี้เราถูกต้องนะ เราเดินทางถูกแล้ว เราจะไปเอาอะไร ไปเอาอะไรมันก็ไม่ได้อะไร ได้มันก็ได้แต่เพียงภายนอก เพียงร่างกาย จิตใจมันมีแต่เสีย เพราะทุกอย่างมันผ่านมาผ่านไป มันเป็นเกมส์หรือว่าเป็นเทวทูตที่ให้สำหรับผู้มีปัญญาไม่หลงอยู่ ท่านผู้รู้ไม่ติดข้อง
ถือว่าเราทุกท่านทุกคนเป็นผู้ที่โชคดีนะ เราจะเป็นใครอยู่ที่ไหน เป็นคนยาก คนจน มันไม่เกี่ยว เพราะเรายังมีลมหายใจนี้ คือความสุข ความดับทุกข์ ทุกคนทำได้ปฏิบัติได้ ต้องพากันเข้าใจ ชีวิตของเรามันจะได้ดีขึ้น เจริญขึ้น เราอย่าไปคิดว่าปฏิบัติไม่ได้ มันคิดอย่างนั้นมันไม่ถูกต้อง พวกเรายังเป็นมิจฉาทิฏฐิอยู่ พระพุทธเจ้าทำได้ พระอรหันต์ทำได้ ผู้ที่มีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง ต้องจัดการตัวเองให้ดีในปัจจุบัน
ให้ทุกท่านทุกคนมีความสุข เพราะทุกคนอย่าให้ความหลง ความเพลิดเพลิน เอาเราทุกคนพากันเครียดหมดนะ เพราะว่ามันไม่อยากเข้าสู่ทางสายกลาง มันไม่อยากเข้าสู่ศาสนา มันเครียด พระพุทธเจ้าท่านให้เราเคร่งครัด ไม่ใช่ให้เราเคร่งเครียด ก็เห็นหลายองค์พากันเคร่งครัดด้วย แถมหนักไปหน่อยมันเคร่งเครียดกัน มันไปว่าแต่เพื่อน แต่สิ่งแวดล้อมไม่สัปปายะ มันก็จะหนีไปอยู่ไม่เห็นหน้า เห็นตา เห็นอะไร อันนั้นมันว่างจากสิ่งที่ไม่มีอยู่ ไม่ใช่ศาสนาพุทธ
ศาสนาพุทธต้องรู้จักนิมิต ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นิมิตที่มันเป็นอวิชชา เป็นความหลง มันต้องเอาวิปัสสนา ตัวปัญญามาใช้ มาปฏิบัติ เราต้องหนีด้วยสัมมาทิฏฐิ หนีด้วยสติ ด้วยสมาธิ ด้วยปัญญา เราจะได้ว่างจากสิ่งที่มีอยู่ โลกเจริญก็ยิ่งดี คือเราจะได้พัฒนาวิทยาศาสตร์ การเป็นอยู่เราก็จะได้สบาย นั่งรถ เรือ เครื่องบิน มันก็สบายอยู่แล้ว ทำอะไรก็สบาย แต่การพัฒนาใจนี้มันต้องควบคู่กันไป เรียกว่าทางสายกลาง ก็เหมือนเราเห็นนี้แหละ เห็นมั้นพวกอะไรต่างๆ มันไม่เข้าใจ มันทิ้งทางธรรมหมด ทิ้งทางศาสนาหมด มันจะเอาแต่ทางวัตถุ มันยังว่าพวกปฏิบัติธรรม อย่ามายุ่ง พวกข้าพเจ้าทั้งหลายจะพากันบริหารประเทศชาติบ้านเมือง มันไม่ได้ มันต้องทางสายกลาง มันต้องเอาธรรมเป็นหลัก เอาธรรมเป็นใหญ่ ประชาธิปไตยถ้าเป็นมิจฉาทิฏฐิ มันก็ออกกฏหมายมาเพื่ออวิชชา เพื่อความหลง เราเอาตัวตนเป็นใหญ่ เรามีสติมีปัญญา มันก็อัตตาตัวตน มันต้องเอาธรรมะเป็นหลัก เอาธรรมะเป็นใหญ่ ทุกคนอย่าไปทิ้งความถูกต้อง ความเป็นธรรม ความยุติธรรม ไปทิ้งศาสนาไม่ได้ เพราะศาสนามันคือธรรมะ ธรรมะคือศาสนา คือความยุติธรรม ไม่มีตัว ไม่มีตน ไม่มีพรรคพวก มีแต่ความดับทุกข์ที่เราต้องพากันจัดการตัวเองไปเรื่อยๆ อย่างนี้แหละ
เราทุกคนถึงพากันโชคดีนะ เน้นปัจจุบันให้มากขึ้น เห็นความสำคัญถ้าปัจจุบัน เรายังปล่อยให้ตัวเอง รัก ชอบ หลง หรือเพลิดเพลิน เราต้องเอาวิปัสสนามาใช้ว่า ทุกอย่างมันเป็นปรากฏการที่ให้เราได้ปฏิบัติทางจิตทางใจ ให้เราได้ไฟต์ติ้ง ทุกคนต้องพระพุทธเจ้าให้พากันปฏิบัติอย่างนี้ เราดูครั้งพุทธกาลประชาชนเค้าได้บรรลุธรรมมากมายสุดลูกหู ลูกตา คนไม่ได้บรรลุมีแต่พวกเป็นโรคจิตโรคประสาท โรคอะไรต่างๆ พวกที่พูดมาแล้ว พวกที่ทำตามอารมณ์ตัวเอง ทำตามใจตัวเอง ทำตามความรู้สึก พวกที่เอาตัวตนเป็นใหญ่ พวกหัวใจปาราชิก พวกหัวใจที่เอาตัวตนเป็นหลัก เอาอวิชชาความหลงเป็นหลัก เค้าเรียกว่าพวกหัวใจปาราชิก พวกไม่เห็นภัยในวัฏฏะสงสาร พวกไม่ละอายต่อบาป ไม่เกรงกลัวต่อบาป เอาแต่ใจตัวเอง คือพวกที่จะทำลายชาติ ศาสนา พระมหากษัตย์ ทำลายพระอริยสงฆ์อยู่ในใจของเรานะ ให้พากันเข้าใจ
ทุกคนจะทิ้งความถูกต้อง ทิ้งความเป็นธรรมยุติธรรม ทิ้งศาสนามันไม่ได้ เหมือนคนรุ่นใหม่สมัยใหม่เค้าไม่รู้เรื่องศาสนา เลยไม่ได้เป็นศาสนา มันเป็นแต่พวกไสยศาสตร์ พวกหมอดู หมอเดา สะเดาะเคราะห์ พวกไหว้สาระพัดไหว้ ทำอย่างนี้รวย ทำอย่างนี้ไม่รวยอะไร ทำวันนู้นดี วันนี้ไม่ดี อันนี้ไม่ใช่ศาสนา มันคืออวิชชา คือไสยศาสตร์ การเผยแพร่ก็เอาไสยศาสนตร์นำหน้า พากันหล่อพระพุทธเจ้าขาย หล่อเหรีญครูบาอาจารย์ขาย พระพุทธเจ้าขลังจริง ครูบาอาจารย์ขลังจริง แต่พวกเราไม่ขลัง เพราะเราจะเอาเงินกับท่าน เอาลาภสักการะจากท่าน มันไม่ขลังหรอก มันเป็นแต่ผู้ทรงเกียรติ พาดสังฆาฏิเดินไปเดินมาเฉยๆ เข้าใจพิธีภายนอกพร้อมเพียงกันดี กรึบๆๆ ซ้ายหัน ขาวหัน จับพัดอะไรถูกต้อง จับผ้าบังสกุลถูกต้อง อันนั้นมันก็ดี ทำให้หมู่มวลมนุษย์รวมกันเป็นกลุ่มเป็นก้อน แต่อันนี้มันยังไม่ใช่ศาสนานะ เป็นศาสนพิธี พวกนักบวชทั้งหลาย พุทธบริษัททั้งหลาย อย่าพากันหลงศาสนพิธีจนพากันเครียดหมดนะ ไม่ใช่เคร่งครัด จะพากันเคร่งเครียด ศาสนพิธีซ้อมมาดีๆ เลย เลยจะทำอะไรก็เอาแต่พัดเอาแต่ตาลปัตร บวชไม่นานอาจารย์ส่งไป กทม. ได้ ป.ธ.9 ทีนี้แหละก็ได้นั่งหน้าอาจารย์ที่ส่งไปเรียน มันเอาทางตัวตน เอาทางโลกมากเกินไป ก็รู้นะ ว่าเราเคร่งเกินคำสอน เราหย่อนตามอัตตาตัวตนอย่างนี้ไม้ได้นะ เสียหายนะ มันเป็นของปลอมนะ ไม่ใช่ของจริง
เราหล่อรูปพระพุทธเจ้า เราหล่อเหรีญครูบาอาจารย์ที่ท่านปฏิบัติ ปฏิบัติชอบ เป็นความขลัง เป็นความศักดิ์สิทธิ์ ของพระพุทธเจ้า ของครูบาอาจารย์ เราเอาปัจจัยเหล่านี้มาก่อสร้าง มาบำรุงการเรียนการศึกษา ให้ทุกท่านทุกคนให้รู้จักว่าพระศาสนา เป็นศาสนาที่ดับทุกข์หมู่มวลมนุษย์ได้จริงๆ พวกที่เรียน พวกที่ศึกษา มันต้องพากันปฏิบัติ ไม่ใช่ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพระวัดป่า วัดกรรมฐาน เพราะการปฏิบัติธรรม มันเป็นอริยมรรคมีองค์ 8 เพราะสิ่งนี้มี สิ่งต่อไปถึงมี มันน่าจะดี เพราะทุกอย่างมันอำนวยความสะดวกสบาย มันต้องเน้น พากันยกจากที่มันตกลง ให้มันสู่ความมาตรฐาน สู่ธรรมวินัย เราก็ทุกๆ คนต้องเข้าสู่ภาคประพฤติ ภาคปฏิบัติ ถ้าอย่างนั้นประเทศชาติเรามันเป็นแต่ผู้มีปัญญา เป็นนักปรัชญา มันใช้ไม่ได้ มันยังไม่เข้าถึงพระศาสนา ผู้นำนี้สำคัญนะ สมเด็จพระสังฆราชนี้สำคัญ ท่านเจ้าประคุณสมเด็จทุกท่านสำคัญ เจ้าคณะภาคสำคัญ ผู้หลักผู้ใหญ่สำคัญ ตัวที่สำคัญจริงๆ ก็คือตัวของเรานี้แหละ เพราะ เราต้องเอาพระธรรมวินัย เอาพระพุทธเจ้าเป็นหลัก เราเป็นผู้มีบุญมีกุศล พากันได้เรียน ได้ศึกษา ได้รู้พระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า เราต้องเข้าสู่ภาคประพฤติ ภาคปฏิบัติ ประเทศเรามันถึงจะหยุดคอรัปชั่น หยุดโกงกิน
ในหนังสือ นวโกวาท ภาคคิหิปฏิบัติ แสดงสมบัติของอุบาสก ๕ ประการ ไว้ดังนี้ – ๑. ประกอบด้วยศรัทธา ๒. มีศีลบริสุทธิ์ ๓. ไม่ถือมงคลตื่นข่าว คือเชื่อกรรม ไม่เชื่อมงคล ๔. ไม่แสวงหาเขตบุญนอกพุทธศาสนา ๕. บำเพ็ญบุญแต่ในพุทธศาสนา
มีคำถามว่า “มงคลตื่นข่าว” หมายความว่าอย่างไร? “มงคลตื่นข่าว” แปลมาจากคำบาลีว่า “โกตูหลมงฺคลิก” (โก-ตุ-หะ-ละ-มัง-คะ-ลิ-กะ) แยกศัพท์เป็น โกตูหล + มงฺคล + อิก ปัจจัย โกตูหลมงฺคลิก แปลว่า “ผู้ตั้งอยู่ในความแตกตื่นว่า (สิ่งใดสิ่งหนึ่ง) เป็นมงคล”
“มงคลตื่นข่าว” หมายถึง เมื่อมีคำเล่าลือหรือเชื่อถือกันว่าสิ่งนั้นสิ่งนี้ศักดิ์สิทธิ์ หรือบอกกันว่าทำอย่างนั้นอย่างนี้จึงจะพ้นจากเคราะห์ร้าย ก็เชื่อตามหรือทำตามเขาไป เช่นกรณีลือกันว่าคนเกิดปีมะจะมีอันเป็นไป ต้องแก้เคล็ดอย่างนั้นอย่างนี้ หรือกรณีเล่าลือให้บูชาพระราหูด้วยของดำ 9 อย่าง ถ้าไม่ทำจะเกิดอาเพศ อย่างนี้จึงจะเรียกได้ว่า “มงคลตื่นข่าว”
หรือจากตัวอย่างข่าวรถชนกันที่ปากซอยหน้าบ้าน ถ้าตกใจรีบวิ่งออกไปดู นี่คือ “ตื่นข่าว” ไปดูแล้ว ปรากฏว่ามีคนในรถตายหลายคน แต่มีคนหนึ่งรอดตายมาได้ เขาบอกว่าที่รอดตายเพราะแขวนพระขลัง คนฟังแล้วก็เชื่อว่าเป็นความจริง อย่างนี้คือ “มงคลตื่นข่าว”
สรุปว่า : ฟังข่าว ดูข่าว อ่านข่าว แล้วเชื่อตามข่าว เป็นเพียงแค่ “ตื่นข่าว”ต่อเมื่อปักใจเชื่อตามคำเล่าลือ หรือตามความเชื่อถือว่า สิ่งนั้นศักดิ์สิทธิ์ มีสิ่งนี้ไว้แล้วจะเกิดสิริมงคล ทำอย่างนั้นอย่างนี้แล้วจะมีอำนาจลึกลับช่วยบันดาลให้ประสบความสำเร็จ เป็นต้น อย่างนี้จึงจะเรียกว่า “มงคลตื่นข่าว”
อุบาสกธรรม 5 อุบาสกธรรมข้อ 3 บอกไว้ว่า – 3. ไม่ถือมงคลตื่นข่าว เชื่อกรรม ไม่เชื่อมงคล คือ มุ่งหวังผลจากการกระทำและการงาน มิใช่จากโชคลางและสิ่งที่ตื่นกันว่าขลังศักดิ์สิทธิ์
: คนเขลา ฝากอนาคตไว้กับสิ่งศักดิ์สิทธิ์
: บัณฑิต ฝากไว้กับความพากเพียรของตนเอง
เรื่องมงคลเป็นเรื่องที่คนไทยยังเข้าใจผิดอยู่ เช่น เจอพระ ๔ รูป ก็บอกว่าไม่เป็นมงคล นึกในใจว่าวันนี้คงซวยแน่ หรือพระจะไปเยี่ยมบ้านโยม จะต้องมีคนถามก่อนว่า "ท่านจะมากันกี่รูปเจ้าค่ะ" ที่ถามเช่นนั้นเพราะกลัวว่าพระจะมาพร้อมกัน ๔ รูป ตามหลักมงคลทางพุทธศาสนา การได้เจอพระไม่ว่าจะกี่รูปก็ตาม เป็นมงคลแก่ตนเองทั้งนั้น เพราะนานๆ ที เราจะได้สนทนาธรรม ได้ข้อคิดดีๆ จากพระสงฆ์
เรื่องมงคลต่างๆ ก็มีเชื้อสายติดกันมาอยู่จนถึงทุกวันนี้ เป็นต้นว่า เราจะทำการมงคลใดๆ ก็ตาม จะต้องมีใบไม้อย่างนั้นอย่างนี้จึงจะเป็นมงคล เช่นต้องใส่ใบมะตูม เพื่อจะให้ชื่อเสียงโด่งดัง ใส่ใบทอง ใบนาก ใบเงิน ผิวมะกรูด ขมิ้นชัน หญ้าแพรก ใบมะขาม ฝักราชพฤกษ์ เหล่านี้เรียกว่าเบญจมงคล เพราะว่าจะทำให้เจ้าของงานได้เป็นใหญ่เป็นโต
นี่เราก็สังเกตได้ว่ามงคลของนักคิดนั้น ถือวัตถุต่างๆ ว่าเป็นมงคล ถ้าใครมีสิ่งนั้นไว้แล้วเป็นอันว่ามีมงคลที่เดียว เพราะฉะนั้นเวลาจะทำงานมงคลต่างๆ จึงต้องวิ่งหากัน เช่น งานแต่งงานต้องมีหอยสังข์ มีมงคลแฝด เป็นต้น มีไว้เองไม่ได้ ก็ต้องไปขอยืมหรือไม่ก็ต้องเช่าเขามา ทั้งนี้เพราะอยากได้มงคล เรื่องพิธีกรรมนี่ยิ่งหลายคน ยิ่งหลายความคิด ยากที่จะประมวลกันมาหมดสิ้นได้ เพราะเจ้าลัทธิเหล่านี้ถือจากการเดานั่นเอง เมื่อต่างคนต่างเดาก็เดากันไปต่างๆ นานา
มงคลทั้งสองอย่างนี้ การตั้งมงคลของนักคิดนั้น ใช้วิธีถามตัวเอง เอาความต้องการของตัวเองไปตั้งเป็นมงคล และความคิดเหล่านี้เมื่อจะสรุปแล้วจะได้อยู่ ๖ ทาง คือ ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ อย่างไหนต้องการอะไร ชอบอะไร แล้วก็ยกเอาสิ่งนั้นขึ้นมาเป็นมงคล เช่น พวกที่เอาตาเป็นเกณฑ์ ได้แก่ พวกที่ถือขนาดรูปร่าง เช่น ตะพดต้องยาวขนาดนั้น พวกที่ถือสี ก็นิยมใช้สีตามวัน เช่น วันอาทิตย์สีแดง วันจันทร์สีเหลือง เป็นต้น นี่เป็นการถือโดยเอาตาเป็นเกณฑ์ ถือเป็นมงคล
พวกที่เอาหูเป็นเกณฑ์ ได้แก่พวกที่ถือเสียงอย่างพวกพราหมณ์ถือหอยสังข์ และที่ถือว่าใบมะตูมเป็นไม้มงคลเพราะเอาชื่อมันเป็นเกณฑ์ ได้ยินคำว่า "ตูม" ก็รู้สึกว่าเป็นเสียงดัง ฉะนั้นพวกที่อยากจะดังทั้งหลาย เวลาประกอบการมงคลก็เลยเอาใบมะตูมมาร่วมด้วยหรือบางทีก็ใช้ใบเงิน ใบทอง เพราะชื่อของมันกระเดียดไปทางเงินๆ ทองๆ เหล่านี้เอาเสียงหูมาเป็นเกณฑ์ในการตัดสินเรื่องมงคล
เมื่อกล่าวถึงมงคลภายนอกแล้วเช่นนี้ ก็จะมีปัญหาถามว่า ถ้าอย่างนั้น เมื่อวัตถุที่ทำกันในศาสนพิธีนั้น เช่น ใบเงิน ใบทอง ใบนาก ใบทับทิม เหล่านี้จะไม่มีผลทางมงคลเลยหรือ เรื่องนี้ก็ขอตอบว่าตามธรรมดาของคนเราที่อยู่ในสังคมและอยู่ในสิ่งแวดล้อมของขนบประเพณี ฉะนั้นการทำสิ่งใดที่ชอบด้วยขนบประเพณี แล้วเป็นผลดีทางด้านจิตใจแลความสามัคคี แต่สำคัญอยู่ที่ว่าเราไม่ควรที่จะฝากความสำคัญ หรือความเจริญก้าวหน้าไว้กับสิ่งเหล่านั้นซึ่งถึงแม้ว่าเราจะมีของครบตามที่นักคิดทั้งหลายระบุไว้แล้วในพิธีมงคลสมรส ถ้าคู่มงคลสมรสไม่มีมงคลของพระพุทธเจ้าเลย เช่น ไม่ซื่อสัตย์ต่อกัน ไม่เอื้อเฟื้อต่อกัน ชีวิตของคู่สมรสจะไม่ราบรื่นเลย น้ำสังข์จากมงคลของนักคิดนั้น จะเปียกชุ่มเฉพาะที่รดมือเท่านั้น แต่มงคลของพระพุทธเจ้าจะให้ความชุ่มฉ่ำไปตลอดชีวิต อย่างนี้เป็นต้น
บางแห่งก็เชื่อกันว่า ต้องปลูกต้นไม้มงคลไว้ที่บ้าน เช่น ต้นขนุน ต้นมะยม คนจะนิยมชมชอบผู้ใหญ่เกื้อหนุน หรือทำบุญถวายอาหารพระ ต้องถวายทองหยิบทองหยอด ขนมชั้น เม็ดขนุน ชีวิตจะได้เจริญรุ่งเรือง ได้เลื่อนชั้น เลื่อนตำแหน่ง แต่เราเคยทราบหรือไม่ ตอนนี้พระสงฆ์สามเณรกำลังเจ็บป่วยด้วยโรคเบาหวาน ซึ้งเป็นอาหารมงคลของเราทั้งหลาย จึงไม่แน่ใจว่าเราทำบุญหรือทำบาป นี้คือความเข้าใจผิดของสังคมไทย ไม่ต่างจากอินเดียเมื่อ ๒,๕๐๐ กว่าปีที่ผ่านมา
แต่ชีวิตจะเจริญรุ่งเรืองก้าวหน้าได้เพราะการกระทำเพราะความขยันอดทนของเรา เมื่อเราทำดี พูดดี คิดดี ก็เป็นมงคลแก่ตัว ถ้าทำชั่วก็เป็นอัปมงคล ไม่ใช่เพราะต้นไม้หรืออาหารมงคล
สิ่งนั้นเป็นมงคลภายนอก เป็นเพียงจิตวิทยา ยังไม่ใช่ความจริง เป็นมงคลของนักคิด ส่วนมงคลของพระพุทธเจ้า เป็นมงคลของผู้ตรัสรู้
ทุกท่านทุกคนให้พากันจักษุเกิดขึ้นแก่เรา ปัญญาเกิดขึ้นแก่เรา แสงสว่างเกิดขึ้นแก่เรา ให้เราเอามีสติ มีปัญญานะ อย่าไปมืดมึนไปเรื่อยไม่ได้นะ ต้องมีความสุขนะ นี่พูดตามหลักเหตุผล ตามหลักวิทยาศาสตร์ ไม่ได้ว่าให้ใคร เพราะธรรมะของพระพุทธเจ้ามันเป็นสิ่งที่ประเสริฐจริง เรายังไม่งมงาย ตั้งแต่ศาสนพิธีอะไรอย่างนั้นมันไม่ได้ ศาสนพิธีมันรวบรวมเราให้เข้าสู่ภาคประพฤติ ปฏิบัติ เพื่อพัฒนาจากปัญญา เข้าสู่กิจกรรม หรือว่าเข้าสู่ศีล เข้าสู่สมาธิ เค้าเรียกว่าสัมมาสมาธิ ให้เรารู้จัก เพราะความสุขความดับทุกข์ของมนุษย์ถือว่ามันสุดยอดมาก ถ้าเราทำถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง เราจะมีความสุข เราจะรักกัน สมัครสมานสามัคคีกัน เราจะไม่มีสังฆเภท ภายในประเทศ หรือว่าต่างประเทศ ในบ้านในครอบครัวของเรา
เราต้องจับประเด็นให้ได้เพราะว่าศาสนามันช่วยให้เรารวยเราเฮงอย่างฉลาด เพื่อให้เราไม่ไปตกอบายภูมิผิดอบายภูมิ พวกเหล้า เบียร์ การพนัน เจ้าชู้มันก็แก้ไขได้ เราต้องฉลาดกว่าพวกฝรั่ง ฝรั่งเค้าเอาแค่วัตถุ อยู่ดีกินดีกินเหล้ากินเบียร์ มีเพศสัมพันธ์โลกนี้ถึงเป็นโควิด ผลิตอาวุธ ผลิตปืน เพื่อจะจัดการคนอื่นแต่ว่าไม่ได้จัดการตัวเอง พวกที่ตีกันบ่อยมันคุมตัวเองไม่อยู่ มันเกี่ยวกับกามมะทั้งหมด หมานี่นะหมาตัวผู้หรือตัวเมียที่ไปทำหมันมันวิ่งเข้ามานะมันจะไม่กัดเพราะมันไม่มีความต้องการทางเพศมันจะไม่กัด ไม่ว่าจะหมาตัวก็เมียก็จะไม่ถูกกัดหมาตัวผู้ก็ไม่ถูกกัด คนเราหน่ะถ้าทำตามใจตัวเองทำตามอารมณ์มีแต่ใจร้อนขึ้นใจร้อนขึ้น เราทำอะไรก็ต้องรวดเร็วว่องไว ไม่ใช่ทำแบบเบลอๆ มันไม่ใช่นะ มันอยู่ที่เจตนา ต้องทำงานเก่ง วางแผนเก่ง
บางคนรักนู้นรักนี่รักเพื่อน แต่มันต้องรักธรรมะมากกว่าเพื่อน เพราะเพื่อนต้องเป็นตัวอย่างแบบอย่าง คนตั้งใจเปลี่ยนแปลงตัวเองมันเปลี่ยนได้ เพราะว่าขุมทรัพย์มันอยู่ที่เรา ไม่ได้อยู่ที่คนอื่น ไม่ต้องไปโทษคนนู้นคนนี้ คนที่ไปโทษคนอื่นแสดงว่า สติสมาธิปัญญาของเรานี่มันไม่มี มันทะเลาะกันหลายกลุ่มนี่ คนเรานี่มันไปยุ่งอะไรกับคนอื่น มันเสียศักดิ์ศรีหมด
อย่าพากันกลัวความดี กลัวศีล กลัวการรักษาศีล
'ศีล' นั้นคือการสงสารตัวเองและสงสารคนอื่น
คนเราถ้าไม่สงสารตัวเอง ไม่สงสารคนอื่น แล้วชีวิตนี้จะอยู่ด้วยความเครียด ชีวิตนี้จะอยู่ด้วยการให้กิเลสมันเผาตัวเอง ที่ยังไม่ตายก็ถูกเผาน่ะ เป็นผู้ที่ไม่มีความสุข เป็นผู้ที่ไม่รู้จักพอ เป็นผู้ที่ไม่เสียสละแต่ก็อยากมี อยากเป็น เป็นผู้ที่ชอบให้แต่คนอื่นเอาอกเอาใจ ไม่ได้เป็นผู้ให้ไม่ได้เป็นผู้เสียสละ เป็นผู้ที่ปากติดระเบิด มีพิษมีภัย นำความทุกข์ให้ตัวเอง นำความทุกข์ให้คนอื่น เป็นผู้ที่ไม่น่าเคารพนับถือ ตัวเองก็เคารพนับถือตัวเองไม่ได้ คนอื่นก็เคารพนับถือเราไม่ได้ เป็นผู้ที่ตั้งอยู่ในความประมาท
พระพุทธเจ้าให้เราทุกคนน่ะเข้าใจเรื่องธรรมะ... ถ้าใครปฏิบัติ ตามอริยมรรค ท่านผู้นั้นก็จะเข้าถึงความสุข ความดับทุกข์ ไม่ว่าจะเป็นบรรพชิต หรือคฤหัสถ์ หัวใจของเราทุกคนจะเข้าถึงความเป็นพระได้ด้วยกันทุกท่านทุกคน "ถ้าที่ไหนมีการประพฤติปฏิบัติ โลกนี้ก็จะไม่ว่างจากพระอริยเจ้า หรือพระอรหันต์..."
แจกปัญญา แจกศาสนา แจกธรรมวินัย แจกสิ่งที่ถูกต้อง
เพื่อเดินตามรอยพระพุทธเจ้าร้อยเปอร์เซ็นต์
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
โดยทุกท่านสามารถติดตามเพิ่มเติมได้ที่
https://linktr.ee/watsubthawee
Share wisdom, spread Buddhism and its discipline.
Advocate righteousness to follow Lord of Buddha's footsteps 100%
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
You can receive new Dharma updates.
https://linktr.ee/watsubthawee