แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ในวันจันทร์ที่ ๑๒ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๖
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง คุณของพระพุทธเจ้า ตอนที่ ๑๒ พัฒนาจิตให้มีพรหมวิหาร ๔ และให้มีความกตัญญูกตเวทีอยู่เสมอ
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
ความเห็นถูกต้องความเข้าใจถูกต้องการปฏิบัติถูกต้อง เรียกว่าสัมมาทิฏฐิ มนุษย์เราต้องพัฒนาทั้งวิทยาศาสตร์พัฒนาทั้งใจไปพร้อมพร้อมกัน ความมั่นคงอยู่ที่ชาติศาสน์กษัตริย์ ชาติก็หมายถึงที่ทุกท่านทุกคนได้เกิดมาเป็นมนุษย์ เพราะเราทำตามใจตัวเองทำตามอารมณ์ตัวเองทำตามความรู้สึกตัวเองมันก็เป็นอวิชชาเป็นความหลงเป็นได้แต่เพียงคน ในโลกนี้ความมั่นคงก็คือชาติศาสน์กษัตริย์ ศาสน์ก็คือศาสนา ศาสนาคือธรรมะ ธรรมะก็คือศาสนา ทุกคนในโลกนี้จะไม่มีศาสนาจิตใจก็พัฒนาไปได้ยาก ศาสนาคือธรรมะธรรมะคือศาสนาคือความเป็นธรรมความยุติธรรม เราทำตามใจตามอารมณ์ตามความรู้สึกก็เป็นได้แต่เพียงคนมันมีตั้งหลายภพภูมิที่อยู่ในร่างกายในจิตใจของเรา จึงต้องเอาศาสนาเป็นหลัก แต่ละศาสนาก็เป็นชื่อเฉยๆ ศาสนาก็คือธรรมะ
คนเราเข้าใจผิดก็ไปแยกธุรกิจหน้าที่การงานออกจากศาสนา มันก็ผิด การดำรงชีวิตของเราต้องพัฒนาทางวิทยาศาสตร์ พัฒนาทั้งใจไปพร้อมๆ กัน เรียกว่าเป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบปฏิบัติตรง พุทธะก็แปลว่าฉลาดไม่มีไสยศาสตร์ไม่มีความงมงาย เรามีศาสนาอย่างไม่เข้าใจ ก็ไปเอาไสยศาสตร์มายุ่งเกี่ยวเยอะ ทั้งผูกดวงผูกชะตาขายเครื่องรางของขลัง มันไม่ใช่ศาสนาแต่อย่างใด มันยังเป็นอวิชชาเป็นความหลง
ปัญหาของศาสนาพุทธในไทย คือ พระ จำนวนไม่น้อย ที่ไม่ทำตามคำสอนของพระพุทธเจ้า มันจึงบิดเบี้ยวกันไปหมด ตั้งแต่เริ่มเลย
วัดต่างๆ…กลายเป็นสถานที่ขอโชค…ขอลาภ วัดพุทธในไทย มีเทพของศาสนาอื่น เต็มไปหมด แถมพระ ส่งเสริมการอ้อนวอน ขอพรจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ทั้งที่ในทางพุทธจัดเป็นมิจฉาทิฏฐิ(ความเห็นผิด) วัดกลายเป็นสถานที่ขอโชคขอลาภ แทนที่จะเป็นสถานที่ศึกษาธรรม แล้วคำสอนของพระพุทธเจ้าไปอยู่ตรงไหน? ทุกวันนี้พุทธในไทยแทบจะเป็นเทวนิยมไปแล้วด้วยซ้ำ
พระทำเดรัจฉานวิชา ปลุกเสกเครื่องรางของขลังขาย เน้นพุทธพานิช คนไทยพุทธ มองเป็นเรื่องปกติ ทั้งที่เป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าสั่งห้ามไว้ในพระวินัย ว่า เดรัจฉานวิชา (การปลุกเสกเลขยันต์ทุกชนิด) คือ สิ่งที่ภิกษุต้องเว้นขาด แค่เรื่องพระวินัย พระยังรักษาไม่ได้เลย จะไปเอาเรื่องอื่น ได้อย่างไร
สุดท้ายคนก็เข้าใจผิด ว่าทั้งการไหว้ ขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ทั้งการทำของปลุกเสก กลายเป็นส่วนหนึ่งของ ศาสนาพุทธไปแล้ว ทั้งที่สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่พระพุทธเจ้าปฏิเสธ
พระเทศน์เรื่องอะไร พระนักเทศน์ที่มีชื่อเสียง ถามว่าเทศน์เรื่องอะไร? ใช่คำสอนพระพุทธเจ้ารึเปล่า? ก็ไม่ใช่ อย่างพระรูปที่เป็นประเด็นล่าสุด สิ่งที่เทศน์คือการพูดคำคม แถมคำคมก็ยังไม่ได้มีสาระให้แง่คิดอะไรเลย เป็นเรื่องอะไรไม่รู้เรื่อยเปื่อย แถมเป็นคำคมที่หาได้ทั่วไปในอินเทอร์เน็ตทั้งนั้น คำสอนพระพุทธเจ้าไปอยู่ที่ไหน?
วิชาพระพุทธศาสนาที่บิดเบี้ยว สอนแบบผิดๆถูกๆ ข้อมูลหลายอย่างไม่ถูกต้อง สอนสวนกับแนวทางของพระพุทธศาสนา สอนเน้นแต่เรื่องอภินิหาร จนภาพลักษณ์ของพระพุทธเจ้ากลายเป็นเทวดาในนิทาน แทนที่จะเป็นนักปราชญ์แห่งการดับทุกข์ พระธรรมก็สอนกันแบบตื้นเขินและท่องจำไปสอบ ไม่ได้เน้นเข้าใจและเอาไปใช้จริง
พระนักเทศน์บางคน เทศน์แต่ คำคม ที่ไม่ได้มีสาระให้แง่คิดอะไรมากนักอันเป็นคำคม ที่หาได้ทั่วไป ในอินเทอร์เน็ตทั้งนั้น คำสอนพระพุทธเจ้า มีหลายระดับ ระดับฆราวาสครองเรือน พระพุทธองค์ ก็มีสอนไว้ แต่ไม่เทศน์ ไปเทศน์แบบเอามันฮา เป็นหลัก
การบวชเป็นประเพณีนิยม คนไทยถือความเชื่อกันว่า ชายไทยพุทธอายุ 20 ต้องบวชทุกคน ซึ่งนี่เป็นสิ่งที่ผิด พระพุทธเจ้าไม่เคยบัญญัติ ไม่เคยบังคับใครให้บวช คนที่บวชคือคนที่มาด้วยใจ คือคนที่จะมาฝึกตนเพื่อความพ้นทุกข์ ไม่ใช่ประเพณี ในสมัยพุทธกาลถ้าไม่นับพวกปาราชิก พระภิกษุสาวกก็บวชตลอดชีวิตเกือบจะทุกรูป และการบวชก็เป็นเพียงเส้นทางหนึ่งในการพ้นทุกข์เท่านั้น ฆราวาสก็บรรลุธรรมเป็นอริยบุคคลได้
คณะสงฆ์ไทยมีปัญหา คณะสงฆ์ไทยมียศ มีอำนาจ มีเงินเดือนตามยศ พระจึงบ้ายศ ถือตัวถือยศถือศักดิ์ แทนที่จะบวชมาเพื่อทำลายอัตตา แต่กลับมาบวชเพื่อเพิ่มสั่งสมอัตตา และคณะสงฆ์ก็ขึ้นกับอำนาจรัฐ ศาสนาพุทธจึงกลายเป็นเครื่องมือของชนชั้นปกครอง ทั้งที่โดยแท้นั้น ศาสนาพุทธต่อต้านระบบชนชั้นวรรณะ พระพุทธเจ้าไม่เห็นด้วยกับระบบชนชั้นวรรณะที่กดขี่ผู้อ่อนแอ ทุกคนเกิดมาเท่าเทียมกัน สูงต่ำอยู่ที่ทำตัว
มันบิดเบี้ยวไปหมด ตั้งแต่ต้น พระส่วนใหญ่ จึงทำผิดกันจนกลายเป็นเรื่องปกติ ประพฤติตน ห่างจากคำสอนของพระพุทธเจ้า กันไปเรื่อยๆ กลายเป็นว่า คนที่บวช ไม่ได้มีใจใฝ่ในธรรมแต่อย่างใด เพียงบวชตามประเพณี หรือ บวชเข้ามาเพื่อประกอบอาชีพนักบวช เพื่อ หาเงิน หายศ หาอำนาจ การห่มผ้าเหลืองโกนหัว ไม่ได้ทำให้เกิดพุทธานุสติ-ธรรมานุสติ-สังฆานุสติ จึงพบพระทำผิดวินัย มากมายในสังคมไทย พระทำเดรัจฉานวิชา ตั้งวงเหล้า เสพยา มีสัมพันธ์กับสีกา เป็นต้น
เมื่อพระเป็นแบบนี้ ญาติโยมจะไปเหลืออะไร ญาติโยมที่ไม่เคยได้ศึกษาก็เข้าใจผิด ว่าสิ่งที่พระที่ตัวเองนับถือคือสิ่งที่ถูก มองอาจารย์ตัวเองเป็นผู้วิเศษ สนใจแต่อิทธิปาฏิหาริย์ เครื่องรางของขลัง ละเลยพระธรรมของพระพุทธเจ้า แม้บางคนจะรู้ว่ามันขัดกับคำสอนพระพุทธเจ้า แต่ก็ไม่สนใจ ยังหาเหตุผลมาเถียงเอาจนได้
สรุป ก็คือคนไทย ที่อ้างตัวว่าเป็นไทยพุทธ โดยส่วนใหญ่ ไม่ได้สนธรรมะ ไม่ได้สนคำสอนของพระพุทธองค์ สนแค่ว่าอะไรศักดิ์สิทธิ์ก็จะไปกราบไหว้-บูชา-ขอพร เพื่อหวังว่า ตัวเองจะได้สิ่งที่ปรารถนาตามกิเลสตัณหาของตน ไม่ได้ลดละกิเลสตัณหาตามแนวทางของพระพุทธศาสนาแต่อย่างใด
และเพราะไม่รู้อะไรเลยว่าพระพุทธเจ้าสอนอะไร สังคมไทยก็สนใจกันแต่เรื่องบาปบุญนรกสวรรค์ เอามาขู่ลูกหลานด้วยความกลัว มีทัศนคติลบๆ มีตรรกะที่บิดเบี้ยว ทำบุญกันก็เพื่อหวังสวรรค์หวังชาติหน้า ไม่ได้สนใจเรื่องดับทุกข์กันเลยแต่อย่างใด
สุดท้ายคนรุ่นใหม่ที่ไม่ได้ศึกษาว่าศาสนาพุทธที่แท้จริงมันเป็นยังไง เขาก็เอาศาสนาพุทธในวิชาพระพุทธศาสนาที่บิดเบี้ยว+กับการกระทำของพระและผู้ใหญ่มาตัดสิน สุดท้ายเขาก็มองว่าศาสนาพุทธเป็นเรื่องงมงายไร้สาระ เห็นศาสนาพุทธกลายเป็นเพียงเครื่องมือของชนชั้นปกครอง ผิดหวังกับการกระทำของพระ ผิดหวังกับทัศนคติแย่ๆของผู้ใหญ่ เข้าไม่ถึงข้อมูลที่แท้จริงว่าศาสนาพุทธโดยแท้นั่นเป็นยังไง สุดท้ายก็เลือกที่จะละทิ้งและไม่นับถือศาสนา
นี่คือ วิกฤติของพระพุทธศาสนา ในประเทศไทยอย่างแท้จริง ถ้าไม่รีบแก้ไข สักวัน คนรุ่นใหม่ก็จะละทิ้ง และ พระพุทธศาสนา ก็จะต้องเลือนหายไปก่อนเวลาอันสมควร (ขอขอบพระคุณเจ้าของข้อความดีๆ นี้ด้วย)
ถ้าเรามีศาสนาความยากจนก็ไม่มีหรอก ตื่นมาก็มีความสุขในการเรียนหนังสือ มีความสุขในการทำงาน ขยันอดทนรับผิดชอบ หมู่มวลมนุษย์ถึงจะมีความสุขมาก ทุกคนน่ะจึงต้องแก้ไขตัวเอง มีพ่อแม่เป็นตัวอย่างแบบอย่าง ถ้าพ่อแม่ดีน่ะ ลูกก็ย่อมดี เพราะมันเป็นดีเอ็นเอส่งต่อทางสายเลือดทางสายพันธุ์ได้
สถาบันกษัตริย์ก็ได้แก่พ่อแม่บรรพบุรุษ คนเราเกิดมามีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้อง ก็ต้องกตัญญูกตเวที อย่างเราถือศาสนา ได้มาฉันข้าวมีที่อยู่ที่อาศัยได้อาศัยประพฤติปฏิบัติเพื่อมรรคผลนิพพาน เราก็ต้องกตัญญูกตเวที อย่าไปถือแบรนด์เนม คอยมาหากินกับพระศาสนาอย่างนี้ไม่ได้ มันไม่ใช่ธรรมาธิปไตย ส่วนใหญ่น่ะ มักจะผิดกติกา ทิ้งศาสนา เอาแต่ตัวตนเป็นใหญ่ กลไกมันก็ก้าวหน้าไปไม่ได้ ที่มีข้าราชการนักการเมืองก็เพื่อให้เป็นความมั่นคงของชาติศาสน์กษัตริย์ จะมาโกงกินไม่ได้ จะมาไม่มีความสุขในการทำงานไม่ได้ จะมาเก็บส่วยมาทุจริตคอรัปชั่นไม่ได้ มันไม่ถูกต้อง มันไปไม่ได้ เราต้องกลับมาหาความดับทุกข์ ความดับทุกข์ต้องมีกับเราทุกคน ทุกคนก็จะไว้วางใจเรา เราก็จะไว้วางใจตัวเอง เพราะเราก็ไม่ได้เอาตัวตนเป็นหลัก ไม่ได้เอาตัวตนเป็นใหญ่ แต่เราเอาธรรมะเป็นหลักเป็นใหญ่ การพัฒนาก็ไม่ยากหรอก เพราะทุกคนก็ต้องมีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้อง มีศีลเสมอกัน มีความประพฤติเสมอกัน ชีวิตถึงจะสงบเย็นเป็นพระนิพพาน
คนที่อกตัญญูนั้น ย่อมจะไม่เป็นที่รักของใครเลย เพราะจะนำแต่ความเสื่อมเสียมาสู่สังคมที่ตนอยู่ด้วย ไม่มีใครต้องการคนอกตัญญู เดินทางไปถึงไหนแทนที่จะได้รับการต้อนรับ กลับได้รับการผลักไสไล่ส่ง
ส่วนคนที่กตัญญู รู้คุณของผู้มีพระคุณ และรู้จักตอบแทนบุญคุณ ที่ท่านเหล่านั้นทำไว้กับเราในกาลก่อน ใครก็ตามที่เป็นคนกตัญญูย่อมจะเป็นที่รักของมนุษย์ และเทวดาทั้งหลาย แม้จะย่างก้าวไปแห่งหนตำบลใด ก็จะได้รับการต้อนรับขับสู้ด้วยไมตรีจิต ชื่อเสียงอันดีงามย่อมฟุ้งขจรไปไกล เมื่อมีใครรับรู้รับทราบคุณธรรม อย่างนี้ ถ้าเป็นหัวหน้าก็จะเป็นที่รักของผู้อยู่ใต้บังคับบัญชา เป็นผู้ใต้บังคับบัญชา ก็จะเป็นที่รักของหัวหน้า และเพื่อนร่วมงาน จะไปอยู่สังคมใดก็เป็นที่ปรารถนาของสังคมนั้นๆ ความกตัญญูเป็นสัญลักษณ์ของคนดีที่มีจิตใจสูงส่ง บัณฑิตทั้งหลายทั้งในอดีต และปัจจุบัน จึงมีคุณธรรมความกตัญญูอยู่ในใจเสมอ ทำให้เป็นที่รักของมหาชนเป็นจำนวนมาก และยังเป็นที่เคารพนับถือบูชาอีกด้วย
อย่าทิ้งฅน ที่ร่วมสู้ อยู่เคียงข้าง อย่าลืมฅน ที่ช่วยสร้าง ทางยิ่งใหญ่
อย่าละเลย ฅนที่เคย มีน้ำใจ อย่าลืมเป็นผู้ให้เมื่อได้ดี
เมื่อมีกิน อย่าลืมถิ่น ที่เคยอยู่ เมื่อรอบรู้ อย่าลืมครู ที่เคยสอน
เจอรักแท้ อย่าลืมแม่ ที่กอดนอน หายทุกข์ร้อน อย่าลืมธรรม ที่นำทาง ฯ
พระอรหันต์อยู่ไหน
เมืองจีนนั้น มีตำนานปรัมปราอยู่เรื่องหนึ่งว่ากันว่า มีชายหนุ่มคนหนึ่ง หลงใหลในเครื่องรางของขลังและผู้วิเศษขุนขลังขมังเวทย์มาก วันหนึ่งเขาได้ข่าวว่ามีพระธุดงค์มาจำพรรษาอยู่บนยอดเขา
ชาวบ้านเล่าลือกันว่าพระรูปนี้เป็น พระอรหันต์จึงแตกตื่นพากันไปกราบไหว้วันละเป็นหมื่นคนพอชายหนุ่มได้ข่าว ก็รีบลาแม่เพื่อไปหาพระอริยบุคคลบนยอดเขา
ผู้เป็นแม่นั้นรักลูกมาก แม้จะอายุมากจนหูตาฝ้าฟาง แต่เมื่อลูกมาขออนุญาตเธอก็ไม่คิดจะห้าม
“ไปเถอะลูก ถ้าเป็นความสุขของลูกแม่อยู่คนเดียวได้ ไม่เป็นไรหรอก”
ลูกชายเดินทางเจ็ดวันเจ็ดคืนจึงถึงยอดเขา เขารอจนพลบค่ำจึงมีโอกาสได้เข้าไปกราบพระธุดงค์ที่มีหนวดเครายาวเฟื้อยเขาถามเข้าประเด็นทันทีว่า “หลวงปู่ครับ คนเขาลือกันว่าหลวงปู่เป็นพระอรหันต์ ผมบุกป่าฝ่าดงมาไกลแสนไกล เพราะอยากรู้ว่าหลวงปู่เป็นพระอรหันต์จริงหรือไม่ ถ้าจริง ผมจะได้กราบไหว้อย่างสนิทใจ แล้วจะไปรับแม่ของผมมากราบหลวงปู่ให้เป็นสิริมงคลแก่ชีวิตสักครั้งหนึ่ง”
หลวงปู่ตอบว่า “โยมเอ๋ย อาตมาไม่ได้เป็นพระอรหันต์อะไรหรอก คนเขาลือกันอย่างนั้นเอง”
“หลวงปู่ไม่ได้เป็นพระอรหันต์ แล้วมานั่งให้คนกราบทำไมเล่า”
“อาตมาก็ไม่ได้เรียกร้องให้ใครมากราบเขามากราบกันเอง อาตมาก็สงเคราะห์เขาไป”
“ถ้าอย่างนั้นที่ผมเดินทางมาเจ็ดวันเจ็ดคืนนี่ก็เสียเวลาเปล่าน่ะสิครับ”
หลวงปู่ตอบว่า “โยมไม่เสียเวลาหรอกอาตมาไม่ได้เป็นพระอรหันต์ก็จริง แต่อาตมารู้ว่าพระอรหันต์มีคุณสมบัติอย่างไร จำไว้นะ พระอรหันต์มีคุณสมบัติสองประการหนึ่ง ชอบสวมเสื้อกลับตะเข็บ เอาด้านในมาไว้ด้านนอก สอง ชอบใส่รองเท้ากลับข้างเอาข้างขวามาใส่เท้าซ้าย เอาข้างซ้ายมาใส่เท้าขวา ถ้าเจอคนที่มีคุณสมบัติอย่างนี้ที่ไหนเข้าไปกราบไหว้ได้ทันที นั่นแหละพระอรหันต์ตัวจริง”
ชายหนุ่มเดินทางกลับบ้านด้วยความผิดหวัง พอใกล้ถึงบ้าน เขาตะโกนเรียกหาแม่แต่ไกล แม่ซึ่งกำลังหุงข้าวอยู่ในครัว พอได้ยินเสียงลูกก็ทิ้งเตาไฟ รีบคว้าเสื้อเก่า ๆ ขาด ๆ มาใส่ แล้วสวมรองเท้าด้วยความเร่งรีบ ก่อนจะวิ่งถลันออกมากอดลูกชายด้วยความคิดถึงสุดหัวใจ ลูกชายกอดแม่พลางร้องห่มร้องไห้ น้ำตาไหลอาบไหล่ของแม่
“แม่ครับ ผมรู้สึกแย่มากที่ถูกหลอกให้ขึ้นไปถึงบนยอดเขาไกลแสนไกล แม่รู้ไหมไม่มีพระอรหันต์ในโลกนี้หรอกครับ ผมไม่น่าจากแม่ไปเลย”
พอผละออกจากอ้อมอกแม่ ลูกชายก็สังเกตเห็นว่าแม่ของตนแก่ลงไปมาก หนำซ้ำยังมีอาการคล้ายคนเลอะเลือน เห็นได้จากการที่แม่ใส่เสื้อกลับตะเข็บ กลัดกระดุมผิดเม็ด และสวมรองเท้าผิดข้าง ทั้งหมดเกิดจากอารามรีบร้อนวิ่งออกมารับขวัญลูกชายจึงไม่ได้ดูแลเครื่องแต่งกายให้เรียบร้อย
“แม่ดูแก่ไปเยอะเลยนะครับ”
แม่บอกว่า “แม่แก่ขนาดนี้แล้ว ลูกจะทิ้งแม่ไปไหนอีกหรือเปล่า”
“ไม่แล้วครับแม่ ผมไม่เชื่ออีกแล้วว่าโลกนี้มีพระอรหันต์”
ว่าแล้วลูกชายก็สวมเสื้อให้แม่ใหม่พลางถอดรองเท้าที่สวมผิดข้างออกให้ด้วยหมายจะสวมให้ถูกข้าง ระหว่างที่ก้มลงจนหน้าแนบชิดติดเท้าทั้งสองของแม่ เขาก็พลันได้ยินเสียงหลวงปู่แว่วมาเข้าหูว่า…“โยมไม่เสียเวลาเปล่าหรอกนะ หลวงปู่ไม่ได้เป็นพระอรหันต์ แต่หลวงปู่รู้ว่าพระอรหันต์มีลักษณะอย่างไร จำไว้ ถ้าเจอใครที่สวมเสื้อด้านในกลับมาเป็นด้านนอก และสวมรองเท้ากลับข้าง กราบได้ทันที คนนั้นแหละคือพระอรหันต์ตัวจริง”
ถอดรองเท้าให้แม่ยังไม่ทันเสร็จลูกชายก็รู้สึกสว่างโพลงขึ้นมาในหัวใจ คิดว่าตัวเองช่างโง่เหลือเกิน วิ่งระหกระเหินไปร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำมหาสมุทรเพื่อแสวงหาพระอรหันต์ ถูกหลอกมานับครั้งไม่ถ้วนโดยหารู้ไม่ว่าแท้ที่จริงพระอรหันต์ก็คือพ่อแม่ของเรานั่นเอง
พ่อแม่ของเราคือพระอรหันต์ในบ้านถ้าไม่มั่นใจว่าพระที่วัดเป็นพระอรหันต์หรือไม่ เพราะเราไม่ได้อยู่กับท่าน จึงไม่รู้จักท่านทุกแง่ทุกมุม ก็จงอย่าเสียใจว่าไม่มีพระอรหันต์ให้กราบไหว้ เพราะยังมีพระอรหันต์องค์จริงอีกชนิดหนึ่ง ซึ่งเป็นพระอรหันต์โดยสมมุติ คือ พ่อแม่ของเราท่านจำพรรษาอยู่ในชายคาเดียวกันกับเรามาตลอดเวลา สององค์นี้ให้ชีวิต กล่อมเกลี้ยงเลี้ยงดู และรักเราอย่างไม่มีเงื่อนไขเป็นพระอรหันต์ตัวจริงในชีวิตเรา แต่คำถามก็คือ แล้วเราให้เวลากับพระอรหันต์สององค์นี้คุ้มกับที่ท่านเป็นปูชนียบุคคลของเราหรือเปล่า
ก่อนจะไปกราบไหว้พระสงฆ์องค์เจ้าที่ไหน จงอย่าลืมกราบไหว้พ่อแม่ของเราให้ดีที่สุดเสียก่อน ปราชญ์ท่านบอกว่า “กราบพระหมื่นองค์แสนองค์ก็ไม่นับว่ามีคุณค่า หากเธอยังไม่เคยกราบมารดาบิดาของตัวเอง” พระในบ้านนั้นเป็นพระอรหันต์ตัวจริง เรากราบได้อย่างสนิทใจ บำรุงได้อย่างเต็มที่ พ่อแม่เป็นเนื้อนาบุญของเราผู้เป็นลูกเป็นหลาน
ระหว่างที่คนกำลังสับสนกันว่าใครเป็นพระอรหันต์จริง ใครเป็นพระอรหันต์ปลอม เราอย่าไปเสียเวลาสับสนกับเขา จงมองกลับเข้าไปในบ้านของเรา พ่อของเราอยู่ตรงนั้น แม่ของเราอยู่ตรงนั้น…จงถามตัวเองว่า
เรากินอิ่มนอนอุ่น ท่านกินอิ่มนอนอุ่นเหมือนเราหรือเปล่า
เรามีเงินมีทองใช้ ท่านมีเงินมีทองใช้เหมือนเราหรือเปล่า
เรามียศมีศักดิ์ ท่านมีศักดิ์เหมือนเราหรือเปล่า
เราสุขภาพดี ท่านสุขภาพดีเหมือนเราหรือเปล่า
ทุกครั้งที่ก้มกราบพระรูปไหน ให้เราลองถามตัวเองว่า เรากราบพระในบ้านแล้วหรือยัง ทุกครั้งที่จะบำรุงพระรูปไหน ให้เราลองถามใจตัวเองว่า เราบำรุงพระในบ้านของเราแล้วหรือยัง
ก่อนที่เราจะทำดีกับคนทั้งโลก อย่าลืมกลับมาทำดีกับคนใกล้ตัวที่สุด คือพระอรหันต์ของเราเสียก่อน เป็นการรับประกันได้ว่าเราจะไม่ถูกพระอรหันต์บ่มแก๊สหลอกซ้ำแล้วซ้ำเล่าอีกต่อไป
เมื่อกลไกมันไปไม่ได้ ก็เพราะความเมตตาไม่มี มีแต่ความเป็นยักษ์เป็นมาร อยู่ในสังคมก็มีทั้งคนเก่งคนฉลาดคนโง่คนหัวไม่ค่อยดีคนแข็งแรงคนพิการ เราก็ต้องตั้งอยู่ในหลักพรหมวิหาร เราจะไปเอาระบบครอบครัวระบบหมู่เฮาได้อย่างไร เราอย่าไปเห็นแก่ตัวมาก เราอย่าไปเอาเปรียบสังคม อย่าไปเอาเปรียบเพื่อน เรียนมาศึกษามาก็เพื่อเอาเปรียบเพื่อนสร้างปืนสร้างระเบิดสร้างอาวุธมาก็เพื่อเอาเปรียบเพื่อนร่วมโลก อย่างนี้ไม่ได้ ต้องจัดการตัวเอง เราจะได้มีพระคือพระธรรมพระวินัยคือความบริสุทธิ์คือพรหมจรรย์กับทุกๆ คน ประชาชนก็ต้องมีศีล ๕ เพราะความสุขความดับทุกข์มันมีอยู่นะปัจจุบัน เพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปมันถึงมี
พรหมวิหาร 4 หรือ พรหมวิหารธรรม เป็นหลักธรรมประจำใจเพื่อให้ตนดำรงชีวิตได้อย่างประเสริฐและบริสุทธิ์เฉกเช่นพรหม พรหมวิหาร ๔ คือหลักธรรมประจำใจ เป็นแนวธรรมปฏิบัติของผู้ที่ปกครอง และการอยู่ร่วมกับผู้อื่น ประกอบด้วยหลักปฏิบัติ ๔ ประการ
พรหมวิหาร แปลว่า ธรรมของพรหมหรือของท่านผู้เป็นใหญ่ พรหมวิหารเป็นหลักธรรมสำหรับทุกคน เป็นหลักธรรมประจำใจที่จะช่วยให้เราดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างประเสริฐและบริสุทธิ์ หลักธรรมนี้ได้แก่
๑. เมตตา แปลว่า ความรักใคร่ ปรารถนาดีอยากให้เขามีความสุข มีจิตอันแผ่ไมตรีและคิดทำประโยชน์แก่มนุษย์สัตว์ทั่วหน้า
เมตตา หมายถึง รักที่มุ่งเพื่อปรารถนาดี โดยไม่หวังผลตอบแทนใดๆ จึงจะตรงกับคำว่า เมตตาในที่นี้ ถ้าหวังผลตอบแทนจะเป็นเมตตาที่เจือด้วยกิเลส ไม่ตรงต่อเมตตาในพรหมวิหารนี้
ลักษณะของเมตตา ควรสร้างความรู้สึกคุมอารมณ์ไว้ตลอดวัน ว่า เราจะเมตตาสงเคราะห์ เพื่อนที่เกิด แก่ เจ็บ ตาย จะไม่สร้างความลำบากให้แก่สรรพสัตว์ทั้งหลาย ความทุกข์ที่เขามี เราก็มีเสมอเขา ความสุขที่เขามี เราก็สบายใจไปกับเขา รักผู้อื่นเสมอด้วยรักตนเอง
๒. กรุณา แปลว่า ความสงสาร คิดช่วยให้พ้นทุกข์ ใฝ่ใจในอันจะปลดเปลื้องบำบัดความทุกข์ยากเดือดร้อนของปวงสัตว์
กรุณา หมายถึง ความปรานี ปรารถนาให้ผู้อื่นพ้นทุกข์ ความสงสารปรานีนี้ก็ไม่หวังผลตอบแทนเช่นเดียวกัน สงเคราะห์สรรพสัตว์ที่มีความทุกข์ให้หมดทุกข์ตามกำลังกาย กำลังปัญญา กำลังทรัพย์
ลักษณะของกรุณา การสงเคราะห์ทั้งทางด้านวัตถุ โดยธรรม ว่าผู้ที่จะสงเคราะห์นั้นขัดข้องทางใด หรือถ้าหาให้ไม่ได้ ก็ชี้ช่องบอกทาง
๓. มุทิตา แปลว่า มีจิตอ่อนโยน ความยินดี ในเมื่อผู้อื่นอยู่ดีมีสุข มีจิตผ่องใสบันเทิง กอปรด้วยอาการแช่มชื่นเบิกบานอยู่เสมอ ต่อสัตว์ทั้งหลายผู้ดำรงในปกติสุข พลอยยินดีด้วยเมื่อเขาได้ดีมีสุข เจริญงอกงามยิ่งขึ้นไป
มุทิตา หมายถึง จิตที่ไมีความอิจฉาริษยาเจือปน มีอารมณ์สดชื่นแจ่มใสตลอดเวลา คิดอยู่เสมอว่า ถ้าคนทั้งโลกมีความโชคดีด้วยทรัพย์ มีปัญญาเฉลียวฉลาดเหมือนกันทุกคนแล้ว โลกนี้จะเต็มไปด้วยความสุข สงบ ปราศจากอันตรายทั้งปวง คิดยินดี โดยอารมณ์พลอยยินดีนี้ไม่เนื่องเพื่อผลตอบแทน การแสดงออกถึงความยินดีในพรหมวิหาร คือไม่หวังผลตอบแทนใดๆ ทั้งสิ้น
๔. อุเบกขา แปลว่า ความวางเฉย ความวางใจเป็นกลาง อันจะให้ดำรงอยู่ในธรรมตามที่พิจารณาเห็นด้วยปัญญา คือมีจิตเรียบตรงเที่ยงธรรมดุจตราชั่ง ไม่เอนเอียงด้วยรักและชัง พิจารณาเห็นกรรมที่สัตว์ทั้งหลายกระทำแล้ว อันควรได้รับผลดีหรือชั่ว สมควรแก่เหตุอันตนประกอบ พร้อมที่จะวินิจฉัยและปฏิบัติไปตามธรรม รวมทั้งรู้จักวางเฉยสงบใจมองดู ในเมื่อไม่มีกิจที่ควรทำ เพราะเขารับผิดชอบตนได้ดีแล้ว เขาสมควรรับผิดชอบตนเอง หรือเขาควรได้รับผลอันสมกับความรับผิดชอบของตน
อุเบกขา หมายถึง เฉยโดยธรรม คือทรงความยุติธรรมไม่ลำเอียงต่อผู้ใดผู้หนึ่ง ผู้ดำรงในพรหมวิหาร ย่อมช่วยเหลือมนุษย์สัตว์ทั้งหลายด้วยเมตตากรุณา และย่อมรักษาธรรมไว้ได้ด้วยอุเบกขา ดังนั้น แม้จะมีกรุณาที่จะช่วยเหลือปวงสัตว์แต่ก็ต้องมีอุเบกขาด้วยที่จะมิให้เสียธรรม
ผู้มีพรหมวิหาร ๔ จะเกิดผลดีคือ
คนที่มีพรหมวิหาร ๔ สมบูรณ์ ศีลย่อมบริสุทธิ์
คนที่มีพรหมวิหาร ๔ สมบูรณ์ ย่อมมีฌานสมาบัติ
คนที่มีพรหมวิหาร ๔ สมบูรณ์ เพราะอาศัยใจเยือกเย็น ปัญญาก็เกิด
การที่แก้ปัญหาของเราทุกคน ถึงต้องแก้ที่ตัวเราเอง ไม่ได้ไปแก้ปัญหาที่คนอื่น ทุกท่านทุกคนต้องพากันทำอย่างนี้ ปัญหาของตนเองถึงจะคลี่คลายและหมดปัญหาไปในที่สุด เราทุกคนต้องทำอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้ ถ้าไปทำอย่างอื่นเรียกว่าไม่ถูกต้อง เราทำอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้ ใจของเราก็จะเข้าสู่กายวิเวก คือกายที่สงบวิเวกอันมาจากใจที่มีความเห็นถูกต้อง ที่ไม่คิดไม่พูดไม่ทำ จึงนำเราสู่กายวิเวก พัฒนาสู่จิตวิเวก และอุปธิวิเวกในที่สุด
แจกปัญญา แจกศาสนา แจกธรรมวินัย แจกสิ่งที่ถูกต้อง
เพื่อเดินตามรอยพระพุทธเจ้าร้อยเปอร์เซ็นต์
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
โดยทุกท่านสามารถติดตามเพิ่มเติมได้ที่
https://linktr.ee/watsubthawee
Share wisdom, spread Buddhism and its discipline.
Advocate righteousness to follow Lord of Buddha's footsteps 100%
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
You can receive new Dharma updates.
https://linktr.ee/watsubthawee