แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ในวันพุธที่ ๗ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๖
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง คุณของพระพุทธเจ้า ตอนที่ ๗ เจ็ดวิธีดำเนินชีวิตให้สงบเย็นเป็นประโยชน์ และสงบเย็นเป็นพระนิพพาน
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
ศาสนาพุทธเป็นสัมมาทิฏฐิเป็นความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้องเป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม เป็นอิทัปปัจจะยะตา เพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปถึงมี เป็นกรรมเป็นกฎแห่งกรรม ศาสนาเป็นสิ่งที่สุดยอดที่สุดในโลก หมู่มวลมนุษย์ถึงได้โชคดี เราจะไปตามใจตัวเองอย่าไปตามอารมณ์ตัวเอง มันเป็นไสยศาสตร์ เป็นสีลัพพตปรามาส ลูบคลำในศีลในข้อวัตรปฏิบัติ มันเสียเวลา เราไม่ต้องเป็นแบรนด์เนมมนุษย์ อย่าไปเอาแต่แบรนด์เนมศาสนา ต้องเข้าถึงศาสนาด้วยภาคประพฤติภาคปฏิบัติของเรา เข้าถึงความดับทุกข์ อย่างพระอรหันต์สาวก ท่านเป็นพระอรหันต์แล้วท่านก็ยังทำงานเสียสละ แต่ก่อนทำอะไรก็เพื่อจะเอา ทำงานก็เพื่อจะเอามันเลยเป็นทุกข์ เราต้องทำด้วยความเสียสละ เราจะได้ทุกอย่าง ดูอย่างหลวงปู่มั่นครูบาอาจารย์สายกรรมฐานท่านไปได้มีความรู้อะไรมาก แต่ท่านก็ประพฤติปฏิบัติอย่างจริงจังและเข้มแข็ง เหมือนกับปลูกต้นไม้ ให้น้ำให้แสงดายหญ้าให้ปุ๋ย ยังติดต่อต่อเนื่องหลายวันหลายเดือนหลายปี ต้นไม้ก็โตได้ เหมือนกับการปฏิบัติก็บรรลุธรรมได้
ทุกท่านทุกคนก็ต้องพากันรู้จักนะ รู้จักแล้วก็อย่าไปตาม อันไหนไม่ดีก็อย่าไปคิดมัน เพราะว่ามันถึงจะอร่อย ความคิดถึงจะอร่อยเราก็ต้องเบรค ของอันไหนมันไม่ดี มันอยากคิดนะ อันไหนดีๆ มันไม่อยากคิดหรอก เหมือนคนป่วยอาหารอันไหนมันไม่แสลงต่อร่างกายมันไม่อยาก อันไหนแสลงต่อร่างกายมันอยาก ของที่ดีๆ ที่รักษาสุขภาพร่างกายมันไม่อยากทานหรอก ใจของเรามีอวิชชามีความหลงก็เหมือนกัน พระพุทธเจ้าถึงสอนว่าให้เราเป็นผู้รู้จักประมาณ มีปัญญาในการบริโภคทางร่างกาย มีปัญญาในการบริโภคทางจิตใจ เราจะได้เป็นผู้ โภชเน มตฺตญฺญุตา รู้จักประมาณในการบริโภค เป็นผู้มีปัญญาในการบริโภค เราทุกคนก็สงสารตัวเรา สงสารพ่อเรา สงสารแม่เรา มันจะพากันไปสู่นรกอย่างนี้ไม่ได้ ต้องหยุด อย่าไปยิ้มแย้มแจ่มใสต่อนรก ต่ออเวจี ต่อมหานรก มันไม่ได้นะ ให้เรารู้จักทุกข์ เหตุเกิดทุกข์ ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ ที่มันมีอยู่กับเราเมื่อเรามีลมหายใจนี่แหละ
'การทำสมาธิ' พระพุทธเจ้าท่านให้พวกเราฝึกทำกันทุกๆ วัน ทั้งตอนเช้า ตอนกลางวัน ตอนเย็น ฝึกให้มาก ปฏิบัติให้มาก พร้อมด้วยทำกิจวัตร ทำข้อวัตรปฏิบัติ เพื่อให้เป็นความดี เป็นบารมี เป็นปฏิปทา ไม่ว่าเราจะทำอะไรอยู่ ก็ให้เอาสิ่งเหล่านั้นเป็นการประพฤติปฏิบัติธรรม
เรากราบพระก็ให้ใจของเราอยู่กับการกราบพระ อยู่กับความสงบ การสวดมนต์ก็ให้จิตใจอยู่กับการสวดมนต์ เราจะทำอะไรก็ให้จิตใจของเราอยู่กับสิ่งเหล่านั้น ให้ถือว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นเรื่องสำคัญ เราเดินจงกรม ก็ให้ใจของเราอยู่กับการเดิน ไม่ต้องไปคิดอะไรมาก เพราะทุกท่านมันคิดมาอยู่แล้ว ว่าจะไม่คิด...มันก็คิด พระพุทธเจ้าท่านสอนเรา วันหนึ่งๆ ให้เดินจงกรม ให้นั่งสมาธิให้มากๆ ทั้งภาคส่วนรวมกับหมู่คณะ และภาคส่วนตัวที่กุฏิที่พักของเรา ถ้าเราไม่ทำ เราไม่ปฏิบัติ จิตใจของเราเค้าจะไม่มีเครื่องอยู่
ให้ระวังดีๆ ให้เป็นคนละอายต่อบาป เกรงกลัวต่อบาป อันไหน มันไม่ดี เราอย่าไปคิดเด็ดขาด เพราะความสำคัญมันอยู่ที่จิตที่ใจ "ใจของเราคนอื่นเขาไม่รู้ แต่เรามันรู้"
'ความละอายต่อบาป ความเกรงกลัวต่อบาป' เป็นพื้นฐานของความดี มันเป็นความซื่อสัตย์ มันเป็นความสุจริต ถ้าเราไม่ละอายต่อบาป เกรงกลัวต่อบาปนี้ "เราเป็นคนที่แย่ เป็นคนที่ทุจริต เป็นคนทำลายตัวเอง ไม่เคารพนับถือพระพุทธเจ้า ไม่เคารพต่อพระธรรม"
ที่ครูบาอาจารย์ท่านให้พูดเรื่องเหล่านี้บ่อยๆ เพราะสิ่งเหล่านี้มันสำคัญ ถ้าที่ไหนมีทุจริต ที่นั่นหาความเจริญไม่ได้ ไม่ว่าทางจิตใจ "แต่การประพฤติปฏิบัติ... มันไม่ได้เล่นภายนอก เล่นทางวัตถุ "มันเล่นทางจิตทางใจ...."
"เราทุกท่านทุกคนในการรักษาศีล ทำข้อวัตรปฏิบัติ ความขี้เกียจขี้คร้านในตัวเรานี้...ทุกคนมันมีมาก จึงมีความจำเป็นที่จะต้องปฏิบัติทางพระวินัยให้ละเอียด"
ศีลเล็กๆ น้อยๆ ข้อวัตรปฏิบัติมันสำคัญ สำคัญทุกข้อ ทุกท่านทุกคนอย่าเห็นว่า ไม่ใช่เรื่องสำคัญ ความขี้เกียจขี้คร้านมันชอบหลอกทุกๆ คนว่า เราอย่าไปยึดมั่นถือมั่น เราอย่าไปยึดมั่นถือมั่นมากเกิน มันจะทำให้ตัวเองยุ่งยากลำบากโดยไม่จำเป็น ความคิดความเห็นอย่างนี้ มันเป็นความเห็นแก่ตัว มันไม่ใช่ความว่าง มันไม่ใช่ทางพระนิพพาน เขาเรียกว่า มันเป็นความคิดความเห็นของคนขี้เกียจนะ มันเป็นความคิด ความเห็นของพวกที่ทำให้ศาสนาเสื่อม ศาสนาตกต่ำ ของที่มีค่ามีราคา ไปตีค่าว่าไม่มีราคา
คำสอนของพระพุทธเจ้าที่พิมพ์บันทึกไว้ในพระไตรปิฎกทุกคำสั่งคำสอนเป็นที่ดีหมดนะ แต่พวกเราและท่านไม่ได้นำมาประพฤติปฏิบัติ พวกเราและท่านมองว่าสิ่งนี้ไม่มีราคา ไม่มีความสำคัญสำหรับเรา คิดว่า เป็นเรื่องของคนแก่ๆ แล้วก็ปฏิบัติธรรม คิดว่าเป็นเรื่องของคนที่มีปัญหาแล้วปฏิบัติธรรม
ทุกๆ ท่าน ทุกๆ คนต้องปฏิบัติธรรม เพราะร่างกายของเรานี้มันเป็นธรรมะ มันเป็นดิน น้ำ ลม ไฟ อากาศธาตุ มันไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน พวกเราและท่านทั้งหลายนี้ต้องปฏิบัติตัวเอง เพื่อให้กาย วาจา ใจ มันสงบ มันเย็น เราจะวิ่งตะครุบเงาของเรามันไม่ทันน่ะ ยิ่งวิ่งก็ยิ่งเหนื่อยนะ
พระพุทธเจ้าท่านให้เรามารักษาศีล ทำข้อวัตรปฏิบัติ กว่าจะได้เป็นคนเป็นมนุษย์มีโอกาสมาได้ประพฤติปฏิบัติอย่างนี้ มันก็หาได้ยาก การประพฤติปฏิบัตินี้เป็นเรื่องจำเป็น เป็นเรื่องเร่งด่วน การประพฤติปฏิบัติ พระพุทธเจ้าท่านให้เน้นเข้าหาพระนิพพาน
ศีลนี้ก็คือ ตั้งใจ ตั้งเจตนา สมาทาน มันถึงจะเกิดสัมมาสมาธิ ถ้าเราเน้นมาหาตัวเองอย่างนี้ ชีวิตของเรามันก็สงบ ก็เย็น เราไม่ต้องไปถามใคร เพราะว่ามันเรื่องของเรา ไม่ใช่เรื่องของคนอื่น ถ้าเรื่องคนอื่นก็ต้องไปถามคนอื่น เรื่องของเราเราต้องกลับมามองดูตัวเอง ถ้าสงสัยเอาธรรมตัดสินวินัยมาเทียบเคียงดู
“ลักษณะตัดสินธรรมวินัย ๘ ประการนี้ มีมาใน “โคตมีสูตร” อังคุตตรนิกาย เป็นถ้อยคำที่ตรัสแก่พระนางมหาปชาบดีโคตมี ซึ่งออกบวชเป็นภิกษุณี ถือกันว่าเป็นหลักสำคัญ มีข้อความที่น่าสนใจเป็นพิเศษอีกส่วนหนึ่งคือ เป็นหลักธรรมที่ทรงเลือกสรรมา ในลักษณะเป็นเครื่องตอบแทนคุณแก่บุคคลผู้ตั้งอยู่ในฐานะที่เป็นมารดาอีกส่วนหนึ่งด้วย เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้นว่า การปฏิบัติอย่างใดจะเป็นไปถูกต้องตามหลักแห่งการดับทุกข์หรือไม่ ก็ควรใช้หลักเกณฑ์เหล่านี้ เป็นเครื่องตัดสินได้โดยเด็ดขาด ฉะนั้น จึงเป็นหลักที่แสดงถึง ใจความสำคัญแห่งพระพุทธศาสนาอยู่ในตัว หลักเหล่านั้น คือ...ถ้าธรรม (การปฏิบัติ) เหล่าใด..
๑. เป็นไปเพื่อ ความกำหนัดย้อมใจ ๒. เป็นไปเพื่อ ความประกอบทุกข์ (คือทำให้ลำบาก)
๓. เป็นไปเพื่อ สะสมกองกิเลส ๔. เป็นไปเพื่อ ความอยากใหญ่ (คือไม่เป็นการมักน้อย)
๕. เป็นไปเพื่อ ความไม่สันโดษ ๖. เป็นไปเพื่อ ความคลุกคลี
๗. เป็นไปเพื่อ ความเกียจคร้าน ๘. เป็นไปเพื่อ ความเลี้ยงยาก
พึงรู้ว่า ธรรมเหล่านั้นไม่ใช่ธรรม ไม่ใช่วินัย ไม่ใช่สัตถุศาสน์ (สัตถุศาสน์ คือ คำสอนของพระศาสดา)
แต่ถ้าเป็นไปตรงกันข้ามจึงจะ เป็นธรรม เป็นวินัย เป็นสัตถุศาสน์ คือ
๑. เป็นไปเพื่อ ความคลายกำหนัด ๒. เป็นไปเพื่อ ความไม่ประกอบทุกข์
๓. เป็นไปเพื่อ ไม่สะสมกองกิเลส ๔. เป็นไปเพื่อ ความอยากน้อย
๕. เป็นไปเพื่อ ความสันโดษ ๖. เป็นไปเพื่อ ความไม่คลุกคลี
๗. เป็นไปเพื่อ ความพากเพียร ๘. เป็นไปเพื่อ ความเลี้ยงง่าย
ถ้าสงสัยเอาธรรมตัดสินวินัยมาเทียบเคียงดู มันจะได้ง่ายๆ เข้าใจได้ง่ายๆ เราทำอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้ ชีวิตเราก็จะเป็นสติสัมปชัญญะ มันจะเป็นสติปัฏฐาน ๔ ท่านเจ้าคุณพุทธทาสถึงบอกว่า เราต้องมองที่เราที่ตัวเรา เราต้องรู้เรื่องของเรา เราอย่าไปรู้เรื่องของคนอื่น ถ้าเราพยายามประพฤติพยายามปฏิบัติอย่างนี้ ครูบาอาจารย์ที่ท่านเป็นพระอรหันต์ ท่านเป็นพระอริยเจ้าท่านถึงพากันปฏิบัติอย่างนี้ เราดูเเล้วทุกคน มีเเต่คนสงบ มีเเต่คนเย็น มีเต่คนมักน้อยสันโดษ ไม่มีใครฟุ้งซ่านอะไร ชีวิตก็มีเเต่ความสงบสุข เรื่องอนาคตจะทำยังไง อนาคตก็อยู่ที่ปัจจุบันนี้แหละ มันก็จะไปของมันเอง สำหรับประชาชนก็ทำเหมือนกันนี้เเหละ เราก็ต้องทำงานให้มีความสุข ถ้าเราไม่มีความสุขในการทำงาน เราก็ตกอยู่ในอบายมุข อบายภูมิ เราต้องรู้ความสุข ความดับทุกข์ มันไม่ใช่เป็นเศรษฐี เป็นมหาเศรษฐี ก็ทำไปปฏิบัติไป ตั้งมั่นในพระรัตนตรัย มีศีลห้า มาที่ใจ ถ้าเราเน้นเรื่องจิตเรื่องใจ ความสงสัยของเรามันก็ไม่มี เพราะเราก็รู้เเก่ใจของเเต่ละบุคคลอยู่เเล้วว่า อันนี้ไม่ดี คิดอันนี้ไม่ดี พูดอันนี้ไม่ดี ก็ไม่ไปคิดไม่ไปพูด
อย่างเราเป็นฆราวาสเป็นผู้ครองเรือน เราต้องมีความสุขในการทำงาน ถ้าเราทำอย่างนี้ การใช้เงินใช้ตังค์เราต้องวางเเผน เราอย่าไปติดในสิ่งของ เราต้องปรับใจเข้าหาสิ่งของ ไม่ใช่ปรับสิ่งของเข้าหาจิตเข้าหาใจ คนเรามันก็ดีอยู่เเล้ว มีบ้าน มีที่อยู่อาศัย ความสุขมันอยุ่ที่ปัจจุบัน อยู่ที่เรามีความเห็นถูกต้อง เราไม่ต้องไปเทียบคนอื่นว่าคนนั้นเป็นอย่างโน้นเป็นอย่างนี้ เราต้องเน้นที่ตัวเอง เราเป็นยังไง ลูกเราก็เป็นอย่างนั้น เพราะคนเรามันก็ดูกัน น้ำเราก็ประหยัด ไฟเราก็ประหยัด สิ่งของใช้เราก็ประหยัด เพราะอันนี้เป็นทรัพยากร เงินเราไปอันนี้เยอะ เราก็เบียดเบียนทรัพยากร พากันรักษาศีลห้าดีๆ ถ้าไม่อย่างนั้นมันเห็นเเก่ตัว พ่อเเม่ศีลห้าก็ต้องให้มันเต็มที่ร้อยเปอร์เซ็นต์ ทั้งด้านจิตใจ ด้านคุณธรรม เราต้องเอาพระพุทธเจ้าเป็นหลัก ให้อยู่ในเหตุผล ให้อยู่ในกฏของวิทยาศาสตร์ ที่อยู่เหนือวิทยาศาสตร์ที่พัฒนาใจก็คือ ตามพระพุทธเจ้า ทุกคนก็จะมีความสุข ไม่มีหนี้ไม่มีสินอะไร เราจะเดินอยู่หรือว่าไปเครื่องความสุขก็อยู่ที่ใจอย่างเก่า ใจที่มีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้อง ความสุขมันไม่ได้อยู่ที่ความหรูหราฟุ่มเฟือย ความสุขไม่ได้อยู่ที่สรรเสริญเยินยอ อันนั้นความโง่ของเราเฉยๆ อันนี้มันจะกลับมาหาปฏิปทา เพราะเราทุกคนเรื่องเศรษฐกิจต้องทำไปอย่างนี้ เรื่องจิตเรื่องใจต้องทำไปอย่างนี้เเหละ
๗ วิธีใช้ชีวิตให้สงบเย็น-เป็นประโยชน์
หนึ่ง : กินข้าวจานแมว เรื่อง กินข้าวจานแมว ซึ่งเป็นวัตถุแต่ความหมายมันเป็นเรื่องทางจิตทางวิญญาณ คำพูดเหล่านี้เป็นเพียงคำอุปมาว่า การอยู่ที่สวนโมกข์นี้มันกินข้าวจานแมว แต่ใจความมันไม่ได้อยู่ที่กินข้าวจานแมว มันอยู่ที่การอยู่เพื่อจะทำอะไรสักอย่างหนึ่งให้ลุล่วงไปด้วยดี
กินข้าวจานแมวข้อแรกหมายความว่า อย่าไปมีปัญหายุ่งยากลำบากในเรื่องกินอาหารเลย กินง่ายๆ ด้วยข้าวราดแกงเหมือนที่แมวกินนั้นก็พอแล้ว นี่ก็หมายถึงการกินอย่างง่ายที่สุด ตามที่พระพุทธเจ้าท่านสอนว่าจงกินแต่พอดีอย่าไปหวังว่าจะอยู่ดีกินดีให้วิเศษวิโสไปเลย กินอยู่เพียงเพื่อมันไม่ตายก็พอแล้ว
การกินอยู่แต่พอดีอย่างนี้เป็นองค์ประกอบองค์หนึ่งในโอวาทปาฏิโมกข์ ซึ่งพระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสไว้ในพระโอวาทนั้นในวันมาฆปุณมีโดยบทว่า มัตตัญญุตา จะ ภัตตัสมิง เป็นผู้รู้ประมาณในการบริโภคคือ กินอยู่แต่พอดี อย่าทะเยอทะยานเรื่องกินดีอยู่ดี เหมือนคนสมัยนี้ให้มากไปเลยมันเสียเวลาเปล่าๆ เพราะว่าเราไม่ได้เกิดมาเพื่อกิน
แต่คนสมัยนี้เขาเห็นว่า เกิดมาเพื่อกิน เพื่อสนุกสนานเอร็ดอร่อยเต็มที่ แล้วมันก็จบกันเท่านั้นเอง มันมีดีที่สุดอยู่เพียงเท่านั้น แต่พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้หมายไม่ได้ทรงมุ่งหมายแต่เพียงอย่างนั้น ทรงมุ่งหมายว่ากินนี้กินเพื่อไม่ให้ตาย เมื่อไม่ตายแล้วจะทำอะไรต่อไป ก็คือทำให้ได้ สิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้ไม่ได้สิ้นสุดอยู่ที่ได้กินอร่อยๆ แต่ต้องได้ธรรมะอะไรชนิดที่เป็นความสุขอย่างแท้จริง เหลือที่จะบรรยายได้มาด้วย มันจึงจะเรียกว่าได้แล้วซึ่งสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้
ตรงนี้อยากจะเตือนให้ทุกคนจำไว้อย่าได้ลืมว่า อย่าให้พุทธบริษัทโง่หรือเลวกว่าพวกคริสเตียน คือ เรื่องของพระเยซูที่เคยเอามาเล่าให้ฟังหลายครั้งหลายหนแล้วว่า เมื่อพระเยซูถูกพระยามารล้อเลียนว่าถ้าเป็นลูกพระเจ้าก็จงเสกก้อนหินเหล่านี้ให้เป็นอาหารขึ้นมาสิ จะมัวทนหิวอยู่ทำไมไม่ได้กินข้าวมาตั้งสามสิบสี่สิบวันแล้ว พระเยซูตอบว่าชีวิตไม่ได้อยู่ได้ด้วยอาหาร ชีวิตอยู่ได้ด้วยพระธรรมของพระเจ้า นี่แหละลองไปคิดดูให้ดีเถิดว่าแม้ในหลักฝ่ายศาสนาคริสเตียนเขาก็ไม่ถือว่าชีวิตนั้นอยู่ได้ตรงที่มีอาหารกินแต่ว่าชีวิตนี้อยู่ได้เพราะว่ามีธรรมะหล่อเลี้ยง
อาหารนั้นกินเพียงไม่ให้ตายแล้วก็ แสวงหาธรรมะอันแท้จริงมาหล่อเลี้ยงชีวิตนี้ให้กลายเป็นชีวิตที่สมบูรณ์คือชีวิตที่สูงสุด ทำพอให้มีกินไปก็แล้วกัน แต่เมื่อมีกินแล้วจะต้องทำอะไรให้มันดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้ ก็คือการมีจิตใจที่ประกอบไปด้วยธรรม เช่นมีความสะอาด สว่าง สงบ เยือกเย็นเป็นสุขแสนที่จะเย็นได้ จนกว่าร่างกายนั้นมันจะแตกดับไป
ร่างกายนั้นมันกินข้าวกินปลาเป็นอาหารไม่เท่าไรก็หมดเหตุหมดปัจจัยที่จะอยู่ได้มันก็ต้องดับไป แต่ส่วนจิตใจนั้นมันต้องการกินธรรมะคือความสะอาด สว่าง สงบก็มีความสุขอย่างยิ่ง เป็นต้นอยู่ มันคนละเรื่องกับร่างกาย เราอย่าได้ห่วงแต่เรื่องกิน และอย่าได้ยกเอาเรื่องกินมาเป็นเรื่องทั้งหมด กินเพื่อให้มันอยู่ได้ ตามสะดวกสบาย แล้วก็อาศัยโอกาสหรือเวลานั้นทำสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะทำ นี้เป็นข้อแรกที่ว่ากินเพื่ออยู่ แล้วกินเหมือนกับแมวก็ใช้ได้นี่ เรียกว่ากินข้าวจานแมว
สอง : อาบน้ำในคู คือ อย่าพิถีพิถันถึงกับจะต้องมีความสะดวกสบายอย่างนั้นอย่างนี้ อาบน้ำในคูหรือในลำธารลำห้วยในหนองในคลองในอะไรก็แล้วแต่ที่จะมีได้ตามธรรมชาติ เพื่อจะตัดปัญหาความยุ่งยากลำบากในการอยู่ ในการบริหารร่างกายต่างๆ ออกไปเสีย แต่เราเอามารวมไว้ในคำเพียงคำเดียวว่า อยู่อย่างอาบน้ำในคูคืออยู่อย่างธรรมชาติ ตามธรรมชาติ เป็นเกลอกับธรรมชาติให้มากที่สุด
ให้อยู่อย่างง่ายๆ อยู่อย่างต่ำๆ เพื่อให้หัวใจมันสูง ถ้าอยู่อย่างที่เรียกกันว่าดีหรือสูงซะแล้ว หัวใจมันต่ำ ถ้าอยู่อย่างต่ำหัวใจมันก็สูง ฉะนั้นการกินการอยู่การอาบการอะไรก็ตามที่เป็นไปตามธรรมชาตินั้น ทำให้จิตใจฉลาดหรือเป็นไปในทางสูงทุกอย่างทุกประการนี้เราเอามาสรุปไว้ในคำว่าอาบน้ำในคูเป็นข้อที่สอง
สาม : เป็นอยู่อย่างทาส ก็หมายความว่าให้เป็นอยู่อย่างคนที่ยอมเป็นทาสนั้น คือ เป็นบ่าวเป็นขี้ข้าของเขามันก็ต้องยอม ถ้าอยู่อย่างเจ้าอย่างนายมันก็คือยกหูชูหางนั่นก็คือไม่ยอม เป็นอยู่อย่างทาสนี้คือเป็นอยู่ด้วยความยอมไม่ยกหูชูหาง เด็กๆ เกิดมาพ่อแม่ตามใจอยู่ตลอดเวลา จึงมีโรคยกหูชูหาง ฉะนั้นมาอยู่กันในระบอบใหม่เสียบ้างคือ เป็นอยู่อย่างทาส อยู่อย่างที่ไม่มีโอกาสจะยกหูชูหาง อยู่อย่างคนแพ้ อยู่อย่างคนยอม ไม่ด่าว่าใครไม่ตะเพิดใครไม่ดูถูกใครไม่ยกตนข่มท่าน แต่เป็นคนยอมแพ้เหมือนกับทาสเรียกว่าเป็นอยู่อย่างทาส เพื่อขัดเกลาจิตใจของตนที่มีอหังการ ที่มีตัวกู มีของกู ยกหูชูหางอยู่เรื่อยไป นั้นคือศัตรูที่ร้ายกาจของคนเรา เราจะทำลายมันเสียได้ ฆ่ามันเสียให้ตายได้ก็โดยมาสมัครเป็นอยู่อย่างทาส กินข้าวจานแมว อาบน้ำในคูแล้วยังเป็นอยู่อย่างทาสคือไม่ปริปาก นี้นับว่าเป็นหัวใจของการปฏิบัติธรรมอย่างยิ่ง
คนที่ไม่เคยยอม ไม่รู้จักยอมมา หัดรู้จักยอมนี่ คือการปฏิบัติธรรมชั้นสูงสุดในพระพุทธศาสนา คือทำลายตัวกูของกู หรือว่าอย่างน้อย ก็ควบคุมตัวกูของกูไม่ให้มันยกหูชูหาง แล้วเป็นอยู่อย่างทาสไม่ให้โอกาสที่ให้ตัวกูของกูมันยกหูชูหาง ไอ้ที่มันยกหูชูหางนั้นมันเป็นกิเลสหรือมันเป็นอวิชชา การที่เป็นอยู่ชนิดที่ไม่ให้มันได้มีโอกาสยกหูชูหางนั้นมันไม่มีอย่างอื่น มีแต่ทางเดียวคือการเป็นอยู่อย่างทาส ไม่ปริปากไม่ดื้อดึงไม่ยกตนเหนือผู้ใดแต่ว่าเป็นผู้ยอม
คำว่าเป็นทาสชนิดนี้มันไม่ได้หมายถึงเป็นทาสอย่างที่เขาเป็นๆ กัน เช่นเป็นหนี้เงินเขาหรือว่าในสมัยหรือในถิ่นที่กฎหมายให้คนมีทาสแล้วก็ใช้อย่างทาสนั้นมันเป็นทาสอีกอย่างหนึ่ง มันเป็นทาสทางวัตถุทางร่างกาย ในภาษาคน แต่ทาสอย่างนี้มันไม่ใช่อย่างนั้น เราไม่ได้เป็นหนี้เงินของใครไม่ใช่มีกฎหมายไหนมาบังคับให้เราต้องตกเป็นทาส แต่เรามี #อุบาย มีสติปัญญาอันฉลาดที่จะเข่นฆ่าเสียซึ่งกิเลส ตัณหา มานะ ทิฐิโดยประการต่างๆ คือจะฆ่าตัวกูของกูนั่นเอง ไม่มีอาวุธอื่นดีกว่าที่จะสมัครมีระเบียบความเป็นอยู่อย่างทาสไม่เชื่อก็ลองดู พยายามทำตนเป็นอยู่เหมือนกับทาสรับใช้ผู้อื่นแล้วกิเลสของตนจะเบาบาง พระเยซูพูดถึงข้อนี้เหมือนกันว่าการรับใช้ผู้อื่นคือรับใช้พระเจ้า ขอให้คนทั้งหลายรับใช้ผู้อื่นเถิดจะกลายเป็นการรับใช้พระเจ้า มิฉะนั้นแล้วมันก็จะรับใช้ตัวเอง หาใส่ปากใส่ท้องของตัวเองเห็นแก่ตัวเองอร่อยเองสนุกสนานเองไม่รับใช้ผู้อื่น อย่างนี้คือมันรับใช้ภูติผีปีศาจ เราจึงสรุปความได้ว่า รับใช้ตัวเองนั้นคือรับใช้ภูติผีปีศาจ รับใช้ผู้อื่นนั้นคือรับใช้พระเป็นเจ้า
การที่เราจะมีความประพฤติเป็นอยู่ที่เรียกว่าเป็นอยู่อย่างทาสนี้ มันมีความหมายสำคัญอยู่ที่ #รับใช้ผู้อื่น อย่าได้นึกถึงตัวเลยคือลืมเสียก็ได้ แต่มุ่งแต่จะทำเพื่อรับใช้ผู้อื่น แล้วอะไรๆ มันก็จะเป็นผลดีที่สุดแก่ตัว คือทำลายตัวกูของกูเสียได้ ไม่มีตัวกูของกูมามัวยกหูชูหางอยู่เรื่อยไปเหมือนที่แล้วๆ มา การเป็นอยู่อย่างทาสมันดีอย่างนี้
สี่ : หมายมาดปล่อยวาง เป็นอยู่อย่างทาสชนิดนี้ก็มุ่งมาดการปล่อยวางไม่ยึดมั่นถือมั่นสิ่งใดไว้โดยความเป็นตัวกูของกู หัวใจของทาสชนิดนี้มันมุ่งมาดปล่อยวางอยู่เสมอไม่ยึดมั่นถือมั่น ถ้าอะไรมันมีวี่แววเข้ามาในลักษณะที่จะให้เกิดตัวกูของกูก็สกัดกั้นมันเสีย อย่าให้มันเกิดขึ้นมาได้ อย่างนี้เรียกว่าเป็นการปล่อยวาง ถ้าพูดตามภาษาธรรมดาเค้าก็เรียกว่าวางสิ่งที่มันเกิดอยู่แล้ว แต่ข้อเท็จจริงนั้นคือ การป้องกันไม่ให้เกิด มากกว่า มีความหมายมั่นที่จะทำให้มัน ว่าง ไม่ให้ปรุงแต่งเป็นตัวกูเป็นของกูขึ้นมา นี้เรียกว่ามุ่งหมายความปล่อยวาง
ห้า : อยู่อย่างตายแล้ว คือ จิตใจมันมุ่งมาดความปล่อยวางอยู่เสมอมันก็เท่ากับคนตายแล้วคือไม่มีตัวกูไม่มีของกู อยู่อย่างตายแล้วเช่นนี้เป็นความหมายในทางภาษาธรรม ไม่ใช่ความตายทางร่างกาย ในภาษาคน
ตายแล้วในภาษาธรรมหมายความว่าตัวกูของกูไม่ได้มีอยู่เลย อุปาทานหรืออัสมิมานะ อหังการ มมังการว่าตัวกูว่าของกูนี้ไม่มีอยู่เลย จึงเปรียบได้เหมือนกับว่าตายแล้ว เพราะมันไม่มีตัวเราเพราะมันไม่มีของเรา
หก : มีแก้วในมือ คือดวงจิตว่าง คนที่อยู่อย่างตายแล้วนี้เป็นคนที่มีดวงแก้วในมือ พูดว่าแก้วนี้ก็หมายถึงแก้วในภาษาธรรมอีกเหมือนกัน พวกเราก็ได้ยินได้ฟังกันมามากแล้วว่าแก้วนั้น คือ พระพุทธ คือพระธรรม คือพระสงฆ์ รัตนตรัยแก้วสามดวงนี้มีอยู่ในมือของเราแล้ว ใครลองเป็นอยู่อย่างตายแล้วไม่มีตัวกูของกูยกหูชูหางเถอะ คนนั้นจะมีจิตใจเหมือนพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มีจิตใจเป็นพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ คือไม่มีกิเลสไม่มีความทุกข์
แก้วที่ในมือนี้เราเรียกสั้นๆ ว่ามีจิตว่าง จิตว่างคือดวงแก้ว จิตว่างคือไม่มีกิเลสไม่มีความทุกข์ มีความหมายเป็นพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ หรือเป็นอะไรทุกอย่างที่พุทธบริษัท มีแก้วในมือคือดวงจิตว่าง ไม่มีอะไรอีกเป็นปัญหา ก็แปลว่าสิ้นสุดในเรื่องส่วนตัวของบุคคลนั้น
เจ็ด : แจกของส่องตะเกียง เลี้ยงคนทั้งโลก เหลืออยู่ต่อไปก็คือ แจกของส่องตะเกียง ตัวเองไม่มีไม่ต้องพูดถึง ก็เที่ยวแจกของเที่ยวส่องตะเกียงให้ผู้อื่น ของในที่นี้ก็หมายถึงสิ่งที่จำเป็น ที่เพื่อนเกิด เพื่อนแก่ เพื่อนเจ็บ เพื่อนตายเขาจะพึงได้ ในการที่จะกำจัดเสียซึ่งความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย
คำว่าส่องตะเกียงในที่นี้ก็หมายถึง การให้แสงสว่าง ให้รู้จักหนทาง ที่จะช่วยตัวเองให้ได้ด้วยกันทุกคน แสงตะเกียงก็คือแสงของพระธรรมนั่นเอง เราส่องตะเกียงให้ผู้อื่นก็หมายความว่า ช่วยเหลือให้ผู้อื่นได้มองเห็นธรรม ได้บรรลุธรรม ทีนี้ผู้อื่นก็แปลว่าทั้งหมดไม่ใช่แต่บางคน
เราจะมีการเผยแผ่ธรรมะที่นี่โดยวิธีใดก็ตาม มันเป็นเรื่องแจกของส่องตะเกียงด้วยเหมือนกัน ให้คนได้ความรู้ได้สติปัญญาสำหรับจะเอาชนะกิเลสหรือความทุกข์ ซึ่งเป็นเรื่องทางวิญญาณโดยตรง
วิญญาณของโลกก็หมายความว่า คนทุกคนหรือชีวิตทุกชีวิตที่กำลังมืด กำลังมืดมน กำลังไร้สมรรถภาพ เราให้แสงสว่างให้สมรรถภาพในการที่เขาจะช่วยตัวเองให้รอดพ้นได้ในทางจิตทางวิญญาณ
มุ่งหมายจะแจกของส่องตะเกียงเพื่อคนทั้งโลกอย่างนี้ เรียกว่าเป็นการเลี้ยงคนทั้งโลก ในทางวิญญาณให้อาหารในทางจิตทางวิญญาณแก่คนทั้งโลก เป็นข้อสุดท้ายเป็นฝ่ายสุดท้ายคือฝ่ายผู้อื่น ฝ่ายตัวเรานั้นทำเสร็จแล้วก็ทำเพื่อผู้อื่นต่อไป และยิ่งกว่านั้น การทำเพื่อผู้อื่นนั้นมันก็เป็นการทำเพื่อตัวเราด้วยเหมือนกัน
ดังที่กล่าวว่า รับใช้ผู้อื่นนั้นคือรับใช้พระธรรม ถ้ารับใช้ตัวเองนั้นก็คือรับใช้ภูติผีปีศาจหรือพญามาร การกระทำพร้อมๆ กันไปทั้งสองอย่าง คือช่วยผู้อื่นแล้วเป็นการช่วยตัวเองอยู่ในตัวนั้น เป็นวิธีที่ฉลาดและเป็นวิธีที่เรียกว่าเป็นธรรมเป็นวินัยในพระพุทธศาสนา ไม่ได้ทำเพื่อตน ไม่ได้เห็นแก่ตน ฉะนั้นจงทำทุกสิ่งทุกอย่างด้วยความรู้สึกที่ไม่เห็นแก่ตน แต่เห็นแก่ผู้อื่น แล้วมันจะเป็นการถูกต้องอยู่ในตัวมันเองโดยไม่ต้องมีใครมาสอน ในที่สุดเกิดมาทีหนึ่งก็ได้รับประโยชน์ครบทั้งสองคือประโยชน์ตนและประโยชน์ท่าน ด้วยการกระทำอย่างเดียวกันพร้อมๆ กันไปในตัว พุทธทาสภิกขุ
แจกปัญญา แจกศาสนา แจกธรรมวินัย แจกสิ่งที่ถูกต้อง
เพื่อเดินตามรอยพระพุทธเจ้าร้อยเปอร์เซ็นต์
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
โดยทุกท่านสามารถติดตามเพิ่มเติมได้ที่
https://linktr.ee/watsubthawee
Share wisdom, spread Buddhism and its discipline.
Advocate righteousness to follow Lord of Buddha's footsteps 100%
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
You can receive new Dharma updates.
https://linktr.ee/watsubthawee