แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ในวันอังคารที่ ๖ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๖
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง คุณของพระพุทธเจ้า ตอนที่ ๖ เข้าใจให้ถูกต้องอย่างถ่องแท้ ในธรรมะใบไม้กำมือเดียวที่ดับทุกข์ได้จริง
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
พระพุทธศาสนาเป็นวิทยาการที่สอนเน้นหนักไปในเรื่องของทุกข์ ชี้ให้เห็นทุกข์ทั้งหลายตลอดจนทุกข์ที่ละเอียด ที่ชาวโลกทั้งหลายมองเข้าไปไม่ถึง และสอนให้เห็นหนทางเดินที่จะพ้นไปจากทุกข์ไม่ต้องแก้ปัญหาให้แก่ชีวิตอีกต่อไป (ทุกข์ ทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้ ไม่ใช่เพราะไม่มีจะกิน ไม่มีเงินจะใช้ หรือเจ็บป่วย ไม่สบายเท่านั้น) นั่นก็คือ ตัวการสำคัญที่สุดที่เป็นต้นเหตุทำให้คนโง่ คนหลง ทำให้ทุกข์เกิดขึ้นมาและสอนให้รู้จักทำลายต้นเหตุเหล่านั้นด้วย
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเน้นในเรื่องสำคัญที่สุดของชีวิต พร้อมทั้งนี้แนะแนวทางเอาไว้ให้ด้วยว่าจะแก้ปัญหา คือ ทำลายโมหะหรืออวิชชา ณ ที่ตรงนี้ (ในขณะที่เห็น ได้ยิน) ได้อย่างไร เพราะที่ตรงรู้สึก “เห็น, ได้ยิน” นี่เอง ที่เป็นตัวการทำให้สัตว์ทั้งหลายได้รับความทุกข์โศกโรคภัย แล้วแก้ปัญหาของทุกข์กันไม่หวาดไหว ด้วยมันเป็นตัวการทำให้การเวียนว่ายตายเกิดอุบัติขึ้นมาซ้ำแล้วซ้ำอีกจนนับชาติที่เกิดไม่ได้
ผู้มีปัญญาพิจารณาปัญหาของชีวิตจากพระพุทธศาสนามาด้วยดี ก็จะกำหนดพิจารณา คือ โยนิโสมนสิการอารมณ์ตามทวารต่างๆ ให้บ่อยๆ จนชำนาญเป็นวสี เพราะเป็นการสร้างมหากุศลญาณสัมปยุต คือ มหากุศลที่ประกอบด้วยปัญญาบารมี ซึ่งเป็นกุศลที่มีกำลังมากที่สุด ให้ติดตัวไปทุกชาติๆ จนกว่าจะถึงซึ่งความพ้นทุกข์
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้หยิบใบไม้ในป่าขึ้นมากำมือหนึ่งต่อหน้าภิกษุจำนวนมากแล้วถามว่า ใบไม้ในป่าหรือใบไม้ในมือที่มีจำนวนมาก พระภิกษุทั้งหลายทูลว่าใบไม้ในป่ามีจำนวนมาก ใบไม้ในมือมีจำนวนน้อย พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า จะแสดงธรรมเป็นส่วนน้อยเฉพาะใบไม้ในมือเท่านั้น นั่นก็คือ ปัญหาเรื่องชีวิตและความพ้นทุกข์ และได้แสดงมาตลอดเวลา ๔๕ พรรษา
แม้จะเป็นแต่เพียงใบไม้ในมือซึ่งเป็นส่วนน้อย ถึงกระนั้นผู้ที่จะเข้าถึงแก่นแท้ และกว้างขวางลึกซึ้งจริง ๆ ก็จะต้องใช้เวลามากมายอาจตลอดชีวิตก็ได้
พระองค์มุ่งหมายที่จะแสดงเรื่องของทุกข์และหนทางพ้นทุกข์เป็นหลักสำคัญจึงแสดงแต่ใบไม้ในมือ ไม่ใช่ใบไม้ในป่า แต่ถึงกระนั้น ผู้ศึกษาก็ได้พบกับความน่าอัศจรรย์ใจในความตรัสรู้ของพระองค์
คนเราวิ่งตามอารมณ์ วิ่งตามความคิดนั้น มันไม่จบ พระพุทธเจ้าจึงให้เรารู้ทุกข์ รู้เหตุให้เกิดทุกข์ รู้ความดับทุกข์ รู้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ เมื่อเราเป็นเด็กเราก็คิดว่าเราเป็นผู้ใหญ่เราจะมีความสุข พอเป็นผู้ใหญ่แล้วก็อยากเป็นคนรวยอยากเป็นคนดีอยากเป็นมหาเศรษฐี มีสิ่งอำนวยความสะดวกความสบายพรั่งพร้อม พระพุทธเจ้าให้เรารู้ทุกข์ รู้เหตุเกิดทุกข์ รู้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ ความดับทุกข์มันอยู่ที่ปัจจุบันนี่แหละ ที่เรามีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง ความดับทุกข์มันถึงไม่เกี่ยวกับความจนความรวย ไม่เกี่ยวกับเซ่อซ่า แต่อยู่กับปัจจุบันที่เรามีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง มันเป็นเรื่องของความเข้าใจ และการปฏิบัติที่เป็นศีลสมาธิปัญญาในปัจจุบัน เราจะไม่ได้วิ่งไปหาทุกข์อยู่ที่ไหน ความดับทุกข์มันอยู่ที่ใจของเรานี่แหละ พระพุทธเจ้าน่ะ ท่านค้นคว้ามาอย่างสมบูรณ์แล้ว เราทุกคนจะต้องพากันจัดแจงตัวเอง
จิต ใจ ของเรานี้ สองคำนี้ ก็ถือว่าเป็นอันเดียวกันก็ได้ เพราะว่าใจที่ยังไม่ได้เป็นพระอริยเจ้า เป็นจิตใจที่เป็นไปตามสัญชาตญาณ เป็นใจที่มีอวิชชาเป็นพื้นฐาน แต่ใจที่มีสัมมาทิฏฐิ มีความเห็นถูกต้อง ความเข้าใจถูกต้อง เราปฏิบัติถูกต้อง เอาธรรมเป็นหลัก เอาธรรมเป็นใหญ่ ก็เป็นใจที่บริสุทธิ์ที่ประกอบด้วยปัญญา พระพุทธเจ้าถึงต้องให้เราพัฒนาจิตใจ จิตใจของเราต้องมีปัญญา
ปกติแล้วเราเจอผัสสะ อายตนะภายนอกภายในอย่างนี้มันก็จะไปตามสัญชาตญาณ เราทุกคนต้องมาพัฒนาใจของตัวเองในปัจจุบัน ปกติแล้วความเคยชินอย่างนี้ หรือความยึดมั่นถือมั่นอย่างนี้ เขาทรงไว้ซึ่งความยึดมั่นถือมั่น ทรงไว้ซึ่งความหลง เราถึงต้องมาเจริญภาวนาให้ใจของเราเกิดปัญญา ให้ใจของเราสู่ปัญญาสู่วิปัสสนา เพราะว่าคนเราจะก้าวหน้าได้ก็ต้องภาวนาให้เกิดปัญญา เราเอาสิ่งที่เรารับรู้ในปัจจุบันสู่พระไตรลักษณ์ เมื่อตาเห็นรูปอย่างนี้ มันก็จะไม่อยากพิจารณาเข้าสู่พระไตรลักษณ์ เข้าสู่ความเป็นอนิจจัง เข้าสู่ทุกขัง เข้าสู่อนัตตา เขายินดี เขาเพลิดเพลิน เขาย้อมจิตย้อมใจ ปัจจุบันเราถึงเอาใจของเรามาทำงาน เป็นการทำงานทางจิตใจในปัจจุบัน เรามีตาก็เพื่อฉลาด มีหูก็เพื่อฉลาด มีจมูก มีลิ้น มีกาย มีใจก็เพื่อฉลาด เพื่อจะได้พัฒนาตัวเอง เพื่อไม่ให้ชีวิตของเราผ่านไปโดยไม่มีประโยชน์อะไร เพราะร่างกายนี้ส่วนใหญ่ไม่เกินร้อยปี ทุกคนก็ต้องจากโลกนี้ไป
การทำความเพียรของเราการปฏิบัติของเราหน่ะ ....อย่างพระหน่ะ พระพุทธเจ้าถึงให้มีศีลมากมาย จนนับไม่ไหว จึงได้แยกย่อยเป็นสิกขาบทอะไรๆ เพื่อจะให้รู้แง่มุมในสิ่งต่างๆ ว่า ทุกอย่างมันเกิดขึ้น ทุกอย่างมันตั้งอยู่ ทุกอย่างมันดับไป ถ้าเราตามไปก็ถือเราไปตามสัญชาตญาณแล้ว เรามาภาวนา มาตัดภพตัดชาติ
อย่างประชาชนอย่างนี้ก็ให้เอาศีลห้าเป็นหลัก เน้นที่เจตนาทุกคน มันอยู่ที่เจตนา เราจะเข้าถึงความบริสุทธิ์ได้ด้วยเจตนา ถ้าเราไม่ทำอย่างนี้ ไม่ปฏิบัติอย่างนี้ เราก็ไม่ได้ปฏิบัติเลย เราปล่อยเวลาของเราให้เพลิดเพลินให้ลุ่มหลงไป อะไรเป็นความเนิ่นช้า นั่นคือความเพลิดเพลิน ความประมาท เราจะไปประมาทไม่ได้ เราต้องไฟท์ติ้งกับตัวเอง เพราะชีวิตของเราเป็นชีวิตที่ประเสริฐมาก เราทำอย่างนี้แหล่ะ ทุกคนก็จะได้ดีหมดทุกคน
เราทำอย่างนี้หล่ะมันก็ไปเรื่อยๆ ในปัจจุบัน เพราะการปฏิบัติมันอยู่ที่ปัจจุบัน มันจะฉลาดเร็ว เพราะเป็นปัจจุบัน นี่เราเล่นไม่ได้ปฏิบัติอะไรเลย ปล่อยไปตามสัญชาตญาณ มันจะได้บรรลุธรรมได้อย่างไร เพราะว่าไม่ได้ปฏิบัติ คนเราทุกคนต้องประพฤติปฏิบัติ ประชาชนกับพระก็มีสิทธิ์ประพฤติปฏิบัติทางจิตใจได้พอๆ กัน
เราจะเดินตามรอยของพระพุทธเจ้า ทำไมพระพุทธเจ้าท่านไม่ท้อแท้บำเพ็ญพุทธบารมีตั้งหลายล้านชาติเพราะท่านมีความสุขในการที่พัฒนาใจ พัฒนาพระนิพพาน การเรียนหนังสือทุกวัน ทำไมมันเครียดแท้ เพราะเราหน่ะ ปัญญาของเรามันไม่บริสุทธิ์ เราเรียนเพื่อจะทำมาหากิน ทำงาน เรียนเพื่อจะเอาใบประกาศ แม้แต่เรียนธรรมะก็เครียด เพราะว่ามันเรียนเพื่อตัวตน การเจริญปัญญาอย่างนั้นมันปัญญาที่ทำร้ายตัวเอง เพราะเราดูแล้ว เพราะคนเราปัญญาจะเกิดขึ้นได้มันต้องเรียนต้องศึกษาต้องปฏิบัติ ปัญญามันต้องไม่มีตัวไม่มีตน มันถึงจะไม่เครียด มันถึงจะเป็นปัญญาหัวใจติด air condition เพราะเป็นมิจฉาทิฏฐิ นึกว่าการเรียนการศึกษาเพื่อเอายศ เอาตำแหน่ง เอาเจ้าอาวาส เอาพระครู เอาเจ้าคณะ เอาปริญญา เอาใบประกาศ เพราะเราเน้นเพื่อความยึดมั่นถือมั่น เพื่อความเห็นแก่ตัว มันเป็นความคิดผิด เข้าใจผิด ปฏิบัติผิด ความเครียดถึงเกิดมา ความเครียดมันแย่เลยทำให้คนเป็นมะเร็ง เป็นมะเร็งทางร่างกาย มาจากความเครียด มาจากอาหาร มาจากอากาศ มาจากจิตใจ
มนุษย์เราต้องเจริญปัญญา แต่ปัญญาต้องเป็นปัญญาที่บริสุทธิ์ เราจะพัฒนาตามหลักเหตุผล ตามหลักวิทยาศาสตร์ เพื่อจะเสียสละ คนเรามันเห็นแก่ตัว เพื่อผู้อื่นอย่างนี้น่ะมันไม่อยากทำอย่างนี้นะ ทุกคนก็ทำเพื่อตัวเอง เพื่อพ่อเพื่อแม่เพื่อครอบครัว มันไม่เครียดมันจะอยู่ได้อย่างไร เพราะว่ามันเป็นมิจฉาทิฏฐิ เราเสียสละ เราก็ได้บ้านได้รถ ลาภยศ สรรเสริญ เพราะบุคคลที่ควรเคารพกราบไหว้ก็คือ ผู้ที่เสียสละ ผู้มีศีล ศิลปะในการดำเนินชีวิตที่ประเสริฐ ที่ละความเห็นแก่ตัว มีความตั้งมั่นในความดี เพราะอันนี้มันเข้าใจผิดกันมาก เค้าเรียกว่าการศึกษามันเป็นการขุดหลุมฝังตัวเอง เพราะเราเป็นมิจฉาทิฏฐิ เพราะทำความดีเพื่อความเห็นแก่ตัว มันไม่ใช่ความดี ไม่ใช่ความดีที่บริสุทธิ์ มันมีตัวตนแอบแฝง ให้ทุกคนทั้งผู้ที่แก่เรียนและผู้ที่ไม่แก่เรียนพากันเข้าใจ เพราะพระพุทธศาสนาคือพระพุทธเจ้า ก้าวไปไกลกว่านั้น ก้าวไปกว่า คลื่น 4G 5G 100G
ในการทำธุรกิจหน้าที่การงาน เราก็จะรู้แจ้งทีละอย่างไปเลย เป็นคนที่รู้เหตุรู้ผล อย่างนี้เก่ง แต่เก่งในปัจจุบัน แต่ว่าปัจจุบันนั้นไม่ได้เป็นปัจจุบันธรรม ยังเอาปัญญาไปใช้ในทางสวรรค์ ในทางมนุษย์ ในทางทำมาหากิน แต่ยังเป็นปัญญาโลกีย์อยู่ อย่างบางคนก็คิดเรื่องวิทยาศาสตร์ได้ย้อนไปเป็นหลายร้อยปี หลายพันปี เป็นหมื่นๆ ปี อย่างนักวิทยาศาสตร์....คำนวณไว้ข้างหน้าว่า หนึ่งปี สองปี สามปี สี่ปี ห้าปี สิบปี อะไรๆ ก็ว่าไปได้ แต่ปัญญานั้นมันยังเป็นโลกียะปัญญา ไม่ใช่ปัญญาในทางธรรมแบบโลกุตตระ ไม่ใช่ปัญญาที่เป็นความบริสุทธิ์ เราต้องเอาปัญญานั้นมาย่อย มาปฏิบัติให้มันเข้าสู่สัมมาทิฏฐิเพราะทิฏฐินี้ก็ ถ้าเป็นปุถุชนก็มีทิฏฐิเหมือนกัน พระอริยเจ้าก็มีทิฏฐิเหมือนกัน แต่ว่ามันเป็นสัมมาทิฏฐิ ปุถุชนก็มีทิฏฐิเหมือนกันแต่ก็เป็นมิจฉาทิฏฐิ
อวิชชามันไม่เข้าใครออกใคร ความย่อหย่อนอ่อนแอมันก็จะมาอย่างนี้ บางทีมันก็ธุระมาก ทำวัตรเช้าก็ไม่เอา ทำวัตรเย็นก็ไม่เอา ย่อหย่อนอ่อนแอ มันไม่ขลัง ไม่ศักดิ์สิทธิ์ ในธรรมวินัยนี้ จะพูดให้ดูแง่มุมของความเสื่อมจากพระศาสนานะ แต่พระศาสนาไม่เสื่อมหรอก เพราะศาสนามันเป็นอมตะ พวกเราจะทำความเสื่อม จะทำความเสียหายให้กุลบุตรลูกหลาน ที่จะไม่ได้รับผลประโยชน์จากศาสนา สร้างโบสถ์ สร้างวิหาร สร้างเจดีย์ ให้ทำบุญตักบาตร เพราะว่าเรานี้ไม่ได้เดินตามพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า เรากลับมาเป็นนิติบุคคล ตัวตน ความยึดมั่นถือมั่น มรรคผลนิพพานมันจะหมดจากครอบครัวของเรา
พระพุทธเจ้าตรัสสอนในเรื่องนี้ไว้ว่า “ภิกษุทั้งหลาย! เพราะเหตุนั้น ในเรื่องนี้ พวกเธอทั้งหลาย พึงสำเหนียกว่า "เราทั้งหลาย จักไม่เป็น ผู้มักมาก, จักไม่เป็นผู้ร้อนใจเพราะความมักมาก, แต่เป็นผู้รู้จักพอด้วยผ้านุ่งห่ม อาหาร ที่อยู่อาศัย และ หยูกยาแก้ไข้ ตามมีตามได้; จักไม่ตั้งความปรารถนาลามก เพื่อให้ได้รับการคอยเอาอกเอาใจจากคนอื่น และเพื่อให้ได้ลากสักการะและเสียงเยินยอ; จักไม่วิ่งเต้น ขวนขวาย พยายาม เพื่อให้ได้รับการคอย เอาอกเอาใจจากคนอื่น,และเพื่อให้ได้ลากสักการะและเสียงเยินยอ; จักเป็นผู้อดทนต่อหนาว ร้อน หิว ระหาย ต่อสัมผัสแห่งเหลือบ ยุง ลม แดด และสัตว์เสือกคลานทั้งหลาย,ต่อถ้อยคำหยาบคายร้าย แรงต่างๆ, เป็นผู้อดทนต่อเวทนา ที่เกิดในกาย อันเป็นทุกข์ กล้าแข็ง เผ็ดร้อน ขมขื่น ไม่เจริญใจ ถึง ขนาดจะคร่าเอาชีวิตเสียได้" ดังนี้. ภิกษุทั้งหลาย! พวกเธอทั้งหลาย พึงสำเหนียกใจไว้อย่างนี้แล.”
ทุกท่านทุกคนต้องพากันสมาทานนะ ศีลนี้เป็นยานพาหนะที่จะออกจากวัฏฏะสงสาร เราต้องสมาทาน แล้วก็ต้องปฏิบัติตาม ใจของเราหน่ะ เน้นความบริสุทธิ์อยู่ที่ใจ คนเราถ้าใจไม่บริสุทธิ์ ไม่เข้าถึง ไม่ละเสียตัวตนธรรมะมันเกิดไม่ได้ เพราะธรรมะมันเสียสละซึ่งตัวซึ่งตน เรานี้ไม่ได้เป็นผู้หญิง ผู้ชาย ไม่ได้เป็นคนแก่ คนหนุ่ม คนสาว ไม่ได้เป็นพระ เป็นโยมนะ เราคือธรรมะ คือสภาวะธรรม อยู่ว่างๆ ก็พิจารณาสภาวะธรรม กายสู่พระไตรลักษณ์ ร่างกายของเราทุกชิ้นส่วนเพื่อจะละลายพฤติกรรมแห่งการยึดมั่นถือมั่น พิจารณาเวทนาสู่พระไตรลักษณ์ เพราะอันนี้เป็นยาที่จะรักษาโรค รักษาการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะสงสาร เพราะสมาธิเป็นเพียงสงบเย็นเฉยๆ เราต้องเข้าใจ ปัญหาต่างๆ ให้พากันรู้จักนะ ปัญหาเราที่เกิดเพราะคนนั้นดี คนนี้ไม่ดี อากาศร้อน อากาศหนาว ปัญหามันอยู่ที่ใจของเราอยากให้มันเป็นอย่างโน้น อยากให้มันเป็นอย่างนี้ เราต้องรู้จัก เราต้องปรับตัวเข้าหาธรรมะ
ที่พระก็ดี แม่ชีก็ดี มันไม่มีทางไป เพราะมันเอาตัวตนไป จะไปที่ไหนได้ มันไปไม่ได้ ต้องเสียสละ มันจะได้ตัดเรื่องตายแล้วเกิด ตายแล้วสูญ ตายแล้วไปไหน มันจะตัดใจของเราในปัจจุบัน เราต้องมีความสุขในการเสียสละอย่างนี้ ทุกท่านทุกคนอย่าพากันขี้เกียจขี้คร้านนะ เพราะความขี้เกียจขี้คร้านนี้ มันเป็นความเห็นผิด เป็นความปล่อยวาง เพราะคิดอย่างนั้น มันว่างจริง ว่างจากมรรคผล ว่างจากพระนิพพาน มันเป็นอาการของอวิชชา เราจับประเด็นไม่ได้ หายใจเข้าให้มีความสุข หายใจออกให้มีความสุขไว้ คนเราอยู่กับตัวเองไม่ได้ เพราะว่าอานาปานสติมันไม่ทำงาน จิตใจยังเสื่อมอยู่ ยังกระท่อนกระแท่นอยู่ ต้องปรับตัวเข้าหาข้อวัตร กิจวัตร เราจะเคารพตัวเองก็เพราะตัวเองมีศีล มีข้อวัตร มีข้อปฏิบัติ เราจะเคารพตัวเองได้ คนอื่นจะเคารพเราได้ก็เพราะเรามีศีล มีสมาธิ มีปัญญา เสียสละ ไม่มีตัวไม่มีตน คนอื่นถึงจะเคารพนับถือเรา
เราไม่มีสิทธิ์ที่จะไปว่าให้เขา เราอย่าเป็นคนเจ้าอารมณ์ ต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองใหม่ มันทำตามใจตัวเอง ทำตามอารมณ์ตัวเอง มันมีแต่เซ่อๆ เบลอๆ ไปเรื่อย ต้องเข้าใจ ใครมันไม่ดี ใครไม่ได้ทำตามคำสอนของพระพุทธเจ้าร้อยเปอร์เซ็นต์ พยายามสมาทาน พยายามตั้งใจ พระพุทธเจ้าก็จะอยู่ที่เรา พระธรรมก็จะอยู่ที่เรา จิตใจของเราจะได้มีความสุข ไม่หว้าเหว่
เรื่องสติ สัมปชัญญะในปัจจุบันนี้มันสำคัญมาก ให้เรามีสติ อยู่กับเนื้อกับตัว รู้ว่าอันไหนผิด อันไหนถูก ใจของเรานี้อย่าให้มันคิดถึง สามครั้ง ครั้งที่หนึ่งสัญญาณ ครั้งที่สองเราก็ภาวนาเข้าสู่พระไตรลักษณ์ เรื่องหยุดมีเซกซ์ทางความคิด ทางอารมณ์นี้ ต้องถือว่าเป็นเรื่องที่สำคัญนะ อย่าไปปล่อยให้ตัวเองเสียเวลา อย่าปล่อยให้ตัวเองโง่ อย่าไปใจอ่อน อย่าไปขอโอกาสที่เสพกาม หลงในกามไปเรื่อย เพราะคนเราถ้าไม่ใช่เรื่องการเวียนว่ายตายเกิดทางจิตใจ หรือเรื่องมีเซกซ์ทางจิตใจนี้ มันไม่ได้ อานาปานสติของเราต้องเด่นขึ้น โผล่ขึ้น สติสัมปชัญญะในปัจจุบันให้เรามีความสุขในการทำงาน มีความสุขในการปรับตัวเข้าหาศีล เข้าหาธรรม ใจของเรามันจะกระอักเลือดเมื่อเคยกิน เคยบริโภค ประชาชน ผู้ที่มาบวชถึงปฏิบัติไม่ได้ เขาจะอดบุหรี่ อดเหล้าต้องอาศัย สามอาทิตย์ขึ้นไปหรือเป็นเดือนๆ เราจะข้ามสภาวะธรรมข้ามความคิดทางอารมณ์มันก็ต้องเป็นอย่างนี้ เราต้องเห็นภัยในวัฏฏะสงสาร เราจะอาลัยอาวรณ์อย่างนี้ไม่ได้ มันใจอ่อนนะ ทุกคนมันใจอ่อน มันเป็นประชาธิปไตยทำเหมือนกันหมดทั้งโลก ทั้งประเทศ
เราจะไปแก้สิ่งภายนอก ไปแก้สิ่งอื่นนั้นน่ะมันเป็นสิ่งที่ทำได้ยาก เพราะปัญหาของมนุษย์ส่วนใหญ่มันอยู่ที่ 'ใจ' ปกติทุกคนมันก็ไม่มีเรื่องอะไรมากอยู่แล้ว แต่มันพากันคิดมาก มีความต้องการมากเลยสร้างปัญหาให้กับตัวเอง กลายเป็น 'โลกธรรม' ครอบงำ กลายเป็นต้องมีครอบครัว
ถ้าเรามีครอบครัวแล้วทีนี้เราก็ต้องทุกข์กับสิ่งใหม่ๆ เป็น กระบวนการ ต้องแสวงหาทรัพย์สมบัติ แสวงหาวัตถุเพื่อที่จะอำนวยความสะดวกสบายแก่ตัวเราและครอบครัว เราดูคนส่วนใหญ่เค้าเป็นอย่างนั้น สิ่งที่มันยากลำบาก นี้แหละเราลองมาคิดๆ ดู ใครเป็นคนสร้าง ใครเป็นคนก่อใครเป็นคนทำให้เกิดปัญหา...? "ตัวเรานี้แท้ๆ เป็นคนที่สร้างปัญหาให้กับตัวเอง ขุดหลุมพรางให้ตัวเองไปตก"
พระพุทธเจ้าท่านถึงให้เรารู้จักใจ...รู้จักอารมณ์ อย่าพากันไปคิดมาก 'คิดมาก' มันก็ 'บาป' ถ้าเราไม่คิดอะไรเราก็ไม่มีทุกข์ ทุกคนก็ไม่อยากคิด เพราะคิดแล้วมันทุกข์แต่มันหยุด ความคิดตัวเองไม่ได้ มันทำใจให้สงบไม่ได้ ท่านว่า..."เราพากันชอบความวุ่นวายไม่ชอบความสงบ ว่าเรานี้ชอบสร้างปัญหา ไม่ใช่บุคคลที่แก้ปัญหา"
เวลานั่งสมาธิอย่างนี้ หรือทำวัตรสวดมนต์อย่างนี้ก็ว่า ไม่มีเวลา แต่เวลาดูละครดูโทรทัศน์ดึกดื่นก็ไม่ยอมนอน นี้มันหมายถึงทุกคนไม่ชอบความสงบ การฝึกใจนั้นน่ะ ถ้าเราฝึกเฉพาะนั่งสมาธิ ทำวัตร สวดมนต์นั้น "ยังไม่เพียงพอ" ต้องปฏิบัติในกิจวัตรในชีวิตประจำวันของเรา สิ่งที่เกิดขึ้นที่ชอบ ไม่ชอบนั้นน่ะ เราต้องแก้ไจของเราให้สงบ...ให้มันระงับ... ให้มันหยุด...ให้มันเย็น กองไฟนิดเดียวถ้าเราไม่เติมเชื้อเพลิง เดี๋ยวเพลิงนั้นก็ดับไป "การเวียนว่ายตายเกิดนั้นมันเป็นสิ่งที่ยากลำบาก เราทุกท่านทุกคนจำเป็นต้องพากัน ประพฤติปฏิบัติธรรมเพื่อเข้าสู่มรรคผลพระนิพพาน"
ชีวิตของเราทุกคนถือว่าเป็นชีวิตที่ประเสริฐ เป็นชีวิตที่มีค่า ถ้าเรามาหลงทางโลกทางวัตถุในอนาคตน่ะ เราต้องได้รับความยากลำบากแน่ เรามาดีเรามาสว่าง พระพุทธเจ้าท่านว่า เราต้องสว่างยิ่งๆ ขึ้นไป ฝึกจิตใจให้มันสงบ ให้มันเย็น ให้ตัวเองมันเข้าสมาธิให้ได้ ทำไปเรื่อยๆ มันอาจจะผิดบ้างถูกบ้างก็ทำไปเรื่อยๆ ถ้าเราเป็นคนมักง่ายน่ะ ศีลเราก็ไม่อยากรักษา สมาธิเราก็ไม่อยากเจริญ เราจะเอาเจริญปัญญาอย่างเดียวน่ะ "เราเป็นคนขี้เกียจนะ ถ้าคิดอย่างนั้น"
ถ้าใจของเราไม่ว่าง เราจะคิดว่ามันว่าง... คงเป็นไปไม่ได้ เพราะเราเป็นคนติดสุขติดสบาย ไม่อยากประพฤติปฏิบัติแต่ก็อยากได้ อยากมีอยากเป็น เราต้องหยุดตัวเองให้ได้ เราต้องสงบตัวเองให้ได้ ทำใจของเราให้เย็นให้ได้ เพราะสิ่งทั้งหลายทั้งปวงเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป เวลาพ่อแม่เรา ญาติพี่น้องวงศ์ตระกูลเราจากไปเราจะไม่เป็นทุกข์คงเป็นไปไม่ได้ เพราะเราไปแสวงหาแต่สิ่งที่ชอบใจสิ่งไหนที่ข้าพเจ้าชอบข้าพเจ้าก็จะเอา สิ่งไหนที่ข้าพเจ้าไม่ชอบข้าพเจ้าก็ไม่เอาต้องทำใจให้มันสงบ ให้หยุด ให้เย็น ถ้าเราไปหาสิ่งที่ชอบใจน่ะเราคงได้รับอันตรายแน่แหละ
เพราะทุกท่านทุกคนน่ะ ได้มีสมบัติติดตัวมาแล้วตั้งแต่เกิด คือ ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ความพลัดพราก ต้องทำความสงบไว้ เมื่อสถานการณ์อะไรต่างๆ เกิดขึ้น เราจะไม่ได้ไปมีทุกข์ เราต้องทำนะ ต้องปฏิบัตินะ
พระพุทธเจ้าท่านพูดเรื่องเหตุเรื่องผล เรื่องรายรับ รายเสีย ท่านไม่ได้กดดันอะไรเรานะ คนจะเชื่อหรือไม่เชื่อพระพุทธเจ้า ท่านก็ไม่ได้ว่าอะไรน่ะ ท่านก็สงสารพวกเราเมตตาเรา การรักษาศีลก็ให้มุ่งเข้าถึงพระนิพพานการทำสมาธิก็ให้มุ่งเข้าถึงพระนิพพาน การเจริญปัญญาก็ให้มุ่งเข้าถึงพระนิพพาน การเสียสละทั้งหลายทั้งปวง ก็ให้มุ่งเข้าถึงพระนิพพาน เพราะเรา 'มีตัวมีตน' นี้มีทุกข์มาก
คนที่เค้าเจริญก้าวหน้า เค้าก็ต้องคบกับคนดี คบกับบัณฑิต เมื่อเราไม่เป็นตัวอย่าง ลูกเรามันก็ต้องมาถ่ายทอดรับไม้ผลัด เหมือนกับวิ่งเล่นกีฬา มันก็วิ่งตามกัน มันก็เกี่ยวกับความดึงดูดของอวิชชา มันดึงดูดเรามาก เราต้องตั้งมั่นในยานวิเศษ ยานวิเศษก็คือศิลปะที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน เรียกว่าอริยมรรคมีองค์ ๘
ถ้าสิ่งไหนมันจะเป็นทุกข์ มันผุดคิดขึ้นมา พระพุทธเจ้าท่านให้เรารู้จักแล้วอย่าไปตามความคิดไป เห็นไหมที่เรากลัวในสิ่งต่างๆ สิ่งที่สมควรกลัว เพราะว่าเราตามความคิดไป คิดจนมันกลัวน่ะ
วิธีที่เราจะแก้ความกลัวแก้ความคิดนี้ ให้เรากลับมาหาตัวเอง ด้วยการหายใจเข้าหายใจออกให้มันชัดเจน รู้ตัวทั่วพร้อมให้มันชัดเจน รู้จนจิตใจเป็นหนึ่ง ไม่ส่งออก ไม่ตามอารมณ์ไป จิตใจเป็นตัวของตัวเอง
ผู้ที่ไม่มีความกลัวก็ได้แก่พระอรหันต์ เพราะว่าท่านไม่ได้วิ่งตามความคิด ไม่ได้วิ่งตามอารมณ์ ท่านรู้อยู่แล้วว่าความคิดอย่างนี้มันไม่มีประโยชน์ จะคิดมันทำไม คิดแล้วมันมีปัญหาเสียศักยภาพ ผู้ที่มีจิตใจกังวลมันมีความกลัวซ่อนอยู่
พระพุทธเจ้าท่านให้เรารู้จักตัวเองนะ เราไม่ต้องกลัวมันอีกแล้ว เราทำดีๆ เราพูดดีๆ เราคิดดีๆ ชีวิตของเรามันก้าวไปด้วยการกระทำ เราจะไปกลัวมันทำไม วิตกมันทำไม ถึงเวลานอนก็ให้เรานอนให้มีความสุข ตื่นขึ้นเราก็จะได้มีเรี่ยวแรง มีศักยภาพทั้งทางกาย ทั้งทางจิตใจ
ธรรมะที่ทำให้ใจเรามีกำลัง ได้แก่ความพอใจในการทำความดี พอใจในการเสียสละ พอใจในการละความเห็นแก่ตัว มีความสุขมาก มีความเบิกบานมากในการทำความดี มีความเพียร มีความบากบั่น มีความพยายามไม่ท้อแท้ ถือเอาอุปสรรคนั้นเป็นการสร้างความดี ให้ถือคติว่าถ้าไม่มีความยากลำบาก มันก็ไม่ได้สร้างบารมีนะ
พระพุทธเจ้าท่านไม่ให้เราเป็นคนเหยาะแหยะไม่เอาจริง พระพุทธเจ้าท่านทรงอุปมาไว้ว่าถ้าเราจะทำอะไรต้องทำจริง เอาจริง ท่านเปรียบเหมือนบุรุษที่ถอนหญ้าคา การถอนหญ้าคาต้องกำให้แน่น ถ้ากำไม่แน่นแล้วมันถอนหญ้าคาไม่ขึ้น เพราะหญ้าคารากมันแน่นมันเหนียว ต้องจับให้แน่น ถ้ากำไม่แน่นแล้วดึงกำหลวมๆ พอเราดึงหญ้าคามันก็บาดมือ ถ้าเราไม่เอาจริงเอาจังสม่ำเสมอ นิสัยเก่า อนุสัยเก่าเดี๋ยวมันก็กลับมาเหมือนเดิม อินทรีย์บารมีทุกคนน่ะ ถือว่าบารมีของเรามันยังอ่อน เราจะเอาใจของเราเป็นใหญ่ไม่ได้ ต้องปรับเข้าหาทางสายกลาง ถือศีล มีความตั้งมั่นคือสัมมาสมาธิ เราใคร่ครวญดูแล้วว่า สิ่งเหล่านี้มันดี มันถูกต้อง มันไม่ผิด คือ ปัญญา
ให้เรารู้จักผีนะ รู้จักเปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน มันไม่อยู่ไกลหรอก มันอยู่ในใจของเรานี้แหละ มันคอยหลอกคอยหลอนเราอยู่ตลอดเวลา เราอย่าไปกลัวผีข้างนอก ผีไกลๆ อย่าไปกลัว ความเห็นผิดความเข้าใจผิด มันกลัวความดี
ชีวิตของเราต้องเอาความถูกต้องเป็นเดิมพัน เอาความเป็นธรรม เอาความยุติธรรม เอาพระวินัย เป็นเดิมพัน ต้องเสียสละ เพื่อพัฒนาสร้างอริยมรรค เพื่อตัดซึ่งตัวซึ่งตน ที่มันนำทุกๆ คนให้ท่องเที่ยวอยู่ในวัฏฏะสงสาร ให้เข้าถึงธรรม ถึงปัจจุบันธรรมให้ได้ในในปัจจุบัน เราไม่ต้องกลัว ปัจจุบันอย่างนี้เราต้องมีจิตใจที่โดดเด่น จิตใจที่ไม่มีอะไรครอบงำได้ มีแต่ธรรมะ มีแต่สภาวะธรรมที่ปราศจากตัวตน ให้ทุกท่านทุกคนพากันประพฤติปฏิบัติอย่างนี้ เราไม่ต้องไปหงอเหมือนแต่ก่อน ในโลกนี้เราไม่มีอะไรที่จะน่ากลัว เพราะว่าเราเดินตามรอยของพระพุทธเจ้า พระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า จิตใจของเราย่อมสง่างามโดดเด่นด้วยศีล ด้วยสมาธิ ด้วยปัญญา
แจกปัญญา แจกศาสนา แจกธรรมวินัย แจกสิ่งที่ถูกต้อง
เพื่อเดินตามรอยพระพุทธเจ้าร้อยเปอร์เซ็นต์
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
โดยทุกท่านสามารถติดตามเพิ่มเติมได้ที่
https://linktr.ee/watsubthawee
Share wisdom, spread Buddhism and its discipline.
Advocate righteousness to follow Lord of Buddha's footsteps 100%
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
You can receive new Dharma updates.
https://linktr.ee/watsubthawee