แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ในวันอาทิตย์ที่ ๔ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๖
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่องคุณของพระพุทธเจ้า ตอนที่ ๔ พึ่งพระพุทธเจ้า ปฏิบัติตามพระธรรม พัฒนาจิตให้ประเสริฐตามพระอริยสงฆ์
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
เราเกิดมาเป็นมนุษย์นี้ สิ่งไหนสำคัญที่สุด สิ่งที่สำคัญที่สุด ที่เราเป็นผู้ประเสริฐ ที่เราได้เกิดมาเป็นมนุษย์ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ พระรัตนตรัย พระรัตนตรัยคืออะไร พระรัตนตรัยคือ พระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยะสงฆ์ เรียกว่าพระรัตนตรัย พระพุทธเจ้าคืออะไร พระพุทธเจ้าคือ ผู้ที่เสียสละ เอาธรรมเป็นหลัก เอาธรรมเป็นใหญ่ เอาธรรมเป็นที่ตั้ง เอาธรรมเป็นการดำเนินชีวิต บำเพ็ญพุทธบารมีหลาย ล้านชาติ สมบูรณ์ด้วยความรู้ความเข้าใจ สมบูรณ์ด้วยภาคประพฤติ ภาคปฏิบัติ จนได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าคือธรรมะ ธรรมะคือพระพุทธเจ้า เป็นพระธรรมเป็นพระวินัย
พระธรรมคืออะไร พระธรรมคือสภาวะธรรมที่บริสุทธิ์ คือเป็นกฎแห่งกรรม เพราะกฎแห่งกรรมที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วดับไป เป็นธรรมะที่เนื่องจากมาเหตุจากปัจจัย เพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปมันถึงมี ถ้าสิ่งนั้นมี ถ้าเราไม่ให้มี เราก็ต้องหยุดเพื่อไม่ให้มี ทุกคนต้องให้พระพุทธเจ้าเกิดขึ้นแก่เรา ให้พระธรรมเกิดขึ้นแก่เรา ให้พระอริยสงฆ์เกิดขึ้นแก่เรา พระอริยะสงฆ์คืออะไรล่ะ พระอริยะสงฆ์คือผู้ที่ปฏิบัติตามพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ไม่ถึงบารมีระดับพระพุทธเจ้า เป็นผู้ที่ละ ละตัว ละตน ละกิเลสอาสวะ ด้วยเอาพระพุทธเจ้าเป็นหลัก เป็นที่ตั้ง
ชีวิตของเราที่เป็นมนุษย์นี้เป็นชีวิตที่ประเสริฐ เราได้พระพุทธเจ้าเป็นผู้นำทาง ชีวิตของเราต้องเข้าถึงธรรมะในปัจจุบัน เพราะความสุขความดับทุกข์หาได้อยู่ในความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้องในปัจจุบัน ปัจจุบันนี้เป็นกิจกรรมที่จะนำเราก้าวหน้าไป เราจึงต้องจัดการตัวเองให้ได้ เพราะมันจะคิดไปข้างหน้าเรื่อย ปัจจุบันนี้สำคัญ มันคิดว่ามีบ้านมีรถมีลาภยศสรรเสริญ มีอย่างโน้นอย่างนี้ มันจะมีความสุข แต่มันไม่จริงเลย อันนั้นเป็นภาพหลอกเป็นภาพมายา ที่ทำให้เราเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสาร เราต้องดับทุกข์ของเราให้ได้ในปัจจุบัน ให้ชีวิตมันสงบเย็นเป็นพระนิพพาน เพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปมันถึงมี สำหรับผู้ที่มาบวช เมื่อวานก็ได้พูดถึงเรื่องพระพุทธเจ้าพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า จึงต้องพากันประพฤติปฏิบัติ เพราะเราโชคดีมากที่ได้มาพบคำสอนของพระพุทธเจ้า
สมัยหนึ่ง เมื่อตรัสรู้แล้วไม่นาน พระตถาคตเจ้าประทับอยู่ ณ สีตวันใกล้กรุงราชคฤห์ พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ ครั้งนั้นอนาถปิณฑิกเศรษฐียังมิได้รู้จักพระพุทธเจ้า ได้เดินทางไปกรุงราชคฤห์เพื่อเยี่ยมเยียนสหาย และเพื่อกิจการค้าด้วย เมื่อไปถึงเศรษฐีผู้สหายต้อนรับพอสมควรแล้ว ก็ขอตัวไปส่งงานคนทั้งหลายให้ทำนั่นทำนี่จนไม่มีโอกาสได้สนทนากับอาคันตุกะ อนาถปิณฑิกะประหลาดใจจึงถามว่า "สหาย! ครั้งก่อนๆ เมื่อข้าพเจ้ามา ท่านกระวีกระวายต้อนรับอย่างดียิ่ง สนทนาปราศรัยเป็นที่บันเทิงจิตตามฐานะมิตรอันเป็นที่รัก ท่านละงานอื่นๆ ไว้สิ้น มาต้องรับข้าพเจ้า แต่คราวนี้ท่านละข้าพเจ้าแล้วสั่งงานยุ่งอยู่ ท่านมีงานอาวาหวิวาหมงคล หรือพระเจ้าพิมพิสารจอมเสนาแห่งแคว้นมคธจะเสด็จมาเสวยที่บ้านของท่านในวันพรุ่งหรืออย่างไร?"
"สหาย! เศรษฐีกรุงราชคฤห์ตอบ "อภัยข้าพเจ้าด้วยเถิด ข้าพเจ้าจะไม่สนใจใยดีในการมาของท่านก็หามิได้ ท่านก็คงทราบอยู่แก่ใจแล้วว่าข้าพเจ้ามีความรักในท่านอย่างไร แต่พรุ่งนี้ข้าพเจ้าอาราธนาพระพุทธเจ้าพร้อมด้วยพระภิกษุสงฆ์จำนวนร้อย เพื่อเสวยและฉันอาหารที่นี่ เพราะฉะนั้นข้าพเจ้าจึงมัวสั่งงานยุ่งอยู่"
"สหาย! ท่านกล่าวว่า พระพุทธเจ้าหรือ โอ! พระพุทธเจ้าเกิดขึ้นแล้วในโลกหรือนี่!"
"ใช่ พระพุทธเจ้า พระโคดมพุทธะออกบวชจากศากยตระกูลมีข่าวแพร่สะพัดไปทุกหนทุกแห่งว่า พระองค์เป็นพระอรหันต์ เป็นผู้ตรัสรู้เองโดยชอบสมบูรณ์ด้วยวิชชาและจรณะ คือมีความรู้ดีและความประพฤติดี เสด็จไปที่ไหนก็อำนวยโชคให้ที่นั่น เป็นผู้ฝึกคนที่ควรฝึกได้อย่างยอดเยี่ยม เป็นผู้รู้จักโลก เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้ตื่นจากกิเลสนิทรา รู้อริยสัจอย่างแจ่มแจ้ง และมีพระทัยเบิกบานด้วยพระมหากรุณาต่อมวลสัตว์ เป็นผู้หักราคะโทสะและโมหะ พร้อมทั้งบาปธรรมทั้งมวลแล้ว เสด็จเที่ยวจาริกสั่งสอนเวไนยสัตว์แสดงธรรมอันไพเราะ ทั้งเบื้องต้น ท่านกลาง และที่สุด ทรงประกาศพรหมจรรย์อันบริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิง เต็มบริบูรณ์ทั้งหัวข้อและความหมาย สหาย! ท่านไม่ทราบการอุบัติขึ้นของพระพุทธเจ้าดอกหรือ?"
คำว่า 'พุทโธ' นั้น เป็นคำที่ก่อความตื่นเต้นให้แก่อนาถปิณฑิกเศรษฐียิ่งนัก อุปมาเหมือนคนที่เป็นโรคซึ่งทรมานมานานปี เมื่อทราบว่ามีหมอสามารถจะบำบัดโรคนั้นได้จะดีใจสักเพียงใด ดังนั้นอนาถปิณฑิกะจึงกล่าวว่า "สหาย! ค่าอาหารสำหรับเลี้ยงพระพุทธเจ้าและพระสงฆ์สำหรับพรุ่งนี้เป็นจำนวนเท่าใด ข้าพเจ้าขอออกให้ทั้งหมด"
"อย่าเลย สหาย!" เศรษฐีกรุงราชคฤห์ตอบ "อย่าว่าแต่ท่านจะจ่ายค่าอาหารเลย แม้ท่านจะมอบสมบัติในกรุงราชคฤห์ทั้งหมดให้แก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็หายอมให้ท่านเป็นเจ้าภาพสำหรับเลี้ยงพระพุทธเจ้าไม่ กว่าข้าพเจ้าจะจองได้ก็เป็นเวลานานเหลือเกิน ข้าพเจ้าคอยโอกาสนี้มานานนักหนาแล้ว สมบัติบรมจักรข้าพเจ้ายังปรารถนาน้อยกว่าการได้เลี้ยงพระพุทธเจ้า, ๗ วันนี้เป็นวันของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะไม่ยอมให้ใครเป็นอันขาด" เมื่ออนาถปิณฑิกะวิงวอนว่า ขอออกค่าใช้จ่ายสักครึ่งหนึ่ง เศรษฐีกรุงราชคฤห์ก็หายอมไม่
อนาถปิณฑิกเศรษฐีเป็นผู้อันกุศลธรรมแต่ปางบรรพ์ตักเตือนแล้ว เมื่อได้ยินว่า "พุทโธ" เท่านั้นปีติก็ซาบซ่าไปทั่วสรรพางค์ ปรารถนาเหลือเกินที่จะได้เข้าเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในเวลานั้น แต่บังเอิญเป็นเวลาค่ำ ประตูเมืองปิดเสียแล้ว จิตใจของเขาจึงกังวลถึงแต่เรื่องที่จะเฝ้าพระศาสดา ไม่อาจหลับลงได้อย่างปกติ เขาลุกขึ้นถึง ๓ ครั้งด้วยสำคัญว่าสว่างแล้ว แต่พอเดินออกไปภายนอกเรือน ความมืดยังปรากฏปกคลุมอยู่ทั่วไป ครานั้นความสะดุ้งหวาดเสียว และความกลัวก็เกิดขึ้นแก่เขา เขากลับมานอนรำพึงถึงพระศาสดาอยู่ด้วยความกระวนกระวายใจ
ในที่สุดเวลาก็มาถึง ท้องฟ้าเริ่มสาง เสียงไก่ขันรับอรุณแว่วมาตามสายลม เศรษฐีเดินออกจากตัวเรือนมุ่งสู่ประตูเมือง ประตูยังไม่เปิด อนาถปิณฑิกต้องขอร้องวิงวอนคนเฝ้าประตูเสียนานเขาจึงยอมเปิดให้ เมื่อออกจากประตูเมืองแล้ว ทางที่จะไปสู่ป่าสีตวันก็เป็นทางเปลี่ยว การสันจรยังไม่มี การเดินทางจากเมืองเข้าไปในป่านั้นเป็นเรื่องยากมากสำหรับคนขลาด เศรษฐีเกือบจะหมดความพยายาม มีหลายครั้งที่เขาจะถอยกลับเข้าสู่เมือง แต่พอเขาหยุดยืนนั่นเอง เสียงก็ปรากฏขึ้นเหมือนหวาดแว่วมาจากอากาศว่า เศรษฐี! ม้าตั้งร้อย โค แพะ แกะ เป็ด ไก่ อย่างละร้อยๆ ถ้าท่านได้เพราะถอยกลับเพียงก้าวเดียว ก็จะไม่ประเสริฐเหมือนก้าวไปข้างหน้าเพียงก้าวเดียว จงก้าวต่อไปเถิด เศรษฐี! การก้าวไปข้างหน้าของท่าน จะเป็นประโยชน์แก่ท่านและแก่โลกมาก
เศรษฐีมุ่งหน้าเข้าสู่ป่าสีตวัน อันเป็นที่ประทับแห่งพระศาสดา เวลานั้นพระพุทธองค์ตื่นบรรทมแล้วทรงแผ่ข่ายพระญาณพิจารณาดูสัตว์โลกที่พระองค์ควรจะโปรด เห็นอุปนิสัยของอนาถปิณฑิกเศรษฐีว่าเป็นผู้ควรแก่การบรรลุธรรม จึงทรงจงกรมคือดำเนินกลับไปกลับมาอยู่ ณ บริเวณที่ประทับ เมื่อเศรษฐีเข้ามาใกล้ พระพุทธองค์จึงตรัสว่า "เข้ามาเถิด สุทัตตะ! ตถาคตอยู่นี่"
พระดำรัสตรัสเรียกเศรษฐีโดยชื่อว่า "สุทัตตะ" โดยถูกต้องนั้น นำความปราโมชมาให้เศรษฐีอย่างเหลือล้น เขาไม่เคยรู้จักพระศาสดา และพระศาสดาก็ไม่เคยทรงรู้จักเขา แต่พระองค์สามารถเรียกชื่อเขาได้ เศรษฐีหรือจะไม่ปลื้มใจ เขาซบหน้าลงแทบบาทมูลแห่งพระตถาคตเจ้า แล้วกราบทูลว่า "ข้าแต่พระศากมุนี! เป็นโชคดีของข้าพระพุทธเจ้ายิ่งแล้วที่ได้มาพบพระองค์สมปรารถนา ข้าพระองค์รอคอยจนพระองค์เสด็จเข้าไปในเมืองเพื่อเสวยภัตตาหารไม่ไหว จึงออกมาเฝ้าแต่เช้ามืด พระองค์ผู้เจริญ! เมื่อคืนนี้ ราตรีช่างยาวนานเสียเหลือเกิน ปรากฏแก่ข้าพระพุทธเจ้าเหมือนหนึ่งเดือน เป็นเวลานานเหลือเกินที่สัตว์โลกจะได้สดับคำว่า 'พุทโธ พุทโธ'
"ดูก่อนสุทัตตะ! ผู้ตื่นอยู่มิได้หลับย่อมรู้สึกว่าราตรีหนึ่งยาวนาน ผู้ที่เดินทางจนเมื่อยล้าแล้วรู้สึกว่าโยชน์หนึ่งเป็นหนทางที่ยืดยาว แต่สังสารวัฏคือการเวียนเกิดเวียนตายของสัตว์ผู้ไม่รู้พระสัทธรรมยังยาวนานกว่านั้น ดูก่อนสุทัตตะ! สังสารวัฏนี้หาเบื้องต้นเบื้องปลายได้โดยยาก สัตว์ผู้พอใจในการเกิดย่อมเกิดบ่อยๆ และการเกิดบ่อยๆ นั้น ตถาคตกล่าวว่าเป็นความทุกข์ เพราะสิ่งที่ติดตามความเกิดมาก็คือความแก่ชรา ความเจ็บปวด ทรมาน และตาย ความต้องพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รัก ความต้องประสบกับสิ่งอันไม่เป็นที่รัก ความแห้งใจ ความคร่ำครวญ ความทุกข์กายทุกข์ใจ และความคับแค้นใจ อุปมาเหมือนเห็ดซึ่งโผล่ขึ้นจากดินและนำดินติดขึ้นมาด้วย หรืออุปมาเหมือนโคซึ่งเทียมเกวียนแล้วจะเดินไปไหนก็มีเกวียนติดตามไปทุกหนทุกแห่ง สัตว์โลกเกิดมาก็นำทุกข์ประจำสังขารติดมาด้วย ตราบใดที่เขายังไม่สลัดความพอใจในสังขารออก ความทุกข์ก็ย่อมติดตามไปเสมอ เหมือนโคที่ยังมีแอกเกวียนครอบคออยู่ ล้อเกวียนย่อมติดตามไปทุกฝีก้าว "ดูก่อนสุทัตตะ! เมื่อรากยังมั่นคงแม้ต้นไม้จะถูกตัดแล้ว มันก็สามารถขึ้นได้อีก ฉันเดียวกับเมื่อบุคคลยังไม่ถอนตัณหานุสัยขึ้นเสียจากดวงจิต ความทุกข์ก็เกิดขึ้นได้บ่อยๆ
"สุทัตตะเอย! น้ำตาของสัตว์ผู้ต้องร้องไห้เพราะความทุกข์โทมนัสทับถม ในขณะที่ท่องเที่ยวอยู่ในวัฏฏสงสารนี้มีจำนวนมากเหลือคณา สุดที่จะกล่าวได้ว่ามีประมาณเท่านั้นเท่านี้ กระดูกที่เขาทอดทิ้งลงทับถมปฐพีดลเล่า ถ้านำมากองรวมๆ กันมิได้กระจัดกระจายคงจะสูงเท่าภูเขา บนพื้นแผ่นดินนี้ไม่มีช่องว่างเลย แม้แต่นิดเดียวที่สัตว์ไม่เคยตาย ปฐพีนี้เกลื่อนกล่นไปด้วยกระดูกแห่งสัตว์ผู้ตายแล้วตายเล่า เป็นที่น่าสังเวชสลดจิตยิ่งนัก ทุกย่างก้าวของมนุษย์และสัตว์เหยียบย่ำไปบนกองกระดูก เขานอนบนกองกระดูกนั่งบนกองกระดูก สนุกสนานเพลิดเพลินอยู่บนกองกระดูกทั้งสิ้น "ดูก่อนสุทัตตะ! ไม่ว่าภพไหนๆ ล้วนแต่มีลักษณะเหมือนกองเพลิงทั้งสิ้น สัตว์ทั้งหลายดิ้นรนอยู่ในกองเพลิง คือทุกข์ เหมือนเต่าอันเขาโยนลงไปแล้วในกองไฟใหญ่ฉะนั้น".
พระศาสดาทรงเทศนาอริยสัจแต่โดยย่อแก่ท่านสุทัตตะ จนเศรษฐีได้ดวงตาเห็นธรรม เป็นผู้มีศรัทธาไม่หวั่นไหวในพระรัตนตรัยแล้ว ทรงย้ำในตอนสุดท้ายว่า "ดูก่อนสุทัตตะ! การได้อัตภาพมาเป็นมนุษย์เป็นของยาก การดำรงชีพอยู่แห่งสัตว์ทั้งหลายเป็นของยาก การได้ฟังธรรมของสัตบุรุษเป็นของยาก และการอุบัติขึ้นแห่งพระพุทธเจ้าทั้งหลายก็เป็นของยาก ดูก่อนสุทัตตะ! เพราะเหตุนั้นการแสดงธรรมของสัตบุรุษก็ตาม การเกิดขึ้นแห่งพระพุทธเจ้าก็ตาม ล้วนเป็นเหตุนำความสุขความสงบมาสู่โลก"
ที่พึ่งของเราก็คือธรรมะที่องค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านทรงปฏิบัติค้นคว้ามาถึงยี่สิบอสงไขยแสนมหากัปป์ เพื่อมาบอกมาสอนในการดำเนินชีวิต ที่พึ่งของเราก็คือพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าคืออะไร ก็คือธรรมะ ธรรมะทำให้พระองค์เป็นพระพุทธเจ้า ธรรมะก็คือเรารู้แล้วก็ต้องปฏิบัติ จะได้ปริยัติ ปฏิบัติ ถึงเป็นปฏิเวธได้ ถึงจะเป็นศีล สมาธิ ปัญญา
มนุษย์เราทุกคนมันติดมันหลงในรูป เสียง กลิ่น รส ลาภ ยศ สรรเสริญ ที่เรียกว่ากามคุณ เป็นสิ่งที่เสพติด ทุกคนเลยพากันรับจ้างมาเกิด คนเราไปทำตามใจตัวเอง ตามอารมณ์ตัวเอง ตามความรู้สึกตัวเองไม่ได้ ถ้าเราทำตามใจตัวเอง ตามอารมณ์ตัวเอง ตามความรู้สึกตัวเอง เราจะไม่ได้ปฏิบัติธรรมเลย เพราะความถูกต้องไม่ได้เป็นพี่น้องกับใคร ไม่ได้เป็นพ่อแม่พี่น้องลูกหลานกับใคร เป็นธรรม เป็นสัจธรรม ทุกคนจะแสวงหาความตามใจเรียกว่าความสุขความดับทุกข์มันไม่ใช่ เราต้องกลับมาหาธรรมะ เราจะได้เข้าสู่กระบวนการของพระพุทธเจ้า ไม่ทำตามใจ ไม่ทำตามอารมณ์ ไม่ทำตามความรู้สึก เขาเรียกว่าตกกระแสแห่งพระนิพพาน นั่นคือคุณธรรมแห่งพระโสดาบัน เอาพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ไม่ลังเลสงสัย มีความสุขทั้งวันทั้งคืนในการประพฤติปฏิบัติ ยิ่งประพฤติปฏิบัติ อายุมากก็ยิ่งใจดี เพราะเรามีประสบการณ์ในการปฏิบัติธรรม เรารู้เราเห็น เราจะได้รู้จักความปรุงแต่งที่มันเป็นทุกข์อย่างยิ่ง คนเราไม่รู้จักความปรุงแต่งก็ไปสร้างภพสร้างชาติให้ตนเองไม่รู้จบ อยู่ดีๆก็หาเรื่องหาราวให้ตัวเอง อยู่ดีๆก็ไปทะเลาะกับคนอื่น อยู่ดีๆก็หาเรื่องหาราวมาใส่ตัว เขาเรียกว่าไม่รู้ทุกข์ ไม่รู้เหตุให้เกิดทุกข์ ไม่รู้ความดับทุกข์ ไม่รู้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์
เราทุกคนเป็นผู้โชคดีเราจะได้ประพฤติปฏิบัติ ทุกอย่างล้วนแต่เราทำ เราปฏิบัติ อย่างประชาชน ข้าวทุกเม็ดน้ำทุกหยด ได้มาจากเราหามา หรือว่าเป็นมรดกจากพ่อแม่หามา ธรรมทั้งหลายทั้งปวงมันเกิดจากาการประพฤติปฏิบัติของเราเหมือนกับสถานที่ เราล้วนสร้างขึ้นมาการทำของเราในสิ่งที่ถูกต้อง ก็ต้องมีความสุข พอเรารู้ความสุขที่เรามีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง มีความสุขในการปฏิบัติมันอยู่ที่ปัจจุบัน คนร่ำคนรวยคนที่เปรียบเสมือนเทวดาเมื่อไม่มีฐานรองรับ ไม่มีโลกุตตระรองรับ จะเกิดเป็นมนุษย์อีกก็เป็นสิ่งที่ยากส่วนใหญ่ก็จะตกในอบายภูมิ เพราะว่าไม่สร้างโลกุตตระ ไม่สร้างจิตใจที่ประกอบด้วยปัญญาหรือว่าวิปัสสนา เพราะว่าพ่อก็ตาย แม่ก็ตาย ปู่ย่าตายายก็ตาย ญาติผู้ใหญ่ก็ตาย เพื่อนๆก็ตาย ตัวเองก็งวดเข้ามาทุกทีๆ มันก็ดิ้นรนเพราะเราไม่ได้ทำฐานไว้รองรับ ที่เราจะก้าวไปสู่มรรคผลพระนิพพาน ชีวิตก็คงเป็นโมฆะบุรุษ โมฆะสตรีไปอย่างนี้
ทุกคนถึงต้องประพฤติปฏิบัติธรรมไม่เกี่ยวว่าเราเป็นพุทธ คริสต์ อิสลาม พราหมณ์ ฮินดู หรือว่าไม่เอาศาสนา เราต้องเอาธรรมเป็นหลัก เอาธรรมเป็นใหญ่ เอาธรรมเป็นที่ตั้ง เพราะคนเรามันไม่มีใครหายใจให้เรา ไม่มีใครทานข้าวให้เรา ไม่มีใครปฏิบัติให้เรา เราเรียนหนังสือก็ไม่มีใครอ่านให้เรา ไม่มีใครท่องให้เรา ไม่มีใครจำให้เรา เรามีความเห็นผิด เข้าใจผิด คิดว่าปล่อยวางไม่ทำอะไร ที่แท้เป็นคนเห็นแก่ตัว เป็นคนโมหะจริต
อานาปานสติทุกคนต้องมี หายใจเข้ามีความสุขหายใจออกมีความสุข หายใจเข้าสบายหายใจออกสบาย ต้องทำไปอย่างนี้เรื่อยๆ พระสงฆ์องคเจ้าก็อยู่กับอานาปานสติ พระอรหันต์ท่านก็อยู่กับอานาปานสติ รู้จักความคิดรู้จักความปรุงแต่ง ไม่ไปวุ่นวาย มันก็สงบ มันก็เย็น มันเป็นไปไม่ได้ อยากรวยก็ไม่รวย อยากจนก็ไม่จน มันก็เท่าเก่า อยากเหาะได้มันก็ไม่ได้ อยากให้ช้ามันก็ไม่ช้า อยากให้เร็วมันก็ไม่เร็ว ความอยากมันกดดันเรา เกิดเป็นความปรุงแต่ง อย่างนี้นะ เราต้องรู้จักความปรุงแต่ง อย่างที่ท่านถามกันว่า นิพพานเป็นยังไง นิพพานก็รู้จักอารมณ์ รู้จักความคิด ไม่วุ่นวายไม่ปรุงแต่ง อย่างนี้แหละ เราจะได้ตัดกรรมตัดเวรตัดภัย ให้เข้าใจอย่างนี้ ถ้ารู้จักความคิด รู้จักความปรุงแต่ง ไม่วุ่นวาย ปัญหามันก็ไม่มี ก็มีแต่ความสุข มีแต่ความเสียสละ ต้องพัฒนาไป ถ้าเราไม่เสียสละ มันก็เห็นแก่ตัว เหมือนคนเราน่ะ ไม่อยากแก่ มันก็เป็นทุกข์ ไม่อยากเจ็บก็เป็นทุกข์ ไม่อยากตายก็เป็นทุกข์ เพราะถึงจะอยากไม่อยาก มันก็เป็นความปรุงแต่งทั้งนั้น ต้องรู้จักอารมณ์รู้จักความคิด ชีวิตมันถึงจะมีความสุข เราต้องแก้ไขตัวเองใหม่ ให้ตัวเองเคารพกราบไหว้ตัวเองได้ มีศีล 5 เป็นหลัก ศีล 5 ศีล 8 ศีล 227 ก็เป็นยานพาหนะให้ถึงนิพพาน เป็นกฏอิทัปปัจจยตาของพระนิพพาน ต้องรู้กระบวนการกระแสแห่งมรรคผลพระนิพพาน
ที่นี้การปฏิบัติธรรมเป็นเรื่องง่ายๆ เพราะเป็นเรื่องของเราอยู่กับตัวเรา ไม่ได้ไปหาที่ไหน ความสงบจะไปหาได้จากที่ไหน หาในป่า ป่านั้นมันก็ไม่ใช่ใจ บ้านก็ไม่ใช่ใจ มันไม่ใช่ใจ พระนิพพานอยู่ที่ใจของเราที่มีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้อง แล้วไม่วุ่นวาย ไม่ปรุงแต่ง ใจของเราก็สงบ เราดูตัวอย่างเจ้าคุณนรฯ ก็เป็นพระอริยเจ้าอยู่ในกรุง เจ้าประคุณสมเด็จโตถึงท่านเป็นพระธุดงค์ออกจาริกธุดงค์ สุดท้ายท่านก็อยู่ในกรุง ท่านก็เป็นพระอยู่ในกรุง ท่านทั้งขลังทั้งศักดิ์สิทธ์ คนเรามักจะไปหาพระแต่ภายนอก ไม่ได้มาหาพระในตัวของตัวเอง อย่างพระพุทธรูป พระพุทธปฏิมา เกิดขึ้นหลังจากพระพุทธเจ้าปรินิพพานเกือบ 500 ปี พวกเราต้องเข้าใจว่า พระที่แท้จริงคือพระนิพพาน อยู่ที่เรามีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง ต้องพัฒนาใจของเราให้เป็นพระ ให้มีความเห็นถูก เข้าใจถูก เป็นสัมมาทิฏฐิ เราจะได้เคารพตัวเองได้
ทุกท่านทุกคนเป็นผู้ที่ประเสริฐที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ถ้าเราปล่อยไปตามใจตามอารมณ์ตามความรู้สึกของตัวเอง ก็จะเป็นได้แต่เพียงคน หลงไปเรื่อย เขานินทาก็เครียด เขาสรรเสริญก็ยิ้มอยู่อย่างนี้แหละ คนก็ยังคือผู้ที่ยังลุ่มหลง ถ้าไม่หลงเขาเรียกว่าไม่ใช่คน
ทุกวันนี้เรามีความเห็นผิดเข้าใจผิดปฏิบัติผิดทำอะไรก็หวังแต่ประโยชน์ตอบแทน มันไม่ต่างจากการรับจ้างทำงาน แสดงถึงความฉลาดของเรายังมีน้อยอยู่ พระพุทธเจ้า ทรงบำเพ็ญบารมีตลอด ๒๐ อสงไขย แสนมหากัป ไม่ทรงหวังอะไรตอบแทน มีแต่ความเสียสละ อดีตที่ผ่านมามันจะดีหรือชั่วมันจะเป็นยังไง เราก็ต้องเสียสละออกจากใจของเรา ที่พระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมเรื่องให้ทาน ให้ทานก็เพื่อเสียสละตัวตน เสียสละความตระหนี่ เสียสละความชอบไม่ชอบ เสียสละความดีใจเสียใจเสียสละทางจิตใจยังไม่พอ ต้องมาเสียสละทางสิ่งของเงินทองและทรัพย์ภายนอกที่ติดตามตัวไปไม่ได้ให้เป็นอริยทรัพย์ภายในที่ติดตามตัวเราไปได้ เหมือนกับเป็นผู้ไม่ประมาทมีเสบียงในการเดินทางเวียนว่ายตายเกิด คนเราถ้ามาเสียสละ เราถึงจะมีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง เรามองดูสิ! เราทุกคนก็จะเอาประโยชน์จากพ่อจากแม่ อย่างเราเรียนหนังสือ ลงทุนในการเรียนหนังสือก็เพื่อจะเอา เพื่อหวังผลกำไรผลตอบแทน เราเข้าใจผิดปฏิบัติผิดอย่างนี้มันถึงเป็นมนุษย์ ผู้มีจิตใจสูงไม่ได้ เป็นได้แต่เพียงคนที่มันระคนอยู่ด้วยความไม่ดีต่างๆ ชีวิตจึงตกอยู่ในอบายมุขในอบายภูมิ ให้เข้าใจ จะได้ไม่ต้องวิ่งไปหาความสุขที่ไหน หาความสุขในภายในนี่แหละ
โลกภายนอก แปรผัน อย่าหวั่นไหว โลกภายใน ล้ำลึก ควรศึกษา
โลกภายนอก ย่อมเห็น เป็นธรรมดา โลกภายใน มีค่า...ถ้ารู้ธรรม
ใครเข้าใจ โลกนี้ จักมีสุข ยามมีทุกข์ ปลงได้ ไม่ตกต่ำ
ใครหลงโลก ไม่รู้ ดูมืดดำ หากถลำ ถอนยาก ลำบากลำบน
โลกภายนอก กว้างไกล ใครก็รู้ โลกภายใน ลึกซึ้งอยู่ ดูสับสน
โลกภายนอก แปรเปลี่ยน เวียนหมุนวน โลกภายใน ใจคน เกินพรรณนา
อยู่เหนือโลก ชนะได้ ในทุกสิ่ง จิตแน่วนิ่ง ชำระ ละ"ตัณหา"
รู้ปล่อยวาง ดี-ชั่ว ตัว "มายา" "สติปัญญา" หยิบใช้ ให้ทันกาล
เราต้องรู้จักความคิดรู้จักอารมณ์ เพราะสาเหตุเนี่ย มันอยู่ที่การไม่รู้จักความคิดไม่รู้จักอารมณ์ เพียงแต่เราไม่ไปวุ่นวาย ไม่ไปปรุงแต่ง ก็สงบแล้ว ยิ่งอยากจะละมัน ก็ทุกข์ซ้อนทุกข์เข้าไปอีก คิดไปเรื่อยๆ นะคิดไปคิดมา คนหนุ่มคนสาวก็อยากจะได้เมียอยากได้ผัว ก็เพราะคิดไปเรื่อย ต้องพากันเข้าใจง่ายๆ รู้จักความคิดรู้จักอารมณ์ ถ้างั้นลมมันจะมาพัดเราไป ลมธรรมดาค่อยยังชั่วหน่อย ลมไต้ฝุ่นลมกิเลสมันแรงนะ ลมคืออวิชชา ลมคือความหลง มันแรงนะ มันพัดพาเราเวียนว่ายตายเกิดกี่ภพกี่ชาติแล้วก็ไม่รู้ จึงต้องมารู้จักหน้าตาของมันให้ดีจึงจะได้มาหยุดทุกข์ดับทุกข์ได้
ความคิดของเรานี้มันอร่อยนะ เราจะไปตามความคิดไม่ได้ ความคิดคือเป็นอาหารทางอารมณ์ มันเป็นความอร่อย ความอร่อยเป็นสิ่งเสพติดนะ มันเป็นของแสลงทางธรรม สิ่งไหนมันบาป มันไม่ใช่ธรรมวินัย มันอร่อย สิ่งไหนมันเป็นกาม มันอร่อย คนเราที่กินอร่อยเพราะเรากินบาปทั้งนั้น ถ้าอันไหนไม่บาปไม่อร่อย อันไหนไม่เกี่ยวกับปาณาติบาต ไม่เกี่ยวกับการแย่งชิง ไม่เกี่ยวกับผิดในกาม ไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็เอาด้วยกลไม่ได้ด้วยมนต์ก็เอาคาถา มันไม่อร่อย ความอร่อยมันทำให้เราสร้างบาปนะ! เราอย่าไปคิดว่าตามใจตัวเองนั่นคือดีดี มันไม่เครียด มันได้คลายเครียด มันไม่ใช่คลายเครียดนะ มันไปเพิ่มความเครียด เป็นคนไม่มีเบรค ไม่มีสติ ไม่มีปัญญา เป็นมิจฉาทิฏฐิไป เราต้องเสียสละอารมณ์เหล่านี้ด้วยการปฏิบัติในปัจจุบัน
หากเราปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ นั่นคือการเสียสละนะ เพราะเอาธรรมะเป็นหลัก เอาธรรมะเป็นใหญ่ รักษาศีลรักษาสิกขาบทน้อยใหญ่ ละความเห็นแก่ตัว ที่ทำตามความยึดมั่นถือมั่น ศีลทุกสิกขาบทจึงเป็นความสละคืน บอกคืนอวิชชาความหลง ความเห็นแก่ตัว ต้องเสียสละจึงจะละสักกายะทิฏฐิ มีความเห็นว่าเป็นตัวกูของกู เป็นตัวเราของเรา ละระบบครอบครัวได้ ละระบบความเห็นแก่ตัวได้ ระบบครอบครัวก็คือระบบการเวียนว่ายตายเกิดนั่นแหละ เราปฏิบัติอย่างที่กล่าวมานี้เราจะมีความสุขได้ทุกคน ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว ผู้มีสัมมาทิฏฐิ มีศีลเป็นที่ตั้ง มีสมาธิเป็นที่ตั้ง มีปัญญาเป็นที่ตั้ง ถ้าเป็นผู้มีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง มันจะได้ไม่วกไปเวียนมา เป็นแต่เพียงคนอย่างนี้ ถ้าเราไม่ทำตามใจทำตามอารมณ์ทำตามความรู้สึก เรื่องทั้งหลายทั้งปวงมันก็จะจบไป ที่มีปัญหาการเวียนว่ายตายเกิด เพราะไม่ให้ทาน ไม่เสียสละตัวตน ทำตามใจตามอารมณ์ตามความรู้สึก ถึงไม่มีที่จบสิ้น ทุกท่านทุกคนต้องมาเสียสละนะถ้าไม่เสียสละ ก็จะไม่มีศีล ไม่มีสมาธิ ไม่มีปัญญา ธรรมะของพระพุทธเจ้าไม่ใช่สิ่งที่เข้าใจยากนะเป็นเรื่องเข้าใจง่าย และได้ผลจริง เมื่อทำจริงปฏิบัติจริง
เราจะหนีโลกไปไหน? คิดอย่างนั้นเป็นมิจฉาทิฏฐิคือความเห็นผิด เพราะอยากจะเจอแต่สิ่งที่ชอบๆ ไม่อยากจะเจอสิ่งที่ไม่ชอบ วันหนึ่งคงจะซิกแซกทั้งวัน ก็เหนื่อยตายเลย เราก็ต้องทำงานตามปกติ เกี่ยวข้องกับบุคคลอื่นตามปกติ แต่เพิ่มเลเวลที่ใจให้มีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติให้ถูกต้องมากขึ้น เหมือนผลไม้ในตะกร้าใบหนึ่ง มีทั้งลูกเน่าลูกเสีย ทั้งดี ทั้งดิบทั้งสุข เราก็ต้องมีปัญญาในปัจจุบัน เราจะพากันหนีโลกไปอยู่ไหน ไปอยู่ป่าก็อย่างเก่า ไปอยู่บนเขาก็อย่างเก่า ไปอยู่ในเมืองก็อย่างเก่า ไปอยู่ที่ไหนๆ ก็อย่างเก่า เพราะความสุขนั้นไม่ได้อยู่ที่อื่น อยู่ที่ใจเรา ที่มีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ของปฏิบัติง่ายๆ แต่ไม่ประพฤติปฏิบัติ ต้องมาแก้ไข กายวาจา ใจตนเอง แก้อย่างไรให้ดี? ก็ต้องแก้ให้ไม่มีตัวไม่มีตนมากยิ่งขึ้นไป ที่พระพุทธเจ้าให้อบรมบ่มอินทรีย์ ก็คือการแก้ปัญหา ทุกท่านทุกคน อย่าพากันมาเผาตัวเองเลย ต้องมาเผากิเลสให้มันตาย ก่อนที่ตัวเราจะตายจริงๆนะ
พระพุทธเจ้าถึงให้เราสมาทานเลย ศีลนี้คือการรู้ เข้าใจแล้ว สมาทานเลย ปักธงชัยไว้เลย ว่าอันไหนไม่ดี ก็ไม่คิด ไม่พูด ไม่ทำ เป็นคนละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาป ศีลในพระพุทธศาสนา ไม่ใช่กฎหมายบ้านเมือง แต่เป็นเรื่องของจิตใจ เป็นเรื่องพระนิพพาน
มรรค ผล นิพพาน คือ สิ่งที่สูงที่สุด สิ่งที่ยอดที่สุด สิ่งที่ประเสริฐที่สุด ที่ผู้ที่เกิดมาเป็นมนุษย์ต้องทำให้ได้ ไปให้ถึง เราอย่าพากันโง่ไปนาน มันไม่ดีเลย จะเสียโอกาสทองไป ให้พวกเรามีความสุขในการประพฤติปฏิบัติขัดเกลาเพื่อมุ่งมรรค ผล นิพพาน จะได้ไม่เสียโอกาสที่ได้เกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาชาติหนึ่ง เราต้องเข้าใจว่า ในอดีตที่ผ่านมาในการเวียนว่ายตายเกิด เคยเป็นมาทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว ไม่ว่าจะเกิดเป็นผู้เป็นใหญ่ เกิดเป็นคนต่ำต้อย เกิดเป็นสัตว์ เกิดในนรก เกิดเป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นเทวดา เกิดเป็นพรหม เกิดแบบนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า แล้วเราจะมาเป็นอีก จะมาทำเพื่อสิ่งเหล่านั้นอีก ที่มันไม่ยั่งยืนเพื่ออะไร ต้องมาทำสิ่งที่เป็นแล้ว ถึงแล้ว ไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป จบภพจบชาติ จบวัฏสงสารได้ นั่นคือพระนิพพาน ให้พวกเราเอาชีวิตที่เหลือนี้ในการมุ่งประพฤติปฏิบัติขัดเกลาเพื่อพระนิพพานจริงๆ จึงจะได้ไม่เสียโอกาสที่ได้เป็นมนุษย์ซึ่งเป็นผู้ที่ประเสริฐ เกิดมาเพื่อพระนิพพานอย่างแท้จริง
แจกปัญญา แจกศาสนา แจกธรรมวินัย แจกสิ่งที่ถูกต้อง
เพื่อเดินตามรอยพระพุทธเจ้าร้อยเปอร์เซ็นต์
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
โดยทุกท่านสามารถติดตามเพิ่มเติมได้ที่
https://linktr.ee/watsubthawee
Share wisdom, spread Buddhism and its discipline.
Advocate righteousness to follow Lord of Buddha's footsteps 100%
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
You can receive new Dharma updates.
https://linktr.ee/watsubthawee