แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ในวันเสาร์ที่ ๓ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๖
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง คุณของพระพุทธเจ้า ตอนที่ ๒ วิสาขบูชามารำลึกถึงพระปัญญาธิคุณ พระบริสุทธิคุณ พระมหากรุณาธิคุณ ของพระพุทธเจ้า
นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
พุทธัง ธัมมัง สังฆัง นะมัสสามิ
ขอความนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย น้อมใจกราบถวายความเคารพบารมีธรรมแห่งองค์พ่อแม่ครูบาอาจารย์ กราบขอโอกาส พระมหาเถระ พระเถรานุเถระ เพื่อนสหธรรมิกทุกรูปด้วยความเคารพ ขอความเจริญในธรรม ความสงบร่มเย็นแห่งจิตใจ จงบังเกิดมีแด่ ผู้ปฏิบัติธรรมทุกคนทุกท่าน เอามือลง นั่งฟังธรรมตามสบาย
วันนี้เป็นวันเสาร์ที่ ๓ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๖ เป็นวันสำคัญอย่างยิ่ง ของพระพุทธศาสนา นั่นก็คือวันวิสาขบูชา ซึ่งตรงกับวันเพ็ญขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ นับเป็นวันประวัติศาสตร์ทางพระพุทธศาสนา วันมหัศจรรย์ของโลก วันที่โลกสว่างไสวด้วยแสงธรรมผ่องอำไพ กล่าวคือ เป็นทั้งวันประสูติ วันตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ และวันเสด็จดับขันธปรินิพพานของ พระบรมศาสดาสัมมา สัมพุทธเจ้า คำว่า วิสาขบูชา แปลว่า "การบูชาพระพุทธเจ้า เนื่องในวันเพ็ญเดือนวิสาขะ" ซึ่งตรงกับวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ ตามปฏิทินจันทรคติของไทย ซึ่งก็มักจะตรงกับเดือนพฤษภาคม แต่ถ้าปีใด มีอธิกมาส คือมีเดือน ๘ สองหน อย่างเช่นปีนี้ก็เลื่อนไปเป็นวันขึ้น ๑๕ ค่ำ กลางเดือน ๗ หรือราวเดือนมิถุนายนนั่นเอง
พระพุทธศาสนา หมายถึงศาสนา หรือว่าคำสอนของท่านผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานเป็นนามที่ได้จากมหาบุรุษท่านหนึ่ง ซึ่งเป็นเมือนเราท่านทั้งหลาย ที่ได้มุ่งมั่นฝึกหัดพัฒนาคุณภาพจิตอย่างสูงสุด จึงได้นามว่า พุทธะ คือ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ด้วยสัจธรรมที่ตั้งอยู่บนรากฐานของเหตุผล ตามธรรมชาติธรรมดา พุทธศาสนาจึงแตกต่างไปจากศาสนาอื่น สัทธิอื่นที่มีในโลก ด้วยเหตุที่ว่า ไม่ได้เกิดจากการสร้าง หรือว่าการสั่งการ จากการบันดาลดลจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือพระเจ้าองค์ใดเนรมิตให้เกิดขึ้นมา แต่พุทธศาสนาเป็นเรื่องของการสร้างเหตุ และก็ปัจจัย โดยอาศัยความเพียร ลงมือกระทำในสิ่งที่ถูกต้อง ด้วยความเห็นถูกต้อง ดีงาม ทางกาย วาจา ใจ จนเป็นวิบากสั่งสมไว้ทุกๆ ขณะ หลายภพหลายชาติ จนสมบูรณ์บริบูรณ์ แล้วส่งผลให้ตรัสรู้อริยสัจธรรม จึงได้นามว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งแปลว่า ผู้ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง ทรงเป็นบรมครูผู้บอกสอน ประกาศพระสัทธรรมที่ตรัสรู้แล้ว ให้ผู้อื่นได้รู้ตาม ได้เข้าใจตาม จึงมีพระอรหันตสาวก พระอริยสาวกผู้ฟังตามประพฤติตาม ได้บรรลุผลตาม และก็ช่วยกันเผยแผ่หลักพุทธธรรม สืบทอดจนมาถึงทุกวันนี้
อันนี้เป็นพระพุทธบารมี ที่ต้องอาศัยการสั่งสมอบรมมาเป็นกรณีพิเศษ ส่วนพระปัจเจกพุทธเจ้า ที่อุบัติมา จะมีขึ้นในระหว่างที่โลกว่างจากพระศาสนาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้าท่านตรัสรู้เข้าใจธรรมด้วยตัวของท่านเองจริง แต่ก็ไม่สามารถ ถ่ายทอดบอกสอน ตั้งพระศาสนาให้ดำรงคงอยู่เพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่สรรพสัตว์อื่นได้ เป็นได้แต่เพียงเนื้อนาบุญ เนื่องจากการ สั่งสมบารมียิ่งหย่อนต่างกัน
ตำแหน่งหรือว่าฐานะ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ดี พระปัจเจกพุทธเจ้าก็ดี หรืออริยบุคคลชั้นโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี หรือว่าอรหันต์ก็ดี เป็นได้โดยการ ลงมือสร้างเหตุ ไม่ใช่ได้มาโดยการแต่งตั้ง และมิได้ผูกขาดไว้กับบุคคลใดบุคคลหนึ่ง หากแต่เป็นตำแหน่งหรือฐานะ ที่บุคคลผู้ปรารถนาแล้วนั้น จะต้องลงมือสร้างคุณสมบัติให้บริสุทธิ์บริบูรณ์พร้อม ก็สามารถบรรลุผลตามความปรารถนาได้ ดังนั้นมนุษย์ทุกคน ในมุมมองพุทธศาสนา สามารถพัฒนาศักยภาพของตนได้อย่างไม่มีขีดจำกัด พระพุทธศาสนาจึงเป็นเรื่องของมนุษย์ สำหรับมนุษย์ เพื่อมนุษย์ โดยมนุษย์อย่างแท้จริง หากถามว่า จะมีมนุษย์สักกี่คนที่จะยอมเสียสละทุ่มเทอุทิศตน บำเพ็ญคุณธรรมสั่งสมบารมี เพื่อเป้าหมายการตรัสรู้เป็น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าสักพระองค์หนึ่ง เพื่อจะเป็นที่พึ่งของเหล่าสัตว์ ตอบว่า ก็มีผู้ที่ปรารถนาเช่นนี้มิใช่น้อย แต่จะพากเพียรจนประสบผลสำเร็จเสร็จบริบูรณ์หรือไม่ นี่แหละจะเป็นเครื่องฟ้องปณิธานที่ ท่านตั้งมาว่าแน่วแน่มั่นคงขนาดไหน บางบุคคลก็ถอดถอนปณิธานลงกลางคัน เพราะเห็นความยากเย็นแสนเข็ญ เป็นอนันต์ แล้วก็เห็นภัยในวัฏสงสารอันน่าสะพรึงกลัว เพราะนานเหลือเกินกว่าจะได้สำเร็จ อย่างเช่นองค์หลวงปู่มั่นเป็นต้นที่ท่านได้ถอนอธิฐาน จากการเป็นพระพุทธเจ้าอย่างนี้เป็นต้น
มีคำหนึ่งบอกว่า ในคนร้อยคนจะหาคนกล้าในหนึ่งคน ในคนพันคน จะหาคนที่เป็นบัณฑิตได้หนึ่งคน ในคนแสนคน จะหาคนที่พูดคำสัตย์จริงโดยไม่โกหกเลยเนี่ย คงจะได้สักคน แต่บุคคลผู้ที่เสียสละทุกสิ่งทุกอย่าง สร้างบารมีมายาวนาน อย่างพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่รู้ว่า จะเลือกเฟ้นจากบุคคลจำนวนเท่าใด จึงจะได้มา สักหนึ่งคน ร้อยคนหาคนกล้า หาไม่อยาก แต่บางคนกล้า กล้าในการทำชั่ว ก็มี ไม่ใช่ดีเสมอไป คนพันคนคงจะคนที่เป็นบัณฑิต เก่ง ฉลาด คงจะได้ แต่บัณฑิตเก่งฉลาด ไม่ใช่ว่าจะเป็นคนดี เพราะบางทีเอาความรู้ที่เล่าเรียนมา ไปทุจริตโกงกินคอร์รัปชั่น โกงบ้านกินเมืองมากมาย คนแสนคนคงจะหาคนที่ พูดคำสัตย์ โดยไม่โกหกเลย ยอมตาย แต่ไม่ยอมเสียคำพูด ไม่ยอมเสียสัจจะ คงจะได้สักคน แต่คนที่เสียสละอย่างที่สุดอย่างพระพุทธเจ้าน่ะ หายากเหลือเกิน
แต่ว่า มหาบุรุษท่านหนึ่งคือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่าโคดมของเรานี้ ก่อนจะเสด็จอุบัติมา ท่านก็เป็นมนุษย์สามัญชนคนธรรมดา สมัยเป็นมาณพหนุ่ม ในชาติหนึ่ง เป็นพ่อค้า ทำธุรกิจ ช่วยพามารดาว่ายน้ำข้ามฝั่งมหาสมุทรอย่างปลอดภัย เห็นเหล่าชนอื่นๆ ที่ติดตามไป ต่างจมน้ำตาย กลายเป็นอาหารของปลา และเต่า และก็สัตว์ร้ายในท่ามกลางทะเลหลวง มีเมตตากรุณาเกิดขึ้นในดวงจิต ปฐมปณิธานก็เกิดขึ้นว่า “เมื่อเรา ข้ามได้แล้ว จักช่วยให้ผู้อื่นข้ามได้บ้าง เมื่อเราได้ตรัสรู้แล้ว จักให้ผู้อื่นได้รู้ตามด้วย เมื่อเราได้พ้นจากทุกข์ในวัฎสงสารแล้ว ก็จักช่วยสรรพสัตว์ให้พ้นทุกข์ในวัฎสงสารด้วยเช่นกัน”
การอุบัติขึ้นของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ เปรียบเสมือนดวงสุริยาที่ทอแสง ให้ความสว่างในชีวิตแก่สรรพสัตว์ทั้งปวง โดยไม่เลือกที่รักผลัก ที่ชัง พระพุทธองค์เสด็จมาเพื่อประโยชน์สุขของมวลมนุษยชาติ และสรรพสัตว์ทั้งหลาย การจะพรรณนาพุทธคุณ ด้วยเวลาอันสั้นนั้น เปรียบไปแล้วก็เหมือนปริมาณน้ำที่ลอดรูเข็ม เมื่อเทียบกับน้ำในมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ เพราะว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงมีพระคุณอันยิ่งใหญ่ต่อสัตว์โลก ตั้งแต่สมัยที่สร้างบารมีเป็นพระโพธิสัตว์ ท่านคิด ที่จะตรัสรู้ด้วยพระองค์เองถึง ๗ อสงไขย เปล่งออกมาทางวาจาถึง ๙ อสงไขย จนรับพุทธพยากรณ์ สร้างบารมีอันยาวนานถึง ๒๐ อสงไขย แสนมหากัป สร้างบารมี ๓๐ ทัศน์ จนเต็มเปี่ยม จนบารมีของท่านบริบูรณ์
พุทธการกธรรม ธรรมที่ทำให้ท่ามเป็นพระพุทธเจ้า โดยมีการสร้างบารมี ๑๐ ประการ โดยลำดับ ตั้งแต่ขั้นต้น ขั้นกลาง และก็ขั้นที่สุด นั่นก็คือ ทานบารมี ศีลบารมี เนกขัมมบารมี ปัญญาบารมี วิริยบารมี ขันติบารมี สัจจบารมี อธิษฐานบารมี เมตตาบารมี และอุเบกขาบารมี การสร้างบารมีธรรมของพระโพธิสัตว์ เป็นเสมือนการวางนโยบาย วางแผนในการดำเนิน ตามวิถีของพระพุทธเจ้า จนได้มาเสวยทิพยสมบัติอยู่สวรรค์ชั้นดุสิต เป็นท้าวสันดุสิต ปกครองสวรรค์ชั้นดุสิต เพื่อรอเวลาอันสมควร
เมื่อถึงกาลสมัยอันควรที่จะมาตรัสรู้ ท้าวมหาพรหม องค์มหาเทพ ทั่วหมื่นโลกธาตุ ตลอดภพสามก็มาประชุมพร้อมกัน และก็อัญเชิญพระองค์ลงมาบังเกิดในโลกมนุษย์ ซึ่งท่านก็จะตรวจตราดู สิ่งที่ต้องเลือกเฟ้นอยู่ ๕ อย่าง นั่นคือดูทวีป ต้องเป็นชมพูทวีปเท่านั้นจะไม่เกิดในทวีปอื่น ประเทศ ต้องเกิดในมัชฌิมประเทศ ไม่ไปเกิดในขอบเขตชายแดน ที่ไร้อริยธรรม อายุขัยของมนุษย์ในยุคนั้น ต้องไม่เกินแสนปีและไม่ต่ำกว่า ๑๐๐ ปี หากเกินหนึ่งแสนปี มนุษย์จะไม่รู้จักการเกิด แก่ เจ็บ ตาย ถ้าอายุขัยต่ำกว่า ๑๐๐ ปี ก็จะไม่รู้จักศีลจักธรรม ชีวิตก็เหมือนกับสัตว์เดรัจฉาน แล้วต้องดูตระกูลว่า มนุษย์ในยุคนั้น ยกย่องตระกูลไหนสูง ท่านจะไปเกิดในตระกูลนั้น เช่นตระกูลกษัตริย์ หรือว่าตระกูลพรามณ์ และที่สำคัญมากก็คือ ต้องดูแม่ คือดูพุทธมารดา แม่ของพระพุทธเจ้านี้ต้องรักษาศีล ๕ บริสุทธิ์ถึงแสนชาติ ต่อเนื่อง แล้วมีอายุขัยเหลืออีกเพียง ๑๐ เดือน และ ๗ วันเท่านั้น ประจวบเหมาะกับเวลานั้น สายใยแห่งกรรม และผลของกรรมมาประจวบเหมาะ พระองค์จึงเลือกมาเกิดที่ชมพูทวีป ณ กรุงกบิลพัสดุ์ ซึ่งเป็นมัชฌิมประเทศ ในเขตของภาคกลาง ในเขตภูเขาหิมาลัย เกิดในตระกูลกษัตริย์ แห่งศากยะวงศ์ ซึ่งเป็นสายเลือดบริสุทธิ์หลายช่วงอายุคน แล้วพระนางสิริมหามายาเพิ่งอภิเสกสมรสกับพระเจ้า สุทโธทนะได้ไม่นาน เป็นผู้หญิงที่บารมีเต็ม อายุขัยก็ เหลืออีกเพียงแค่ ๑๐ เดือนกับ ๗ วัน ดังนั้นพระองค์จึงเลือกมาปฏิสนธิ ที่นี่ พอถึงเวลาพระองค์ได้มาปฏิสนธิ
ย้อนหลังไป ก่อนพุทธศักราช ๘๐ ปี ตรงนั้นนั่นเองที่พระพุทธองค์ได้ อธิฐานมา พระนางสิริมหามายาผู้เป็นพุทธมารดา เมื่อทรงตั้งครรภ์ ด้วยความที่พระนางทรงรักษาศีลมาถึงแสนชาติ ทำให้ทรงมองเห็นพระโพธิสัตว์ที่ คือมองเห็นลูกที่อยู่ในครรภ์ กำลังนั่งขัดสมาธิอย่างชัดเจน เมื่อถึงคราวที่ พระโพธิสัตว์จะประสูติ ก็ปรากฏว่า พระพุทธมารดาทรงประทับยืน แทนที่จะนอนเหมือนอย่างกับคนอื่นๆ แล้วพระโพธิสัตว์ก็ประสูติโดยเอาพระบาทออก มาก่อน ทันทีที่พระบาทเหยียบถึงพื้น ก็สามารถยืนและเดินได้ โดยเป็นการแสดงปาฏิหาริย์ในวันเกิด
ดั่งที่เราทราบ พระดำเนินเดินได้ ๗ ก้าว หรือว่าจะเป็น ธรรมาธิษฐานถอดความให้รู้ว่าเป็นธรรม ๗ หมวดที่เป็นโพธิปักขิยธรรมก็ได้ จนกระทั่งถึงก้าวสุดท้าย ปาฏิหาริย์ ท่านแสดงว่า ยกขึ้นหนึ่งนิ้ว ประกาศ วาจาที่ห้าวหาญ เป็นอาสภิวาจาว่า “อัคโคหะมัสมิ โลกัสสะ เชฏโฐ เสฏโฐหะมัสมิ อะยะมันติมา เม ชาติ นัตถิทานิ ปุนัพภะโว” “เราเป็นผู้เลิศ ผู้เจริญ ผู้ประเสริฐที่สุดในโลก ชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย บัดนี้ภพใหม่ชาติใหม่ไม่มีอีกแล้ว” จากนั้นท่านก็นอนแน่นิ่ง เป็นเด็กเหมือนเดิม ไม่ใช่ว่าเดินตลอด เพียงแค่เป็นปาฏิหาริย์ในวันเกิด
ที่นี้พอประสูติแล้ว พระองค์ก็เจริญเติบโต ในราชสกุลศากยวงศ์มาโดยลำดับ ศึกษาความรู้ จากครูที่มีความรู้อันสูงสุดของแผ่นดิน ใช้เวลาเพียงแค่ ๗ วันเท่านั้น ก็เรียนจนหมดภูมิความรู้ของครูที่อุตส่าห์ศึกษามาตลอดชีวิต แม้พระองค์จะทรงพรั่งพร้อมด้วยพระรูปสมบัติ และทรัพย์สมบัติ และคุณสมบัติ แต่ก็ไม่ประมาทในชีวิต ครั้นได้ทอดพระเนตรเทวทูต คือ เห็นคนเกิด คนแก่ คนเจ็บ คนตาย และก็เห็นสมณะผู้สงบโดยลำดับ ก็คิดได้ว่า ชีวิตที่อยู่มันไม่ได้ยั่งยืนอะไรเลย ต้องเลือกชีวิตสมณะที่เป็นทางปลอดโปร่ง เป็นชีวิตที่ประเสริฐที่สุด จึงมุ่งไปสู่หนทางพ้นทุกข์ เสด็จออกผนวชเมื่อพระชนมายุได้ ๒๙ พรรษา อธิฐานเพศบรรพชิตริมฝั่งแม่น้ำอโนมา
จากนั้นก็เรียนรู้วิชาที่ คนยุคนั้นถือว่าสูงสุด ก็ไปเรียนมา จนได้สมาบัติ ๘ แต่ก็เห็นว่าไม่ใช่ทาง ต่อให้จิตจะสงบขนาดไหน แต่กิเลสที่อยู่ในใจมันยังฟูขึ้น เพราะในยุคนั้น เขาไปถึงสุดแค่นั้น ด้วยการเอาสมาธิเป็นนิพพาน แต่ท่านเห็นว่า กิเลสมันยังเหลือ เหมือนไฟที่ยังเหลือเชื้อ มันพร้อมที่จะลุกต่อไปได้ ลองผิดลองถูกมาถึง ๖ ปีเต็มๆ จนกระทั่ง ค้นพบทาง แห่งแสงสว่าง ทางแห่งสายกลางอันประเสริฐ นั่นคือ อริยมรรคมีองค์ ๘ ณ ภายใต้ต้นอัสสัตถพฤกษ์ ในวันนั้น พระบรมโพธิสัตว์ ได้ทรงนั่งคู้ อปราชิตบัลลังก์นั่งเอง คือเป็นบัลลังก์ที่ ไม่แพ้ ซึ่งแม้สายฟ้าจะผ่าลงมาตั้ง ๑๐๐ ครั้งก็ไม่แตกทำลาย ทรงอธิษฐาน “แม้เลือดและเนื้อในกาย จักแห้งเหือดเหลือแต่หนัง เอ็น กระดูกก็ตามที ตราบใดที่เรายังไม่บรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณ ได้รู้ ได้เห็นธรรมอันยิ่งแล้ว จักไม่ยอมลุกจากบัลลังก์นี้เป็นอันขาด”
พอปฐมยาม พญามารรู้ ก็สะดุ้งพรึบกันทั้งภพทีเดียว เข้ามาสิงบังคับท้าว ปรนิมมิตสวัตดี ให้เป็นเทวบุตรมาร แล้วก็พากันยกพลพักมารมาข่มขู่ มาอ้างสิทธิ์ว่า ที่ตรงนี้ เป็นที่ของพญามาร โดยมีเสนามารพร้อมด้วยพลพรรค พระโพธิสัตว์ท่านก็ไม่หวั่นไหว ในที่สุดท่านก็เอาสักขีพยานที่ทำมาตั้งแต่ ตั้งความปรารถนา ๒๐ อสงไขย แสนมหากัป สามารถเอาชนะได้ ด้วยอานุภาพแห่งบารมี ปฐมยาม พอสงบ ท่านบรรลุบุพเพนิวาสานุสติญาณ ระลึกถึงภพชาติที่ผ่านมาอย่างไม่มีขีดจำกัด เห็นความน่าสะพรึงกลัวของความเกิด แก่ เจ็บ ตาย ของท่านเอง พอมัชฌิมยาม ประมาณเที่ยงคืน ทรงรู้ ทรงบรรลุจุตูปปาตญาณ เห็นการเกิด การตาย ของสัตว์เหล่าอื่น ยิ่งทำให้ทรง สลดพระทัยเป็นอย่างยิ่ง จนกระทั่งถึงยามสุดท้าย ปัจฉิมยาม ทรงบรรลุอาสวักขยนญาณ พิจารณา ปัจจยาการอันประกอบด้วยองค์ ๑๒ โดยอนุโลมและปฏิโลม บรรลุเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในขณะนั้นหมื่นโลกธาตุหวั่นไหว ๑๒ ครั้ง จนถึงน้ำรองแผ่นดินเป็นที่สุด ทรงบรรลุเป็นพระสัมมาสัมพุทธะ ในเวลา อรุณขึ้นพอดี
เมื่อพระมหาบุรุษได้ทรงบรรลุ เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว โลกันตนรกกว้าง ๕๐๐ โยชน์ ในระหว่างจักรวาล ที่ไม่เคยสว่างด้วยแสงอาทิตย์ ก็ได้มีแสงส่องสว่างไสวเป็นอันเดียวกัน ปกติ จักรวาลแต่ละจักรวาลจะเป็นวงกลมๆ วงกลมที่มาต่อกับวงกลม ๓ วง ตรงนั้นมันจะมีช่อง ตรงช่องตรงนั้น แสงแห่งด้วยจันทร์ดวงอาทิตย์ ส่องไม่ถึงจึงเรียกว่า โลกันตริกนรก แต่ในขณะที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ แสงสว่างก็พรึบขึ้นไปถึง ในชั่วขณะนั้น
หาสมุทรลึก 84,000 โยชน์ จากรสเค็ม มีรสหวานในชั่วขณะ แม่น้ำทั้งหลายหยุดไหล คนตาบอดแต่กำเนิดก็มองเห็นแสงสว่าง คนหูหนวกแต่กำเนิดกลับได้ยินเสียง คนง่อยเปลี้ยแต่กำเนิดก็เดินได้ เครื่องจองจำทั้งหลายก็หลุดออกไป!! พระมหาบุรุษได้รับการบูชาจากเหล่าทวยเทพ ด้วยสมบัติอันประกอบด้วยสิริหาปริมาณมิได้ จากนั้นทรงเปล่งอุทานว่า “อเนชาติสํสารํ สนฺธาวิสฺสํ อนิพฺพิสํ” เป็นต้น “เราเมื่อแสวงหานายช่างคือตัณหา ผู้สร้างบ้านสร้างเรือน เมื่อไม่ประสบพบเจอ ได้ท่องเที่ยวไปยังวัฏสงสารมิใช่น้อย การเกิดบ่อยๆ เป็นทุกข์ร่ำไป ดูก่อนนายช่างผู้กระทำเรือน เราเห็นท่านแล้ว ท่านจักทำเรือนไม่ได้อีกต่อไป ซี่โครงทั้งปวงของท่าน เราก็หักแล้ว ยอดเรือนเราก็กำจัดแล้ว จิตของเราถึงวิสังขารคือนิพพาน ที่ปราศจากการปรุงแต่ง เพราะได้ถึงแล้วซึ่งความสิ้นตัณหาแล้ว”
เมื่อตรัสรู้ ทรงแสวงวิมุติสุข ก็ทรงมีพระมหากรุณาธิ ที่ฝังลึกอยู่ในห้วงพระหทัย ตักเตือนให้พระองค์ทรงอาจหาญ เผยแผ่พระสัจธรรมอยู่ถึง ๔๕ พรรษา สิ่งที่พระองค์ทรงสอนนี้มากมาย แต่สิ่งที่นำมาสอนเปรียบประดุจกับใบไม้ในกำมือ สอนในเรื่องของอริยสัจ สอนในเรื่องของอริยมรรคมีองค์ ๘ สอนเรื่องทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ความดับทุกข์ และวิธีปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ พระพุทธองค์ต้องทรงดำเนินด้วยพระบาทเปล่า เสด็จจาริกไปเผยแผ่พระศาสนาตามดินแดนต่างๆ อย่างไม่เห็นแก่ความเหน็ดเหนื่อย แต่ละวันทรงบรรทมเพียงแค่ ๔ ชั่วโมง อีก ๒๐ ชั่วโมงทรงเสียสละเพื่อเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ทรงแสดงธรรมประดุจหงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด บอกทางแก่คนหลงทาง หรือจุดประทีปในมืดเพื่อให้คนมองเห็นแสงสว่าง ทำให้มีสรรพสัตว์ได้บรรลุ อริยมรรค อริยผล เป็นอริยบุคคลมากมายนับไม่ถ้วน
หลังจากนั้น เมื่อถึงคราว ตลอดเวลา ๔๕พรรษา ที่ทรงบำเพ็ญพุทธกิจนั้น ทรงลำบากตรากตรำอย่างยิ่งยวด ทรงเสวยเพียงวันละมื้อ เพียงเพื่อให้มีพระชนม์อยู่เพื่อประโยชน์แก่โลก พระอัครสาวกทั้งสอง คือพระสารีบุตรพระโมคคัลลานะ ได้ปรินิพพานไปก่อน พระนางพิมพาเถรี พระราหุลเถระ ซึ่งเป็นโอรสของท่าน ก็นิพพานไปก่อน แม้แต่พระเทวทัต ที่ตั้งต้นเป็นศัตรู ในการสร้างพระบารมี ทุกภพทุกชาติ ก็สิ้นชีพไปก่อนแล้ว นิครนถ์นาฏบุตร หรือศาสดามหาวีระ คู่แข่งที่ยิ่งใหญ่ในการประกาศศาสนา ก็ได้สิ้นชีพไป อุบาสกผู้สละอย่างยิ่ง เช่น อนาถบิณฑิกเศรษฐี ก็ละทิ้งสังขารจากไปก่อน ทั้งผู้ที่เป็นมิตร และตั้งตนเป็นศัตรูกับพระพุทธองค์ ต่างก็ทยอยกันเข้าไปสู่ปากแห่งมรณะ คือความตาย ตามลำดับๆ แม้พระองค์ก็จะต้องนิพพานไปแล้ว แต่ศาสนายังอยู่ พระธรรมคำสอนของพระองค์ยังต้องเป็นประทีปส่องโลกต่อไป จำนวนผู้เคารพเลื่อมใสในศาสนธรรมของพระองค์ ได้เพิ่มขึ้นๆ อย่างมากมาย
ในพรรษาที่ ๔๕ อันเป็นพรรษาสุดท้ายแห่งพระชนมายุ พระบรมศาสดาเสด็จประทับจำพรรษาสุดท้าย ณ บ้านเวฬุคาม เขตเมืองไวศาลี แคว้นวัชชี ทรงประชวรหนัก หลายครั้งหลายคราว เกิดทุกขเวทนาอย่างแรงกล้า แต่ พระพุทธองค์ทรงดำรงพระสติสัมปชัญญะมั่นคง ทรงอดกลั้นในทุกขเวทนาด้วยความอดทน เพราะทรงเห็นว่า ยังมิควรที่จะปรินิพพานในเวลานี้ จึงบำบัดขับไล่อาพาธ ให้สงบระงับด้วยความเพียรในอิทธิบาทภาวนา
ครั้นแล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้า มีพระอานนท์เป็นปัจฉาสมณะ และมีภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่เป็นบริวารเสด็จข้ามแม่น้ำหิรัญญวดี ถึงกรุงกุสินารา ซึ่งหลังจากที่ได้ปลงพระชนม์มายุสังขารเป็นเวลา ๓ เดือนพอดี เสด็จเข้าสู่ป่าสาละ ที่สะพรึงพรั่งด้วยต้นสาละ รับสั่งให้พระอานนท์จัดแท่นบรรทม ระหว่างต้นสาละทั้งคู่ ที่มีกิ่งโน้มเข้าหากัน หันพระเศียรทางทิศอุดร ครั้งนั้นมีบุคคลเป็นอันมาก จากทั่วทุกสารทิศ เดินทางมาเพื่อ บูชาพระพุทธองค์เป็นครั้งสุดท้าย แผ่เป็นปริมณฑลกว้างออกไปสุดสายตา
ภายใต้แสงจันทร์สีนวลยองใยนั้น พระผู้มีพระภาค บรรทมเหยียดพระกายในท่าไสยาสน์ แวดล้อมด้วยพุทธบริษัทมากหลาย แผ่เป็นปริมณฑลกว้างออกไปๆ พระพุทธองค์ตรัสกับพระอานนท์ว่า "อานนท์! เมื่อเราล่วงลับไปแล้ว เธอทั้งหลายอาจจะคิดว่า บัดนี้พวกเธอไม่มีศาสดาแล้วจะพึงว้าเหว่ไร้ที่พึ่ง ดูก่อนอานนท์เอย! พึงประกาศให้ทราบทั่วกันว่า ธรรมก็ดี วินัยก็ดี อันใดที่เราได้แสดงแล้วบัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ขอให้ธรรมและวินัยอันนั้น จงเป็นศาสดาของพวกเธอ หลังการล่วงไปแห่งเรา เธอทั้งหลายจงมีธรรมวินัยเป็นที่พึ่ง อย่าได้มีอย่างอื่นเป็นที่พึ่งเลย"
ภิกษุทุกรูปเงียบกริบ บริเวณปรินิพพานมณฑลสงบเงียบไม่มีเสียงใดๆ เลย แม้จะมีพุทธบริษัทประชุมกันอยู่เป็นจำนวนมากก็ตาม ทุกคนปรารถนาจะฟังแต่พระพุทธดำรัส เพื่อเป็นเครื่องเตือนใจเป็นครั้งสุดท้าย บัดนี้ พละกำลังของ พระผู้มีพระภาคเจ้า เหลืออยู่น้อยเต็มที ถึงกระนั้น พระบรมโลกนาถ ก็ยังประทานปัจฉิมโอวาทเป็นพระพุทธดำรัสสุดท้าย เปรียบประดุจได้เป็นคำสั่งเสียของพ่อ ที่ห่วงลูกๆ ว่า “หนฺททานิ ภิกฺขเว อามนฺตยามิ โว วยธมฺมา สงฺขารา อปฺปมาเทน สมฺปาเทถ” "ภิกษุทั้งหลาย! บัดนี้เป็นวาระสุดท้ายแห่งเราแล้ว เราขอเตือนเธอทั้งหลายไว้ว่า สิ่งทั้งหลายทั้งปวงมีความเสื่อมสิ้นไปเป็นธรรมดา ขอพวกเธอ จงทำประโยชน์และประโยชน์ของผู้อื่นให้ถึงพร้อม ด้วยความไม่ประมาทเถิด"
ย่างเข้าสู่ปัจฉิมยาม พระจันทร์โคจรไปทางขอบฟ้าทิศตะวันตกแล้ว แสงโสมสาดส่องผ่านทิวไม้ลงมา ท้องฟ้าเกลี้ยงเกลาปราศจากเมฆหมอก รัศมีแจ่มจรัสดูเหมือนจะจงใจส่องแสงเปล่งปลั่งเป็นพิเศษครั้งสุดท้าย แล้วสลัวลงเล็กน้อย เหมือนจงใจอาลัยในพระศาสดาผู้เป็นครูของเทวดาและมนุษย์
พระผู้มีพระภาคมีพระกายสงบ หลับพระเนตรสนิท พระอนุรุทธเถระ ซึ่งเป็นพระเถระผู้ใหญ่อยู่ในเวลานั้น ซึ่งได้รับการยกย่องจากพระผู้มีพระภาคว่าเป็นเลิศทางทิพยจักษุ ได้เข้าฌานตาม ทราบว่า... พระองค์ทรงเข้าฌาน ตั้งแต่ฌานที่ ๑ จนถึงฌานที่ ๘ แล้วก็ดับอยู่ในสัญญาเวทยิตนิโรธ คือดับสนิท ไม่มีสัญญา ไม่มีเวทนา เข้าเสวยนิโรธเพียงชั่วขณะ จากนั้นก็ถอยออกมา จากฌานที่ ๘ จนกระทั่งถึงฌานที่ ๑ เข้าฌานที่ ๑ จนกระทั่งถึงฌานที่ ๔ เมื่อออกจากฌานที่ ๔ ยังไม่ได้ทันได้เข้าสู่ อากาสานัญจายตนะ ซึ่งเป็นฌานที่ ๕ พระองค์ก็ ปรินิพพานในระหว่างนั้น เป็นการดับสนิท อย่างไม่มีส่วนเหลือ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของพวกเรา
ทั้งหมดนี้ เป็นเรื่องราวโดยย่อ โดยสังเขป แห่งการประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพาน ขององค์สมเด็จพ่อของพวกเรา ซึ่งเป็นต้นแบบ เป็นแบบอย่างที่ดีที่สุดให้พวกเราได้ทำตาม พระองค์เป็นบรมครูที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลก จากอดีตมาจนกระทั่งปัจจุบัน
ดังนั้น ในวันเพ็ญเดือนหก วันวิสาขบูชา เป็นวันที่พวกเราเหล่าพุทธบริษัทควรจะได้ มารำลึกนึกถึง การสร้างบารมีของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตั้งแต่วันแรกจนวันสุดท้าย เพราะฉะนั้น สิ่งสำคัญที่สุด ต้องให้เกิด สังเวคธรรม คือ ความ สลดใจ แล้วเป็นเครื่องเตือนใจแห่งการประพฤติ แห่งการปฏิบัติ สังเวชนียสถาน ๔ แห่ง ที่ประสูติ ตรัสรู้ แสดงธรรม และดับขันธปรินิพพาน ที่พระองค์ให้ จาริกไป จุดสำคัญอยู่ที่ว่า ยังธรรมสังเวชให้เกิด ถ้าหากไปในเชิงท่องเที่ยว เชิงธุรกิจ ต่อให้ไป ๔ สังเวชเป็นร้อยครั้ง พันครั้ง ก็ไม่บรรลุธรรมอะไร ลองดุคนแขกดิ เกิดที่นั่น ตายที่นั่น ยังไม่เห็นรู้อะไรเลย เพราะว่าประเด็นสำคัญอยู่ที่การ เอาธรรมะของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้เกิดสังเวคธรรม คือความสลดใจ แล้ว น้อมนำมาสู่ การประพฤติการณ์ปฏิบัติ อย่างจริงจัง
วันนี้เป็นวันวิสาขบูชา เป็นวันแห่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแห่งพวกเรา พระพุทธเจ้าคือใคร พระพุทธเจ้าคือ ผู้ที่เสียสละ บำเพ็ญพุทธบารมีตั้งหลายล้านชาติ ได้มาตรัสรู้ พระพุทธเจ้าคือ ธรรมะ ธรรมะคือพระพุทธเจ้า เราทุกคนที่มีร่างกายอย่างนี้ ชื่อว่าเป็นมนุษย์ ร่างกายของเราเป็นมนุษย์ แต่ใจของเรา มันท่องเที่ยวในวัฏะสงสาร มันเป็นคน เต็มเปี่ยมด้วยอวิชชา เต็มเปี่ยมด้วยความหลง เต็มเปี่ยมด้วยพลังงานแห่งการเวียนว่ายตายเกิด พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า เพราะท่านบำเพ็ญพุทธบารมี เพื่อที่จะหยุดเวียนว่ายตายเกิด จึงให้ ทุกท่านทุกคนพากันเข้าใจว่า ชีวิตของเราคือชีวิตที่ประเสริฐ ชีวิตนี้น้อยนัก ส่วนใหญ่มันก็ไม่เกิน ๑๐๐ ปี ถึงจะมีเทคโนโลยี มีโภชนาการ มีแพทย์ ส่วนใหญ่ ก็ไม่เกิน ๑๒๐ ปี ถึงเราจะทานอาหารดีแค่ไหน นอนพักผ่อนมากเพียรไร มีสิ่งอำนวยความสะดวกความสบายห้อมล้อม แต่ว่า สิ่งเหล่านี้มันเป็นสภาวะธรรมของสังขารร่างกาย เพราะร่างกายนี้ เป็นส่วนประกอบมาจากธาตุทั้ง ๔ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ อยู่ด้วยอาหารใหม่ อยู่ด้วยการเปลี่ยนอิริยาบถ
การดำรงชีวิตของเราทุกคน จึงต้องมีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง เรียกว่าสัมมาทิฏฐิเบื้องต้น แล้วก็จบลงด้วย สัมมาสมาธิ เรียกว่าอริยมรรคมีองค์ ๘ การพัฒนาของเรา ต้องพัฒนาหลักเหตุ หลักผล หลักวิทยาศาสตร์ และก็พร้อมทั้งพัฒนาทั้งใจไปพร้อมๆกัน เพื่อทำที่สุดแห่งความทุกข์ ทำที่สุดแห่งทุกข์ทางจิตใจ ทำที่สุดแห่งทุกข์ทางร่างกาย แต่ร่างกายนี้มันก็แก้ไขไม่ได้ เป็นเพียงบรรเทาทุกข์เฉยๆ แต่ว่าเรามีร่างกายก็เหมือนมีบ้านมีรถ มียานพาหนะ ที่รับใช้เฉยๆ แต่จิตใจเป็นสิ่งที่ทุกท่านทุกคนต้องมีสัมมาทิฏฐิ มีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ความรู้ของเราทุกคนมันไม่ถึง จึงต้องอาศัยความรู้ระดับพระพุทธเจ้า ที่เอามาบอกเอามาสอน เราทุกคนให้เข้าใจเรื่องพระพุทธเจ้า เข้าใจเรื่องพระศาสนา พระศาสนานี้ ไม่ใช่นิติบุคคล ตัวตน เราเขา แต่เป็นธรรมะ ก่อนที่พระพุทธเจ้าจะปรินิพพาน ก็เตือนพวกเรา อย่าได้เอาสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง แต่ให้เอาพระธรรม พระวินัย สิกขาบทน้อยใหญ่นี่แหละ เป็นที่พึ่งเป็นศาสดาแทน เป็นยานที่จะนำพวกเรา ออกจากวัฏสงสาร แล้วที่สำคัญ ต้องยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อม
มนุษย์เราถึงเป็นผู้ที่ประเสริฐมาก ประเสริฐจริงๆ เราทุกคนได้ยินชื่อของพระพุทธเจ้า เป็นบุญเป็นกุศลอย่างที่สุดอย่างประมาณไม่ได้ สิ่งที่ประเสริฐก็ได้เกิดขึ้นแก่เรา ทั้งพระพุทธเจ้า ทั้งพระธรรม ทั้งพระอริยสงฆ์ และตัวเราเองก็เป็นสัปปายะ คือเป็นมนุษย์สมบูรณ์ มีร่างกายครบอาการ ๓๒ ไม่พิกลไม่พิการแล้วบุคคลที่เราเกี่ยวข้องด้วยนี้ก็เป็นสัปปายะ มีพ่อแม่ครูบาอาจารย์ เกิดมาอยู่ในเวลาแห่งพระพุทธศาสนา ยังดำรงอยู่ เพราะหมู่มวลมนุษย์ที่เกิดมาอย่างนี้ มีสภาพเป็นเทวทูต มาบอกมาสอนอยู่เป็นประจำ คือมีความแก่ให้เห็น มีความเจ็บให้เห็น และมีความตายความพลัดพราก ให้เห็นอยู่ตลอด พร้อมกับเห็นสมณะ ร่างกายเรา รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็นเทวทูตมาบอกมาสอน แต่ถ้าหากเราหลง เป็นตัวเป็นตนเมื่อไหร่ มันทำให้เราไม่ได้เห็นแจ้ง อริยสัจ ๔ ทำให้เรารู้ทุกข์ ไม่รู้เหตุเกิดทุกข์ ไม่รู้ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ ที่เรา มาหลงในความอร่อย ในความแซ่บ ความลำ เพราะเราต้องมีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง แล้วที่สำคัญต้องมีสัมมาสมาธิ มีจิตใจเข็มแข็ง ไม่ใจอ่อน เสียสละออกไปให้หมด ให้เป็นธรรม เป็นปัจจุบันธรรม
ชีวิตของมนุษย์จะเป็นชีวิตที่เป็นของสด เป็นของใหม่ ทิ้งอดีตหมด อนาคตมันก็มีอยู่ที่ปัจจุบัน อยู่ที่มีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้องในปัจจุบัน เราทุกคน ที่หมู่มวลมนุษย์ที่อยู่ในโลกนี้ เดี๋ยวนี้ ประชากรของโลกเรา มีตั้งเกือบแปดพันล้านคน แต่ว่าส่วนใหญ่ ก็เป็นมนุษย์ที่ยังไม่ได้เอาธรรมเป็นหลัก ไม่ได้เอาธรรมเป็นใหญ่ มีแต่เอาตัวตนเป็นใหญ่ เอาวิทยาศาสตร์เป็นใหญ่ และก็ยังมีความหลงอยู่ เราจึงต้องพากันเข้าใจ เราจะได้รู้จักพระพุทธเจ้า รู้จัก พระธรรม รู้จักพระอริยสงฆ์ ว่ามันมีอยู่ตัวเราเอง เราต้องสร้างพุทธะ คือ พุทธภาวะให้เกิดขึ้นในใจ ภาวะที่รู้ ตื่น เบิกบาน ให้อยู่ในใจของเรา
คำว่าพระนี้ ก็คือธรรมะ ธรรมะก็คือพระ พระก็คือพระธรรม คือพระวินัย ไม่ใช่แบรนด์เนม พวกโกนหัวห่มผ้าเหลือง หรือว่าไม่ใช่ศาสนาพุทธ คริสต์ อิสลาม พราหมณ์ ฮินดู สิกข์ แต่เป็นพุทธะที่มีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง มีความสุขในการดำเนินชีวิตที่ประเสริฐ พัฒนาเทคโนโลยี เพื่อมนุษย์จะได้สะดวกสบาย มีอยู่ มีกิน มีใช้ มีอะไรสะดวกสบายทุกอย่าง และที่สำคัญต้องพัฒนาใจไปพร้อมๆ กัน เราต้องเข้าใจ ในโลกนี้ จึงจะจัดแจงขยะที่มันมีอยู่ในจิตในใจเรา เพื่อรีไซเคิล ให้ของมันใช้ได้ เอาอดีตหรือว่าประสบการณ์ที่ผ่านมา มาเป็นครู มาบอกมาสอน ให้เรามีตาก็เพื่อฉลาด มีหูก็เพื่อฉลาด มีจมูก มีลิ้น มีกาย มีใจ ก็เพื่อฉลาด มนุษย์ก็จะมีความสุขมาก จะได้หลุดออกจากบ่วงอบายมุข ทางแห่งความเสื่อม กินเหล้าเจ้าชู้ เล่นการพนัน เที่ยวกลางคืน หรือว่าเที่ยวกลางวัน ขี้เกียจขี้คร้าน คบคนพาลเป็นมิตร ที่เป็นทางแห่งความเสื่อมทั้งหลาย เราทุกคนต้องรู้จักพระศาสนา อย่าพากันรู้แต่แบรนด์เนมของพระศาสนา ทุกศาสนา ถ้ามีอริยมรรคมีองค์ ๘ มีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง ดำเนินตามศีล สมาธิ ปัญญา ทุกๆ ศาสนาก็เป็นพระได้ ไม่ใช่เฉพาะแต่ศาสนาพุทธหรอก ทุกท่านทุกคนเกิดมา ก็เพื่อมาเอาธรรมะเป็นหลัก เอาธรรมะเป็นใหญ่ มารักกัน มาสงสารกัน มามีความสุขในการปฏิบัติธรรม ในการทำงาน โดยที่ ทุกคนไม่ได้ไปเบียดเบียนใคร ไม่ต้องไปเอาของใคร ไม่ต้องไปหลงอะไร เพราะว่าเราเกิดมาเพื่อมาเสียสละ ให้เข้าใจอย่างนี้ อย่าไปเข้าใจศาสนา ในแบบที่หลงงมงาย ที่เอาพระพุทธรูปเป็นศาสนา เอาโบสถ์ เอาวิหาร เอาเจดีย์ เอาอาคารเอาศาสนวัตถุต่างๆ เป็นศาสนา นั่นไม่ใช่ศาสนาเลย ศาสนาที่แท้จริง อยู่ที่เรามีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง เราต้องไม่ทำบาปทั้งปวง ทำแต่บุญแต่กุศล ชำระจิตของตนให้ผ่องใส ต้องใจเข้มแข็งด้วย อย่างนั้นมันถึงจะเสียสละ สิ่งที่ชอบที่สุด สิ่งที่ไม่ชอบที่สุด เราก็ต้องเสียสละให้ได้ เพื่อจะได้เข้าสู่ความ สดชื่นเบิกบาน ในปัจจุบัน
เราอย่าพากันไปหาแต่พระภายนอก พระอยู่ในตัว ถ้าเราทำตามใจ ทำตามอารมณ์ ทำตามความรู้สึก คือเราเป็นคนทำร้ายพระพุทธเจ้า ทำร้ายพระธรรม ทำร้ายพระอริยสงฆ์ แต่ก่อนเราพากันไปสงสารพระเทวทัต หรือเกลียด พระเทวทัต ว่า ทำร้ายพระพุทธเจ้า ทำลายสงฆ์ให้แตกกันอย่างนี้ ตัวเราเองนี่แหละทำร้ายพระพุทธเจ้า ทำร้ายพระธรรม ทำร้ายพระอริยสงฆ์ ด้วยการที่ไม่เอาธรรมเป็นหลัก ไม่เอาธรรมเป็นใหญ่ เราไม่เห็นทุกข์ ไม่รู้ทุกข์ ไม่รู้ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ แล้วก็หลงทำบาปทำกรรมเอาตัวตนเป็นใหญ่ นี่แหละคือการทำลายพระพุทธเจ้า ทำลายพระธรรม ทำลายพระอริยสงฆ์ ให้เราเข้าใจอย่างนี้ เพราะการปฏิบัติธรรม เป็นของง่าย ไม่ต้องวิ่งไปหาปฏิบัติที่ไหน เพราะเป็นเรื่องมาแก้ที่ตัวเอง ไฟติ้งกับตัวเอง ต่อสู้กับตัวเอง สำหรับสิ่งภายนอก เราไปทำธุรกิจ เพื่อดำเนินธุรกิจภายนอก การทำธุรกิจก็ ทำด้วยเป็นผู้ให้ ผู้ที่เสียสละ ไม่ใช่จะไปเอาของใคร เรามีความสุขในการทำงาน มีความสุขอยู่อย่างนี้ มีอยู่ มีกิน มีใช้ แล้วก็ต้องรู้จักเป็นผู้เสียสละเป็นผู้ให้ การเสียสละเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ เราตื่นขึ้นมา เราก็มีพระพุทธเจ้า ถึงพรพุทธเจ้า ตั้งมั่นในพระรัตนตรัย กราบพระไหว้พระ บังคับตัวเอง ให้ตามเวลา ให้เข้าหาธรรม เสียสละ คนเราถ้าไม่เสียสละมันไม่มีความสุข เพราะเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง มันไม่ได้ ต้องเสียสละ หยุดมีเซ็กทางความคิด หยุดมีเซ็กทางอารมณ์ หยุดมีเซ็กของอวิชชา ของความหลง ถ้าเราตามใจ ตามอารมณ์ตัวเอง มันก็ทั้งพระสงฆ์ ทั้งเด็ก ทั้งคนแก่ ทั้งคนหนุ่ม มันก็มีเซ็กทางความคิดทางจิตใจ มันจึงต้องหยุดตัวเอง ต้องคุมตัวเองให้ได้ ต้องอยูในซุปเปอร์ไฮเวย์ เพราะเราต้องมีสัมมาสมาธิ ความตั้งใจมั่นชอบ ถ้างั้นเราจะเป็นได้แต่เพียงคน ทำทั้งผิด ทำทั้งถูก ทำทั้งดี ทำทั้งชั่ว เค้าเรียกว่าคน เราจะมีพระศาสนาเอาไว้เพื่อทำลายโลกไม่ได้ มันเป็นเพียงปริยัติ ยังไม่เข้าสู่ภาคปฏิบัติ ยังไม่เข้าสู่ภาคกิจกรรม เราทำอย่างนี้ก็จะแก้ความดับทุกข์ได้ ถ้าจะมัวแต่ไปแก้ ไปดับทุกข์กับคนอื่น ไม่ได้ไปดับทุกข์ที่ตนเอง มันก็ใช้ไม่ได้
วันวิสาขบูชามาถึงแล้ว เราต้องระลึกว่า เรามีชีวิตอยู่ เรามีลมหายใจอยู่ เราเป็นคนโชคดี ที่เราเผลอประมาทพลาดพลั้งไป เราจะพากันตั้งใจใหม่ เราจะพาตัวเรา ครอบครัวเรา พาหมู่เพื่อน ไปสู่มรรคผลพระนิพพาน ทุกท่านทุกคนต้องฝึกนะ หายใจเข้าสบาย หายใจออกสบาย หายใจเข้ามีความสุข หายใจออกมีความสุข หายใจเข้าท่องพุท หายใจออกท่องโธ ทุกอิริยาบถที่เรายืน เดิน นั่ง นอน มีความสุขในการทำงาน การทำงานของเราต้องมีความสุข เพราะเราต้องทำอย่างนี้ ถ้าเราไม่มีความสุข มันก็เป็นโรคจิต โรคประสาท เป็นโรคซึมเศร้า เป็นโรคนอนไม่หลับ
วันนี้ เวลา ๑๑ นาฬิกา ก็จะได้ มีการบวชพระ ๕ รูป บวชเพื่อบูชาพระพุทธเจ้า บวชเพื่อประพฤติปฏิบัติธรรม เพื่อตามรอยของพระพุทธเจ้า เพราะอะไรก็ไม่เหมือนกับบวช เพราะบวชก็คือการเข้าสู่ธรรมวินัย สิกขาบทน้อยใหญ่ ความสุขความดับทุกข์ มันดีกว่าพวกถวายทานอีก ถวายทานก็คือถวายทาน ทานความเห็นแก่ตัว ทานสิ่งที่มันปล่อยปะละเลย ก็คือว่าเสียสละทิฏฐิมานะอัตตาตัวตน ก็ถือว่าให้ทาน เพราะเสียสละมันออกไป การประพฤติการปฏิบัติให้เข้าใจ พวกแม่ชี พวกแม่ขาว พวกโยมวัดทั้งหลาย พวกคนแก่ทั้งหลาย เราอย่าไปคิดว่า เราต้องขวนขวายเรื่องเงิน เรื่องสตางค์ เพื่อจะมาให้ทาน เพื่อจะมาทำบุญ ความจริงแล้วการทำบุญก็คือการประพฤติการปฏิบัติ คิดดีๆ พูดดีๆ รักษาศีลดีๆ ปรับปรุงตัวเองดีๆ เอาศีลเอาธรรม มันดีกว่าที่เราเอาเงินร้อย เงินพัน เงินหมื่น เงินแสน เงินล้านมาทำบุญซะอีก เพราะอันนี้ เป็นเรื่องแก้ไขตัวเอง พระพุทธเจ้าท่านถึงบอกถึงสอน พระทั้งหลายสามเณรทั้งหลาย ต้องละเสียซึ่งเงินซึ่งทอง มาประพฤติมาปฏิบัติ มีความสุขในการประพฤติ การปฏิบัติ การบวชถึงเป็นสิ่งที่ดีมาก การบวชมันต้องบวชทั้งกาย บวชทั้งใจ หยุดมีเซ็กทางกาย หยุดมีเซ็กทางวาจา และก็หยุดมีเซ็กทางใจอย่างนี้ มีความสุขในการประพฤติปฏิบัติ เพื่อฝึกตัวเองปฏิบัติตัวเอง อย่าไปเอาตามพระภิกษุสามเณรทั้งหลายในโลกที่ปฏิบัติผิดๆ ต้องเอาตามพระพุทธเจ้าองค์เดียว เพราะพระพุทธเจ้า คือผู้เสียสละ ถึงจะบวช วันเดียวก็ชั่งหัวมัน ขอแค่ให้เราตั้งอกตั้งใจปฏิบัติ ก็จะนับว่า เป็นการไม่เสียเวลา ไม่เสียโอกาสที่ได้มาบวชได้มาบรรพชา และได้มาปฏิบัติธรรม เพื่อเข้าถึงความสงบเย็นเป็นพระนิพพาน เพื่อถวายเป็นพุทธบูชา แด่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า หลังจากแสดงธรรมจบก็จะมีการกล่าวคำสักการะวันวิสาขบูชา เพื่อจะได้ มีความพร้อมเพรียงกัน รำลึกนึกถึงวันที่พระพุทธเจ้าทรงประสูติ ตรัสรู้ และเสด็จดับขันธปรินิพพาน แทนการเวียนเทียน
วันนี้จึงขออนุโมทนากับทุกท่านทุกคน ที่ได้มาประพฤติวัตร มาปฏิบัติธรรม เพื่อเป็นพุทธบูชา บูชาพระพุทธเจ้า องค์สมเด็จพ่อ ในวันประสูติ ตรัสรู้ ปรินิพพาน บูชาพระธรร บูชาพระสงฆ์ และเป็นการเฉลิมพระชนมพรรษา ของสมเด็จพระนางเจ้า สุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี เนื่องในโอกาส วันเฉลิมพระชนมพรรษาในวันนี้ด้วย
ด้วยอำนาจแห่งพระสัมมาสัมพุทธะ ขอทุกท่านจงชำนะความขัดข้อง ด้วยอำนาจแห่งพระธรรมอันเรืองรอง อย่างได้พ้องพานหมู่ศัตรูมาร ด้วยอำนาจแห่งพระอริยสงฆ์ ขอทุกท่านจงเป็นสุขทุกสถาน ด้วยบารมีธรรมแห่งองค์พ่อแม่ครูบาอาจารย์ ถึงมรรคผลพระนิพพานด้วยกันทุกท่านเทอญ
แจกปัญญา แจกศาสนา แจกธรรมวินัย แจกสิ่งที่ถูกต้อง
เพื่อเดินตามรอยพระพุทธเจ้าร้อยเปอร์เซ็นต์
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
โดยทุกท่านสามารถติดตามเพิ่มเติมได้ที่
https://linktr.ee/watsubthawee
Share wisdom, spread Buddhism and its discipline.
Advocate righteousness to follow Lord of Buddha's footsteps 100%
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
You can receive new Dharma updates.
https://linktr.ee/watsubthawee