แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ในวันอาทิตย์ที่ ๒๑ พฤษภาคมพุทธศักราช ๒๕๖๖
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่องสั่งสมทรัพย์ภายใน ตอนที่ ๕๓ เวลาในชีวิตของเรามีไม่มาก ให้สอนตนเอง ไม่ต้องพยายามไปสอนคนอื่น
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
ทุกท่านทุกคนที่เกิดมาเป็นมนุษย์นี้คือผู้ที่ประเสริฐ ทุกๆ คนที่อยู่ในประเทศไทย คำว่าไทยนี้ก็หมายถึง ไม่มีอวิชชา ไม่มีความหลง ไม่มีไสยศาสตร์ เขาเรียกว่าไทย ประเทศไทยเรามาตั้งอยู่ในสุวรรณภูมิ การพัฒนาประเทศไทยนี้ก็คือเอาธรรมะเป็นหลักเอาธรรมะเป็นที่ตั้ง พัฒนาเทคโนโลยีที่เป็นวิทยาศาสตร์และพัฒนาใจไปพร้อมๆ กัน เขาเรียกว่าทางสายกลาง ถึงได้ตั้งรกรากถิ่นฐาน ที่เป็นโครงสร้างของชีวิต ถึงได้มี ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ที่เป็นหลัก ถึงได้มีการปกครองเอาธรรมะเป็นหลักเอาธรรมะเป็นใหญ่ ถึงจะพัฒนาเป็นประชาธิปไตย ก็ต้องเอาธรรมะเป็นหลัก ถึงจะพัฒนาเป็นสังคมนิยมก็ต้องเอาธรรมะเป็นหลัก เอาธรรมะเป็นใหญ่ เข้าถึงทางสายกลาง เราถึงมีบ้าน มีวัด มีโรงเรียน พสกนิกรทุกคนต้องพัฒนาอยู่ในโครงสร้างที่มีชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ทุกๆ คนทุกๆ ครอบครัว ทั้งข้าราชการ ทหาร ตำรวจ พ่อค้า ประชาชน
เพราะว่าเราทุกคนต้องไปแนวเดียวกันสมัครสมานสามัคคีกัน เพราะเราจะได้หยุดจากมิจฉาทิฏฐิ เป็นผู้มีสัมมาทิฏฐิ เรียกว่ามีศีล มีสมาธิ มีปัญญา หยุดไสยศาสตร์ ไสยศาสตร์ แปลว่าความหลง ความหลงทุกอย่างคือไสยศาสตร์ หลงในรูป เสียง กลิ่น รส ลาภ ยศ สรรเสริญ หลงในความศักด์สิทธิ์ ที่ก่อตัวรวมกันเป็นพลังงานแห่งความหลง เราต้องหยุดไสยศาสตร์ ต้องเอาพุทธะ ต้องพัฒนาให้เป็นประเทศไทย คือไม่เป็นทาสของอวิชาความหลง เราจะได้เป็นสุข พสกนิกรชาวไทยจะได้เป็นนักการเมือง เป็นข้าราชการ เป็นพ่อค้า ประชาชน ที่เอาธรรมเป็นหลักเอาธรรมเป็นใหญ่ เราจะได้รวยอย่างฉลาด เราจะได้บริหารข้าราชการอย่างฉลาด เป็นทั้งคนดีคนเก่งทั้ง IQ EQ RQ เพราะทุกคนน่ะ ถ้าไม่เสียสละ มันก็ไม่ใช่มนุษย์ มันเป็นได้แต่เพียงคน คนมันทำทั้งดี ทั้งชั่ว ทั้งผิดทั้งถูก มันวุ่นวายสับสน มันไม่สงบ มันฟุ้งซ่าน มันเผาตัวเองเผาคนอื่น มันเป็นได้แต่เพียงคน (เป็นมนุษย์เป็นได้เพราะใจสูง...)
เราต้องเข้าสู่ความประเสริฐ เข้าสู่ความเป็นมนุษย์ ไม่ใช่รวยแล้วส่งลูกไปเรียนเพื่อมากินบ้านกินเมือง เพราะทุกคนก็คือพี่น้องกัน เกิด แก่ เจ็บตาย เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะสงสาร เราจะมาหลงในขยะไม่ได้ ทุกคนมันโลภมันต้องการอะไร แต่เราต้องเอาธรรมะเป็นหลัก เอาธรรมะเป็นใหญ่ เอาพระวินัย เอากฎหมายบ้านเมือง คนเค้าถึงจะยอมรับได้ ทุกคนต้องหยุดโจรในตัวเอง แก้ไขตัวเอง เพราะการแก้ไขคนอื่นมันดี แต่ถ้าเราไม่ได้แก้ไขตัวเอง มันก็ไม่ดี เป็นได้แต่นายทุน เป็นพระก็เป็นได้แต่พระแต่งตั้ง เป็นตำรวจก็เป็นตำรวจแต่งตั้ง เป็นทหารก็เป็นทหารแต่งตั้ง ตำแหน่งก็แค่แต่งตั้งเฉยๆ เพราะยังไม่เข้าถึงภาคประพฤติภาคปฏิบัติ วุ่นวายไปเรื่อย 5 ปี 10 ปี เดี๋ยวก็ปฏิวัติ ปฏิวัติแต่คนอื่นไม่ปฏิวัติตัวเอง อย่าให้มีสีเทา สีดำ สีด่าง ให้มีเพียง ๓ สี คือ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ๓ สถาบันนี้คือความมั่นคงแห่งประเทศชาติ จึงต้องปรับปรุงตนเอง ต้องเดินไปพร้อมๆ กัน
มนุษย์เราต้องเป็นผู้ที่ประเสริฐ ถ้าเราไปทำตามใจตามอารมณ์ เหล้ามันประเสริฐไหม เบียร์มันประเสริฐไหม บ่อนคาสิโนมันประเสริฐไหม พวกนี้ล้วนแต่สุนัขมันไม่รับประทานทั้งนั้นเลย เราจะว่าเราประเสริฐอย่างไรหล่ะ ผูกเนคไทออกโทรทัศน์ได้อย่างไร เพราะเราไม่ได้เป็นผู้ทรงเกียรติ ผู้ทรงเกียรติเขาหมายถึงผู้ได้รับความไว้วางใจจากประชาชน ในการดำเนินหน้าที่เอาธรรมเป็นหลัก เอาธรรมเป็นใหญ่ เอาธรรมเป็นที่ตั้ง เอาธรรมเป็นการดำเนินชีวิต พัฒนาจาก ประชาธิปไตย เป็นธรรมาธิปไตย พัฒนาจากสังคมนิยมให้เป็นธรรมาธิปไตย เพราะประชาธิปไตยส่วนใหญ่ก็คือพวกเห็นแก่ตัวทั้งหลายมาออกกฎหมายบ้านเมือง สังคมนิยมแบบคอมมิวนิสต์ ก็คือพวกเห็นแก่ตัวบังคับข่มเหง มันก็คือพวกเดียวกันแหละ ความสุขของมนุษย์นี้คือการมีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ทำงานให้มีความสุข
การเมืองไม่ใช่สิ่งขัดแย้งกับหลักการของพระพุทธศาสนา และศีลธรรมในศาสนายังจำเป็นมากต่อการมีการเมืองที่ดี ที่อำนวยประโยชน์สุขให้สังคมอีกด้วย ดังคำของหลวงพ่อพุทธทาสว่า “ถ้าศีลธรรมไม่กลับมาโลกาวินาศ มนุษยชาติจะเลวร้ายกว่าเดรัจฉาน”
ประเทศชาติเราจะสงบร่มเย็นเป็นสุขได้ ต้องเอาธรรมะเป็นใหญ่ เป็นที่ตั้งในการปกครองและอยู่ร่วมกัน ประเทศชาติจึงจะสงบสุข ประเทศชาติเราจะสงบร่มเย็นเป็นสุขได้ ต้องเอาธรรมะเป็นใหญ่ เป็นที่ตั้งในการปกครองและอยู่ร่วมกัน ประเทศชาติจึงจะสงบสุข ดังบทร้อยกลองที่มีชื่อว่า “หัวใจเมือง” ของคุณถมอม อัครเศรณี เมื่อปี ๒๔๙๒ ที่ว่า
เมืองใดไม่มีทหารหาญ เมืองนั้นไม่นานเป็นข้า เมืองใดไร้จอมพารา เมืองนั้นไม่ช้าอับจน
เมืองใดไม่มีพาณิชเลิศ เมืองนั้นย่อมเกิดขัดสน เมืองใดไร้ศิลปะโสภณ เมืองนั้นไม่พ้นเสื่อมทราม
เมืองใดไม่มีกวีแก้ว เมืองนั้นไม่แคล้วคนหยาม เมืองใดไร้นารีงาม เมืองนั้นสิ้นความภูมิใจ
เมืองใดไม่มีดนตรีเลิศ เมืองนั้นไม่เพริศพิสมัย เมืองใดไร้ธรรมอำไพ เมืองนั้นบรรลัยแน่นอนฯ
การเมืองกับธรรมะก็ต้องเป็นอันเดียวกัน มันแยกกันไม่ได้ เขาเรียกว่าเทคโนโลยีกับคุณธรรมต้องไปพร้อมกัน ไอคิวกับอีคิวต้องไปพร้อมกัน การเรียนการศึกษาถ้าเราไม่เอาคุณธรรมเป็นหลัก ก็เป็นการเรียนการศึกษาเพื่อทำลายโลก เพื่อทำให้โลกนี้เสียหาย เพราะจิตใจกับการพัฒนาเทคโนโลยีต้องไปพร้อมกัน มันถึงจะเป็นสายกลาง ผู้ที่เป็นนักการเมืองก็ดี เป็นข้าราชการทหารตำรวจก็ดี เป็นประชาชนก็ดี เป็นนักบวชก็ดี ต้องพากันเข้าใจนะ เราลองคิดดูดีๆ เราเกิดมาก็ไม่ได้เอาอะไร เรามาแต่ตัวเปล่าๆ เวลาเราตายไปก็ไม่ได้เอาอะไร แล้วเราจะเป็นตัวอย่างแบบอย่างในทางที่ไม่ดีให้ลูกให้หลานเราได้ยังไง เราเกิดมาต้องมาเสียสละ เพื่อให้ลูกให้หลานเราต่อยอดสืบทอดคุณธรรมของเราให้ยิ่งๆ ขึ้นไป
พระก็ทรงไว้ซึ่งพระธรรมพระวินัยของพระ ทหารตำรวจก็ต้องทรงไว้ซึ่งวินัยของทหารตำรวจ ทุกคนต้องทำหน้าที่ของตัวเองให้มีความสุข เพราะความสุขมันอยู่ที่เราทำหน้าที่ ถ้าเราไม่ทำอย่างนี้ ปฏิบัติอย่างนี้ การเดินขบวนมันไม่จบ เพราะข้าราชการก็ทำผิด นักการเมืองก็ทำผิด ประชาชนก็ทำผิด เพราะตัวมันเองมันระเบิดตัวมันเอง มันทำร้ายตัวของมันเอง ด้วยความคิดเห็นผิด เข้าใจผิด ปฏิบัติผิด ไม่มีใครจะมาทำลายศาสนาคริสต์ ไม่มีใครจะมาทำลายศาสนาอิสลามได้ ไม่มีใครจะมาทำลายศาสนาพุทธได้ นอกจากตัวของมันเองที่ศาสนิกไม่ไปทำหน้าที่ของตัวเองให้สมบูรณ์
เราจะเอาใจของตัวเองเป็นใหญ่ เอาอารมณ์ของตัวเองเป็นใหญ่ เอาความรู้สึกตัวเองเป็นใหญ่ไม่ได้ ต้องเอาธรรมวินัย เอากฎหมายบ้านเมืองที่มันเป็นธรรมเป็นคุณธรรม ไม่ใช่เพื่อพวกพ้องที่เราเห็นอยู่ พากันกินเหล้ามากก็ออกกฎหมายตั้งโรงเหล้ามาตรฐานได้ เล่นการพนันเยอะก็สร้างบ่อนคาสิโนมาตรฐาน ก็ไปตั้งย่อย ตามหมู่บ้าน คนรวยกินรวบหมด ถ้ากฎหมายใดไม่เป็นธรรม บัญญัติขึ้นมาออกนิติบัญญัติมาเพื่อความเห็นแก่ตัว ขัดต่อธรรมะ กฎหมายนั้นก็ถือว่าไม่ถูกต้อง ออกมาเพื่อพวกพ้องบริวาร ประชาธิปไตยของคนทุกคนคือธรรมะ อันเป็นธรรมาธิปไตย ความเห็นของปุถุชนสามัญชนเป็นล้านๆ คน ก็ยังสู้พระอรหันต์ไม่ได้ ทุกคนต้องมาเอาธรรมเป็นหลักเอาธรรมเป็นใหญ่เอาธรรมเป็นที่ตั้ง ประเทศเราจึงจะเข้าถึงความสงบร่มเย็นได้ การที่ได้มาซึ่งทรัพย์สมบัติ ข้าวของเงินทอง เกียรติยศ ต้องมาจากการเสียสละคืนซึ่งตัวตน ใจของเราทุกคนถึงสงบถึงจะเย็น
เราทุกคนเกิดมาส่วนใหญ่ไม่เกิน ๑๐๐ ปี ก็ต้องจากโลกนี้ไป สิ่งที่กุลบุตรลูกหลานเราควรจะได้รับ ได้แก่ ความเห็นถูกต้อง ความเข้าใจถูกต้อง การปฏิบัติถูกต้อง เหมือนการพัฒนาทางวิทยาศาสตร์ การต่อยอดทางวิทยาศาสตร์ก็มาไกล ส่วนจิตใจของเราก็ต้องพากันต่อยอด ทุกท่านทุกคนก็พากันมาแก้ที่ตัวเอง ถ้าเราไปแก้ที่คนอื่น ก็แก้ไม่ได้ ทุกคนก็พากันแก้ที่ตัวของเราเอง ถ้าเราไม่เอาธรรมะเป็นหลัก ไม่เอาความถูกต้องเป็นหลัก ชีวิตเราก็จะกลายเป็นขยะ ขยะคือมีแต่สิ่งที่ไม่ดี ขยะก็คือสิ่งที่ไม่เกิดประโยชน์ต่อส่วนรวม ที่เอาเงินเป็นพระเจ้า เอาตัวตนเป็นพระเจ้า เอารูปเสียงกลิ่นรสลาภยศสรรเสริญเป็นพระเจ้า อย่างนั้นไม่ได้
เราต้องอยู่ในธรรมะ ในความเป็นธรรมในความยุติธรรม การปกครองที่เป็นประเทศ เป็นจังหวัด เป็นอำเภอ เป็นตำบล เป็นครอบครัวนี้ ถึงต้องเอาธรรมเป็นหลัก ทุกอย่างต้องปรับเข้าหาธรรมะ ถ้าเราทำตามใจตนเอง มันเสียหาย เหมือนกับผู้ที่มาบวชเป็นพระในพระพุทธศาสนานี้ ถ้าทำตามใจตนเอง ไม่ทำตามพระธรรมวินัย ศาสนาพุทธก็เสียหาย นักบวชในทุกๆ ศาสนา ที่ทำตามใจตนเอง ไม่ทำตามกฏระเบียบวินัย ศาสนานั้นๆ ก็จะเสียหาย เราต้องมีหลักที่ถูกต้อง มีหลักที่เป็นธรรม หลักที่มีความยุติธรรมกัน เราทุกๆ คน จะทำตามใจ ตามฟรีสไตล์ไม่ได้
ความสมัครสมานสามัคคีนี้ถึงเป็นสิ่งที่ดีเป็นสิ่งที่สำคัญ ที่สมาคมศิษย์เก่าอัสสัมชัญนครราชสีมานี้เห็นความสำคัญ ได้พากันจัดงาน เพื่อความดี ถ้ามีโอกาสมีเวลาก็พากันทำพากันปฏิบัติอย่างนี้ถูกแล้ว เราอย่าพาแตกแยกเรื่องศาสนา ศาสนาพุทธ คริสต์ อิสลาม พราหมณ์ ฮินดู ซิกข์ ศาสนาต่างๆ อย่าไปแตกแยกกัน เพราะศาสนาคือธรรมะ ถ้าเรามองเอาแต่วัตถุ เอาแต่ภายนอก การโกงกินคอรัปชั่นมันก็มีมาก มีปืนมีระเบิดมียาเสพติด มีกัญชา บูชาเงินเป็นพระเจ้า บูชากาม บูชาในเรื่องกิน เรื่องเที่ยว เรื่องเหล้า เรื่องเบียร์ เรื่องความบันเทิงเป็นพระเจ้า ทิ้งความดีทางจิตใจไปอย่างนี้ ก็ไม่ถูก เราเป็นมนุษย์ที่เกิดมา แล้วพากันพัฒนาเพียงวิทยาศาสตร์ภายนอก แต่ไม่ได้พัฒนาใจไปพร้อมๆ กัน ถ้ารวยก็เรียกว่ารวยอย่างไม่ฉลาด บริโภคแต่ปัจจัยทั้ง ๔ ก็ถือว่ายังไม่ฉลาด
มนุษย์เราเกิดมาต้องมีการเรียนการศึกษา ต้องมีงานทำ เพื่อมีบ้าน มีรถ มีสิ่งอำนวยความสะดวกสบาย เพราะร่างกายที่เรามีธาตุมีขันธ์ จะได้อยู่ร่มเย็นเป็นสุข เป็นปัญหาที่จำเป็นรีบด่วน สิ่งที่จะมั่นคงก็คือเรื่องจิตเรื่องใจ ต้องพัฒนาไปเพื่อ เข้าถึงความสุขความดับทุกข์ที่เเท้จริง คือ หยุดเวียนว่ายตายเกิด การดำรงชีวิตของเราต้องพัฒนาสองอย่าง ต้องพัฒนาทั้งกาย พัฒนาทั้งใจไปพร้อมๆ กัน เรียกว่าทางสายกลาง ที่เรียกว่าศาสนา ก็คือ ธรรมะ ธรรมะก็คือ ศาสนา ศาสนา ย่อยมาเป็นศีล เป็นระเบียบเป็นพระวินัย เพื่อให้ทุกคนปรับใจ ปรับกายวาจา ใจกิริยามารยาทเข้าหาธรรมะ ทุกคนมีหน้าที่ปรับตัวเองเข้าสู่ธรรมะ เข้าสู่ระเบียบสู่วินัย เข้าสู่เวลา ไม่เอาตัวตนเป็นหลัก ไม่เอาตัวตนเป็นใหญ่ จะได้มีความเห็นเหมือนๆ กัน มีความตั้งมั่นเหมือนกัน มีระเบียบมีวินัย มนุษย์เราถึงจะอยู่ได้ร่มเย็นเป็นสุข เรียกว่า ธรรมะ คู่กับการพัฒนาทางวิทยาศาสตร์ ทุกคนต้องมีหน้าที่ทำอย่างนี้ ปฏิบัติอย่างนี้
ถ้าเอาเเต่ทางกาย ทางวิทยาศาสตร์ ทางเทคโนโลยีมันก็ยังไปไม่ได้อยู่เเล้ว ต้องพัฒนาเรื่องจิตเรื่องใจไปพร้อมๆ กัน เพราะร่างกายเค้าเปรียบเสมือนรถยนต์ ร่างกายเปรียบเสมือนบ้าน ใจเปรียบเสมือนเจ้าของบ้าน ให้อาหารร่างกายให้ถูกต้อง เเล้วต้องให้อาหารใจให้ถูกต้อง ให้อาหารกายด้วย บ้านที่อยู่ที่อาศัย ทานอาหารให้ถูกต้อง ให้ได้เเคลอรี่ตามความต้องการของร่างกาย ทานอาหารก็ไม่หวานเกิน ไม่มันเกิน ไม่เค็มเกิน ไม่เปรี้ยวเกิน ที่อาศัยบ้านก็ให้อากาศถ่ายเท บ้านไม่สกปรก เเล้วความสุขต้องอยู่ที่ปัจจุบันตั้งเเต่เช้าจนนอนหลับ เราถึงจะไม่เสียสุขภาพจิต บางทีวันสองวันมันไม่เป็นไร ถ้าหลายวันมันจะสะสม เเล้วให้การนอนการพักผ่อน เพราะร่างกายคนเราถ้านอนไม่พอ มันต้องมีปัญหาเเน่นอน สติสัมปชัญญะก็จะไม่ค่อยดี อันนี้เป็นเหตุผลเป็นวิทยาศาสตร์
ชีวิตของเราวันหนึ่งคืนหนึ่งประชาชนคนทำงาน ต้องนอนวันละ ๖ ชั่วโมง อย่างมากก็ ๘ ชั่วโมง ให้บังคับตัวเอง ไม่อย่างนั้นมันขอโอกาสขอเวลาไปเรื่อย ตามโทรศัพท์ ตามคอมพิวเตอร์ ตามรูป เสียง กลิ่น รส ลาภ ยศ สรรเสริญไปไม่ได้ มันต้องปฏิบัติให้ถูกตามกฏแห่งกรรม กลางวันเราก็ทำงานให้มีความสุข ตั้งเเต่เช้าจนเย็น ให้มีความสุขในการทำงาน อย่าไปทำงานเเล้วใจมันไปอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ ต้องอยู่กับงาน ถ้าอย่างนั้นใจมันจะไม่เย็น มันจะฟุ้งซ่าน กลางคืนกราบพระไหว้พระ นั่งสมาธิ เเล้วก็นอนสักสามทุ่มกว่าๆ ตีสี่ตีห้าถึงพากันตื่นขึ้น เราอย่าพากันคอร์รัปชั่นเวลานอน ถึงเวลานอนเราต้องเสียสละ ไปคิดมากยิ่งยากจน ไปคิดมากยิ่งเป็นโรคจิต โรคประสาท สุขภาพกายก็ไม่สมบูรณ์ เพราะเราทำไม่ถูกต้อง มันไม่จบหรอก ต้องจัดการตัวเอง เวลาตื่นเราก็มีความสุขในการทำงาน ขยัน รับผิดชอบ อดทน มีความสุข สุขภาพจิตก็ดี ไม่เป็นโรค ซึมเศร้า ไม่เป็นโรคฟุ้งซ่าน ไม่เป็นโรคทรัพย์จาง โรคทรัพย์จางก็คือโรคที่ไม่มีความสุข เพราะทำงานเพื่อเงินเดือน ทำงานเพื่อเอาหน้าเอาตา ทำงานเพื่อจะมีเพื่อจะเป็น อย่างนี้ไม่ใช่สัมมาทิฏฐิอะไร เป็นอวิชชาเป็นความหลง มนุษย์เราต้องเข้าสู่ความเป็นมนุษย์ อยู่ที่พัฒนาตัวเอง สู่ความเป็นพระ พระธรรมพระวินัย หรือว่าเป็นกฎหมายบ้านเมือง มันเป็นยาที่หยุดความหลง
ธรรมดาบุคคลทั้งหลายในโลกนี้ ย่อมปรารถนาอย่างยิ่งที่จะมีชัยชนะเหนือคนอื่น ไม่ว่าจะเป็นความชนะในด้านใดก็แล้วแต่ เช่น ชนะในการแข่งขันกีฬา ชนะในการแข่งขันด้านธุรกิจ ชนะเหล่าอมิตรศรัตรู เป็นต้น มันเป็นธรรมดาของคน เป็นความต้องการขั้นพื้นฐานของคน เพราะเมื่อมีชัยชนะ หรือรู้สึกว่าตัวเองมีชัยชนะเหนือคนอื่น ย่อมจะเกิดความภาคภูมิใจขึ้นมา มีความกระหยิ่มยิ้มย่องขึ้นมา มีความรู้สึกว่าตัวเองนั้นเหนือกว่าคนอื่น แต่ถ้าพ่ายแพ้ หรือรู้สึกว่าตัวเองพ่ายแพ้ ย่อมจะมีความเสียใจ มีความทุกข์ใจ มีความหดหู่ใจตามมาเป็นแน่แท้
ดังนั้น โดยธรรมชาติของมนุษย์แล้ว ทุกคนต้องการชัยชนะ ต้องการชนะคนอื่น ทุกๆ คนมัวแต่มุ่งหวังจะชนะคนอื่น ซึ่งเป็นการชนะภายนอก เป็นการชนะที่ไม่ยั่งยืน เป็นชัยชนะที่ก่อความสุขให้ได้เพียงชั่วครั้งชั่วคราว เป็นชัยชนะที่สร้างความสุขให้ฝ่ายหนึ่งแต่สร้างความทุกข์ให้อีกฝ่ายหนึ่ง
แต่จะมีสักกี่คนที่พิจารณาเห็นความจริงข้อนี้ ความจริงที่ว่า ชัยชนะภายนอกหรือชัยชนะทางโลกนั้น เป็นสิ่งที่ไม่ยั่งยืน ประเดี๋ยวประด๋าว ชั่วครั้งชั่วคราว
ในทางพระพุทธศาสนา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอนไว้ว่า “อตฺตา หเว ชิตํ เสยฺโย ชนะตนนั่นแหละเป็นดี”
คำว่า “ชนะตน” หมายถึง ชนะใจตนเอง ชนะกิเลสที่หลอกให้โลภ ให้โกรธ ให้หลง เพราะโดยธรรมดา มนุษย์เราแพ้กิเลสอยู่ตลอดเวลา
ในขณะที่เราเอาชนะในการแข่งขันกีฬา เราดีใจ แต่เราหารู้ไม่ว่า เรากำลังพ่ายแพ้ให้กับความหลง
ในขณะที่เราชนะคู่แข่งทางธุรกิจ เรากระหยิ่มยิ้มย่อง แต่เราหารู้ไม่ว่า เรากำลังพ่ายแพ้ให้กับความโลภ
ในขณะที่เราได้ชัยชนะจากการสู้รบปรบมือกับศรัตรูคู่อาฆาต เราสะใจ แต่เราหารู้ไม่ว่า เรากำลังพ่ายแพ้ให้กับความโกรธ
จะเห็นได้ว่า ชัยชนะภายนอก หรือชัยชนะในทางโลก ไม่ว่าเราจะชนะอะไร ชนะใคร ชนะในเรื่องใดก็ตาม เรายังพ่ายแพ้ให้กับกิเลสอยู่ตลอดเวลา
ดังนั้น การชนะภายนอกนั้นจึงถือว่าเป็นชัยชนะที่ไม่ประเสริฐอะไร เป็นแต่เพียงการชิงดีชิงเด่นกันตามกระแสโลกเท่านั้น ชนะแล้วก็กลับแพ้ได้ ไม่แน่นอน แต่การชนะใจตัวเอง หรือการชนะกิเลสที่กลุ้มรุมจิตใจของเรานี่สิ ถึงจะถือว่าเป็นชัยชนะที่ประเสริฐ เมื่อใดเราเอาชนะความโลภ ความโกรธ ความหลง ที่คอยกัดกร่อนจิตใจของเราได้แล้ว เมื่อนั้น ชัยชนะทางโลกอื่นๆ ก็จะไม่อยู่ในความคิดของเราอีกเลย กลายเป็นเรื่องเล็กน้อยไปเลย และเราจะได้ชื่อว่า เป็นผู้ชนะที่แท้จริง ไม่ต้องกลับมาแพ้อีกต่อไป และจะได้รับความสุขที่ถาวร
อกฺโกเธน ชิเน โกธํ อสาธุ ํสาธุนา ชิเน ชิเน กทริยํ ทาเนน สจฺเจนาลิกวาทินํ.
พึงชนะคนโกรธ ด้วยความไม่โกรธ, พึงชนะคนไม่ดี ด้วยความดี,
พึงชนะคนตระหนี่ ด้วยการให้, พึงชนะคนพูดเหลวไหล ด้วยคำจริง.
ถ้าชนะด้วยอาวุธ จะสิ้นสุดด้วยความแค้น
ใช้ธรรมะแทน ความขุ่นแค้นจะหายไป
สังคมจะเป็นธรรม เพราะไม่เหยียบย่ำคนอื่น
คนไม่เคารพกฎหมาย เหมือนวัวควายไม่มีคอก
ดูบ้านเมืองดูที่ความสะอาด ดูประชาชาติดูที่ความสามัคคี
ดูคนดี ดูที่งาน ดูลูกหลาน ดูที่ความเคารพ
ดูหญิง ดูที่ความอาย ดูชาย ดูที่ความกล้าหาญ
ดูพระ ดูที่กิจวัตร ดูคฤหัสถ์ ดูที่ความขยัน
เพ่งโทษตนเป็นบัณฑิต เพ่งความผิดคนอื่นเป็นพาล
การฝึกอะไรมันก็ไม่ยากเท่ากับการฝึกตนนะ การฝึกตนนั้นเป็นสิ่งที่ยากลำบาก ทุกท่านทุกคนต้องตั้งอกตั้งใจสมาทานให้เต็มที่ เช่น ความคิดอย่างนี้เราจะไม่คิด ถ้าสิ่งไหนมันเป็นเรื่องของกามราคะ ตัณหา เพราะว่าเราบวชมาแล้วเราต้องไม่คิดเช่นนี้เป็นเด็ดขาด เช่น เราไม่พูดคำเท็จ โกหก หลอกลวง พูดคำหยาบ ส่อเสียด โอ้อวด ยกหัวชูหาง ยกตนข่มท่าน คำพูดอย่างนี้เราจะไม่พูดเป็นเด็ดขาดอย่างนี้นะ การกระทำของเราใดๆ ต้องเป็นไปในสิ่งที่ดี จะเป็นคนขยันหมั่นเพียร อดทน รับผิดชอบ เพื่อจะเปลี่ยนแปลงตัวเองไปในทางที่ดีให้ได้ จะเป็นคนไม่ตั้งอยู่ในความประมาท ในความหลงความเพลิดเพลิน หลงหมกมุ่นจมอยู่ในกาม
ทุกคนต้องทำให้ได้ ทุกคนมันต่อสู้กับใคร ต่อสู้กับตัวเองนี้แหละ ต่อสู้กับความเห็นแก่ตัว ต่อสู้จากคนไม่มีกินให้มีกิน ต่อสู้จากคนไม่มีสมาธิ ให้มีสมาธิ ต่อสู้จากคนไม่ปัญญาให้มีปัญญา ปัญญาจะเกิดได้จากการมีสมาธิ สมาธิจะเกิดได้จากการมีศีล เรียกว่า ศีลสมาธิปัญญา นี้คือความสุข ความดับทุกข์ของเรา นี้เป็นการหยุดไม่ทำบาปทั้งปวง ทำแต่บุญแต่กุศลถึงพร้อม ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท
“เวลาในชีวิตของเรามีไม่มาก ให้สอนตนเอง ไม่ต้องพยายาม ไปสอนคนอื่น เดินไปเดินมาก็ ให้สอนตัวเอง เอาชนะตัวเอง ไม่ต้องเอาชนะคนอื่น”
"..การตั้งไว้ในใจของผู้ประพฤติปฏิบัตินี้ "ให้เอาชนะตัวเอง ไม่ต้องเอาชนะคนอื่น" ให้สอนตัวเอง ไม่ต้องพยายามสอนคนอื่นให้มากที่สุด เดินไปก็ให้สอนตัวเองทั้งนั้น นั่งก็ให้สอนตัวเองได้
ทุกอย่างให้มีในตัวของเราอยู่เสมอเรียกว่า สติ "สตินั่นแหละเป็นแม่บทของผู้เจริญกรรมฐาน" สติอันนั้นเมื่อมันมีความรู้สึกขึ้นปัญญาก็จะวิ่งมา "ถ้าสติไม่มีปัญญาก็เลิก ไม่มี"
ฉะนั้นจงพากันตั้งใจ "ถึงแม้ว่าเราจะมีเวลาน้อยก็ช่างมัน เวลาน้อยก็ยังเป็นอุปนิสัย ยังเป็นปัจจัย" อย่างอื่นจะหาเป็นที่พึ่งอย่างพุทธศาสนานี่ไม่มี มันจบอยู่ตรงนี้ไปไหนก็ไม่จบ แต่พุทธศาสนาทำให้มันจบอยู่ตรงนี้"
หลายปีที่แล้วมา หลวงพ่อชาไปเยี่ยมวัดชิตเฮิร์สท์ที่อังกฤษ มีอุบาสกคนหนึ่งที่เคยศึกษาธรรมะฝ่ายมหายานมาถามหลวงพ่อชา เรื่อง การปฏิบัติ ว่า "คนที่ปฏิบัติเพื่อเป็นอรหันต์กับคนที่ปฏิบัติ เพื่อเป็นพระโพธิสัตว์ อันไหนจะดีกว่ากัน อันไหนจะสูงกว่ากัน"
หลวงพ่อชา ตอบว่า "อย่าเป็นอะไรเลย พระอรหันต์ก็อย่าเป็นเลย พระโพธิสัตว์ก็อย่าเป็นเลย แม้พระพุทธเจ้าก็อย่าเป็นเลย เป็นอะไรแล้วก็ต้องเป็นทุกข์ทันที"
นั่นคือ อย่าเป็นคนดี อย่าไปถึงระดับนั้น เพราะถ้าเป็นคนดี แล้วต้องรำคาญคนไม่ดี ทุกวันนี้คนที่ไม่ดีมากกว่าคนดีเยอะ ไปที่ไหนก็กลุ้มใจ มีแต่ความไม่พอใจ เหมือนกับคนที่สูบบุหรี่ เลิกแล้วก็ดูคนอื่นสูบ นี่เรียกว่า ติดดี ท่านไม่ให้ติด แม้จะเป็นความดี ท่านก็ไม่ให้เราติด เพราะว่าความติดเป็นทุกข์ สร้างความทุกข์ใจ
ทำความดีเพื่อความดี... ทำความดีเพราะรักความดี... แต่ไม่ได้ทำเพื่อจะเป็นคนดี เพราะถ้าเราเป็นคนดีแล้วจะเป็นทุกข์
เพียงแค่เห็นคำว่า "อย่าเป็นคนดี" ก็รู้สึกถึง ใช่หรือ ? แล้วสิ่งที่เราเพียรทำทุกวันนี้ล่ะ
"การทำความดีเพื่อเป็นคนดี" กับ "การทำความดีเพื่อความดี"
คำแรก ... ทำให้เกิดคำว่า ติดดี
คำหลัง...เป็นสิ่งที่ควรทำที่สุด ทำแล้วไม่ทุกข์ใจ ทำด้วยความสุขที่เต็มเปี่ยมหัวใจ
“จงอย่าประมาท เร่งเดินตามรอยบาทพระบรมศาสดา ถึงจะทำประโยชน์ให้คนอื่นมากมาย ก็ไม่ควรละทิ้งจุดหมายปลายทางของตน เมื่อรู้ว่าอะไรคือจุดหมายปลายทางแล้ว ก็ควรใส่ใจขวนขวาย”
แจกปัญญา แจกศาสนา แจกธรรมวินัย แจกสิ่งที่ถูกต้อง
เพื่อเดินตามรอยพระพุทธเจ้าร้อยเปอร์เซ็นต์
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
โดยทุกท่านสามารถติดตามเพิ่มเติมได้ที่
https://linktr.ee/watsubthawee
Share wisdom, spread Buddhism and its discipline.
Advocate righteousness to follow Lord of Buddha's footsteps 100%
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
You can receive new Dharma updates.
https://linktr.ee/watsubthawee