แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ในวันเสาร์ที่ ๒๐ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง สั่งสมทรัพย์ภายใน ตอนที่ ๕๑ ผู้ฉลาดพึงเข้าใจชีวิตที่น้อยนี้ พึงเร่งประพฤติธรรม เหมือนคนถูกไฟไหม้ศีรษะ ฉะนั้น
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
ชีวิตของเราทุกคนนี้น้อยนัก พระพุทธเจ้าท่านเปรียบเสมือนพยับแดดการประพฤติ การปฏิบัติมันอยู่ที่ปัจจุบัน ทุกท่านทุกคนต้องพากันเข้าใจ เพราะสิ่งนี้มี สิ่งต่อไปถึงจะมี ทุกท่านทุกคนต้องปรับตัวเองเข้าหาธรรมะ เข้าหาเวลา เอาธาตุ เอาขันธ์ เอาอายตนะ มาประพฤติ มาปฏิบัติ อย่าปล่อยโอกาส อย่าปล่อยเวลาให้มันผ่านไป สมณะที่ 1 2 3 4 นั้นพระพุทธเจ้าบอกว่ามีอยู่ในตัวของเราแล้วในปัจจุบัน สิ่งที่ดีที่สุดของเรา คือธรรมะ และอยู่ที่การประพฤติ การปฏิบัติ ทุกท่านทุกคนต้องถือว่าเป็นผู้ที่โชคดี การประพฤติ การปฏิบัติ มันก็ทำได้เหมือนๆ กันทุกคน ไม่ว่าเราจะเป็นไทย เป็นจีน เป็นฝรั่ง เป็นแขก ไม่เกี่ยวกับพุทธ คริสต์ อิสลาม ไม่เกี่ยวกับอะไร อยู่ที่เรามีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง ในปัจจุบัน
เราทุกคนให้พากันขอบใจ เทวทูตทั้ง 4 คือความแก่ ความเจ็บ ความตาย ความพลัดพราก และความเป็นสมณะ ที่ได้เอาทรัพยากรที่ประเสริฐ มาให้เรา เราต้องรู้จักสภาวะธรรมตามความเป็นจริง เราทานข้าว พักผ่อน เปลี่ยนอิริยาบถ กายของเรา รู้เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ถึงอยู่ได้ การเวียนว่ายตายเกิดของเรา มันเกิดจากความหลง จนเป็นพลังงาน ให้เราเข้าใจ เราทุกคนต้องพัฒนาทั้งวิทยาศาสตร์ ตามหลักเหตุผล เพื่อเราจะได้ดำรงธาตุ ดำรงขันธ์ พัฒนาใจไปพร้อมๆ กัน ความดับทุกข์ของเรามันก็จะมี เราจะรู้สึกมีความสุข มีความดับทุกข์ ปลอดภัย มันอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล อยู่ที่กาย ที่ใจในชีวิตประจำวันของเราในปัจจุบัน อย่าปล่อยให้ใจของเราไม่ได้ประพฤติ ไม่ได้ปฏิบัติ ไม่ได้พัฒนา เพราะชีวิตของเรามันน้อยนัก
สัตว์ทั้งหลายที่เกิดมาในโลกใบนี้ ล้วนต้องบ่ายหน้าไปสู่ความตายด้วยกันทั้งหมด อุปมาเหมือนพระอาทิตย์ที่ขึ้นจากขอบฟ้า ก็บ่ายหน้าที่จะอัสดง ทุกๆ ชีวิตก็เช่นเดียวกัน ไม่มีใครที่จะสามารถรอดพ้นจากอำนาจของมัจจุราชไปได้ดังพุทธวจนะที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ ในขุททกนิกายว่า
อชฺเชว กิจฺจมาตปฺปํ โก ชญฺญา มรณํ สุเว น หิ โน สงฺครนฺเตน มหาเสเนน มจฺจุนา.
ความเพียรเป็นเครื่องยังกิเลสให้เร่าร้อน บุคคลพึงกระทำในวันนี้ ใครจะพึงรู้ว่า ความตายจักมีในวันพรุ่ง เพราะว่าความผัดเพี้ยนต่อมัจจุราช ที่มีเสนามารใหญ่ ย่อมไม่มี ฯ
พุทธดำรัสนี้ พระพุทธองค์ทรงชี้ให้พุทธบริษัทสี่ ให้รีบสั่งสมบุญกุศลกันให้เต็มที่ ให้ใช้วันเวลาที่ผ่านไปอย่างมีคุณค่าด้วยการปรารภความเพียร เพราะความตายไม่มีนิมิต ไม่สามารถที่จะกำหนดวันเวลาและสถานที่ตายได้ เราปรารถนาจะตายตอนเช้าตอนเย็นเองก็ไม่ได้ เพราะในอดีตชาติที่ผ่านมา เราเคยประมาทพลาดพลั้งไปกระทำความชั่วอะไรไว้บ้าง เราเองก็ไม่สามารถระลึกชาติย้อนกลับไปดูความผิดพลาดของเราได้
ดังนั้นในขณะที่เรายังมีลมหายใจอยู่นี้ จึงไม่ควรประมาท อย่าปล่อยให้วันเวลาผ่านไปอย่างไร้ค่า ให้รีบขวนขวายในการสั่งสมบุญกุศลกันให้เต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นการทำทาน รักษาศีล หรือเจริญภาวนา ขณะที่ยังมีชีวิตอยู่นี้เราสามารถที่จะออกแบบชีวิตของเราได้ เมื่อละโลกไปแล้วเราไม่สามารถที่เรียกร้องอะไรได้ ยิ่งอายุของมนุษย์ในยุคนี้แล้วสั้นนิดเดียวแค่ ๗๕ ปีเท่านั้น เดี๋ยวก็วันเดียวก็คืน
อดีตชาติของพระโพธิสัตว์สมัยที่ท่านยังสร้างบารมีอยู่ ท่านเป็นศาสดามีชื่อว่า อรกะ ท่านได้สั่งสอนลูกศิษย์ อุปมาชีวิตเป็นของน้อย เอาไว้ว่า
๑. หยาดน้ำค้างบนยอดหญ้า เมื่ออาทิตย์ขึ้นมาย่อมแห้งหายไปได้เร็ว ไม่ตั้งอยู่นาน แม้ฉันใด ชีวิตมนุษย์ทั้งหลาย เปรียบเหมือนหยาดน้ำค้าง ฉันนั้นเหมือนกัน
๒. เมื่อฝนตกหนัก หนาเม็ด ฟองน้ำย่อมแตกเร็ว ตั้งอยู่ไม่นาน แม้ฉันใด ชีวิตของมนุษย์ทั้งหลาย เปรียบเหมือนฟองน้ำ ฉันนั้นเหมือนกัน
๓. รอยไม้ที่ขีดลงไปในน้ำ ย่อมกลับเข้าหากันเร็ว ไม่ตั้งอยู่นาน แม้ฉันใด ชีวิตของมนุษย์ทั้งหลาย เปรียบเหมือนรอยไม้ที่ขีดลงไปในน้ำ ฉันนั้นเหมือนกัน
๔. แม่น้ำไหลลงจากภูเขา ไหลไปไกลกระแสเชี่ยวพัดไปซึ่งสิ่งที่พอจะพัดไปได้ ไม่มีระยะเวลาหรือชั่วครู่ที่มันจะหยุด แต่ที่แท้แม่น้ำมีแต่ใหลเรื่อยไปถ่ายเดียว แม้ฉันใด ชีวิตของมนุษย์ทั้งหลาย เปรียบเหมือนแม่น้ำที่ไหลลงจากภูเขา ฉันนั้นเหมือนกัน
๕. บุรุษมีกำลัง อมก้อนเขฬะไว้ที่ปลายลิ้นแล้วพึงถ่มไปโดยง่ายดาย แม้ฉันใด ชีวิตของมนุษย์ทั้งหลาย เปรียบเหมือนก้อนเขฬะ ฉันนั้นเหมือนกัน
๖. ชิ้นเนื้อที่ใส่ไว้ในกระทะเหล็ก ไฟ เผาตลอดทั้งวัน ย่อมจะย่อยยับไปรวดเร็ว ไม่ตั้งอยู่นาน แม้ฉันใด ชีวิตของมนุษย์ทั้งหลาย เปรียบเหมือนชิ้นเนื้อ ฉันนั้นเหมือนกัน
๗. แม่โคที่จะถูกเชือด ที่เขานำไปสู่ที่ฆ่าย่อมก้าวเท้าเดินไปใกล้ที่ฆ่า ใกล้ความตาย แม้ฉันใด ชีวิตของมนุษย์ทั้งหลาย เปรียบเหมือนแม่โคที่จะถูกเชือด ฉันนั้นเหมือนกัน ฉันนั้นเหมือนกัน นิดหน่อย รวดเร็ว มีทุกข์มาก มีความคับแค้นมาก จะพึงถูกต้องได้ด้วยปัญญา ควรกระทำกุศล ควรประพฤติพรหมจรรย์ เพราะสัตว์ที่เกิดมาแล้วจะไม่ตายไม่มี
เมื่ออ่านเรื่องราวใน อรกานุสาสนีสูตร เราจะพบว่าเรื่องราวในครั้งนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าได้นำคำสอนของศาสดาผู้หนึ่งในอดีต ที่ชื่อว่าอรกะ มาตรัสเล่าให้ภิกษุทั้งหลายฟัง โดยที่เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับความเล็กน้อย(อายุสั้น) และความคับแค้นของชีวิตมนุษย์ เมื่อพิจารณาด้วยปัญญาแล้ว สิ่งที่ควรทำคือ ควรทำกุศล และประพฤติพรหมจรรย์ โดยที่ศาสดาอรกะนั้น ท่านได้สั่งสอนสาวกของตัวเองว่า ๑. ชีวิตเป็นของน้อยนิด ๒. รวดเร็ว ๓. มีทุกข์มาก๔. มีความคับแค้นมาก เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ถ้าจะพิจารณาด้วยปัญญาถึงสิ่งที่ควรทำก็คือ ๑. ควรทำกุศล ๒. ควรประพฤติพรหมจรรย์ เพราะสัตว์ที่เกิดมาแล้วไม่ตายไม่มี (เมื่อมาถึงตอนนี้ ขอให้ทุกท่านลองพิจารณาให้ดีว่า สัตว์ที่เกิดมาแล้วไม่ตายมีหรือไม่)
อรกะศาสดานั้นได้เปรียบเทียบชีวิตมนุษย์ทั้งหลายไว้ ๗ ลักษณะ
๑. หยาดน้ำค้างบนยอดหญ้า หยาดน้ำค้าง สักครู่เดียวก็แห้งหายไป
๒. หยดน้ำฝน หยดน้ำฝน เป็นลักษณะที่สามารถสลายอย่างง่ายดายมาก
๓. รอยในน้ำเมื่อใช้ไม้ขีดลงไป รอยขีดในน้ำ ยิ่งรวดเร็วมากแทบจะชั่วพริบตาที่มีการปรากฏขึ้นจนกระทั่งหายไป
ทั้ง ๓ ข้อ เป็นการเปรียบในลักษณะของความน้อยนิด และความรวดเร็วของชีวิต เมื่อพิจารณาทั้ง ๓ ข้อให้ดี จะพบว่าชีวิตมนุษย์นั้นเป็นสิ่งที่น้อยนิดและรวดเร็วมาก สัตว์บางชนิดมีช่วงอายุขัยเพียง ๓ วัน เรามองสัตว์ที่มีอายุสั้นเท่าไหร่ เทวดาที่อายุยืน หรือพรหมที่มีอายุยืนยาวนาน ก็คงมองชีวิตมนุษย์เป็นสิ่งที่สั้นมากเช่นกัน
๔. กระแสน้ำที่ไหลลงจากภูเขา ชีวิตมนุษย์ไหลไปเรื่อยๆ ไม่มีหยุดแม้แต่เสี้ยวของเสี้ยววินาที ไม่มีแม้แต่เชื่องช้าลง มันผ่านไปอย่างไม่สนใจว่าใครจะเป็นยังไง ใครจะทำตัวยังไง มันยังคงทำหน้าที่อย่างเที่ยงตรง ท่านลองมองนาฬิกา และปฏิทินว่าวันนี้วันเวลาเท่าไหร่ เดี๋ยวพอผ่านไปสักพัก ท่านก็จะเห็นว่า ชีวิตก็ผ่านไป หนึ่งนาที, หนึ่งชั่วโมง, หนึ่งวัน, หนึ่งเดือน, หนึ่งปี หรือสิบปี อย่างรวดเร็ว
๕. ก้อนเขฬะ (น้ำลาย) ที่ถูกถ่มออกมาจากปาก ในส่วนนี้ ศาสดาอรกะท่านได้เปรียบเทียบไว้อย่างชัดเจนมาก ชีวิตเหมือนก้อนน้ำลายที่จะถูกถ่มออกมาอย่างง่ายดาย เมื่อไหร่ก็ได้ตลอดเวลา สามารถตายได้ทุกเวลา ทุกสถานที่ ทุกท่านลองคิดพิจารณาดูว่า ท่านรู้ได้อย่างไรว่า
ทุกครั้งที่ท่านหลับตา ท่านจะมีโอกาสได้ลืมตามาอีกครั้งหรือไม่
ทุกครั้งที่ก้าวเท้าออกจากบ้าน ท่านมีโอกาสกลับเข้ามาอีกหรือไม่
ทุกครั้งที่ท่านเห็นหน้าคนที่ท่านรัก ท่านมีโอกาสจะเห็นเขาอีกหรือไม่
ดูเหมือนว่า ไม่มีสิ่งไรที่ทำให้แน่ใจได้สักอย่างว่าความตายจะไม่มาหาเรา เปรียบได้กับก้อนน้ำลายที่อยู่ในปาก สามารถถูกถ่มออกมาได้อย่างง่ายดายมาก
๖. ชิ้นเนื้อที่ใส่ไว้ในกระทะเหล็กที่โดนไฟเผาไว้ตลอด เมื่อพิจารณาในส่วนนี้ ชีวิตมนุษย์เหมือนโดนแผดเผาตลอดเวลาอย่างแท้จริง สามารถย่อยยับได้ในพริบตา เปรียบเหมือนโยนชิ้นเนื้อ ลงไปในกระทะเหล็กแดง ชั่วพริบตาก็ไหม้เกรียม ไม่เหลือสภาพ ทั้งรวดเร็ว ทั้งคับแค้นมาก ชีวิตมนุษย์เหมือนโดนแผดเผาด้วยความทุกข์และสิ่งต่างๆ ตลอดเวลา และไม่มีวันหยุดอีกด้วย
๗. แม่โคที่กำลังเดินไปสู่โรงฆ่า ในส่วนนี้ยิ่งเป็นการเปรียบเทียบอย่างชัดเจนมาก สิ่งที่ยืนยันได้อย่างแน่นอนว่า ทุกคนเกิดมาแล้วต้องตาย ทุกคนมีอายุที่จำกัด วันเวลาที่ผ่านไป ทุกๆเสี้ยววินาทีที่เวลาผ่านไป เปรียบเหมือนกับทุกคนกำลังเดินเข้าสู่ความตายเข้าไปเรื่อยๆ ทุกขณะ เหมือนดั่งแม่โคที่กำลังเดินไปสู่โรงฆ่า ชีวิตของพวกเราทุกคนก็เปรียบเหมือนกับแม่โคที่กำลังเดินไปเรื่อยๆสู่แดนประหาร ชีวิตกระชั้นลงไปเรื่อยๆ น้อยลงไปทุกขณะ ทุกเสี้ยววินาที
ทั้ง ๗ ลักษณะดังกล่าว เป็นสิ่งที่อรกะศาสดานำมาสอนสาวกของตน
ยิ่งกลับมาพิจารณาถึงสิ่งที่มนุษย์ส่วนมากกระทำนั้นแล้ว ยิ่งเป็นสิ่งที่น่าเสียดายเป็นอย่างมาก อุตส่าห์เกิดมาเป็นมนุษย์ทั้งที แถมยังเกิดในยุคที่มีบวรพุทธศาสนาอีก ผู้คนส่วนมากกลับมาทำตัวอย่างน่าเสียดาย
คนบางคนเกิดมา มาทำงานไปเรื่อยๆ มีลูก เลี้ยงลูกให้โต แล้วก็แก่ แล้วก็เจ็บ แล้วก็ตายไป
บางคนนั้นจิตใจเต็มไปด้วยความอยาก เกิดมาแล้วก็บริโภคกามคุณ ๕ ไปเรื่อยๆ แล้วก็แก่ แล้วก็เจ็บ แล้วก็ตายไป
ส่วนบางคนก็มักโกรธ โมโห ฉุนเฉียว เบียดเบียนผู้คนรอบตัวไปเรื่อยๆ แล้วก็แก่ แล้วก็เจ็บ แล้วก็ตายไป
นับว่าเป็นการเกิดที่ไร้ค่าเสียประโยชน์ อีกทั้งยังเป็นการเกิดมาเพื่อสร้างโทษให้กับตนเอง และผู้อื่นอีกด้วย เป็นการเกิดมาเพื่อกระทำบาปและตายไปพร้อมกับบาปกรรมของตน ที่ได้กระทำไว้ตอนเป็นมนุษย์เท่านั้น
ในตอนนี้ ท่านผู้ฟังสามารถเลือกที่จะเป็นสิ่งต่างๆได้ และสามารถเลือกที่จะเปลี่ยนสิ่งต่างๆได้ สุดแล้วแต่ท่านผู้อ่านจะตัดสินใจ จำไว้ว่าตอนนี้ท่านยังมีอำนาจในการตัดสินใจอยู่ในมือ ก่อนที่ท่านจะสิ้นชีวิตอันน้อยนิดนี้ อำนาจการตัดสินใจในฐานะความเป็นมนุษย์ที่จะสามารถกระทำสิ่งต่างๆ ได้ ก็จะหมดสิ้นลง
อายุของมนุษย์ในยุคนี้สั้นนิดเดียว เมื่อเทียบกับยุคสมัยของมนุษย์ที่มีอายุยืนถึงหมื่นปี แสนปี ล้านปี จะยกตัวอย่างอายุมนุษย์กับอายุของชาวสวรรค์ชั้นดาวดึงส์
เทพบุตรองค์หนึ่งชื่อ มาลาภารี ในภพดาวดึงส์ เข้าไปสู่สวนสวรรค์พร้อมด้วยเทพธิดาหนึ่งพันนาง ในจำนวนนั้น เทพธิดา ๕๐๐ ขึ้นต้นไม้เก็บดอกไม้แล้วโยนลงมาให้เทพธิดาอีก ๕๐๐ ซึ่งอยู่ใต้ต้นไม้ แล้วเอาดอกไม้เหล่านั้นประดับเทพบุตร บรรดาเทพธิดาเหล่านั้น เทพธิดาองค์หนึ่งจุติบนกิ่งไม้นั่นเอง สรีระของเธอดับลงประหนึ่งเปลวไฟ เธอไปเกิดในสกุลหนึ่งในเมืองสาวัตถีและระลึกชาติได้ ปรารถนากลับไปเถิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์อยู่กับสามีอีก เมื่อเจริญวัยจึงหมั่นทำบุญให้ทานและอธิษฐานว่า "อานุภาพแห่งบุญนี้ จงเป็นปัจจัยให้ข้าพเจ้าไปบังเกิดในสำนักของสามีในดาวดึงส์เทวโลก" ภิกษุทั้งหลายจึงพากันเรียกเธอว่า "ปติปูชิกา-ผู้บูชาสามี"
ใครๆ รู้ว่าเธอเป็นผู้มีศรัทธา หมั่นทำบุญให้ทาน บางทีก็นำอาหารและเครื่องดื่มมามอบให้ เพื่อให้เธอช่วยจัดแจงถวายสงฆ์ด้วย เธอก็รับทำให้ด้วยความเต็มใจ
ต่อมา เธอมีสามี มีลูกถึง ๔ คน และตายด้วยโรคปัจจุบันอย่างหนึ่งไปบังเกิดในดาวดึงส์พิภพตามความปรารถนา
เทพธิดาเพื่อนของเธอยังไม่กลับจากสวนสวรรค์ ยังประดับดอกไม้ให้เทพบุตรอยู่ มาลาภารีเทพบุตรเห็นนางแล้ว ถามว่า หายไปไหนเสียตั้งแต่เช้า นางตอบว่า จุติแล้วลงไปเกิดในมนุษย์โลกในเมืองสาวัตถี อยู่ในท้องมารดา ๑๐ เดือน แต่งงานเมื่ออายุ ๑๖ แล้วได้บุตร ๔ คน มีปกติเป็นผู้ทำบุญมีทาน เป็นต้น แล้วปรารถนามาเกิดในสำนักของมาลาภารีเทพบุตร และอายุของมนุษย์โดยประมาณมีแค่เพียง ๑๐๐ ปี ซึ่งน้อยเหลือเกิน แต่พวกมนุษย์ก็ยังประมาทอยู่เป็นนิตย์ ทำตนเหมือนจะมีอายุสักอสงไขย ประหนึ่งว่าไม่แก่ไม่ตาย จึงห่างไกลต่อการพ้นจากทุกข์
โดยธรรมดาทั่วไป ๑๐๐ ปี ในมนุษย์เท่ากับวันหนึ่งกับคืนหนึ่งของเทวดาชั้นดาวดึงส์ พวกเทวดาชั้นดาวดึงส์มีอายุ ๑,๐๐๐ ปี (หนึ่งพันปี) ทิพย์ หนึ่งพันปีทิพย์นั้น เมื่อเทียบอายุในมนุษย์เท่ากับ ๓๖ ล้านปี คิดเสียว่าอายุของเทพชั้นดาวดึงส์คนหนึ่งเท่ากับ ๓๖ ล้านปีในเมืองมนุษย์
ในวันรุ่งขึ้น พวกภิกษุเข้าไปที่บ้านของนางปติปูชิกาอย่างเคย เห็นโรงฉันยังไม่ได้จัด อาสนะยังไม่ได้ปู น้ำฉันยังไม่ได้ตั้งไว้ จึงถามชาวบ้าน ทราบความว่า นางได้ตายเสียแล้วตั้งแต่ตอนเย็นวันวาน ภิกษุผู้เป็นปุถุชนระลึกถึงอุปการะของนางแล้วไม่อาจกลั้นน้ำตาไว้ได้ ส่วนพระอรหันต์ได้ธรรมสังเวชแล้ว ทั้งหมดไปทูลถามพระศาสดาว่า นางปติปูชิกาไปเกิดที่ใด พระศาสดาตรัสตอบว่า นางไปเกิดในสำนักแห่งสามีของนาง ที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ แล้วตรัสเล่าเรื่องทั้งปวงให้ภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุทั้งหลาย ทูลว่าอายุของสัตว์ทั้งหลายน้อยนัก พระศาสดาจึงตรัสว่า "ถูกแล้วภิกษุทั้งหลาย! ชีวิตของสัตว์ทั้งหลายน้อยนัก เมื่อสัตว์ทั้งหลายยังไม่ทันอิ่ม ด้วยวัตถุกาม และกิเลสกาม มัจจุราชก็ทำเขาไว้ในอำนาจเสีย พาเอาสัตว์ผู้คร่ำครวญร่ำไรอยู่ไปสู่ภพของตน" ดังนี้แล้วตรัสพระคาถาว่า ปุปฺผานิ เหว ปจินนฺตํ พฺยาสตฺตมนสํ นรํ อติตฺตํเยว กาเมสุ อนฺตโก กุรุเต วสํ ฯ
มัจจุ ผู้ทำซึ่งที่สุด กระทำนระผู้มีใจข้องในอารมณ์ต่างๆ เลือกเก็บดอกไม้อยู่เทียว ผู้ไม่อิ่มในกามทั้งหลายนั่นแล สู่อำนาจ.
บาทพระคาถาว่า ปุปฺผานิ เหว ปจินนฺตํ ความว่า ผู้มัวเลือกเก็บดอกไม้ คือกามคุณทั้งหลาย อันเนื่องด้วยอัตภาพ และเนื่องด้วยเครื่องอุปกรณ์อยู่ เหมือนนายมาลาการเลือกเก็บดอกไม้ต่างชนิดอยู่ในสวนดอกไม้ ฉะนั้น.
มนุษย์อายุน้อยนักไม่ควรประมาทเลย อายุของมนุษย์ในขณะนี้โดยเฉลี่ยแค่ ๗๕ ปีเท่านั้น คิดแล้วก็สั้นนิดเดียว นึกแล้วใจหาย ถ้ามัวแต่ประมาท หลงใหล เพลิดเพลินไปกับอำนาจของกิเลส และมัวแต่หลงใหลกันไปกับเทคโนโลยีใหม่ๆ หลงลืมไปกับการทำมาหากิน ปล่อยให้ชีวิตผ่านไปในแต่ละวันอย่างไร้ค่า เกิดมาในชาตินี้ชีวิตก็สูญเปล่า
เพราะการได้อัตภาพความเป็นมนุษย์เป็นสิ่งที่ได้โดยยากอย่างยิ่ง แต่ชีวิตของบุคคลบางคนที่เกิดมาแล้วเห็นคุณค่าชีวิตของตนเอง จึงดำเนินชีวิตให้ผ่านพ้นไปในแต่ละวันด้วยความไม่ประมาท หาทรัพย์มาได้ก็เอามาสร้างบุญบารมีให้ยิ่งๆ ขึ้นไป และใช้จ่ายในการดำรงชีวิตหล่อเลี้ยงสังขารตนเอง นี้แหละคือชีวิตที่งดงามของบัณฑิตนักปราชญ์ ผู้ดำเนินชีวิตด้วยความไม่ประมาท
บุคคลมีชีวิตอยู่วันเดียว แต่ได้สร้างบุญกุศล ก็ดีกว่าบุคคลที่เกิดมามีอายุถึง ๑๐๐ ปี แต่ไม่ได้สร้างความดีอะไรไว้เลย ส่วนคนที่ประมาท ไม่ได้สร้างบุญกุศลไว้ ได้แต่กระทำความชั่ว เมื่อละโลกไป ก็ต้องไปเสวยทุกข์อยู่ในอบายภูมิอย่างยาวนาน ชีวิตหลังความตาย เป็นชีวิตที่ยาวนาน เมื่อไปเสวยสุขก็เสวยสุขอยู่อย่างยาวนาน
ขอยกคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มาแสดงไว้อีกครั้ง
“มนุษย์มีอายุน้อย บุคคลผู้ฉลาดพึงดูหมิ่นชีวิตที่น้อยนั้น พึงเร่งประพฤติธรรมเหมือนคนถูกไฟไหม้ศีรษะ ฉะนั้น เพราะความตายจะไม่มาถึงไม่มี วันคืนล่วงเลยไป ชีวิตก็ใกล้หมดสิ้นไป อายุของสัตว์ ทั้งหลายก็หมดสิ้นไป เหมือนน้ำในแม่น้ำน้อยจะแห้งไป ฉะนั้นรวมความว่า ชีวิตนี้น้อยนัก”
“ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กิจใดที่ศาสดาผู้แสวงหาประโยชน์เกื้อกูลผู้อนุเคราะห์เอื้อเอ็นดู พึงกระทำแก่สาวก กิจนั้น เรากระทำแล้ว แก่เธอทั้งหลาย
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นั่นโคนไม้ นั่นเรือนว่าง ขอเธอทั้งหลายจงเพ่งพินิจ อย่าประมาท อย่าต้องเป็นผู้เดือดร้อนใจในภายหลังเลย นี้คืออนุศาสนีของเราสำหรับเธอทั้งหลาย”
ชีวิตของเราต้องเข้าสู่กิจกรรม คือศีล สมาธิ ปัญญา อย่างนี้ ทุกท่านทุกคนอย่าพากันตามอัธยาศัย อัธยาศัยนั้นแหละสำหรับสามัญชน ก็คือการเวียนว่ายตายเกิด ให้ทุกท่านทุกคนภาวนา พิจารณาทุกอย่างสู่พระไตรลักษณ์ มันไม่เห็นมีอะไรเที่ยง อะไรแน่หรอก มันก็ผ่านไปอย่างนั้น ไม่มีใครได้อะไรไป ปู่ ย่า ตา ยาย บรรพบุรุษของเราเค้าอะไรไป เค้าเกิดมาก็ไม่ได้อะไรหรอก เราต้องรู้จักว่าปัจจุบันเป็นไฟต์ติ้งสำหรับให้เราได้ประพฤติ ให้เราได้ปฏิบัติ เราต้องผ่านความเป็นมนุษย์ ผ่านความเป็นเทวดา หรือแม้แต่ว่าพระพรหม เราต้องผ่านไป ทุกท่านทุกคนถึงจะปลอดภัย มันแก้ปัญหาได้ ดับทุกข์ได้ มันไม่เกี่ยวกับความร่ำรวย ความยากจน เพราะมันต้องทำอย่างนี้ ปฏิบัติอย่างนี้ เราไม่ต้องวิ่งตามอารมณ์ ตามเจ้าอารมณ์ วิ่งตามความฟุ้งซ่าน ต้องหยุด หยุดสงบเย็น ถ้าเราปฏิบัติถูกมันก็ง่าย ถ้าเราปฏิบัติไม่ถูก คนเรามันปฏิบัติผิด ปฏิบัติเพื่อจะเอา เพราะว่าไม่ถูก เราปฏิบัติเพื่อเสียสละ เราทำงาน มีความสุขในการทำงานเพื่อเสียสละ เรารักษาศีลเพื่อเสียสละ ไม่เอาอะไร ทำสมาธิ เพราะสิ่งนี้มี สิ่งต่อไปมันถึงจะมี เพราะใจของเรามีสัมมาทิฏฐิ มีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง ให้เป็นธรรม เป็นปัจจุบันธรรม เราอย่าไปสร้างทุกข์ให้กับตัวเอง หาเรื่องหาราว หาอะไรๆ ให้กับตัวเอง
ทุกท่านทุกคนต้องพากันเข้าถึงศาสนา เพราะศาสนานั้น มันไม่ใช่โบสถ์ ไม่ใช่วิหาร เจดีย์ ไม่ใช่พระพุทธรูป ไม่ใช่อะไร มันคือเรื่องรู้ทุกข์ รู้เหตุเกิดทุกข์ ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ที่มีอยู่แล้ว สำหรับคนที่ยังไม่ตายในปัจจุบัน ทุกท่านทุกคนก็ต้องพากันทำอย่างนี้ ปฏิบัติอย่างนี้ ทุกท่านทุกคนทำได้ ปฏิบัติได้ เพราะเราปัจจุบัน เราต้องคิดเก่ง วางแผนเก่ง พร้อมทั้งปฏิบัติ เราจะปล่อยเกียร์ว่างให้ตัวเองไม่ได้ เราอย่างให้โมหะความหลงมันมาทำเกียร์ว่างจากมรรคผลนิพพานให้กับตัวเองอย่างนี้ เรามันต้องไม่ขี้เกียจ มันถึงไม่มีอบายมุข อบายภูมิ ถ้าเราขี้เกียจมันก็เป็นอบายมุข อบายภูมิ แม้แต่หมดกิเลสสิ้นอาสวะเหมือนพระพุทธเจ้า ก็ยังยิ่งเสียสละ ทรงบรรทมวันหนึ่ง 4 ชม. ทำงานวันละ 20 ชม. คนเราจะมีความสุข ความดับทุกข์ได้ก็ต้องเสียสละ เป็นผู้มีศีล มีสมาธิ มีปัญญา ไม่หลงในอะไร
ตั้งแต่หนุ่มสาวจนถึงผู้ใหญ่มันก็เริ่มต้นมาจากเรื่องกินเรื่องการเรื่องเกียรติ ตั้งอยู่ในความประมาทยังคอนเสิร์ตเข้าไปฟังกันหลายร้อย หลายพันหลายหมื่นคน ก็เพราะว่าติดกันอยู่ในเรื่องเหล่านี้ ให้ทุกคนพากันเข้าใจนี่คือการเวียนว่ายตายเกิด ทุกคนต้องอย่าไปเสียเวลา อย่างพระพุทธเจ้าทรงแสดง อนุปุพพิกถา เริ่มที่การให้การเสียสละ ต่อมาก็สอนให้รู้จักรักษาศีล แล้วก็เรื่องของสวรรค์ ตามด้วยเรื่องโทษของกาม และเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติคือเนกขัมมะ เนกขัมมะคือพัฒนาใจของเรา เริ่มต้นจากศีล ๕ ก็ถือว่าเป็นเนกขัมมะเบื้องต้น พัฒนาทั้งฐานะครอบครัวและพัฒนาจิตใจไปพร้อมๆ กัน มันถึงจะดีจะปลอดภัย ถ้าอย่างนั้นก็แก้ปัญหาไม่ได้ ไม่มีใครแก้ปัญหาได้ ถึงเป็นมหาเศรษฐีก็แก้ปัญหาไม่ได้ เพราะก็ยังต้องแก่ต้องเจ็บต้องตาย ยังแก้ปัญหาของใจไม่ได้หรอก ทุกคนมักจะหลงงมงาย กว่าจะรู้ตัวเอง พากันคางเหลืองกันไปหมด เพราะถูกอวิชชาความหลงมันหลอกเอา
ถึงจะรู้ธรรมะมาก่อน เมื่อเรายินดีในตัวในตนหรือยินดีในกาม จิตใจมันหยาบมันสกปรก มันก็ยินดีในการดื่ม การเสพ การสรวลเสเฮฮา พ่อแม่ถึงเป็นสิ่งที่สำคัญที่ต้องบอกสอนลูกหลานตัวเองตั้งแต่เด็ก พร้อมทั้งเป็นตัวอย่างแบบอย่างที่ดีให้กับลูก
เรื่องการกินการดื่มการเสพนี้ส่วนใหญ่ก็มาจากพ่อจากแม่มาจากการคบเพื่อนเกรดต่ำ มาจากการคบคนพาล มาจากการคบคนไม่ได้มาตรฐาน พ่อแม่ต้องบอกสอนลูก คุณครูก็ต้องบอกสอนลูกศิษย์ อันไหนดีไม่ดีต้องสอนให้รู้ให้ชัดเจน มงคลชีวิตจะเกิดขึ้นมาก็เริ่มต้นที่การคบคนดี เห็นไหมพ่อแม่หัวดีสายพันธุ์ก็ดี ก็มาจากพ่อจากแม่ การเรียนการศึกษาก็เช่นเดียวกัน อันไหนไม่ดีเราอย่าไปทำตามเพื่อนตามฝูง เพราะทุกอย่างนั่นแหละ การเสพของเราที่เสพทางตาหูจมูกลิ้นกายใจคือการมีเพศสัมพันธ์ มันจะไปตามสิ่งแวดล้อม ตัวนี้เป็นสิ่งที่สำคัญ เราก็ดูตัวอย่างแบบอย่างประวัติศาสตร์ มันไม่เพี้ยนหรอก การเสพหรือว่าถูกต้องสัมผัสอะไรก็ต้องให้มีปัญญา มันจะได้พัฒนาตนเองในปัจจุบัน ที่มันเป็นภาพรวมของโลกหรือของประเทศที่หลงเสพกันอยู่ รู้ว่ามันผิดแต่ทำกันมากจนเป็นประชาธิปไตย ถึงจะเป็นประชาธิปไตยก็จริงแต่มันก็ผิด พระพุทธเจ้าถึงสอนให้ครอบครัวพ่อแม่ก็ต้องมีความเห็นไปในทางเดียวกันเป็นสัมมาทิฏฐิ เค้าเรียกว่ามีความประพฤติเหมือนกัน มีศีลเสมอกัน มีสมาธิความตั้งมั่นเหมือนกัน มีปัญญาเหมือนกัน
อย่างเราไปอยู่วัดไหน จะเป็นพระอรหันต์เป็นพระอริยะเจ้าได้ ก็ต้องมีครูบาอาจารย์มีตัวอย่างแบบอย่างในการประพฤติปฏิบัติ เพราะฉะนั้น ท่านถึงว่าการได้เห็นพระพุทธเจ้าเป็นบุญเป็นกุศลเยอะ เพราะว่าเป็นบัณฑิตที่แท้จริง การได้เห็นพระอรหันต์พระอริยเจ้า ก็ได้บุญเยอะ ได้ฟังธรรมคำสั่งสอนได้ถวายทานก็มีบุญใหญ่มีอานิสงส์ใหญ่ การจะเปลี่ยนแปลงตัวเองมันก็ต้องทำอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้ เราอย่าไปกลัวมันอดกลัวมันยากลำบาก เราต้องเข้มแข็งอดทนปฏิบัติอย่างนี้ เราจะไปใจอ่อนไม่ได้
เราจะคิดว่าไม่สำคัญ นี่เป็นเรื่องสำคัญมาก เราคิดว่าอันนี้ไม่ดี แต่ก็ยังไปคิดมันอีก มันไม่ได้ เพราะใจของเรามันเสพจนชำนิชำนาญ ใจของเรามันอ่อนแอ เราต้องมาเข้าใจเพื่อที่จะได้เปลี่ยนแปลงแก้ไขตัวเอง ไม่ควรที่จะปล่อยตัวเองไปตามความขี้เกียจ ขี้คร้าน การทำตามใจตนเอง ตามอารมณ์ตัวเอง ตามความรู้สึกนี้ มันเป็นขบวนการเป็นคุณสมบัติของคนพาล เหมือนที่กำลังเป็นอยู่อย่างนี้
เราต้องหันมาทางพระพุทธเจ้า ทางพระอริยสงฆ์ หันมาทางผู้รู้ ในการเรียนการศึกษานี้ ก็เป็นแนวทางที่จะเข้าหาผู้รู้ คือ บัณฑิต
บัณฑิตที่แท้จริงได้แก่พระพุทธเจ้า ได้แก่พระอรหันต์ พระอริยเจ้า ผู้ที่มีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้องตามอริยมรรคมีองค์ ๘ ส่วนบัณฑิตภายในใจของเรา ก็คือเราต้องน้อมเอาพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้ามาประพฤติปฏิบัติเพื่อสร้างบัณฑิตภายในกาย วาจา ภายใจของเรา
ถ้าเราเข้าใจธรรมะแล้ว ธรรมะกับการงานต้องไปด้วยก้น ไม่ใช่หยุดการงานมาปฏิบัติธรรม การงานคือการปฏิบัติธรรม การปฏิบัติธรรมคือการทำงาน เรียกว่าอริยมรรคมีองค์แปด การพัฒนาจิตใจของเรา มันต้องพัฒนาให้ติดต่อต่อเนื่อง มันได้จะได้ดับเย็นเป็นพระนิพพาน
แจกปัญญา แจกศาสนา แจกธรรมวินัย แจกสิ่งที่ถูกต้อง
เพื่อเดินตามรอยพระพุทธเจ้าร้อยเปอร์เซ็นต์
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
โดยทุกท่านสามารถติดตามเพิ่มเติมได้ที่
https://linktr.ee/watsubthawee
Share wisdom, spread Buddhism and its discipline.
Advocate righteousness to follow Lord of Buddha's footsteps 100%
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
You can receive new Dharma updates.
https://linktr.ee/watsubthawee