แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ในวันอังคารที่ ๙ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง สั่งสมทรัพย์ภายใน ตอนที่ ๔๒ เมื่อขันธ์ ๕ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราก็ต้องอยู่กับธรรมะ อยู่กับพรหมจรรย์
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
เมื่อรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ไม่ใช่เรา เราจะอยู่อย่างไร เราก็อยู่กับธรรมะ อยู่กับพระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่ ที่เรียกว่าพรหมจรรย์ สมณะที่ ๑-๔ จะมีอยู่ในธรรมวินัย ที่เป็นอริยะมรรคมีองค์ ๘ ในชีวิตของเราทุกๆ คน ถ้าเราเอารูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ มาเป็นเรา ก็เท่ากับเราแบกโลกทั้งโลก สัมมาทิฏฐิ ถึงเป็นตัวสำคัญ พวกรูป เวทนา… ก็เปรียบเสมือนรถยนต์ อายตนะต่างๆ ก็เครื่องรถยนต์ สัมมาทิฏฐิก็เปรียบเสมือนเจ้าของรถยนต์ เจ้าของบ้าน การบรรลุธรรม การปฏิบัติถึงจะก้าวไปด้วยปัญญา เราถึงจะไม่มีความแก่ ความเจ็บ ความตาย การประพฤติปฏิบัติงามในเบื้องต้นคือศีล งามในท่ามกลางคือสมาธิ งามในที่สุดคือปัญญา ปัญญาสัมมาทิฏฐิ
ทุกคนต้องเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ ถ้าเราไม่เข้าสู่ภาคปฏิบัติมันจะไม่ได้นะ เพราะสิ่งนี้มี สิ่งต่อไปถึงจะมี ถ้าสิ่งนี้ไม่มี สิ่งต่อไปก็จะไม่มี มันเป็นเหตุเป็นปัจจัย มันเป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม เราดูตัวอย่างแบบอย่างแบบพระที่มีความรู้มีความเข้าใจ มีลูกศิษย์ลูกหาเป็นหมื่นๆ ที่เป็นพระอรหันต์ แต่ตัวเองเป็นปุถุชน
พระโปฐิละ อันเป็นฉายาที่ได้มาจากการเป็นผู้เชี่ยวชาญในคำสอนของพระพุทธองค์นำมาสั่งสอนผู้คนจนมีลูกศิษย์มากมาย แต่พระพุทธองค์ทรงเรียกว่า "คุณใบลานเปล่า" และในที่สุดต้องไปหาศิษย์ซึ่งเป็นเณรอายุ ๗ ขวบ ผู้บรรลุธรรมแล้ว เพื่อสอนปฏิบัติให้บรรลุธรรมด้วย
ในสมัยหนึ่ง มีพระมหาเถระชื่อ พระมหาสิวะ เป็นพระที่มีชื่อเสียงทางด้านปริยัติธรรมมาก ท่านมีปัญญาแตกฉานในพระไตรปิฎก จนได้รับการแต่งตั้งให้เป็นพระอาจารย์ใหญ่ สั่งสอน ธรรมะให้กับพระภิกษุสามเณรถึง ๑๘ คณะใหญ่ เป็นจำนวนถึง ๓๐,๐๐๐ รูปด้วยกัน เมื่อพระภิกษุสามเณรศึกษาปริยัติธรรมจากท่านแล้ว ก็กราบลาไปปฏิบัติกัมมัฏฐาน ทำสมถวิปัสสนา จนได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์กันมากมาย
มีศิษย์ของท่านองค์หนึ่ง เมื่อได้บรรลุอรหัตผลแล้ว ก็ระลึกถึงคุณของพระอาจารย์ จึงตรวจดูว่าอาจารย์ได้บรรลุธรรมขั้นไหนแล้ว ก็ทราบว่าท่านยังเป็นปุถุชนอยู่ จะหาคุณวิเศษสักอย่างหนึ่งก็ไม่มี เพราะมัวแต่สอนปริยัติธรรม แต่ไม่ยอมลงมือปฏิบัติ แม้จะมีความรู้มากมายก่ายกอง เชี่ยวชาญในพระไตรปิฎก แต่ยังไม่ได้รับรสแห่งพระธรรมที่แท้จริงว่าเป็นอย่างไร พระอรหันต์ผู้เป็นศิษย์ จึงคิดจะช่วยสงเคราะห์พระอาจารย์
เย็นวันหนึ่ง ท่านได้เหาะไปยังกุฏิของพระมหาเถระ ทำเป็นว่าจะไปขอเรียนอนุโมทนาคาถา พระมหาเถระจำศิษย์ไม่ได้เนื่องจากท่านมีลูกศิษย์มาก จึงปฏิเสธว่าตนไม่มีเวลาว่าง เพราะต้องไปสอนพระไตรปิฎกทุกวัน พระอรหันต์จึงเตือนสติพระอาจารย์ว่า... "ท่านอาจารย์ผู้ว่างเปล่า อย่าทำตนเป็นผู้ไม่ว่างอยู่เลย ท่านไม่รู้ตัวหรือว่าขณะนี้ท่านเป็นผู้ที่ประมาทแล้ว ตัวของท่านเป็นเสมือนแผ่นกระดานสำหรับให้คนทั้งหลายเดินข้ามไป ท่านเป็นที่พึ่งให้แก่คนอื่นก็จริงอยู่ แต่ท่านไม่สามารถเป็นที่พึ่งให้กับตนเองได้ แล้วจะมีประโยชน์อะไร ท่านได้แต่สอนคนอื่น ไม่ได้สอนตนเองเลย แม้ท่านจะแตกฉานในพระไตรปิฎก แต่ถ้าไม่นำความรู้ที่ศึกษามาปฏิบัติแล้ว ท่านก็จะไม่พ้นจากอบายภูมิแน่นอน"
เมื่อพระอรหันต์เตือนสติให้อาจารย์ได้สำนึกแล้ว ก็เหาะขึ้นสู่อากาศ ต่อหน้าพระอาจารย์ พระมหาเถระคิดว่าตนเองเป็นผู้ทรงพระไตรปิฎก สอนให้ผู้อื่นได้บรรลุธรรมมากมาย ถ้าตั้งใจลงมือปฏิบัติคงไม่เกิน ๓ วันก็จะได้บรรลุเป็นพระอรหันต์อย่างง่ายดาย ก่อนเข้าพรรษา ๓ วัน ท่านได้เดินทางเข้าไปในป่าใหญ่ เพื่อแสวงหาสถานที่ที่เหมาะสมแก่การปฏิบัติธรรม ได้ปัดกวาดสถานที่ให้น่าอยู่ แล้วเริ่มบำเพ็ญภาวนาตามหลักปริยัติที่เคยศึกษามา หนึ่งวันผ่านไป ใจก็ยังไม่รวม สองวันผ่านไปก็แล้ว สามวันล่วงเลยไปอย่างรวดเร็ว แม้จะใช้ความเพียรอย่างยิ่งยวด แต่ก็ไม่สามารถบรรลุอรหัตตผลได้ ท่านเกิดมานะขึ้นในใจว่า "ลูกศิษย์ของเราต่างบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์กันมากมาย ตัวเราเป็นถึงพระอาจารย์ใหญ่ ทำไมจะทำไม่ได้" จึงอธิษฐานพรรษาอยู่ในป่าแต่ผู้เดียว ทำสมาธิ เจริญภาวนา ตลอดทั้งวันทั้งคืน เมื่อถึงวันอุโบสถ ก็คิดว่า เรามาแล้วด้วยคิดว่า โดยสองสามวัน เราจะเอาพระอรหัตตผลให้ได้ ก็ยังเอาไม่ได้ สามเดือนก็เหมือนสามวันนั่นแหละ คอยถึงวันมหาปวารณาก่อนจะรู้ ถึงเข้าพรรษาแล้วก็ยังเอาไม่ได้.
ในวันปวารณา ท่านคิดว่า เรามาแล้วด้วยคิดว่า โดยสองสามวัน เราจะเอาพระอรหัตตผลให้ได้ นี่ก็ตั้งสามแล้ว ก็ยังไม่สามารถจะเอาได้ ส่วนพวกเพื่อนพรหมจรรย์จะปวารณาชนิดวิสุทธิปวารณากัน เมื่อท่านคิดอย่างนั้น สายน้ำตาก็หลั่งไหล. จากนั้น ท่านคิดว่า มรรคผลจะไม่เกิดขึ้นเพราะอิริยาบถ ๔ ของเราบนเตียง ถ้าเดี๋ยวนี้ยังไม่บรรลุพระอรหัตตผล เราจะไม่ยอมเหยียดหลังบนเตียงอย่างเด็ดขาด จะไม่ยอมล้างเท้า แล้วก็ให้ยกเอาเตียงไปเก็บไว้ภายใน พรรษาก็ถึงอีก. ท่านก็ยังเอาพระอรหัตตผลไม่ได้ตามเคย สายน้ำตาก็หลั่งไหล ในวันปวารณาออกพรรษาถึง ๒๙ ครั้ง. พวกเด็กในหมู่บ้านพากันเอาหนามมากลัดที่ที่แตกในเท้าทั้งสองข้างของพระเถระ. แม้เมื่อจะพากันเล่น ก็เล่นเอาว่า ขอให้เท้าทั้งสองข้างจงเป็นเหมือนเท้าของพระคุณเจ้ามหาสิวเถระเถิด.
กาลเวลาได้ผ่านไป จาก ๓ เดือนเป็น ๓ ปี จนกระทั่งล่วงเลยมาถึง ๓๐ ปี นักบวชวัยชราผู้ปรารภความเพียรอย่างอุกฤษฏ์ ก็ยังไม่ได้บรรลุธรรมอะไรเลย ในคืนหนึ่ง ท่านได้รำพึงรำพันน้อยใจในโชคชะตาของตนเอง รู้สึกเสียใจจนมิอาจจะกลั้นน้ำตาไว้ได้ จึงร้องไห้คร่ำครวญอย่างน่าสงสาร และในที่ใกล้นั้นได้มีหญิงสาวคนหนึ่งมายืนร้องไห้อยู่ ท่านจึงเข้าไปถามด้วยความห่วงใย หญิงสาวได้บอกกับพระมหาเถระว่า ตนเป็นเทพธิดาอาศัยอยู่ในป่าแห่งนี้มานาน ได้เห็นพระมหาเถระปรารภความเพียร จึงเกิดความเลื่อมใส ปรารถนาจะบรรลุคุณวิเศษบ้าง เห็นท่านร้องไห้จึงร้องไห้ตาม เผื่อว่าจะได้บรรลุธรรมตามท่านไปด้วย
พระมหาเถระเป็นผู้มีปัญญา ทราบว่าเทพธิดามาเตือนสติ ท่านจึงกลับมาพิจารณาตนเอง ทบทวนวิธีการปฏิบัติที่ถูกต้องอีกครั้งหนึ่ง และในคืนนั้น ท่านได้นั่งทำภาวนาด้วยใจที่สงบเยือกเย็น จิตใจผ่องแผ้ว อารมณ์ดี อารมณ์สบายกว่าทุกๆวัน ในที่สุดได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ หลุดพ้นจากกิเลสอาสวะทั้งปวง
ท่านคิดว่า บัดนี้ เราจะนอน แล้วก็จัดแจงเสนาสนะ ปูลาดเตียง ตั้งน้ำในที่น้ำ คิดว่า เราจะล้างเท้าทั้งสองข้าง แล้วก็นั่งลงที่ขั้นบันได.
แม้พวกศิษย์ของท่าน ก็พากันคิดอยู่ว่า เมื่ออาจารย์ของเราไปทำสมณธรรมตั้งสามสิบปี ท่านอาจทำคุณวิเศษให้เกิดได้หรือไม่อาจ เห็นว่าท่านสำเร็จพระอรหัตแล้ว นั่งลงเพื่อล้างเท้า จึงต่างก็คิดว่า อาจารย์พวกเรา เมื่อพวกศิษย์เช่นพวกเรายังอยู่ คิดว่า จะล้างเท้าด้วยตนเองนี้ไม่ใช่ฐานะ เราจะล้าง เราจะล้าง แล้วทั้ง ๓๐,๐๐๐ รูปต่างก็เหาะมาไหว้ แล้วกราบเรียนว่า กระผมจะล้างเท้าถวาย ขอรับ.
ท่านห้ามว่า คุณ ฉันไม่ได้ล้างเท้ามาตั้งสามสิบปีเข้านี่แล้ว พวกคุณไม่ต้องฉันจะล้างเอง.
แม้ท้าวสักกะก็ทรงพิจารณาว่า พระคุณเจ้ามหาสิวะเถระของเรา สำเร็จพระอรหัตแล้ว เมื่อพวกศิษย์สามหมื่นรูปมาแล้วด้วยคิดว่า พวกเราจะล้างเท้าทั้งหลายถวาย ก็ไม่ให้ล้างเท้าให้ ก็เมื่ออุปัฏฐากเช่นเรายังมีอยู่ พระคุณเจ้าคิดว่าจะล้างเท้าเองนี่เป็นไปไม่ได้ แล้วทรงตัดสินพระทัยว่า เราจะล้างถวายจึงพร้อมด้วยสุชาดาเทวีได้ทรงปรากฏในสำนักของหมู่ภิกษุ.
ท้าวเธอทรงส่งนางสุชาดาผู้เป็นอสุรกัญญาล่วงหน้าไปก่อน ให้เปิดโอกาสว่า ท่านเจ้าขา พวกท่านจงหลีกไป โปรดให้โอกาสผู้หญิง แล้วทรงเข้าไปหาพระเถระ ไหว้แล้วนั่งกระหย่งต่อหน้าตรัสว่า ท่านขอรับ กระผมจะล้างเท้าถวาย.
พระเถระตอบว่า โกสีย์ อาตมภาพไม่เคยล้างเท้ามาตั้งสามสิบปีเข้านี่แล้ว และแม้โดยปกติชื่อว่ากลิ่นตัวคนเป็นของน่าเกลียดสำหรับพวกเทพ แม้อยู่ไกลตั้งร้อยโยชน์ เหมือนเอาซากศพมาแขวนคอ อาตมภาพจะล้างเอง.
ตรัสตอบว่า ท่านขอรับ ชื่อว่ากลิ่นอย่างนี้ไม่ปรากฏ เพราะว่ากลิ่นศีลของท่านเลยเทวโลกหกชั้นไปตั้งอยู่สูงถึงชั้นภวัคคพรหมในเบื้องบน ไม่มีกลิ่นอื่นที่ยิ่งไปกว่ากลิ่นศีล ท่านขอรับ กระผมมาเพราะกลิ่นศีลของท่าน แล้วก็ทรงเอาพระหัตถ์ซ้ายจับข้อต่อตาตุ่ม แล้วเอาพระหัตถ์ขวาลูบฝ่าเท้า. เท้าของท่านก็เป็นเหมือนกับเท้าของเด็กหนุ่มขึ้นมาทันที. ครั้นท้าวสักกะทรงล้างเท้าถวายเสร็จแล้วก็ทรงไหว้ แล้วเสด็จไปสู่เทวโลกตามเดิม.
จะเห็นว่า การจะหลุดพ้นจากกิเลสอาสวะนั้น จะต้องลงมือปฏิบัติอย่างเดียวเท่านั้น จะมัวร้องไห้ หรืออ้อนวอนอย่างไร ก็ไม่สามารถบรรลุธรรมได้ หรือแม้จะมีความรู้ในทางทฤษฎี หรือปริยัติธรรมมากมายเพียงใด แต่ก็ไม่ได้เป็นเครื่องยืนยันว่าจะช่วยให้เราพ้นทุกข์ได้ ดังนั้น การปฏิบัติธรรมให้ถูกต้องตามพุทธวิธี จึงเป็นเรื่องสำคัญที่จะทำให้เราได้บรรลุมรรคผลนิพพาน
เราได้ฟังพระสังฆะปริณายก เว่ยหล่าง ท่านเว่ยหล่าง ท่านเข้าถึงธรรม เข้าถึงอริยมรรค เข้าใจในธรรม ท่านเป็นประชาชนเป็นอันนี้ ท่านก็เป็นพระอริยเจ้า เเล้วท่านก็ถือเพศสมณะสมบูรณ์ท่านก็เป็นพระอริยเจ้าสูงสุด
ครั้งหนึ่ง ท่านเว่ยหล่างไปพักค้างแรมที่บ้านหลังหนึ่ง ขณะที่กำลังจะนอนพักผ่อนในช่วงบ่ายได้ยินเสียงคนกำลังสวดมนต์ เลยลุกขึ้นไปถามผู้นั้นว่า “เจ้าเข้าใจความหมายของบทที่สวดหรือเปล่า” “บางตอนเข้าใจยากจริงๆ”
ท่านเว่ยหล่างเลยอธิบายให้ฟังบางตอนของบทสวดว่า “เมื่อเราอยู่ในโลกแห่งมายาจอมปลอมนี้จนผมหงอกขาวหมดไปทั้งหัวแล้ว พวกเราต้องการอะไร? และเมื่อไฟแห่งชีวิตกำลังจะมอดลง ใจเต้นอ่อนลง และลมหายใจกำลังจะขาดรอนๆ อะไรคือสิ่งสุดท้ายที่เราหวัง? และเมื่อกายของเรากำลังเน่าเปื่อยอยู่ในสุสาน ธาตุกลับคืนสู่ธาตุ ธาตุดินสู่ดิน ชีวิตกลายเป็นสิ่งไร้ความรู้สึกในความว่างเปล่า... แล้วเราอยู่ที่ไหน?”
คนที่สวดมนต์นั้นได้ชี้คำหลายคำในคัมภีร์ที่ไม่เข้าใจความหมายแล้วถาม...ท่านเว่ยหล่างยิ้มๆแล้วตอบว่า “ข้าพเจ้าไม่รู้หนังสือ ท่านถามมาเลยดีกว่า"
คนๆ นั้นรู้สึกแปลกใจแล้วพูดขึ้นว่า “ท่านอ่านหนังสือไม่ออก ท่านจะเข้าใจความหมาย เข้าใจหลักธรรมได้อย่างไร?” ท่านเว่ยหล่างตอบว่า “หลักธรรมของพุทธะ กับตัวหนังสือไม่เกี่ยวกัน ตัวหนังสือเป็นเพียงเครื่องมือที่จะเรียนรู้ สิ่งที่จะเข้าใจหลักธรรมคือจิต คือตัวรู้ ไม่ใช่ตัวหนังสือ"
ดังนั้น การศึกษาทั้งทางด้านปริยัติและปฏิบัติ จึงเป็นสิ่งที่จะต้องศึกษาควบคู่กันไป เพื่อให้เกิดความเข้าใจแจ่มแจ้งในพระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะการศึกษาและการถ่ายทอดความรู้อย่างถูกต้องสมบูรณ์ เป็นการรักษาพระพุทธศาสนาให้คงอยู่ต่อไปได้ยาวนาน เราจึงต้องเอามาประพฤติ เอามาปฏิบัติอย่างนี้ เราอย่าไปเข้าใจเรื่องศาสนาอย่างอื่น ศาสนามันต้องไปอย่างนี้ ความสุขความดับทุกข์ไม่เกี่ยวกับคนรวยคนจน ไม่เกี่ยวกับคนหนุ่ม คนแก่หรอก มันอยู่ที่มีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง อยู่อย่างนี้ในปัจจุบัน
การเกิดมาเป็นมนุษย์นี้เป็นภพภูมิที่ดีที่สุด เมื่อเราเกิดมาเป็นมนุษย์แล้ว เราจะพากันทำอย่างไร...?
พระพุทธเจ้าท่านเมตตาบอกกับเราทุกๆ คนว่า การที่เราเกิดมาเป็นมนุษย์ ถือว่าเป็นสิ่งที่ประเสริฐ ได้มีโอกาสสร้างมรรคผลพระนิพพานให้กับตนเอง เพราะว่าไม่มีภพใดภูมิใดที่จะเหมาะสมในการปฏิบัติธรรมเท่ากับภูมิที่เป็นมนุษย์ ถ้าไปเกิดในภูมิของสวรรค์มันก็มีแต่ความสุข มีแต่ความสะดวก ความสบาย ความเพลิดเพลิน ถ้าไปเกิดเป็นพรหมอย่างนี้ ก็เอาแต่ความสงบ ทิ้งสิ่งภายนอกทั้งหมด ไม่เอาอะไร มีแต่สงบ สวรรค์และพรหมโลกนั้นย่อมมีอายุขัยจำกัด เมื่อหมดอายุขัยแล้วก็ต้องย่อมกลับมาเกิดอีก ถ้าไปเกิดในภพภูมิ สัตว์เดรัจฉาน สัตว์นรก พวกนี้ก็ยากลำบากน่ะ ก็ย่อมไม่มีความสามารถที่จะประพฤติปฏิบัติธรรมเข้าถึงมรรคผลนิพพานได้
พระพุทธเจ้าท่านให้เราทุก ๆ คนมีสติสัมปชัญญะ กลับมาหาความสงบ ตั้งใจให้ดีๆ นะ เพราะเราเกิดมาย่อมได้พบได้สัมผัสกับรูป กับเสียง กับกลิ่น กับรส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ ลาภ ยศ สรรเสริญ ทุกอย่างนั้นย่อมมีทั้งคุณและโทษ เราเกิดมานั้นย่อมมีความแก่ มีความเจ็บ มีความตาย ความพลัดพราก ได้ตามใจและไม่ได้ตามใจ สิ่งนี้มันเป็นของมีอยู่ ประจำโลก ที่จะต้องให้เรารู้จักรู้แจ้ง ทุกสิ่งที่เราได้พบได้สัมผัสนั้นซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่จีรังยั่งยืนทั้งนั้น สิ่งที่ดีนั้นก็ย่อมจากไป สิ่งที่ไม่ดีนั้นก็ย่อมจากไป ให้เราพากันรู้จักรู้แจ้ง ไม่มีอะไรที่จะจีรังยั่งยืน จิตใจของเราถึงจะมีสติ ถึงจะมีปัญญา เพื่อใจของเราจะได้ไม่เป็นทุกข์กับอะไร
สิ่งที่เราพบที่เราสัมผัสในชีวิตประจำวันนั้น ถือว่าเป็นโอกาสที่เราจะปฏิบัติใจ ให้ใจของเราเข้าถึงพระนิพพานในชีวิตประจำวันของเราไปเรื่อยๆ ถือว่าเป็นการอบรมบ่มอินทรีย์ไปในตัว สิ่งที่ไม่ได้ตามใจนั่นแหละ คือเค้าเอาพระนิพพานมาให้เรา เราจะได้ฝึกทำใจไม่ให้มีทุกข์ ได้ฝึกทำใจให้สบาย อบรมบ่มอินทรีย์ไปเรื่อยๆ ถ้าทุกอย่างได้ตามใจหมด เราก็ไม่ได้ฝึกทำใจให้สบายนะ
ทุกวันนี้น่ะ เราทุกๆ คนมุ่งอารมณ์ของสวรรค์ มุ่งความสุข ความสะดวก ความสบาย อยู่ดีกินดี สุขภาพแข็งแรง มีเงินมีทอง มีทรัพย์สมบัติมาก มีลูกน้องพ้องบริวาร มีอำนาจวาสนาในบ้าน ในเมืองในสังคม อารมณ์อย่างนี้แหละ เค้าเรียก 'อารมณ์ของสวรรค์'
อารมณ์ของสวรรค์นี้แหละ มันทำให้พวกเราหลง มันทำให้สัตว์โลกทั้งหลายเวียนว่ายตายเกิด ไม่รู้จักที่จบที่สิ้นนะ อารมณ์ที่เราได้ตามใจนั้น เป็นอารมณ์ของสวรรค์นะ... สวรรค์นั้นมีอายุขัยน่ะ มันตั้งอยู่ไม่ได้นาน เดี๋ยวมันก็ต้องจากเราไป เมื่อมันจากเราไปแล้ว มันก็กลายเป็นนรก การที่เราได้ตามใจเรานั่นแหละ มันก็เล่นงานเรานะ การที่เราไม่ได้ตามใจเรานั้น ถ้าเรามี 'สติสัมปชัญญะ' นั่นแหละ มันเอาพระนิพพานมาให้เรา สิ่งเหล่านี้มันเป็นปรากฏการณ์ของอารมณ์ ในชีวิตประจำวันเราน่ะ เราต้องมีสติสัมปชัญญะ แก้จิตแก้ใจของเราไปเรื่อยๆ
ทุกวันนี้ เราทุกคนไม่ได้พากันประพฤติปฏิบัติธรรม เราจึงพากันหลงในอารมณ์ของสวรรค์ ถึงต้องเวียนว่ายตายเกิด เท่ากับว่าเราเป็นคนรับจ้างมาเกิด อะไรเป็นค่าจ้างรางวัลของเรา...? ค่าจ้างได้แก่ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ ลาภ ยศ สรรเสริญ มันเป็นรางวัลจ้างให้เราต้องมาเวียนว่ายตายเกิด พระพุทธเจ้าท่านให้เรามีสติสัมปชัญญะ เห็นโทษในการเวียนตายเกิด "ความสุขความดับทุกข์ของมนุษย์ นั้นคือจิตใจที่เข้าถึงพระนิพพาน จิตใจสงบ จิตใจที่มีพุทโธ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เปิกบาน ไม่ตามอารมณ์ ไม่วิ่งตามอารมณ์"
อารมณ์ คือความอยาก ความต้องการ มันเผาเราทุกคนน่ะให้เราตกนรกทั้งเป็นเลยนะ เรายังไม่ตายมันก็เผาเราอยู่อย่างนี้ทั้งวันทั้งคืนน่ะ
ทุกคนที่อยู่เดี๋ยวนี้นะ เราพากันอยู่เพียงรอวันตายเท่านั้น ไม่ว่าเราจะทำอะไรอยู่เราเพียงอยู่รอวันตายเท่านั้น เราอย่าพากันมาเพลิดเพลิน มาลุ่มหลงอยู่ไม่ได้ ชีวิตของเรามันเหลือน้อยเข้ามาทุกที เวลาของเราทุกคนมันเหลือน้อยเข้ามาทุกทีๆ นะ
พระพุทธเจ้าท่านถึงให้เราทุกคนนั้น รู้จัก 'อารมณ์' เมื่อเรารู้จักแล้ว เราจะได้อบรมบ่มอินทรีย์ จะได้สร้างบารมี มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ ไม่ตามอะไรไป ชีวิตของเราที่เหลืออยู่นี้แหละ ถือว่าเป็นชีวิตที่ประเสริฐ เป็นชีวิตที่อบรมบ่มอินทรีย์ เป็นชีวิตที่ปฏิบัติตนเพื่อมรรคผลนิพพาน
เราทุกคนเกิดมาก็เกิดมาคนเดียว เวลาเราจากโลกนี้ไป เราก็ไปคนเดียวน่ะ เราจะมาห่วงลูกห่วงหลาน ห่วงทรัพย์สมบัติไปทำไม แม้แต่ตัวเองก็ยังเอาตัวไม่รอดอยู่แล้ว เราแก่ เราเจ็บ เราตายนั้นไม่มี ใครช่วยเราได้
เราพากันมาตั้งสติ ตั้งสัมปชัญญะให้ดีๆ ยับยั้งชั่งจิตชั่งใจของเราให้มันสงบน่ะ... เราพยายามกลับมาแก้ใจของตัวเอง มาแก้การกระทำ คำพูด มาอดมาทน เพื่อให้ใจของเรามันสุขุมรอบคอบ มาทำใจของเราให้มันสบาย มาทำใจของเราไม่มีทุกข์ มาปล่อยวางเรื่องลูก เรื่องหลานเรื่องทรัพย์สมบัติ ลาภ ยศ สรรเสริญ นินทา เราต้องฝึกมาปล่อยมาวาง ออกจากจิตจากใจให้มันหมดมันสิ้น ก่อนเราจะหมดลมหายใจ
เราอย่าพากันมาห่วงลูกห่วงหลาน ห่วงทรัพย์สมบัติ เราอย่าไปคิดว่าเรายังไม่พร้อมในการประพฤติปฏิบัติธรรม สิ่งต่างๆ นั่นแหละ มันกำลังเอาพระนิพพานมาให้เรา เราอย่าไปห่วงนู่นห่วงนี่ เราอย่าไปกังวลนู่นกังวลนี่ เราไปคิดมาก ไปกังวลมาก มันก็ไม่ได้อะไร สิ่งต่างๆนั้นน่ะ พระพุทธเจ้าท่านถือว่าเป็นเทวทูตมาบอก มาสอน มาเตือนใจของเราว่า "ทุกสิ่งทุกอย่างนั้น มันจะเป็นไปตามความต้องการ เป็นไปตามความปรารถนาของเรานั้น มันเป็นไปไม่ได้"
เราอย่าพากันไปห่วง ตัวเราเองก็ยังเอาตัวเองไม่รอดอยู่แล้ว เราจะไปรอดได้อย่างไร ตัวเราเองมันแก่ขึ้นมาทุกวัน มันเจ็บขึ้นมาทุกวัน ร่างกายของเรามันทรุดโทรมลงไปทุกวัน โรคภัยไข้เจ็บก็ยิ่งทวีคูณขึ้น ทั้งโรคปวดแข้งปวดขา ทั้งโรคหัวใจ ความดัน เบาหวานโรคที่กินไม่ได้นอนไม่หลับน่ะ เรากินไม่ค่อยจะได้ นอนไม่ค่อยจะหลับ เราก็ยังไม่พากันรู้สึกตัวเลยว่า ธรรมชาติเค้ามาบอกมาสอนเรา ให้เราไปพระนิพพาน
ท่านให้เราฝึกจิตฝึกใจ ฝึกปล่อยฝึกวาง อย่าไปทุกข์กับลูกกับหลาน กับญาติพี่น้องวงศ์ตระกูล เรื่องของใครก็ให้มัน เป็นเรื่องของใคร เราสมควรแล้วที่จะฝึกตัด ฝึกปล่อย ฝึกวาง เราทำตามใจตัวเอง ทำตามอารมณ์ตัวเองจนมันมีเรื่องมีราว เรื่องมันไม่มี มันก็มี เรื่องเล็กมันก็เป็นเรื่องใหญ่ มันเลยมีสารพัดเรื่อง ก็เพราะเราทุก ๆ คนนี้ ทำตามความคิด ทำตามอารมณ์ เมื่อเราคิดแล้วเราก็ทำตามความคิดน่ะ มันเลยเป็นกรรมเป็นเวรที่เราก่อขึ้น มีลูก มีหลาน มีเหลน มีความทุกข์ยากลำบากตามมา เป็นกระบวนการ มันเป็นการเวียนว่ายตายเกิดที่ไม่มีวันจบวันสิ้นน่ะ
ให้ถือว่าลูกหลานของเรานี่ ที่มันไม่ได้ตามใจของเรานั่นน่ะ มันเอาพระนิพพานมาให้เรา ให้เราพากันหูตาสว่างบ้าง ให้เรารู้ว่าความเจ็บความป่วย ความเจ็บไข้ไม่สบายนั่นน่ะ มันเอาพระนิพพานมาให้เรา เค้ากำลังบอกเราอยู่นะว่า "ทุกข์อย่างนั้นน่ะ มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราอย่าพากันกิน อย่าพากันโลภ เราอย่าพากันหลง เราอย่าพากันเป็นคนโง่ เป็นแมลงเม่าบินเข้ากองไฟ"
เราวิ่งตามความคิด ตามอารมณ์ ตามความอยากนั้น มันเป็น สิ่งที่ไม่จบ มันเป็นสิ่งที่ไม่สิ้น ทุกคนน่ะห่วงลูกตัวเอง ห่วงหลานตัวเอง ห่วงธุรกิจตัวเอง ตัวเองนั่นแหละ มันนำตัวเองไปสู่นรกน่ะ... ทุกสิ่งทุกอย่างเค้ามาปรากฏการณ์ มาบอกมาสอน มาเป็นเทวทูตบอกเรา ให้เราพากันไปพระนิพพาน เพื่อให้เราทุกคนสร้างบารมี ได้สร้างความดี ที่เราเป็นบุคคลที่ประเสริฐ ที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์
เราจะเอาใจของเราไปไว้ที่ไหน...? "เอาใจของเราไว้กับใจนี้แหละ"ใจของเรา ก็คือตัวผู้รู้ รู้ใจของเราให้มันชัดเจน ทิ้งอารมณ์ต่างๆ น่ะ ให้มันเห็นใจชัดเจน ใจของเราจะได้สงบ เราจะได้อบรมบ่มอินทรีย์ไปเรื่อยๆ เหมือนกับเราปลูกต้นไม้นี่แหละ เราปลูกต้นเล็กๆ แล้วก็ให้น้ำให้ปุ๋ยไป ต้นไม้มันก็จะค่อยๆ โตไปเรื่อยๆ การอบรมบ่มอินทรีย์ การสร้างอริยมรรค ก็เป็นอย่างนั้น เราต้องทำติดต่อกันไปทุกๆ วัน อย่าไปขี้เกียจ อย่าไปขี้คร้าน อย่าไปเผลอ อย่าไปประมาท
เรามีความสุข เราก็อย่าไปหลง มีสติสัมปชัญญะให้ดี เรามีความทุกข์ เราก็อย่าไปหลง มีสติสัมปชัญญะให้ดี ให้เรากลับมาหาตัวผู้รู้ คือใจของเรา สติสัมปชัญญะของเรามันต้องทำงานไปเรื่อย ๆ
'สติสัมปชัญญะ' นั่นแหละคือ 'ศีล สมาธิ ปัญญา' มันจะมารวมกันเป็นหนึ่ง คือใจของเรานี้มีสติสัมปชัญญะ เราพยายาม 'เจริญสติสัมปชัญญะ' เอาการงานมาสร้าง อินทรีย์บารมี เราทำงานเพื่องาน เราทำงานเพื่อเสียสละ เราทำงานเพื่อไม่มีตัวไม่มีตน เพราะตัวเรามันก็ไม่มี คนอื่นที่อยู่ร่วมกับเรานั้น ถือว่าไม่มีเหมือนกัน ทุกอย่างล้วนแต่เกิดขึ้น ทุกอย่างล้วนแต่ตั้งอยู่ ทุกอย่างล้วนแต่ดับไป ไม่มีอะไรมีไม่มีอะไรเป็น มันมีแต่ธรรมะเท่านั้น
ถ้าเราไม่เอาใจของเราเข้าไปยึดเข้าไปถือ สิ่งเหล่านี้ก็ล้วนแต่เป็นธรรมะ ล้วนแต่เป็นพระนิพพาน เป็นอินทรีย์บารมีให้เราเจริญแก่กล้าไปเรื่อยๆ ... การประพฤติการปฏิบัติน่ะ มันต้องอาศัยกาล อาศัยเวลา มันถึงจะเป็นมรรค เป็นอริยผล
ให้เราถือโอกาสถือเวลาว่าเราเป็นผู้ประเสริฐ ที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ สามารถกระทำได้แต่สิ่งที่ดีๆ คือมาสร้างมรรคผลนิพพานให้กับตัวเอง การประพฤติการปฏิบัตินั่นน่ะ ไม่เลือกกาล ไม่เลือกเวลาและสถานที่ เราปฏิบัติได้อยู่ทุกหนทุกแห่ง ไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหนเราทุกคนต้องมาแก้ที่จิตที่ใจของเรา พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า "ไม่ให้เราทุกคนประมาทน่ะ"
แจกปัญญา แจกศาสนา แจกธรรมวินัย แจกสิ่งที่ถูกต้อง
เพื่อเดินตามรอยพระพุทธเจ้าร้อยเปอร์เซ็นต์
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
โดยทุกท่านสามารถติดตามเพิ่มเติมได้ที่
https://linktr.ee/watsubthawee
Share wisdom, spread Buddhism and its discipline.
Advocate righteousness to follow Lord of Buddha's footsteps 100%
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
You can receive new Dharma updates.
https://linktr.ee/watsubthawee