แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ใน วันอาทิตย์ที่ ๗ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง สั่งสมทรัพย์ภายใน ตอนที่ ๔๐ ให้บวชเพื่อรักษาพระศาสนา มิใช่บวชมาเพื่อทำลาย
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
วันนี้ในเวลา ๑๐:๓๐ น. จะมีการอุปสมบทพระ ๒ รูป คือ........................ ณ พัทธสีมาวัดป่าทรัพย์ทวีธรรมารามแห่งนี้ การบวชก็คือการมาประพฤติปฏิบัติ เอาพระธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า เอาพรหมจรรย์ มาประพฤติปฏิบัติ เข้าสู่ภาคประพฤติปฏิบัติ จึงจะมีอานิสงส์ใหญ่มีอานิสงส์มากมีอานิสงส์ไพศาล ผู้ที่มาบวชต้องทำอย่างนี้ๆ ถ้าไม่ทำอย่างนี้ อย่ามาบวชให้เสียเวลาเลย จุดประสงค์ของการบวชมีหลายอย่าง ดังคำที่ว่า บวชหลบบวชลี้ บวชหนีวัฏสงสาร บวชผลาญข้าวสุก บวชสนุกตามเพื่อน บวชเลื่อนฐานะทางสังคม บวชไปนิยมทำพุทธพาณิช บวชติดเรื่องโลกๆ บวชนั่งโงกงมแก่ ตามคำที่ว่ามาทั้งหมดนี้ การบวชหนีวัฏสงสาร มุ่งมรรคผลนิพพานเป็นจุดหมายปลายทาง เป็นการบวชที่ประเสริฐสุด พระพุทธองค์ทรงสรรเสริญ
ที่วัดไหนไม่เอาตามพระพุทธเจ้า 100% อย่าไปบวช บวชแล้วได้บุญน้อย หรือไม่ก็ได้บาป เพราะเราทุกคนต้องถือนิสัยพระพุทธเจ้า เอาธรรมเป็นหลัก เอาธรรมเป็นใหญ่ อย่างนี้แหละ ต้องยกจิตยกใจเข้าสู่ภาคสนาม ภาคประพฤติ ภาคปฏิบัติ คนเราต้องมีฉันทะมีความพอใจในการกระทำ อิทธิบาทธรรมจึงเป็นจุดเริ่มต้นแห่งความสำเร็จในสิ่งทั้งปวง อย่าไปบวชเหมือนที่ส่วนใหญ่เขาทำกัน การบวชเน้นที่จิตที่ใจ ไม่ได้เน้นที่กายภายนอก พระพุทธเจ้าไม่ได้มีแห่รอบโบสถ์แห่รอบศาลา ไม่ได้จัดงานบวชมีกินเลี้ยงมีมหรสพ ถ้าทำอย่างนั้นท่านก็ไม่ได้เป็นพระพุทธเจ้า การบวชต้องทำง่ายๆ เรียบง่ายมากที่สุด เน้นที่ใจ เน้นที่เจตนา เน้นที่การปฏิบัติ พ่อแม่ผู้ปกครองทุกคนต้องเข้าใจ ให้คิดในใจเลยว่า ลูกของเรานี้โชคดี ได้มาประพฤติปฏิบัติตามพระพุทธเจ้าแท้ๆ เราจะจัดงานแบบเอาหน้าเอาตาไปทำไมกัน
เพราะว่าลูกเราได้มาบวช พ่อแม่เราก็ได้มาบวชด้วย บวชก็หมายถึงว่า ป+วช (บวช) ก็คือเว้นทั่ว อันไหนไม่ดีก็ไม่คิดไม่พูดไม่ทำ เถียงกันทะเลาะกันมันไม่ดี เราก็หยุดอย่างนี้ก็คือบวช ทำต่อไปนานๆ ติดต่อเนื่องก็เป็นเถระคือละอันนี้ได้ เป็นผู้มีใจแน่วแน่มั่นคง ทุกท่านทุกคนน่ะ มันเคยทำตามใจตัวเองตามอารมณ์ตัวเองตามความรู้สึกตัวเอง จนมีลูกมีหลาน เมื่อมีลูกมีหลานเราก็ต้องให้ความมั่นคงกับลูกกับหลาน ด้วยการเป็นผู้มาบวชใจตัวเอง บวชตัวเองอยู่ที่บ้านคือมีศีล 5 มีความสุขในการรักษาศีล 5 เรียกว่าเป็นการประพฤติพรหมจรรย์ขั้นระดับพื้นฐาน
ส่วนใหญ่ผู้ที่มาบวชถ้าไม่เอาธรรมไม่เอาวินัย ไม่มุ่งหวังผลพระนิพพาน ศีล 5 ก็ไม่ได้หรอก เพราะมันยังโกหกประชาชนอยู่ มันยังโกหกพระพุทธเจ้าอยู่ ยังไม่ได้กตัญญูกตเวทีต่อพระพุทธเจ้า ศีล 5 ก็ไม่ได้หรอก เพราะยังไม่ตั้งใจประพฤติปฏิบัติให้เต็มที่เต็มร้อย ศีลข้อที่ 4 ก็เป็นข้อที่โกหกหลอกลวงอยู่แล้ว ภิกษุที่ไม่ประพฤติปฏิบัติ ศีล 5 ก็ไม่ได้หรอก ให้เข้าใจอย่างนี้นะ ถ้ายังคิดตามใจไปในเรื่องอะไรต่างๆ คือยังเสพกามทางใจ ถ้ามันเสพทั้งทางกายก็นับว่าหยาบเกินแล้ว พระพุทธเจ้าจึงให้เน้นธรรมะมาที่ใจมาที่เจตนา อันไหนไม่ดีไม่คิด เราจะได้หยุด เสพกามทางจิตใจ ทุกคนจะได้บวชใจ เรามาบวชแล้ว ถ้ายังคิดในเรื่องผู้ย่าผู้หญิงเรื่องกินเรื่องเที่ยว นี่คือใจยังเสพกาม กามมันสีดำนะ ที่พระพูดว่าสีกา ๆ คือสีดำ สีดำมันย้อมใจของเรามันดำ มันมืด มันมัว ถ้าเราหลงเราติด มันก็ต้องดำต้องมัว อันนั้นมันคือระบบทางจิตใจที่มีความชั่ว เป็นระบบครอบครัว ที่ใจมันยังไม่ได้บวช คนเราถ้าใจยังไม่ได้บวช บวชแต่ทางกายมันก็เผาตัวเอง ถึงต้องให้เราได้บวชได้อุปสมบททั้งกายทั้งใจจริงๆ อย่าให้มันเป็นแค่ศาสนพิธี บวชมาแล้วเวลาสึกไปก็ต้องต่อยอดไป เพราะชีวิตเราคือชีวิตที่ประเสริฐ ต้องปฏิบัติต่อเนื่องกันไปอย่างนี้
การบวชนี้ให้ประชาชนทุกคนพากันเข้าใจนะ ผู้ที่บวชก็ต้องพากันเข้าใจ การบวชนี้คือเรามาหยุดตัวเอง เพราะตัวเองนั้นเดินทางผิด มันต้องหยุด หยุดพลังงานแห่งการเวียนว่ายตายเกิด พระพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญพุทธบารมีมาหลายล้านชาติ ได้ตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มาบอกมาสอนเรา ให้ทุกคนที่เป็นผู้ประเสริฐได้เกิดมาเป็นมนุษย์ได้มาหยุด หยุดตัวเอง เพราะตัวเองมันเดินทางผิด มาปรับตัวเองเข้าหาธรรมะ เข้าหาพระวินัย เข้าหาธรรมะ ในโลกนี้มันไม่มีตัวไม่มีตน มันเป็นพลังงานแห่งอวิชชาแห่งความหลง ที่ทำให้เราเวียนว่ายตายเกิด เราต้องพากันหยุด เราวิ่งมาหลายร้อย หลายพัน หลายหมื่น หลายแสน แต่วินาทีนี้ก็ต้องมาหยุด มาเสียสละมาละซึ่งตัวซึ่งตน เรานี้มันเสียหายนะ มันเจ็บปวดนะ ที่ต้องมาท่องเที่ยวในวัฏสงสาร เราจะหยุดตัวเองได้เพราะอาศัยธรรมะอาศัยพระวินัย ธรรมะพระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่ คือกฎแห่งกรรม ในการหยุดการเวียนว่ายตายเกิด การหยุดอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้ถึงเรียกว่าศีล ศีลคือศิลปะแห่งความประเสริฐ แห่งความยอดเยี่ยม พระพุทธเจ้าถึงตรัสว่างามในเบื้องต้นนั้นคือศีล งานในท่ามกลางคือความตั้งมั่น ไม่ง่อนแง่นคลอนแคลน เอาธรรมะวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่เรียกว่าพรหมจรรย์ เรียกว่าความงามในท่ามกลาง ความงามในที่สุดโดยมีสัมมาทิฏฐิมีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องมีความปฏิบัติถูกต้อง มีความสุขในการประพฤติปฏิบัติ เราเดินทางถูก เราถึงมีความสุขนะ เราเดินทางผิดมันมีความทุกข์นะ
เราต้องมาหยุดทั้งทางกาย ทางวาจา และทางใจ เข้าสู่กายวิเวก จิตวิเวก อุปธิวิเวก เป็นการปฏิบัติของพวกเราทุกๆ คน เราทุกคนถึงจะได้เข้าสู่ความประเสริฐ เราจะไม่ได้เป็นได้แต่เพียงคน คนนี้มันหลายภพหลายภูมินะ มีเปรต ยักษ์ มาร อสุรกาย สัตว์นรกนะ เราต้องเข้าถึงความเป็นมนุษย์ เป็นผู้มีปัญญาและเป็นผู้ที่เข้าสู่ภาพประพฤติปฏิบัติ ที่เรียกว่าศีล สุขมันก็มีอยู่ ทุกข์มันก็มีอยู่ ทุกอย่างมันมีอยู่ แต่เราต้องเอาความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง มาประพฤติปฏิบัติ ทุกสิ่งทุกอย่างเราจะได้ทิ้งมันเข้าสู่พระไตรลักษณ์ เพราะทุกอย่างมันไม่แน่ มันไม่เที่ยง มันไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน เราอย่าหลง หลงสิ่งที่เราได้พบได้เห็นในชีวิตประจำวัน นี่เป็นไฟท์ที่เราทุกคนจะต้องประพฤติปฏิบัติกัน การบวชถึงเป็นบุญใหญ่มีอานิสงส์ใหญ่ มันเข้าสู่ภาคประพฤติปฏิบัติ มันเป็นเรื่องของตัวเองแก้ไขตัวเอง เราทุกคนพากันแก้ไขตัวเอง คนอื่นมันแก้ให้เราไม่ได้ เราทุกคนต้องแก้ไขตัวเองทุกคนแก้ได้ เราต้องเห็นความสำคัญในการประพฤติปฏิบัติ เราอย่าปล่อยให้ตัวเองคิดตัวเองพูดตัวเองทำ เราตามสิ่งแวดล้อมไป เราทั้งรักทั้งโกรธทั้งหลง มันเป็นฮอร์โมนมันเป็นพลังงานแห่งการเวียนว่ายตายเกิด ทำให้เราหัวเราะทำให้เราร้องไห้ ทำให้เราเศร้าโศก มันไม่ได้นะมันเสียหายนะ การมาบวชนี้มันถึงดีมากมีอานิสงส์ใหญ่มีบุญใหญ่ เพราะเราต้องมาแก้ที่ตัวเองอย่างเต็มที่ เพราะการบวชนี้ดีมาก มีการประพฤติปฏิบัติในส่วนตัว เราหยุดนิสัยของตัวเอง ต้องมาถือธรรมวินัย เรียกว่าถือนิสัยของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าไม่ใช่ตัวบุคคล คือธรรมะวินัย ศาสนาถึงเป็นธรรมะเป็นพระวินัย ที่เรารู้เราเห็น มันไม่ใช่ศาสนามันเป็นเพียงแบรนด์เนม เราถึงต้องพากันเข้าสู่ภาคประพฤติปฏิบัติ ทุกๆ คนต้องปรับตัวเข้าหาธรรมะเข้าหาเวลา ทั้งพระเก่าพระใหม่ ทั้งเณรทั้งชีก็ต้องพากันประพฤติปฏิบัติ เราจะได้ใช้ทรัพยากรแห่งความเป็นมนุษย์อย่างคุ้มค่า เพราะเราเสียเวลากับสิ่งที่ไม่ใช่พรหมจรรย์มันไม่ได้ ต้องมีความสุขในการประพฤติในการปฏิบัติ เราจะได้เข้าถึงความเป็นพระ พระนับตั้งแต่พระโสดาบันไปจนถึงพระอรหันต์ เอารูปลักษณ์ภายนอกไม่ได้ต้องเน้นที่จิตที่ใจ เพราะกรรมทั้งหลายทั้งปวงหรือความเห็นแก่ตัวนี้ มันทำให้เราเสียหายนะ
เรามาบวชแล้วเราจะไปคิดเหมือนแต่ก่อนไม่ได้ มันต้องเริ่มต้นจากความคิด อย่างไก่มันฟักไข่มันใช้เวลา 3 อาทิตย์ มันถึงออกลูกมาเป็นตัว เราปฏิบัติธรรมมันต้องใช้เวลามากกว่านั้น ไม่คิดไม่พูดไม่ทำ ต้องเข้าสู่ระบบความคิด เราถึงจะได้บวชทั้งกายบวชทั้งใจ โลกนี้ประเทศนี้หรือว่าทุกๆประเทศ เราจะได้มีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง เราจะได้หยุดตัวเองอย่างนี้ ความเป็นพระมันเป็นได้ทั้งผู้ที่มาบรรพชาอุปสมบทและผู้ที่มีภาระผู้ที่ไม่ได้บวชก็ปฏิบัติได้เหมือนกัน ให้ทุกท่านทุกคนพากันเข้าใจ เราจะได้พากันฉลาด เราจะได้รวยอย่างฉลาด รวยอย่างมีปัญญา เอาศีลเอาธรรมเป็นที่ตั้ง เราจะได้ส่งไม้ผลัด ส่งสิ่งที่ดีๆให้ลูกให้หลานเราได้ ได้ประพฤติปฏิบัติ เพราะปัญหาต่างๆนั้นทุกคนต้องพากันมาแก้ที่ตัวเอง เราจะได้มีความมั่นคง คือชาติที่ประเสริฐที่เราได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ศาสนาก็คือพระธรรมพระวินัย คือศีลสมาธิปัญญา บรรพบุรุษของเราคือพ่อแม่ที่ทำให้เราได้เกิดมาเป็นมนุษย์ เราถึงต้องอุทิศบุญกุศลคุณงามความดี เพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ เพื่อความมั่นคงแห่งความเป็นมนุษย์
ผู้ที่ถือศาสนาพุทธส่วนใหญ่ก็ไม่รู้จักศาสนาพุทธ ผู้ที่ถือศาสนาคริสต์ ก็ยังไม่รู้จักศาสนาคริสต์ ผู้ถือศาสนาอิสลามส่วนใหญ่ก็ยังไม่รู้จักศาสนาอิสลาม ผู้นับถือศาสนาพราหมณ์ ฮินดู ซิกซ์ ก็ยังไม่รู้จักศาสนาของตนอย่างลึกซึ้ง ศาสนาคือ ธรรมะ ไม่ใช่นิติบุคคล ตัวตน เราเขา เป็นธรรม เป็นปัจจุบันธรรม มรรคผลนิพพานก็ไม่พากันรู้จัก คิดว่า มรรคผลนิพพาน มันหมดสมัยเเล้ว มันล้าสมัยเเล้ว ศาสนาคือ ธรรมะ เป็นธรรม เป็นปัจจุบันธรรม มรรคผลนิพพาน นี้อยู่ที่ปัจจุบัน เป็นหลักเหตุหลักผล เป็นวิทยาศาสตร์ ที่เหนือวิทยาศาตร์ยิ่งๆ ขึ้นไปเพราะประกอบด้วยปัญญา คือ ความวิมุตติหลุดพ้น เป็นการพัฒนาเป็นวิทยาศาสตร์ พัฒนาทั้งกายทั้งใจไปพร้อมๆ กัน เป็นหลักเหตุหลักผล ที่มันเลื่อนไปตามเหตุตามปัจจัย เพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปมันต้องมี ธรรมทั้งหลายทั้งปวงนั้นถึงเกิดจากเหตุ มรรคผลนิพพานนั้น ถึงไม่หมดสมัย ไม่ล้าสมัย ยิ่งพัฒนาวิทยาศาสตร์ ก็ยิ่งพัฒนาใจไปพร้อมๆ กัน ที่ตัดสินว่า “ไม่รู้” เพราะสาเหตุมาจาก ความประพฤติ การกระทำ ของหมู่มวลมนุษย์ในปัจจุบันนี้ ถ้าเข้าใจเเล้ว มนุษย์ย่อมไม่ฆ่าสัตว์ จิตใจย่อมไม่มีความโลภ มีเเต่ความสุขในการเสียสละ ไม่ประพฤติผิดไปจากธรรมะ ที่เรียกว่า ประพฤติผิดไม่ไปหลงในกาม
ผู้ที่ยังเดินทาง ยังไม่ไปสู่ความดับทุกข์ที่ถาวร พากันเน้นที่ปัจจุบัน เราดูการเรียนการศึกษา เราก็ยังไม่รู้จักเลย เรียนเพื่อเอาใบประกาศ เอายศเอาตำเเหน่ง ไม่ได้เรียนเพื่อรู้เพื่อเสียสละ ถ้ามีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง จะไม่ยินดีในการรับเงิน รับสตางค์ ไม่ยินดีในผลตอบเเทน เหมือนลูกชายเศรษฐี ที่เศรษฐีจ้างให้ไปฟังธรรมของพระพุทธเจ้า เมื่อเข้าใจเเล้ว ทีนี้ เศรษฐีจะให้เงินลูกชาย ลูกชายไม่ยอมเอาเลย เพราะสิ่งที่เหนือเงินเหนือสตางค์ คือ พระธรรมคำสั่งสอนองพระพุทธเจ้า
ผู้ที่มาบวชนึกว่าบวชมาปล่อยมาวาง จะไม่เรียนไม่ศึกษาไม่ได้ เพราะคนไม่ศึกษาเปรียบเสมือนคนตาบอด เปรียบเสมือนคนหูหนวก เปรียบเสมือนคนอัมพฤต อัมพาต ไปไหนไม่ได้ ไม่ใช่หมดสภาพในการทำมาหากินเลยมาบวช ถ้าไม่อย่างนั้น ศาสนาของเราก็จะไปผิดทาง มันถึงเป็นทางออกของคนจน ให้ทุกท่านพากันเข้าใจ เราเรียนไปเป็นนกเเก้วนกขุนทอง เราก็ไม่เข้าใจศาสนาอยู่นะ เราเห็นความสุขความรวยทางวัตถุ ในยศในตำเเหน่งอย่างนี้ ยังไม่ถูกต้อง มันจะโหวตเสียงโหวตคะเเนนกัน มันจะมีเงินทอนวัด มันจะไประบบพรรคพวก ไม่ใช่ระบบความเป็นธรรม ความยุติธรรม อย่างนี้มันพุ่งไปเเต่ข้างนอก สติสัมปชัญญะมันไม่สมบูรณ์นะ เราต้องยิ่งเรียน ยิ่งปฏิบัติ
เราดูลูกศิษย์หลวงปู่มั่น ขนาดสะพายย่ามให้หลวงปู่มั่น จาริกวิเวกด้วยกัน เเต่ละท่านก็ยังหลงทาง หลงในสมาธิกัน ครูบาอาจารย์ที่เป็นพระอริยเจ้าทั้งหลายพากันหลงในสมาธิกันเเทบทุกรูปเลย นึกว่าสมาธิเป็นนิพพาน เราต้องรู้จักศาสนา รู้จักคุณค่าเเต่ละศาสนา ถ้าเรารู้จักศาสนาเเล้ว ทุกคนจะมีความสุขในการเสียสละ อยากรักษาศีล อยากมีใจหนักเเน่น มันจะไม่หลงในความสุขความสะดวก ความสบาย อย่างการเป็นคู่ การยินดีในรูปเสียงกลิ่นรสลาภยศสรรเสริญ เรียกว่า ธรรมะมันยังมีขั้วบวกขั้วลบอยู่ นี้ยังไม่ใช่เป้าหมาย ยังไม่ใช่จุดยืน
พระเราเเต่ละวัด จะมีความสุขขึ้นมาก จะไม่พากันไปยินดีในเรื่องเงินเรื่องสตรี เรื่องสตางค์ ในเรื่องมียศถาบรรดาศักดิ์ ถึงเเม้เราจะไม่ได้เป็นเจ้าฟ้าเจ้าคุณ มันก็ดับทุกข์ได้มากกว่าเป็นเจ้าฟ้าเจ้าคุณอีก ถ้าเข้าใจเเล้ว เราต้องศึกษาเรื่องพระวินัย เรื่องธรรมะให้เข้าใจ เรื่องยศเรื่องตำเเหน่งศาสนานี้ไม่มีใครเเต่งตั้งเราได้ นอกจากเราประพฤติปฏิบัติของเราเอง อันนั้นเป็นการปกครองของประเทศ ปกครองคณะสงฆ์ การเรียนการศึกษานี้มีมาตั้งเเต่พระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่ เเละ พระอรหันต์ทั้งหลายทั้งปวงด้วย พูดให้ลูกศิษย์ลูกหาเข้าใจ พร้อมทั้งการประพฤติการปฏิบัติ ต้องให้เจ้าอาวาสและสังฆาธิการพากันเข้าใจ เจ้าอาวาสไม่ใช่เป็นเจ้าอารมณ์ เจ้าอาวาสคือธรรมะ คือพระวินัย ไม่ใช่นิติบุคคล เป็นคนที่จะนำเค้าได้ ต้องเป็นผู้รู้เเท้ รู้จริง เป็นพหูสูตร เเละต้องเป็นผู้ประพฤติผู้ปฏิบัติ
ผู้ที่บวชมา ต้องพากันรู้จัก จะได้ไม่พากันหลงประเด็น ต้องนำคนอื่นได้ ไม่พากันงง ว่าจะเอาเงินที่ไหนมาบริหาร อันนี้มันคิดอย่างฆราวาส ถ้าเราปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ พระในวัดก็เคารพนับถือ โยมก็เคารพนับถือ สมัยทุกวันนี้มีโทรทัศน์ มีโทรศัพท์ มีอินเตอร์เน็ต การเผยเเผ่ก็ง่ายขึ้น พวกโทรศัพท์ สื่อต่างๆ มีไว้เพื่อทำสิ่งที่มีประโยชน์ ไม่ใช่เอาไว้เพื่อเสพกาม เจ้าอาวาส เจ้าคณะพวกนี้ก็ยังพากันทำไม่ถูก พาทำตั้งเเต่ฟังเพลง ฟังละคร ฟังนิยาย มันไม่ถูก หลงไลน์ หลงอะไรในสิ่งที่ไม่มีประโยชน์ นี้เเสดงถึงความไม่รู้จักศาสนา ความโง่มันโผล่ออกมาเเสดงภายนอก ยังมีความเห็นผิดเข้าใจผิด ปฏิบัติผิดอยู่ แล้วก็ไปกลัวว่าศาสนาคริสต์หรือว่าศาสนาอิสลามจะมากลมกลืน จะมาเเย่งประชาชนเรา นี้ยังมีความเข้าใจผิดเยอะ เค้าเรียกไม่ใช่ธรรมดาเเล้ว เยอะๆ ดูวัดไหนก็มีเเต่วัดสกปรก ประชาชนคนไม่นับถือก็ต้องพากันตัดหญ้าเอง ปกติพระขุดดิน ตัดหญ้า ตัดต้นไม้ไม่ได้อยู่เเล้ว เพราะประชาชนเค้าไม่เคารพนับถือ เพราะมันเป็นขยะของสังคม ของส่วนรวม ไม่มีใครที่ทำให้ศาสนาเสื่อม อยู่ที่เราไม่รู้จักศาสนา เราก็ไปประพฤติปฏิบัติในสิ่งที่ไม่ใช่ศาสนา
ที่พูดอย่างนี้อย่าพากันเครียดนะ เพราะพูดตามสภาวะความเป็นจริงที่มองเห็นด้วยตา ที่ฟังด้วยหู ที่สัมผัส ศึกษาเเต่ความรู้ทางปริยัติยังไม่เพียงพอ ต้องศึกษาภาคปฏิบัติ ที่สำนักปฏิบัติต่างๆ ที่เคร่งครัด ที่เราฝึกกับครูบาอาจารย์ที่เคร่งครัดของเมืองไทย ก็ยังพากันเพี้ยนเป็นส่วนใหญ่ สีผ้าอาจจะไม่เพี้ยน สีเก่า โกนหัวเหมือนเก่า บาตรก็ลูกใหญ่ เเต่ความคิดความเห็นมันเพี้ยน เพราะว่ามันมีเเต่รูปเเบบภายนอก ไปจับเเต่รูปเเบบของครูบาอาจารย์ ไม่มีสัมมาทิฏฐิ ความเห็นยังไม่ถูกต้อง ความเข้าใจยังไม่ถูกต้อง ปฏิบัติยังไม่ถูกต้อง เเต่ละรูปที่ไปเป็นประธานสงฆ์ ก็ยังยินดีในการมีเงินมีปัจจัย ยังไปยินดีเเต่พวกศาลาใหญ่ๆ โบสถ์ใหญ่ๆ เเต่ไม่ยินดีในเรื่องมรรค เรื่องผล เรื่องพระนิพพาน นึกว่าโบสถ์ใหญ่ ศาลาใหญ่ๆ รถหรูๆ มันเป็นศาสนา คิดว่าเป็นบารมี นั้นเเสดงถึงความเพี้ยน มันเพี้ยนจากสัมมาทิฏฐิ เพี้ยนจากมรรคผล เพี้ยนจากพระนิพพาน มันก็จริงอยู่ พระอยู่ที่ไหน มันต้องมีศาสนาวัตถุ มันมีดีจริง เเต่มันต้องไม่ทิ้งข้อวัตรปฏิบัติ ไม่ทิ้งมรรคผลพระนิพพาน นี้ไม่เหลืออะไรอยู่เลย เหลือเเต่โกนผม กับ ผ้าเหลือง นี้เลยถือว่าเพี้ยน ผ่านหมู่บ้านไหน โบสถ์ใหญ่ ศาลาใหญ่ ความสกปรกก็ยิ่งใหญ่ เพราะว่าไม่มีข้อวัตร ไม่มีข้อปฏิบัติ มันเรียนเข้าใจ ต้องประพฤติต้องปฏิบัติ ที่พระพุทธเจ้าบอกว่าต้องถือนิสัยของพระพุทธเจ้า ๕ ปี ต้องถือนิสัยของครูบาอาจารย์ที่เป็นพระอรหันต์ อย่างน้อย ๕ ปี ส่วนใหญ่ไม่มีใครถือหรอก มันถือนิสัยของตัวเอง เพราะบวชมาเเล้ว มันก็ทัดเทียมกัน โกนหัวพอๆ กัน ห่มผ้าพอๆ กัน นึกว่าอันนี้ไม่ต้องถือนิสัยใครเเล้ว ที่เป็นพระกรรมฐาน ที่ไม่มีครูบาอาจารย์ ดูเเล้วมันก็เพี้ยน ขนาดอยู่กับครูบาอาจารย์ ที่ถือว่าเข้มเเล้ว ยังเพี้ยน ส่วนใหญ่ถือเอาเเบรนด์เนม ยี่ห้อท่านเฉยๆ ส่วนใหญ่มีเเต่เพี้ยนๆ ทั้งนั้น
ทุกคนต้องกลับไปดูตัวเองว่ามันเพี้ยนหรือเปล่า ลูกศิษย์ของพ่อเเม่ครูบาอาจารย์ที่ท่านเป็นพระอริยเจ้า 100% เห็นเพี้ยนไป 99.9% เพราะยังไม่รู้จักพระศาสนา ยังไม่รู้จักอริยสัจสี่ มันส่งไม้ผลัดให้กันไม่ได้ เพราะมันเป็นโควิดมาหลายสิบปี หรือว่าเป็นร้อยๆ ปี เป็นมาหลายร้อยปีมาเเล้ว มรรคผลนิพพานไม่เคยหมดสมัย ไม่ล้าสมัย เพราะพวกเราพากันมาทำเพี้ยนเอง ลองดูตัวอย่างสิ ลูกศิษย์หลวงพ่อชา หลวงพ่อชาไม่ให้มีโทรศัพท์มือถือหรอก ส่วนใหญ่ก็มีมือถือ 99.9% หลวงตามหาบัว ไม่ให้มีโทรศัพท์มือถือ ส่วนใหญ่ก็มี 99.9% นี้เรามองเห็นความเพี้ยน เเล้วก็ไปบอกว่ามันจำเป็น เเสดงถึงว่ามันไม่รู้จักพระศาสนา เพราะ “พุทธ” หมายถึงความฉลาด ถ้าเราฉลาดเเล้ว ทุกอย่างมันก็ไม่มีปัญหาหรอก ลูกศิษย์ท่านพุทธทาส 99.9% ไม่มีใครทำตามท่านพุทธทาสหรอก พูดอย่างนี้ก็พากันเครียด เพราะคนเราปกปิดอวัยวะส่วนต่างๆ ไม่ให้คนเค้าเห็น ไม่ให้คนเค้ารู้ เมื่อยังมีคนมาพูดอย่างนี้ คนอื่นเค้าก็มองเห็น เราก็เครียด มันยิ่งเครียด ยิ่งเก็บ ความเครียดคืออาการของทิฏฐิมานะ อัตตาตัวตนนะ เพราะสิ่งที่ถูกต้อง ทุกคนควรที่จะได้รับรู้พระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าที่ประเสริฐบริสุทธิ์ เพราะว่าไม่ได้ว่าให้พระ ไม่ได้ว่าให้ใคร เพราะพระธรรมพระวินัยมรรคผลนิพพานนี้ ไม่มีใครว่าให้ได้ เพราะเป็นเหตุเป็นผล เหนือเหตุเหนือผลอีก
ความเครียดความเห็นอย่างนี้ เป็นความคิดที่ต่อต้อนพระพุทธเจ้านะ จิตใจมันจาบจ้วงพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า การที่รู้ว่าตัวเองคิดผิดนี้ ก็ถือว่าไม่สายนะ ถ้ารู้ว่าตัวเองไม่ผิดทั้งที่ผิด นั่นคือคือสาย ความคิดผิดมันคือตาลยอดด้วน มันเป็นทั้งเมือง เป็นทั้งประเทศ จะเเก้ไขยังไง มันอยู่ที่หัวจักรอย่างเดียว ถ้าวัดก็อยู่ที่เจ้าอาวาสประธานสงฆ์ ถ้าตำบลก็อยู่ที่เจ้าคณะตำบล ถ้าอำเภอก็เจ้าคณะอำเภอ มันเเก้ได้ เดี๋ยวนี้มันรู้ทั่วถึงรวดเร็ว ทุกอย่างมันต้องเเก้ไขได้ ไม่ใช่มาโทษกันไปโทษกันยังนี้ไม่ได้หรอก มันต้องเเก้ทุกพระเเก้ทุกเณร ต้องเข้าสู่ไลน์ เข้าสู่ภาคประพฤติ ภาคปฏิบัติ เพื่อเป็นการติดต่อต่อเนื่อง เหมือนไก่มันฟักไข่ สามอาทิตย์ เเต่การประพฤติการปฏิบัติต้องติดต่อต่อเนื่องในปัจจุบัน เป็นปัจจุบันธรรมไป จนกว่า เราทุกคนจะหมดลมหายใจ เราถึงจะได้ส่งไม้ผลัดให้ผู้ที่เกิดมาภายหลัง มันจะมองเห็นอย่างนี้ เช่น หลวงพ่อไปอยู่กับอาจารย์ชา มันต้องใช้เวลาตั้งหลายปี ขนาดหลายปี พระหลายๆ รูปส่วนใหญ่ก็พากันเป๋หมด ผู้ที่ไม่ได้เข้าสู่กระบวนการจะเป็นยังไง เเต่ทุกอย่างมันก็ต้องทำได้ เพราะว่าพร้อมที่จะเเก้ไข พร้อมที่จะเปลี่ยนเเปลง ถ้าใครไม่พร้อมที่จะเปลี่ยนเเปลง ไม่พร้อมที่จะเเก้ไข ก็ขอนิมนต์ให้ลาสิกขาไป หรือจะไปคิดว่าลาสิกขาไปจะไปทำมาหากินอะไร อย่าไปคิดอย่างโง่ๆเห็นเเก่ตัวอย่างนั้น ถ้าไม่อยากลาสิกขาก็ต้องประพฤติปฏิบัติ ปรับตัวใหม่ อะไรใหม่ ละความขี้เกียจขี้คร้าน ละความเห็นเเก่ตัว อันไหนมันผิดก็หยุด เพราะว่ามันไม่ได้เเก้ไขคนอื่น มันเเก้ไขตัวเอง เน้นตีกลับมาที่ตัวเอง มันจะอยู่ระหว่างสองอย่าง อันหนึ่งก็ลาสิกขา อันนึงก็ต้องปฏิบัติ เราจะเป็นวัดบ้านวัดป่า ก็ต้องปฏิบัติอย่างนี้ ไม่ควรจะเป็นผู้ที่หลอกลวงเป็นโจรเป็นมหาโจร
ดังนั้น ผู้บวชจึงต้องมีความเคารพรักในพระธรรมวินัยมากๆ มุ่งประพฤติปฏิบัติเพื่อขัดเกลาจริงๆ จึงจะได้ประโยชน์สูงสุดจากการบวช เพราะการบวชเป็นพระ เป็นสมณะนั้น เหมือนดาบสองคม ดังพระบาลีที่ว่า “กุโส ยถา ทุคฺคหิโต หตฺถเมวานุกนฺตติ สามญฺญํ ทุปฺปรามฏฺฐํ นิรยายูปกฑฺฒติ = หญ้าคาที่บุคคลจับไม่ดี ย่อมบาดมือ ฉันใด ความเป็นสมณะที่ลูบคลำไม่ดี คือประพฤติไม่ดี ย่อมฉุดคร่าลงในนรก ฉันนั้น”
ต้องมา กลับจิต กลับใจ กลับกาย กลับตัว กลับหางกลับหัว กลับชั่วให้เป็นดี อย่าให้มีโจรอยู่ในใจ ถ้าประพฤติปฏิบัติไม่ได้ ก็รีบลาสิกขาไปเสีย อย่ามาอาศัยพระศาสนาหากิน มันไม่คุ้มค่ากับบาปกับวิบากกรรมที่ต้องได้รับ มีคนเขากล่าวไว้ว่า ในมหานรก มีราวเหล็กขนาดเท่าลำต้นตาล เอาไว้พาดจีวรของพระผู้ตกนรก จนราวเหล็กน่ะแอ่นลงมา จึงทำให้รู้ว่า ผู้มาบวช ต้องไปเสวยวิบากกรรมในมหานรกมากมาย เพราะบวชมาแล้วไม่มุ่งมรรค ผลนิพพาน เอาพระศาสนาหากิน ทำแต่เดรัจฉานวิชา เป็นภิกษุสันดานกา เป็นกาฝากพระศาสนา ต้องให้เข้าใจ ต้องเอาพระธรรมวินัยเป็นหลัก
คนเราน่ะ คนเก่าๆ นิสัยเก่าๆ กามมันฝังลึกอยู่ในใจ มันเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ที่ทุกคนต้องมาละสักกายทิฏฐิ ละอัตตาตัวตน ละตัวกูของกู ปัจจุบันต้องละอดีตให้เป็นศูนย์ อนาคตก็มาจากปัจจุบันธรรม จึงต้องเอาชีวิตเป็นเดิมพัน ประพฤติปฏิบัติจนตายไปข้างหนึ่ง ตายไปจากตัวตน ตายไปจากตัวกูของกู ตายไปจากความชอบ ไม่ชอบ ตายไปจากกิเลสตัณหาให้ได้ เราต้องกลับมาหาตนเอง มาหยุดตนเอง หยุดการทำบาปทั้งปวง อย่าเป็นแค่นักปรัชญา รู้แล้วไม่ปฏิบัติ คือไม่ละอายชั่วกลัวบาป นี่แหละคือ อลัชชี คือ ยังมีโจรในใจ ยังเป็นโจรที่แท้จริง ปฏิปทาเราต้องประพฤติปฏิบัติให้สม่ำเสมอด้วยความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง เป็นสัมมาทิฏฐิ ประพฤติปฏิบัติติดต่อต่อเนื่อง ถ้าทำได้อย่างนี้ ย่อมได้บรรลุมรรคผลนิพพานแน่นอน อย่างไวก็ ๗ วัน อย่างกลางก็ไม่เกิน ๗ เดือน อย่างมากก็ไม่เกิน ๗ ปี แต่นี่ปฏิปทาทำได้ไม่กี่นาทีก็กลับไปหานิสัยเก่า กลับไปหาโจรอย่างเก่า เป็นแบบนี้จะพัฒนาได้อย่างไร
ถ้าเอาธรรมะเป็นหลัก เอาธรรมะเป็นใหญ่ ปัญหาต่างๆ ก็จะไม่มีเลย ให้มีความสุขในการประพฤติปฏิบัติธรรมอย่างนี้ คนเรา ต้องกลับมาหางานหลักของเรา คืออานาปานสติ หายใจเข้าให้สบาย หายใจออกให้สบาย นี่คืองานหลัก จะทำอะไรก็ทำให้มีความสุข ทำงานก็มีความสุข ปฏิบัติธรรมก็มีความสุขในปัจจุบัน จะไปหาพระนิพพานที่ไหน นี่แหละ คือ พระนิพพานจะเกิดขึ้นในปัจจุบันนี่แหละ
สิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบันเป็นข้อสอบ เป็นบททดสอบทางใจ ให้เราเอาธรรมะเอาพระนิพพานเป็นหลัก ถ้าไม่มีสิ่งเหล่านี้มาทดสอบ พระนิพพานจะมาจากไหน จะไปหาสิ่งอื่นที่ไม่ใช่นิพพานไม่ได้ เราต้องมาขอบคุณสิ่งต่างๆ ที่มาปรากฏให้เราได้เห็นแจ้ง ให้เราได้เห็นจริงด้วยวิปัสสนาปัญญา คือปัญญาที่เห็นแจ้ง เห็นทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ในอำนาจของไตรลักษณ์ เกิดขึ้นมา ตั้งอยู่ชั่วคราว แล้วก็ดับไปในที่สุด ให้พวกเราเห็นเช่นนี้เข้าใจเช่นนี้ ปัญญาจริงๆ จะได้เกิดขึ้น เราต้องยืนหยัดหนักแน่นตั้งมั่นในปฏิปทาของพระพุทธเจ้า ของพระอรหันต์ ให้ทุกท่านทุกคนเข้าใจอย่างนี้ ให้คิดอย่างนี้ว่าเราคือผู้ที่ประเสริฐ ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ สิ่งที่สุดยอดคือ มรรค ผล พระนิพพาน เราต้องพากันประพฤติปฏิบัติ เพื่อมาทำสิ่งที่สุดยอด คือพระนิพพานให้เกิดขึ้นในใจให้ได้
ดังที่พระพุทธองค์ตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย ตราบใดที่เธอไม่หมกมุ่นกับการงานมากเกินไป ไม่พอใจด้วยการคุยฟุ้งซ่าน ไม่ชอบในการนอนมากเกินควร ไม่ยินดีในการคลุกคลีด้วยหมู่คณะ ไม่เป็นผู้ปรารถนาลามก ไม่ตกอยู่ใต้อำนาจแห่งความปรารถนาชั่ว ไม่คบมิตรเลว ไม่หยุดความเพียรพยายามเพื่อบรรลุคุณธรรมสูงๆ ขึ้นไปแล้ว ตราบนั้น พวกเธอจะไม่มีความเสื่อมเลย จะมีแต่ความเจริญโดยส่วนเดียว เพราะฉะนั้นเราจึงต้องเอาพระธรรมวินัยเป็นหลัก เป็นใหญ่ เป็นที่พึ่ง เรียกว่าเป็น ธรรมาธิปไตย เราต้องไม่ประพฤติย่อหย่อน ไม่ลูบคลำในศีล ในข้อวัตรปฏิบัติ ไม่ลังเลสงสัยในพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระอริยสงฆ์ คลายความยึดมั่นถือมั่นในตัวตนของตน ชีวิตของเราจึงจะเป็นชีวิตที่ไม่สูญเปล่า ให้สมกับได้เป็นมนุษย์ผู้ที่ประเสริฐเกิดมาเพื่อพระนิพพานอย่างแท้จริง
แจกปัญญา แจกศาสนา แจกธรรมวินัย แจกสิ่งที่ถูกต้อง
เพื่อเดินตามรอยพระพุทธเจ้าร้อยเปอร์เซ็นต์
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
โดยทุกท่านสามารถติดตามเพิ่มเติมได้ที่
https://linktr.ee/watsubthawee
Share wisdom, spread Buddhism and its discipline.
Advocate righteousness to follow Lord of Buddha's footsteps 100%
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
You can receive new Dharma updates.
https://linktr.ee/watsubthawee