แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ในวันเสาร์ที่ ๖ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง สั่งสมทรัพย์ภายใน ตอนที่ ๓๘ ธรรมธิปไตยมีธรรมะเป็นใหญ่ คือให้มีธรรมะ ๑๐ ประการ เป็นหลักในการบริหารปกครอง
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
คณะสงฆ์ ญาติพี่น้อง ลูกหลาน ได้บำเพ็ญกุศลพิเศษเป็นคืนสุดท้ายอุทิศให้ยายเล็ก จงเพ็งกลาง ที่ท่านได้ละสังขารวายชนม์จากไปตามอายุขัย ท่านเป็นคนดีมาก เป็นคนดีพิเศษ หลวงพ่อใหญ่ได้นั่งรถไปบ้านวังกะทะ ไปวัดป่าหุบเขาผาจันทร์ เพื่อไปทำถนนการกุศลให้ทางวัด ลูกของยายเล็ก ได้สังเกตเห็นว่ารถคันนี้ ทำไมวิ่งไปวิ่งมาบ่อยๆ คราวหลังถึงรู้ว่าเป็นรถของหลวงพ่อที่ไปทำถนนการกุศล จึงได้พากันถวายอาหารบิณฑบาตทุกๆ วัน หลวงพ่อก็ให้เทปธรรมะกับชนกลุ่มนั้น คุณยายได้ป่วยตามอายุขัย ส่งโรงพยาบาลมหาราช ก็กลับมาโรงพยาบาลปากช่อง หลวงพ่อก็อำนวยความสะดวกทางโรงพยาบาลปากช่อง โรงพยาบาลมหาราช เพื่อให้เอาใจใส่พิเศษ พอกลับบ้านมาหลวงพ่อก็ไปเยี่ยมยาย ให้ยายได้ถวายมหาสังฆทานอยู่ ๒ วัน ค่ำๆ ของวันที่ ๔ พฤษภาคม คุณยายได้จากไปด้วยความสงบ
เมื่อยายยังไม่วายชนม์ หลวงพ่อกัณหาก็พูดว่า เมื่อยายตายจะเอาไปบำเพ็ญกุศลที่ไหน ลูกสาวก็บอกว่ายายเอาที่เป็นที่วัดวังกะทะ ทางลูกอีกส่วนก็บอกว่าจะเอากลับบ้านเก่าทางโนนสูง หลวงพ่อกัณหาก็บอกว่าเมื่อยายลาสังขาร เอายายไปบำเพ็ญกุศลที่วัดป่าทรัพทวีก็ดีมาก เพราะว่าผู้ที่จะส่งบุญส่งกุศลได้มากที่สุด ก็คือพระพุทธเจ้า คือพระอรหันต์ คือพระอริยเจ้า ถึงมีประเพณีอุทิศบุญแก่ผู้วายชนม์ทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นใคร เค้าก็สวดมาติกาบังสกุล สวดพระอภิธรรม เพราะเป็นการส่งบุญส่งกุศลให้สำหรับการเดินทางสู่ปรโลก
การบำเพ็ญกุศลนี้ก็พระพุทธเจ้าท่านให้เน้นผู้วายชนม์ ไม่เอาความสะดวกความสบาย สำหรับพวกญาติพี่น้อง ลูกหลาน เพราะอันนี้เป็นครั้งสุดท้าย สิ่งที่ดีที่สุดก็คือบุญคือกุศล ตามรอยของพระพุทธเจ้า เราไม่ได้ปรารภตัวตน ปรารภธรรม จึงได้นำสรีระของคุณยายมาบำเพ็ญบุญกุศลที่นี้ งานประชุมเพลิงหลวงพ่อใหญ่บอกว่า ประชุมเพลิงวันอาทิตย์ เวลาหลังเที่ยง และก็ทำพิธีสวดมาติกาบังสกุล แสดงธรรม อุทิศบุญกุศล แล้วนำสรีระไปประชุมเพลิง ณ ฌาปนสถานวัดป่าทรัพย์ทวีแห่งนี้
ชีวิตของเราคือสภาวะธรรมที่เราจะนำเอามาเป็นบุญกุศล พัฒนาใจ พัฒนาวิทยาศาสตร์ไปพร้อมๆ กัน เพื่อมรรคผลพระนิพพาน ให้ทุกคนเข้าใจสภาวะธรรม เพราะคนเราไม่มีใครล่วงพ้นความแก่ ความเจ็บ ความตาย ความพลัดพรากได้ ต้องน้อมใจสู่คุณธรรมความดี เพื่อนที่เกิดร่วมโลกต้องก้าวไปด้วยกัน ด้วยสัมมาทิฏฐิ ความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง ทุกคนต้องหยุดอบายมุข อบายภูมิ พัฒนากาย วาจา ใจ ให้มีศีล สมาธิ มีปัญญา พัฒนาทั้งวิทยาศาสตร์ พัฒนาทั้งใจไปพร้อมๆ กัน เพราะทุกอย่างนั้นตั้งอยู่บนรากฐานของพระไตรลักษณ์คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เราจะได้เอาใจพัฒนา เราจะได้ทำงานให้มีความสุข เพราะความสุข ความดับทุกข์ กลมกลืนด้วยมรรคมีองค์ ๘
ต้องรู้จักคำว่า “พระศาสนา” พระศาสนา คือมรรค คือผล คือพระนิพพาน ไม่ใช่นิติบุคคล ต้องเข้าใจพระพุทธเจ้า เข้าใจพระธรรม เราจะได้เข้าใจเรื่องพระอรหันต์ แล้วพัฒนาให้ใจเป็นพระ ทุกคนต้องทำอย่างนี้ ปฏิบัติอย่างนี้ เพราะรูปมันก็อร่อย เสียงมันก็อร่อย ทุกอย่างมันก็อร่อย เราต้องรู้จักว่าอันนี้เป็นเหยื่อของโลก ที่เราเวียนว่ายตายเกิดก็เพราะเราหลง เท่ากับเรารับจ้างมาเกิด โง่แล้วโง่อีก ตายแล้วตายอีก ต้องพากันรู้จัก เราจะได้พัฒนาไปในทางสายกลาง เราต้องอย่าตามไป มันทำให้เสียหาย ชีวิตของเราต้องหยุด อย่าให้มันกลายเป็นขยะ เพราะเราทำตามใจตัวเอง ทำตามอารมณ์ตัวเอง ทำตามความรู้สึกตัวเอง มันเป็นขยะ ตัวเองก็เสียหาย คนอื่นก็เสียหาย เราจะไปตามใจ ตามอารมณ์ ตามความรู้สึกไม่ได้ เราต้องรู้จัก ถ้าเราไม่รู้จัก เราจะเป็นคนไม่มีปัญญา เราทุกคนไม่ต้องไปแก้ที่คนอื่น เราต้องมาแก้ที่เรา คนอื่นเขาก็ต้องแก้เขา ให้เข้าใจอย่างนี้ ศีล สมาธิ ปัญญา มันจะไปของมันเอง เราทุกคนเป็นเถ้าแก่เหมือนกันหมดทุกคน เกิดมาก็เฒ่า ก็แก่ แล้วก็ตาย พลัดพราก
ในสังสารวัฏนี้มีโรคกายโรคใจมากมาย กายก็เป็นรังของโรคอยู่แล้ว หากยังเพิ่มโรคใจด้วยการคิดไม่ดีเข้าไปอีก โรคก็ยิ่งหนักหนาสาหัส ในทางการแพทย์ มีการค้นพบว่า ร่างกายของแต่ละคน ล้วนมีโรคฝังติดตัวกันมาแต่กำเนิด หลังจากคลอดแล้วโรคเหล่านี้ก็รอวันที่จะปะทุขึ้นมา มีทั้งโรคเกิดจากตับ จากไต จากอวัยวะภายในและอวัยวะภายนอก ยิ่งการแพทย์ก้าวหน้าไปมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งค้นพบว่าโรคร้ายเหล่านั้นมันฝังตัวอยู่ลึกในรหัสพันธุกรรมของมนุษย์ ที่เรียกว่า ดีเอ็นเอ (DNA), อาร์เอ็นเอ (RNA) ถ้าเจ้าตัวไม่ระมัดระวัง โรคร้ายที่ฝังตัวอยู่ก็จะปะทุขึ้นมาได้ง่าย อาจทำให้ร่างกายพิการ หรือถึงแก่ชีวิตได้
ความเจ็บป่วยด้วยโรคต่างๆ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ทรงมีสัพพัญญุตญานรอบรู้ในสิ่งทั้งปวงรวมทั้งเรื่องทางการแพทย์ด้วย พระองค์ตรัสถึงสาเหตุสำคัญแห่งการอาพาธไว้ ๘ ประการ ดังที่ปรากฎอยู่ในอาพาธสูตร ดังนี้ (๑) อาพาธอันเกิดจาก "ดี" เป็นสาเหตุ (๒) อาพาธอันเกิดจาก "เสมหะ" เป็นสาเหตุ (๓) อาพาธอันเกิดจาก "ลม" เป็นสาเหตุ (๔) อาพาธอันเกิดจาก "ดี,เสมหะ,ลม ประชุมกัน" (๕) อาพาธอันเกิดจาก "ฤดูแปรปรวน" (๖) อาพาธอันเกิดจาก "การบริหารร่างกายไม่สม่ำเสมอ" (๗) อาพาธอันเกิดจาก "การถูกทำร้าย" (๘) อาพาธอันเกิดจาก "วิบากกรรม"
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงค้นพบว่าโรคทางกายที่ว่าหนักหนาสาหัสแล้ว ยังไม่ร้ายกาจ ยังมีโรคอีกชนิดหนึ่งที่ฝังอยู่ในใจ แต่วิทยาการทั่วไปมองไม่เห็นเรียกว่า กิเลสๆ เป็นโรคร้ายฝังอยู่ในใจที่คอยบีบคั้นให้มนุษย์คิดชั่ว พูดชั่ว ทำชั่ว แล้วผลของความชั่วทำไว้ก็ไม่หายไปไหน มันได้กลายเป็นมารร้ายย้อนกลับมา ตามจองล้างจองผลาญเราข้ามภพข้ามชาติ ให้เดือดร้อนอย่างแสนสาหัสในอนาคต เด็กเมื่อแรกเกิดดูเหมือนบริสุทธิ์ไร้เดียงสา แต่จริงๆ แล้วมีเชื้อกิเลสอยู่ในใจ รอเวลากำเริบเมื่อพบเหยื่อล่อ เหยื่อของโลกก็คือกามคุณ ๕ นี่คือวงจรของกฎแห่งกรรมที่มันมีอยู่ประจำโลก โดยมีกิเลสในใจแต่ละคนเป็นตัวบีบคั้น ให้ผู้นั้นเข้าไปติดอยู่ในวงจร
จิตเดิมแท้ของเราทุกคนเป็นประภัสสร บริสุทธิ์ผ่องใสโดยธรรมชาติแต่กิเลสเป็นอาคันตุกะที่จรเข้ามาครอบงำจิต ทำให้จิตเศร้าหมอง กิเลสหรืออกุศลมูล อันได้แก่ ราคะ โทสะ โมหะ กิเลสทั้ง ๓ ตระกูลนี้ล้วน หมักดอง ห่อหุ้ม เอิบอาบ แช่อิ่ม บีบคั้น บังคับ กัดกร่อนใจของมนุษย์ให้คิดพูดทำแต่ในสิ่งที่ชั่วช้าต่างๆ จนกระทั่งผู้นั้นคุ้นเคยต่อความชั่วทั้งหลาย ในที่สุดก็กลายเป็นนิสัยไม่ดีติดตัว แต่ละคน ทำความชั่วซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนเป็นอุปนิสัย เป็นเหตุให้ต้องจมอยู่ในห้วงทุกข์นับภพนับชาติไม่ถ้วน เมื่อมีเหตุปัจจัยประสมประสานกันแล้วก่อตัวขึ้นมาเป็นอุปนิสัยต่างๆ
สิ่งที่จะแก้ไขได้คือ "ธรรมะโอสถ" เป็นยาที่รักษาได้ หยุดการเวียนว่ายตายเกิดของเราได้ คนเราเกิดมาต้อง มีความเห็นถูก คิดถูก ปฏิบัติให้ถูก เราทุกคนนั้นไม่มีใครมาปฏิบัติให้เราได้ ให้ทุกคนยินดีนะ ที่เราเป็นผู้ที่ประเสริฐเกิดมาเป็นมนุษย์ ถ้าไปเกิดเป็นเปรต เป็นยักษ์ เป็นมาร เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉาน ชื่อว่าเป็นโชคที่ไม่ดี เราต้องพากันเห็นเทวทูตทั้ง ๔ เห็นคนแก่ เห็นคนเจ็บ เห็นคนตาย เห็นสมณะ เห็นแล้วต้องให้มีปัญญา ต้องยินดียอมรับในความเจ็บไข้ไม่สบาย ถ้าเราไม่มีความเจ็บไข้ไม่สบาย มันคงจะหลงไปมากกว่านี้ พวกที่ไปเกิดเป็นเทวดาส่วนใหญ่ จึงพากันติดสุขติดสบาย ไม่สามารถจะบรรลุธรรมได้ นอกจากจะเป็นมีสมาธิและเป็นพระอริยบุคคลอยู่แล้ว
พระพุทธองค์ทรงให้เราพิจารณา สิ่งที่ต้องพิจารณาอภิณหปัจจเวกขณ์ คือ ข้อปฏิบัติที่ควรพิจารณาทุกๆ วัน มีอยู่ ๕ ประการ ได้แก่
๑. เรามีความแก่เป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความแก่ไปได้ เมื่อพิจารณาอย่างนี้แล้ว ย่อมเป็นเครื่องบรรเทาความประมาท ความมัวเมา ความลุ่มหลงในวัย ไม่ให้ประมาทในการดำรงชีวิตในแต่ละวัยก่อนความแก่จะมาถึง
๒. เรามีความเจ็บเป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความเจ็บไปได้ ความเจ็บไข้ได้ป่วยย่อมเกิดขึ้นได้กับทุกคน และความเจ็บมีทั้งรักษาได้และรักษาไม่ได้ปะปนกันไปสักวันหนึ่งเราจะต้องเจ็บแน่นอน ดังนั้นพึงพิจารณาให้ได้ทุกๆ วัน
๓. เรามีความตายเป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความตายไปได้ ความตายไม่มีนิมิตหมายจะตายเมื่อไรไม่มีใครรู้ แต่ที่รู้ๆ ก่อนตายเราควรทำอะไรให้กับชีวิตที่มีอยู่ เพราะความตายเราหนีไม่พ้นแน่นอน ดังพระพุทธพจน์ที่ยกขึ้นแสดงในเบื้องต้นว่า “ชีวิตเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน แต่ความตายเป็นสิ่งที่แน่นอน เราทั้งหลายจะต้องตายเป็นแน่แท้ไม่วันใดก็วันหนึ่ง ไม่เวลาใดก็เวลาหนึ่ง ชีวิตทุกชีวิตมีความตายเป็นที่สุด จบลงด้วยความตาย ท่านทั้งหลายจงเจริญมรณสติภาวนาดังนี้เถิด”
๔. เราจะต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจทั้งสิ้น เป็นการย้ำเตือนอยู่ตลอดเวลาว่า ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับเราทั้งสิ่งชอบใจและไม่ชอบใจ ต่างต้องมีอันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปในที่สุด เป็นการเตรียมใจรับกับ ภาพที่เป็นจริงที่จะเกิดขึ้น ไม่ว่าเราจะรู้ตัว หรือไม่รู้ตัวก็ตามเพื่อป้องกันความเศร้าโศกเสียใจ ให้คลายความยึดมั่นถือมั่นเสีย
๕. เรามีกรรมเป็นของตน เป็นทายาทแห่งกรรม มีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย เราทำกรรมใดไว้ เราทำดีจักได้ดี ทำชั่วจักได้ชั่ว เราจะต้องเป็นผู้รับผลของกรรมนั้น
การพิจารณาทั้ง ๕ ประการนี้ พึงพิจารณาอยู่เนืองนิตย์ จะได้ไม่ประมาทในการเกิดมาเป็นมนุษย์แล้วได้พบพระพุทธศาสนา เราจะได้เอาธรรมโอสถมารักษาใจของเรา ใจของเราจึงจะหายจากโรค โดยเฉพาะโรคกิเลส โรคที่พาเราเวียนว่ายตายเกิด สักวันเราก็ต้องตาย พ่อแม่ญาติพี่น้องเราก็ต้องตาย คนที่เรารักคนที่เราเกลียดก็ต้องตาย คนที่ชอบไม่ชอบก็ต้องตาย แต่เพราะอวิชชาความหลงจึงทำให้เราไม่เข้าใจ ชีวิตในวันหนึ่งๆ ผ่านไปอย่างรวดเร็ว เปรียบเสมือนหยาดน้ำค้างบนปลายยอดหญ้าเมื่อต้องแสงอาทิตย์ในยามเช้าก็เหือดแห้งหายไปโดยฉับพลัน ชีวิตเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วไปสู่ความเสื่อมสลายคล้ายฟองน้ำ เมื่อเวลาฝนตกหนักมีฝนหนาเม็ด เกิดเป็นฟองน้ำขึ้น แล้วก็แตกสลายไปในชั่วพริบตาเดียว ช่วงเวลาของชีวิตมนุษย์นั้นสั้นนัก เราไม่ควรประมาท พึงเร่งทำความเพียร เพื่อไปให้ถึงจุดหมายปลายทางของชีวิต เช่นเดียวกับพระอรหันตขีณาสพทั้งหลาย
ทุกคนยังไม่ตาย ยังไม่หมดลมหายใจ มีโอกาสมีเวลาต้องพากันประพฤติปฏิบัติ ที่เป็นการประพฤติพรหมจรรย์ เราอย่าไปโง่หลาย ที่ไม่อยากแก่ ไม่อยากเจ็บ ไม่อยากตาย ไม่อยากพลัดพราก ให้พากันรู้จักอวิชชาให้รู้จักความหลงที่มันปรุงแต่งจิตใจเราเป็นสังขาร เราก็ทำไปเรื่อยไปตามอวิชชาตามความหลงความปรุงแต่ง ให้พวกเราพากันเข้าใจง่ายๆ อย่างนี้แหละ มีความสุขในท่ามกลางความทุกข์ความยากลำบาก ความร้อนความหนาวกลางวันกลางคืน ท่ามกลางความแก่ความเจ็บความตายความพลัดพราก เพราะว่าเป็นสนามรบที่เรา ต้องใช้สติปัญญาให้มารู้จักความดับทุกข์ที่แท้จริง ด้วยการไม่เข้าไปปรุงแต่ง
ทุกข์เป็นสิ่งที่ต้องกำหนดรู้ ต้องเรียนรู้ต้องรู้จัก ไม่ใช่ไปวุ่นวาย เราก็ต้องยอมรับ บางอย่างแก้ไขได้บางอย่างแก้ไขไม่ได้เราต้องมารักษาด้วยธรรมะโอสถด้วยธรรมะของพระพุทธเจ้า ถ้ามารักษาด้วยอัตตาตัวตน ก็ยิ่งคิดยิ่งปรุงแต่ง ยิ่งต่อความยาวสาวความยืด ยิ่งต่อเติมความทุกข์ไม่รู้จบ
อานาปานสติทุกคนต้องมีนะ เพราะต้องฝึกไว้ จะได้มีความสุข กับลมหายใจเข้าลมหายใจออก ทุกท่านทุกคนต้องยกจิตยกใจ อย่าไปเถลไถล ไปตามความคิดตามความปรุงแต่ง ประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาที่เราได้เห็นคนนั้นคนนี้ ที่เราได้เรียนรู้ไม่มีใครไม่ตายหรอก พระพุทธเจ้าถึงทรงบอกว่า ถ้าใครตามความคิดตามความปรุงแต่ง การแก่เจ็บตายพลัดพราก มันไม่มีที่จบหรอก ความสงบระงับสังขารทั้งหลายจึงเป็นความสุขอย่างยิ่ง พระอรหันต์ทั้งหลายท่านจะมีความสุข เราจะเอาความสุขอย่างโลกๆ ไม่ได้นะ คำว่า “โลก” โลกก็คือความแก่ความเจ็บความตาย พลัดพราก จะมีความสุขได้อย่างไร คนเราเกิดมามีร่างกายก็ต้องมีความทุกข์ มีภาระในการแบก ในการบริหารขันธ์ ด้วยเหตุนี้ เราจึงพากันพอแล้วความสุขแบบโลกๆ ทั้งโรคภัยไข้เจ็บ ทั้งความแก่เจ็บตายนี่แหละ ประชาชนคนทั้งโลกพยายามพัฒนาความสุขแบบโลกๆ นั่นแหละคือการพัฒนาให้ตนเองเวียนว่ายตายเกิด เราต้องรู้จักบ้างนะ อย่าไปหลงโลก หลงความปรุงแต่ง หลงสังขาร หลงขยะ
ถ้าอยากประสบความสำเร็จในชีวิตมีชีวิตที่มีความสุขกายสบายใจ "เราก็ต้องรู้จักกำจัดขยะของชีวิต"
ขึ้นชื่อว่า "ขยะ" ถ้าเราไม่ได้มีอาชีพเก็บขยะคงไม่สนใจที่จะเก็บไว้ " ขยะความคิด ขยะอารมณ์ ขยะหัวใจ ขยะจิตใจ เศษขยะ ไฟล์ขยะในโทรศัพท์ ไฟล์ขยะในคอมพิวเตอร์ล้วนเป็นสิ่งที่เราต้องการจะกด delete ทั้งนั้น พอเก็บไว้ก็จะเต็มโต๊ะ รกห้อง รกบ้าน ความจำในโทรศัพท์มือถือเต็มก็ใช้งานไม่ได้ บ้านรกโต๊ะรก ห้องรก "ก็ทำให้หาของที่ต้องการใช้ไม่เจอเสียเวลา เสียสุขภาพกาย เสียสุขภาพจิต"
"ขยะชีวิตของเราก็เหมือนกัน" ขยะทางความคิด ทางอารมณ์ความรู้สึกที่ไม่ดี เราต้องรู้จัก delete เสียบ้างชีวิตจะได้เบาสบายพร้อมที่จะเปิดรับสิ่งต่างๆ พร้อมที่จะลงมือทำสิ่งใหม่ๆ ได้อย่างเต็มที่
"ขยะในชีวิตของเรา" อธิบายง่ายๆ ก็คือ "ผู้คนหรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเราสิ่งที่เราเห็นหรือฟังแล้วส่งผลกระทบกับความรู้สึกของเราไปในทิศทางที่ลบ ทำให้เราคิดลบ มองโลกในแง่ร้าย กลัว โกรธกังวล เศร้า เสียใจไม่มั่นใจในตัวเอง" เหตุการณ์หรือผู้คนที่นำพาเราไปสู่ "ความคิดลบ" สิ่งเหล่านี้คือขยะในชีวิตของเรา
คนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตทุกๆ คนรู้จักการทิ้งขยะชีวิตด้วยกันทั้งนั้น "ปิดหู ปิดตา ปิดปาก ปิดในเรื่องที่ไม่จำเป็นที่จะต้องพูด ต้องฟัง ต้องดู"
"ดูไปก็ไม่เกิดผลดีไม่เกิดประโยชน์กับชีวิตของเรา ฟังไปก็มีแต่จะทำให้เราคิดลบ โกรธ เศร้าใจ เสียใจ พูดไปก็มีแต่เอาเรื่องเดือดร้อนเข้ามาหาตัวเราเอง"
คนที่ประสบความสำเร็จพวกเขาเหล่านี้ "รู้จักวิธีเลือกที่จะพูด ที่จะฟังและที่จะดู" เพื่อให้ชีวิตของพวกเขาง่ายขึ้นขยะชีวิตน้อยลง
เมื่อขยะชีวิตน้อยลงก็จะมีสมอง มีความคิด มีปัญญาเหลือเฟือที่จะคิด เพื่อที่จะลงมือทำแต่ในเรื่องที่ดี เรื่องที่มีประโยชน์ เรื่องที่จะทำให้ตัวพวกเขาเหล่านั้นเข้าใกล้ความสำเร็จมากขึ้นเรื่อยๆ
ประโยชน์ของการทิ้งขยะชีวิตคือ "จะช่วยให้เราไม่เหนื่อยมากเกินความจำเป็น" ช่วยให้เวลาที่เราหลับพักผ่อนได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เต็มที่มากขึ้น "เพราะหลับสนิทไม่ฝัน ไม่มีอะไรมากวนใจ กวนสมอง"
ฉะนั้น จงให้ความสำคัญกับการปฏิบัติธรรมเถิด อย่ามัวปล่อยเวลาไปกับเรื่องไร้สาระอีกเลย เพราะช่วงเวลาแห่งความแข็งแรงของชีวิตมีจำกัด ดังนั้นเราต้องหยุดใจให้ได้ก่อนสิ่งอื่นทั้งหมด เพื่อให้เราเกิดมาได้กำไรชีวิตไปจริงๆ
เพราะคนเรามักจะไปตามสัญชาตญาณ ผัสสะมากระทบตรงไหนก็ไปตามสิ่งนั้น พระพุทธเจ้าถึงให้เรารู้จักอริยสัจ ๔ รู้จักอนิจจังว่าทุกสิ่งมันไม่แน่ไม่เที่ยงไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน จะตามไปไม่ได้ มันเป็นที่ไม่ปลอดภัย เราต้องเป็นผู้เดินตามรอยพระพุทธเจ้าถึงจะเป็นผู้ที่ชนะมาร
ถ้าเราเอาศีลเอาธรรม เอาความถูกต้อง ทุกคนเค้าก็ยอมรับได้ เค้าก็เหมาะสมที่จะเป็นพ่อเป็นแม่ เป็นเจ้านาย เป็นอะไรอย่างนี้แหละ ทุกคนน่ะจะเคารพคนอื่นได้เพราะคนอื่นมีศีล เราจะเคารพตัวเองได้เพราะตัวเองมีศีล อย่างเราเห็นทุกวันเราไปบ่นให้พวกเด็กๆ สมัยใหม่ ว่ามันไม่ฟังพ่อไม่ฟังแม่ พ่อแม่ไม่มีศีลไม่มีธรรม ใครเค้าจะเคารพพ่อเคารพแม่จากใจ เป็นแต่เคารพเพราะพ่อแม่เฉยๆ ว่า พ่อแม่เป็นผู้มีอุปการคุณเลี้ยงดูเค้ามา ส่งเสียเค้ามา เค้าได้ดีขนาดนี้ก็เพราะพ่อแม่ เค้าก็แค่สงสาร ถ้าเราไม่มีศีล ๕ ใครเค้าจะมานับถือ ให้พากันเข้าใจนะ ให้พากันตั้งใจใหม่ ปรับตัวเองใหม่ อย่าให้ความเคยชินเป็นถนนซูปเปอร์ไฮเวย์ไปในทางที่ไม่ดี เป็นสิ่งชำนิชำนาญสำหรับสามัญชน เราจึงต้องเอาพระพุทธเจ้าเป็นหลัก พระธรรม พระอริยสงฆ์เป็นหลัก
เราปฏิบัติตามหลักเหตุหลักผล ตามหลักวิทยาศาตร์ เราก็ย่อมมีอยู่มีกินเหลือกินเหลือใช้ เป็นคนรวย พระพุทธเจ้าท่านให้เราเจริญภาวนา เพื่อจะได้พัฒนาใจ ถ้าอย่างนั้นเราจะรวยอย่างคนไม่มีปัญญา ยิ่งรวยยิ่งเเก่ก็ยิ่งหลง เหมือนที่เราเห็นพวกฝรั่งเค้าก้าวไปไกลกว่าเรา ชีวิตเค้าจะอยู่กับความรวย ถือเงินเป็นพระเจ้า เคารพนับถือเรื่องกาม ในเรื่องกิน เรื่องเที่ยว เรื่องเหล้า เรื่องเบียร์ อันนี้เป็นสิ่งที่เสียหาย อันนี้เป็นสิ่งที่ล้มเหลวสำหรับผู้ที่ทำตามหลักเหตุผล ตามหลักวิทยาศาสตร์ ได้วัตถุ ได้บ้านได้รถ ได้ลาภ ได้ยศ สรรเสริญ จะพากันมางมงายอย่างนี้ไม่เอา
มนุษย์เกิดมาเมื่อยังไม่ได้เป็นพระอริยเจ้า ย่อมมีโอกาสตกไปสู่อบายภูมิ จึงต้องพากันสมาทานในพระรัตนตรัย ในเรื่องศีล เรื่องเจริญภาวนาวิปัสสนาขึ้น รถดีๆ ย่อมมีเบรกดี มีคนขับดีๆ การปฏิบัติอานาปานสติลมหายใจเข้าหายใจออก เราจะหยุดความคิดความปรุงแต่งได้ เราต้องมาเจริญอานาปานสติหายใจเข้า หายใจออกสบาย หายใจเข้าหายใจออกก็มีความสุข ลมหายใจเข้า ลมหายใจออกที่ประกอบด้วยสติและสมาธิ เป็นการหยุดกรรมตัดกรรม มันจะลบเรื่องอดีตออกจากใจเรา อานาปานสติ คือการทำงานกับลมหายใจเข้าออก ทุกคนต้องเก่งต้องชำนาญ แตกฉาน คล่องแคล่ว มีความสุขในการทำในการประพฤติปฏิบัติ พลังจิตพลังใจเราถึงจะมีมา นี่เป็นงานเพื่อสร้างพลังจิตพลังใจในปัจจุบัน
คำเทศนาของหลวงพ่อโตที่ให้ไว้ในนิมิตหลังจากที่ท่านล่วงลับไปแล้วร้อยกว่าปี เชื่อว่าหลายๆ ท่านคงเคยได้ยินคำเทศนานี้ จึงเป็นที่มาของการทำความดี ควรทำอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ
"ลูกเอ๋ย ก่อนจะเที่ยวไปขอบารมีหลวงพ่อองค์ใด เจ้าจะต้องมีทุนของตัวเอง คือบารมีของตนลงทุนไปก่อน เมื่อบารมีของเจ้าไม่พอ จึงค่อยยืมบารมีคนอื่นมาช่วย มิฉะนั้นเจ้าจะเอาตัวไม่รอด เพราะนี้สินในบุญบารมี ที่เที่ยวไปขอยืมมาจนพ้นตัว เมื่อทำบุญทำกุศลได้บารมีมา ก็ต้องเอาไปผ่อนใช้หนี้เขาจนหมด ไม่มีอะไรเหลือติดตัว แล้วเจ้าจะมีอะไรไว้ในภพหน้า หมั่นสร้างบารมีไว้ แล้วฟ้าดินจะช่วยเจ้า จงจำไว้นะ เมื่อยังไม่ถึงเวลา เทพเจ้าองค์ใดจะคิดช่วยเจ้าไม่ได้ ครั้นเมื่อถึงเวลา ทั่วฟ้าจบดินก็ต้านเจ้าไม่อยู่ จงอย่าไปเร่งเทวดาฟ้าดิน เมื่อบุญเราไม่เคยสร้างไว้เลย จะมีใครที่ไหนมาช่วยเจ้า"
ไม่มีมิตรสหายใดใด จะยิ่งใหญ่เกินกว่า..."ความรู้"
ไม่มีศัตรูใดใด จะยิ่งใหญ่เกินกว่า..."ความเจ็บไข้ได้ป่วย"
ไม่มีความรักใดใด จะยิ่งใหญ่เกินกว่า..."ความรักของพ่อแม่"
ไม่มีอำนาจใดใด จะยิ่งใหญ่เกินกว่า..."กฏแห่งกรรม"
ไม่มีคุณงามความดีใดใด จะยิ่งใหญ่เกินกว่า..."ความกตัญญูกตเวทิตา"
ไม่มีความสุขใดใด จะยิ่งไปกว่า..."ความสงบ" (นตฺถิ สนฺติ ปรํ สุขํ)
แจกปัญญา แจกศาสนา แจกธรรมวินัย แจกสิ่งที่ถูกต้อง
เพื่อเดินตามรอยพระพุทธเจ้าร้อยเปอร์เซ็นต์
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
โดยทุกท่านสามารถติดตามเพิ่มเติมได้ที่
https://linktr.ee/watsubthawee
Share wisdom, spread Buddhism and its discipline.
Advocate righteousness to follow Lord of Buddha's footsteps 100%
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
You can receive new Dharma updates.
https://linktr.ee/watsubthawee