แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ในวันพฤหัสบดีที่ ๒๗ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๖
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง สั่งสมทรัพย์ภายใน ตอนที่ ๓๐ สละความเห็นผิดที่ยึดถือผิดๆ มานาน แล้วสมาทานให้มีความเห็นถูกต้อง
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
พระศาสนาเป็นเรื่องดับทุกข์ในปัจจุบันดับทุกข์ในอนาคต ดับทุกข์ทั้งกายทุกข์ทั้งทางใจ ให้มนุษย์ทั้งหลายพากันเข้าใจ เราจะได้ไม่เป็นแค่เพียงคน เพราะถ้าไม่รู้จัก มันเสียหาย รู้จักอย่างเดียวยังไม่พอ ยังต้องเข้าสู่ภาคประพฤติปฏิบัติ ความอร่อยในอวิชชาในความหลงมันเป็นสิ่งที่มีอยู่ เราต้องรู้จัก เราต้องพากันมีปัญญาพากันเข้มแข็งพากันอยู่ในสัมมาสมาธิ ใจของเราจะได้มีสัมมาสมาธิ เป็นขณิกสมาธิในปัจจุบัน
ความเป็นพระต้องเกิดแก่ประชาชนทุกคนที่มีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้องในปัจจุบัน เราจะได้เอาร่างกายที่ประเสริฐที่เกิดมาเป็นมนุษย์นี้มาบำเพ็ญบารมี ความสุขความดับทุกข์ย่อมมีได้เป็นได้กับทุกคนพอๆ กันนั่นแหละ ถ้าเรามีสัมมาทิฏฐิ
เราต้องแยกแยะให้เป็นความสุขทางร่างกายก็อย่างนึง ความสุขที่ยิ่งยิ่งขึ้นไปทางจิตใจที่เราแก้ปัญหาสูงสุดได้อีกอย่างนึง เพราะความทุกข์นั้นต้องแก้ที่ใจให้มีสัมมาทิฏฐิ ต้องขอบใจความทุกข์ต่างๆ ที่เปิดโอกาสให้เราได้ปฏิบัติได้บำเพ็ญบารมี เป็นกิจกรรมที่สูงสุดที่พระพุทธเจ้าบอกว่า สิ่งเหล่านี้คือศีลสมาธิปัญญา ที่มีอยู่ในชีวิตประจำวันของเรา ที่เป็นอริยมรรคมีองค์ ๘
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ใน เอกนิบาต อังคุตตรนิกาย ว่า "นาหํ ภิกฺขเว อญฺญํ เอกธมฺมํปิ สมนุปสฺสามิ ยํ เอวํ มหาสาวชฺชํ ยถยิทํ ภิกฺขเว มิจฺฉาทิฏฺฐิ มิจฺฉาทิฏฺฐิปรมานิ ภิกฺขเว วชฺชานิ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราไม่เห็นธรรมอื่นแม้สักอย่างเดียว ที่มีโทษมากเหมือนมิจฉาทิฏฐินี้เลย ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย โทษทั้งหลายมีมิจฉาทิฏฐิเป็นอย่างยิ่ง"
มิจฉาทิฏฐิหรือความเห็นผิดนั้น เป็นภัยร้ายแรงในสังสารวัฏ ถ้าไม่ยอมสละ ละทิ้งออกไปจากใจ ย่อมจะเกิดโทษมากมาย ยิ่งถ้าเป็นนิยตมิจฉาทิฏฐิแล้ว เท่ากับเป็นตอในวัฏฏะ ชีวิตจะไม่มีวันเจริญงอกงามได้ เพราะฉะนั้น เราต้องหมั่นไปหาผู้รู้ที่เป็นบัณฑิตนักปราชญ์ที่แท้จริง ที่เพียบพร้อมไปด้วยความรู้ทางด้านปริยัติ ปฏิบัติ และปฏิเวธ สมบูรณ์ด้วยศีล สมาธิปัญญา เราจึงจะสามารถเข้าใจ และสละทิฏฐิอันไม่ถูกต้องนั้นได้
พระเจ้าปายาสิ ครองเมืองเสตัพยะ เมืองขึ้นของแคว้นโกศล ของมหาราชพระนามว่า ปเสนทิโกศล พระเจ้าปายาสิเป็นมัจฉาทิฐิ คือมีความเห็นผิดจากทำนองคลองธรรม เช่น เห็นว่าชาติก่อนชาติหน้าไม่มี บุญบาปไม่มี นรกสวรรค์ไม่มี
เนื่องจากปายาสิเป็นนักคิด นักปรัชญา กว่าจะตกลงปลงใจยึดมั่นในความคิดเห็นเช่นนี้ก็นาน มิใช่อยู่ๆ ก็สรุปเอาเอง พระองค์ได้ทำการค้นคว้าทดลองตามกรรมวิธีของพระองค์หลายอย่าง แล้วก็ได้ข้อสรุปว่า บุญบาปไม่มีจริง นรกสวรรค์ไม่มีจริง พวกสมณพราหมณ์สอนเรื่องเหล่านี้เพื่อตัวพวกเขาเองมากกว่า คือ สอนคนให้ทำบุญทำทาน ก็เพื่อพวกเขาจะได้รับประทานกินอยู่สบาย แล้วก็หลอกให้ผู้โง่เขลานำเอาของไปให้เพื่อหวังสุคติโลกสวรรค์
ปายาสิได้ทดลองอะไรบ้าง เอาไว้ให้ปายาสิท่านได้เล่าเองในภายหลัง ตอนนี้มาพูดถึงเหตุการณ์ทั่วไปก่อน
เมื่อพระองค์มีความเชื่ออย่างนี้ แล้วก็ไปรุกรานพวกสมณชีพราหมณ์ทั้งหลาย ว่าพวกท่านเหล่านั้นกำลังหลอกลวงประชาชนผู้โง่เขลา เมื่อสมณชีพราหมณ์ทั้งหลายได้โต้ตอบว่ามิได้หลอกลวงแต่ประการใด เรื่องเหล่านี้เป็นสิ่งที่มีอยู่จริง เป็นไปได้จริง แต่เนื่องจากท่านเหล่านั้นไม่มีปฏิภาณปัญญาพอจะโต้ตอบหักล้างความคิดเห็นของปายาสิได้ จึงพากันถอยไปเป็นส่วนมาก
ปายาสิราชันย์ ก็ยิ่งได้ใจ ประกาศท้าโต้วาทะกับนักปราชญ์คนใดก็ได้ในโลก อย่างว่าแหละครับ เหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือปายาสิยังมีพระคุณเจ้ากุมารกัสสปะ
กุมารกัสสปะ เป็นนามของพระเถระอดีตสามเณรน้อย และอดีตโอรสบุญธรรมของพระเจ้าปเสนทิโกศล มีความเป็นมาย่อๆ ว่า นางภิกษุณีนิรนามรูปหนึ่งตั้งครรภ์ก่อนมาบวช ครั้นบวชแล้วก็คลอดบุตร พระเทวทัตผู้ดูแลภิกษุณีรูปนั้นอยู่ไล่ท่านสึกหาว่าต้องปาราชิก
พระพุทธเจ้ารับสั่งให้พระอุบาลีเถระเป็นประธานสอบสวน ปรากฏว่าภิกษุณีบริสุทธิ์ เมื่อคลอดบุตรออกมา พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงทราบเรื่อง จึงทรงนำไปเลี้ยงเป็นโอรสบุญธรรม ขนานนามว่า กุมารกัสสปะ
หนูน้อยกุมารกัสสปะบวชเป็นสามเณรแต่อายุยังน้อย อยู่ในพระพุทธศาสนาเรื่อยมาจนเป็นภิกษุ เป็นผู้คงแก่เรียน มีปฏิสัมภิทาญาณแตกฉานในพระธรรมวินัยเป็นอย่างยิ่ง ได้รับยกย่องจากพระพุทธองค์ในเอตทัคคะ (ความเป็นเลิศ) ทางด้านเป็นพระธรรมกถึก แสดงธรรมได้อย่างวิจิตรพิสดาร
พระกุมารกัสสปะทราบเรื่องราวของพระเจ้าปายาสิ จึงไปพบเพื่อเตือนให้ละความเห็นผิดนั้น ปายาสิหรือจะยอมง่ายๆ ขอท้าโต้วาทะกับท่าน บอกว่า ถ้าพระเถระสามารถหาเหตุผลมาหักล้างความเห็นของเขา ทำให้เขายอมรับได้จะนับถือเป็นอาจารย์ และแล้วการโต้วาทะกันก็เกิดขึ้น
พระเถระถามว่า “เพราะเหตุใด มหาบพิตรจึงมีความเชื่อว่าบุญบาปไม่มี สวรรค์นรกไม่มี”
ปายาสิตรัสว่า “โยมได้ทดลองอยู่หลายครั้ง จนแน่ใจว่าสิ่งเหล่านั้นไม่มี”
กุมารกัสสปะ “ทดลองอย่างไร”
ปายาสิ “โยมเคยบอกให้คนที่ทำชั่วมากที่สุด ที่พวกสมณพราหมณ์สอนว่า ตายแล้วจะตกไปนรกแน่นอน สั่งเขาว่าถ้าตายไปตกนรกจริง ก็ให้กลับมาบอก เขาก็รับปาก แต่จนป่านนี้เขายังไม่มาบอกเลย แสดงว่าเขาไม่ได้ไปตกนรกจริง”
กุมารกัสสปะ “มหาบพิตร สมมติว่านักโทษที่ต้องโทษเด็ดขาด ถูกสั่งประหารชีวิต เขาจะขอว่า ขอให้ปล่อยเขาไปสั่งเสียลูกเมียสักสามสี่วันก่อนเถอะ แล้วเขาจะกลับมาให้ประหาร จะได้ไหม”
ปายาสิ “ไม่ได้สิ พระคุณเจ้า นักโทษเด็ดขาดไม่ได้รับอิสรภาพขนาดนั้น เกรงว่าเขาจะหนีไปเสีย ทางการจึงไม่อนุญาต”
กุมารกัสสปะ “เช่นเดียวกัน นักโทษเด็ดขาด ไม่ได้รับอิสรภาพแม้เพียงชั่วคราว สัตว์ตายไปเกิดในนรกก็ไม่มีอิสรภาพไปไหนมาไหนได้ ถึงแม้เขาจะไม่ลืมสัญญาที่ให้ไว้กับพระองค์ เขาก็ไม่สามารถมาบอกได้”
ปายาสิ “เรื่องนี้พอฟังขึ้น แต่โยมก็สั่งให้คนที่มีศีลมีธรรมที่พวกสมณพราหมณ์บอกว่า ตายแล้วต้องไปเกิดบนสวรรค์แน่นอน สั่งให้เขามาบอกบ้าง แต่เขาก็ไม่มาบอก เขาไม่ถูกกักกันอะไรมิใช่หรือ ทำไมจึงไม่มาบอกเล่า”
กุมารกัสสปะ “มีอยู่สองเหตุผล ประการที่หนึ่ง วันเวลาของมนุษย์และเทวดาไม่เท่ากัน วันหนึ่งของบนสวรรค์เท่ากับร้อยปีของมนุษย์ ถึงแม้คนผู้นั้นไม่ลืมสัญญากว่าจะกลับมาบอกมหาบพิตรก็กลายเป็นเถ้าถ่านไปนานแล้ว
อีกประการหนึ่ง ผู้ที่ไปเกิดเป็นเทวดาแล้วย่อมไม่ปรารถนาจะกลับมายังโลกมนุษย์อีก เพราะมนุษย์โลกน่ารังเกียจ ดุจคนตกหลุมคูถเน่าเหม็น คนช่วยให้ขึ้นมาอาบน้ำชำระกายให้สะอาด ประพรมด้วยน้ำหอมอย่างดี จะให้เขากระโดดลงไปในหลุมคูถอีก เขาย่อมไม่ปรารถนาจะลงไป ฉะนั้นแล”
ปายาสิ “โยมยังไม่เชื่ออยู่ดีที่ว่าคนเราตายไปแล้วไปเกิดใหม่ โยมก็ทดลองแล้ว ไม่เห็นเป็นตามที่พวกสมณพราหมณ์สอนกันเลย”
กุมารกัสสปะ “มหาบพิตรทรงทดลองอย่างไร”
ปายาสิ “โยมสั่งให้เอาโจรลงไปในหม้อใหญ่ๆ ทั้งเป็น ปิดฝาแล้วเอาหนังรัดให้แน่น เอาดินเหนียวฉาบให้มิดชิด ยกขึ้นเตาจุดไฟเผา เมื่อรู้ว่าตายแล้วก็ยกลงกะเทาะดินออก เปิดฝาค่อยๆ เฝ้าดูเพื่อจะดูว่า “ชีวะ” (วิญญาณ) มันออกทางไหนก็ไม่เห็นมีอะไรออกไป จึงสรุปได้ว่าโลกอื่นไม่มีแน่นอน
กุมารกัสสปะ “เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน เวลามหาบพิตรบรรทมหลับในตอนกลางวัน มีมหาดเล็กนั่งเฝ้าอยู่ พระองค์ทรงพระสุบินนิมิต (ฝัน) ในกลางวัน ว่า พระองค์เสด็จไปเที่ยวป่าบ้าง เที่ยวชมรมณียสถานต่างๆ บ้าง มหาดเล็กที่นั่งเฝ้าอยู่เห็น “ชีวะ” ของพระองค์ออกไปทางไหนไหม”
ปายาสิ “ไม่เห็นพระคุณเจ้า”
กุมารกัสสปะ “นี่ขนาดมหาบพิตรยังทรงมีพระชนม์อยู่ ชีวะออกจากร่างทางไหนมหาดเล็กยังไม่เห็นเลย ไฉนจะเห็น “ชีวะ” ของคนตายแล้วเล่า”
ปายาสิ “โยมยังทดลองอีกนะพระคุณเจ้า สั่งให้ชั่งน้ำหนักนักโทษประหาร แล้วก็ประหารโดยเอาเชือกรัดคอ พอเขาตายแล้วก็ชั่งน้ำหนักอีกครั้ง ปรากฏว่าศพน้ำหนักมากกว่าเมื่อเขายังมีชีวิตอีก ไหนว่าตายแล้ว ชีวะ (วิญญาณ) ออกจากร่างไง ทำไมจึงหนักกว่าตอนมีชีวิตเล่า”
กุมารกัสสปะ “มหาบพิตร เหล็กที่เผาไฟร้อนย่อมเบากว่าเหล็กเย็นๆ ฉันใด ร่างกายของคนเป็นสิ่งที่มีจิตวิญญาณ มีเตโชธาตุ ปฐวีธาตุ วาโยธาตุ อาโปธาตุ ย่อมเบากว่าศพ ฉันนั้น”
แม้ว่าพระเถระจะยกตรรกะหรือเหตุผลมาหักล้างอย่างไร ปายาสิราชันย์ยังไม่ยอมรับ ยังคงเสนอ “ผลงานวิจัย” ของพระองค์อยู่ต่อไป มีโปรเจ็กต์ใดบ้างมาว่ากันต่อไปครับ น่าสนใจทีเดียว
พระเจ้าปายาสิ รายงานให้พระกุมารกัสสปะทราบว่า พระองค์ทรงทดลองอีกวิธีหนึ่ง เพื่อพิสูจน์ว่าตายแล้วเกิดจริงหรือไม่ โดยสั่งให้ประหารนักโทษประหาร โดยไม่ให้กระทบกระทั่งผิวหนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก เพื่อจะดูว่า “ชีวะ” (วิญญาณ) ออกจากร่างทางไหน เมื่อโจรตายแล้วก็ให้จับพลิกคว่ำหงายดู ให้นอนตะแคง จับห้อยหัวลง ฯลฯ ก็ไม่เห็นช่องไหนที่ชีวะหรือวิญญาณออกจากร่างไป
นี่แสดงว่า ตายแล้วไม่ไปเกิดใหม่จริง เพราะไม่เห็นมีอะไรออกจากร่างไปเกิดใหม่
พระกุมารกัสสปะอธิบายเปรียบเทียบให้ฟังว่า บุรุษผู้หนึ่งเป่าสังข์เสียงไพเราะ ชาวบ้านนอกได้ยินก็มารุมถามว่าเสียงอะไร เขาบอกว่าเสียงสังข์ ชาวบ้านถามว่าเสียงออกมาจากทางไหน บุรุษนั้นตอบว่าออกมาจากสังข์ ชาวบ้านจึงจับสังข์มาพลิกไปมาเพื่อให้สังข์เปล่งเสียง สังข์ก็ไม่เปล่งเสียงอะไร ฉันใด ชีวะ ถ้ามันออกจากร่างจริง ก็ไม่สามารถเห็นได้ด้วยประสาทสัมผัส ฉันนั้น
หมายเหตุไว้ตรงนี้ว่า ความจริงความคิดที่ว่าร่างกายแตกดับแล้ว วิญญาณออกจากร่างไปเกิดใหม่นั้น เป็นความเชื่อนอกพระพุทธศาสนา พระเจ้าปายาสิเชื่อตามที่สมณพราหมณ์สมัยนั้นสอนกัน จึงพยายามทดลองว่า คนเราเมื่อตายไปชีวะ หรือวิญญาณมันออกไปทางไหน เมื่อหาไม่พบ จึงมีความเข้าใจว่าไม่มีการตายเกิด
พระกุมารกัสสปะยกอุปมาอุปไมยให้ฟังว่า ถึงแม้ (สมมติว่า) วิญญาณมันออกจากร่างจริง วิญญาณมันไม่มีรูปร่าง มันจะมีร่องรอยแห่งการไปมาได้อย่างไร ดุจเสียงสังข์ที่ออกจากสังข์ก็รู้แต่เพียงว่ามันออกไป แต่มันออกไปทางไหนย่อมบอกไม่ได้ ฉันนั้น
การยกเหตุผลมาชี้แจงนี้ เป็นเหตุผลทางตรรกะที่พอฟังแล้วเข้าใจได้ทันที แต่มิได้หมายความว่า พระพุทธศาสนาสอนการตายเกิดแบบนี้ อันนี้พึงคำนึงในเรื่องนี้ให้ดี
ปายาสิราชันย์ยังไม่ยอม ยังอ้างผลงานวิจัยต่อไปว่า เคยสั่งให้ชำแหละร่างของโจรทีละชิ้นๆ อย่างละเอียด เพื่อดูว่าชีวะมันอยู่ที่ไหนก็ไม่พบ แสดงว่าโลกอื่นไม่มีจริง ที่ว่าตายแล้วชีวะไปเกิดในโลกใหม่ย่อมเป็นไปไม่ได้
พระกุมารกัสสปะกล่าวว่า “อาตมาภาพจะยกเรื่องราวให้ฟังสักเรื่องหนึ่ง”
มีฤๅษีตนหนึ่งเป็นผู้นับถือการบูชาไฟในป่า มีลูกศิษย์เป็นเด็กตัวเล็กๆ คนหนึ่ง วันหนึ่งฤๅษีจะไปธุระข้างนอกอาศรม สั่งลูกศิษย์ให้ดูแลไฟอย่างดี อย่าให้ดับ ถ้าไฟดับก็ให้ก่อขึ้นมาใหม่
ฤๅษีคล้อยหลังไปไม่นาน เด็กมัวแต่เล่นเพลินไฟก็ดับ เด็กน้อยจึงเอาไม้สีไฟสองอันมาสีกัน สีอย่างไรก็ไม่มีไฟเกิดขึ้น วันก่อนเห็นหลวงพ่อเอาไม้สีกันทำไมไฟมันจึงมี วันนี้ทำไมไม่มี
เขาคิดแล้วจึงเอามีดมาผ่าไม้สีไฟออกเป็นสองซี่ สามซี่ สี่ซี่ จนกระทั่งสับเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ก็ไม่มีไฟ จึงเอาโขลกกับครกจนละเอียดเป็นผงโปรยลงดินก็ไม่มีไฟเกิดขึ้น เขาจึงก่อไฟไม่ได้
ฤๅษีกลับมา เมื่อเห็นว่าเขาเป็นเด็กโง่ ไม่รู้จักวิธีหาไฟที่ถูกต้อง จึงนำไม้สีไฟก่อไฟให้ดู ฉันใดก็ดี การที่มหาบพิตรหาชีวะเพื่อพิสูจน์โลกหน้าเท่าที่ทำมานี้ผิดวิธี แสวงหาอย่างไรก็ไม่มีทางทราบข้อเท็จจริง เพราะมันผิดมาแต่ต้นแล้ว
ผิดมาแต่เมื่อใด ก็ผิดมาแต่แรกเริ่มที่คิดว่าคนเราเมื่อตายแล้ว ชีวะหรือวิญญาณมันออกจากร่างไปเกิดใหม่ ผิดมาตั้งแต่เข้าใจว่า ชีวะหรือวิญญาณ เป็นสิ่งกายสิทธิ์ที่อมตะสิงอยู่ในร่างกาย เมื่อร่างกายแตกดับก็ออกจากร่างไปหาที่เกิดใหม่ เหมือนเดินออกจากบ้านที่ถูกไฟไหม้ ฉะนั้น
ความเชื่ออย่างนี้ผิด เมื่อเชื่อผิด เวลาหาวิธีพิสูจน์มันก็พิสูจน์ผิดวิธี เมื่อพิสูจน์ผิดวิธี คำตอบที่ได้ก็ย่อมผิด ดุจดังปายาสิราชันย์กระทำมานั้นแล
พระกุมารกัสสปะได้ชี้แจงให้พระเจ้าปายาสิทรงเข้าใจว่า ความเห็นที่ถูกต้องคืออะไร ให้ละความเห็นผิดแต่เก่าก่อนเสีย ปายาสิท่านก็เห็นด้วยที่จะสละทิฐิดั้งเดิมหันมานับถือพระพุทธศาสนา แต่ติดที่พระองค์เองเป็นคนดังในสังคม จึงบอกขัดข้องพระองค์ว่า พระเจ้าปเสนทิโกศลและพระราชาแคว้นอื่นก็ทรงทราบว่าโยมมีความเห็นดังกล่าวมา ครั้นจะสละความเห็นนั้นเสีย ก็ถูกตำหนิติเตียนว่าไม่มีจุดยืน
พระกุมารกัสสปะจึงอุปมาให้ฟัง ๔ ข้อดังนี้
๑. กองเกวียนสองกอง กองละประมาณ ๕๐๐ เล่มเกวียน ออกเดินทางผ่านที่กันดาร พวกที่ไปก่อนได้รับคำบอกเล่าจากคนที่สวนมาว่า ข้างหน้าน้ำและหญ้าบริบูรณ์ จึงทิ้งหญ้าและน้ำหมด ปรากฏว่าโคต้องอดอยากและล้มตายจำนวนมาก ส่วนพวกที่ไปคราวหลังไม่เชื่อคำหลอกของคนที่สวนทางมา จึงบรรลุถึงที่หมายโดยปลอดภัย
๒. ชายเลี้ยงหมูคนหนึ่ง ห่อเอาขี้หมูแห้งนึกว่าเป็นอาหารหมู เทินศีรษะกลับบ้าน พอฝนตกขี้หมูละลายไหลย้อยลงบนร่างกายของคนนั้น แม้คนเขาจะบอกว่าเทินขี้หมูไปทำไม เขาเถียงว่าเป็นอาหารหมูต่างหากไม่ใช่ขี้หมู
๓. นักเลงสกาสองคน คนหนึ่งพอเห็นท่าจะแพ้ ก็อมลูกสกาที่จะทำให้แพ้เสีย คนที่สองเอาอย่างบ้าง แต่บังเอิญอมลูกสกาที่มีพิษแล้วเสียชีวิต
๔. บุรุษสองคนเดินทางไกลด้วยกัน ผ่านไปพบป่าน ก็หอบป่านเดินไป ไปพบผ้าที่ทอจากป่าน พบผ้าฝ้าย เหล็ก โลหะ ดีบุก ตะกั่ว เงิน ทอง ตามลำดับ คนแรกก็ทิ้งของมีค่าน้อย ถือเอาทองอันมีค่ามากกว่ากลับบ้าน แต่อีกคนเห็นว่าหอบป่านมาไกลแล้ว ก็ไม่ยอมทิ้ง และไม่ยอมเอาสิ่งอื่น
ทั้งสองกลับไปถึงบ้าน คนแรกได้รับความชื่นชมจากญาติพี่น้อง คนที่สองถูกคนในครอบครัวตำหนิว่า โง่เขลา ไม่รู้จักทิ้งของไร้ค่า ถือเอาของมีค่า
พระกุมารกัสสปะยกขึ้นมาเล่าก็กล่าวต่อว่า พระองค์ก็เช่นเดียวกับคนทั้งสี่นั้นแหละ ไม่รู้จักทิ้งความเห็นผิดเป็นโทษ ความเห็นผิดที่จะสร้างความเดือดร้อนแก่พระองค์เองและคนอื่น ยึดถือเอาความเห็นถูกที่มีประโยชน์ ในที่สุดปายาสิราชันย์ก็ยินยอม ประกาศตนเป็นอุบาสกถือพระรัตนตรัยเป็นสรณะตลอดชีวิต
หลังจากที่พระเจ้าปายาสิได้หันมานับถือพระพุทธศาสนาแล้ว ท่านก็ถวายทานแก่พระสงฆ์เป็นนิตย์ แต่เนื่องจากไม่เคยทำ เพราะเป็นคนนอกศาสนามานาน หรือเหตุใดก็ไม่ทราบได้ ท่านถวายทานที่ “เลว” ไม่ประณีต และทำก็สักแต่ว่าทำ ถวายทานโดยไม่เคารพ แม้ทำทานแก่ยาจกวณิพกทั้งหลายก็ทำด้วยท่าทีเช่นเดียวกัน และก็ทำอย่างนี้เสมอมา
อุตตรมาณพเห็นแล้วไม่สบายใจ จึงเตือนปายาสิราชันย์โดยทางอ้อม นั่นก็คือ แกจัดถวายทานแด่พระสงฆ์ด้วยภัตตาหารและไทยธรรมอันประณีต และให้ทานแก่ยาจกวณิพกโดยเคารพ ทุกครั้งที่ทำทานก็จะตั้งความปรารถนาดังๆ (คงต้องการให้ได้ยินไปถึงปายาสิราชันย์) ว่า “ด้วยผลทานครั้งนี้ ขอให้ข้าพเจ้าได้พบกับปายาสิในชาตินี้เท่านั้น อย่าได้พบอีกในชาติหน้าเลย” อธิษฐานดังๆ อย่างนี้หลายครั้งเข้า พระเจ้าปายาสิหรือปายาสิราชันย์ก็ได้ยินจนได้ มีความสงสัย จึงรับสั่งเรียกเขาเข้าเฝ้า ตรัสถามว่าทำไมอธิษฐานอย่างนั้นทุกครั้งที่ให้ทาน รังเกียจพระองค์ด้วยเรื่องใด จึงไม่ปรารถนาพบหน้าในชาติหน้า
อุตตรมาณพ กราบทูลว่า มิได้มีความรังเกียจพระองค์แต่ประการใด แต่ไม่ชอบใจวิธีทำทานของพระองค์ จึงไม่ปรารถนาจะคบกับคนเช่นนี้
“เราทำทานอย่างไรจึงไม่ชอบใจเธอ” ปายาสิราชันย์ตรัสถาม
พระองค์ถวายทานโดยไม่เคารพ ให้อาหารแก่พระและยาจกวณิพก ก็ให้อาหารที่เลวๆ อย่าว่าแต่จะบริโภคเลย แม้จะจับต้องก็ไม่ยากจะจับต้อง (ในบาลีว่าแรงขนาดว่า “ไม่อยากจะแตะแม้ด้วยเท้า”) ให้เสื้อผ้าก็ให้เก่าๆ ขาดๆ เพราะเหตุนี้แหละ ข้าพระพุทธเจ้าจึงไม่ปรารถนาจะพบคนเช่นพระองค์ในชาติหน้า
พระเจ้าปายาสิทรงใคร่ครวญดูก็เห็นจริง จึงยอมรับว่าตนทำไม่ถูก ทรงแต่งตั้งอุตตรมาณพให้เป็นผู้จัดการเรื่องการทำทานของพระองค์ ไม่ว่าจะเป็นทานแด่พระสงฆ์ หรือแก่ยาจกวณิพก
อุตตรมาณพ ก็แนะนำว่า ใช้สอยเสื้อผ้าอาภรณ์เช่นใด พระองค์พึงให้ทานด้วยอาหารและเสื้อผ้าอาภรณ์เช่นนั้น ซึ่งพระเจ้าปายาสิก็ทรงยินยอมทำตาม และได้ทรงมอบภาระให้อุตตรมาณพช่วยดำเนินการให้
ในส่วนของอุตตรมาณพ ทำทานที่ประณีตดียิ่งกว่านั้น เมื่ออุตตรมาณพสิ้นชีพไป จึงไปเกิดเป็นเทพชั้นดาวดึงส์
ในขณะที่ปายาสิราชันย์สวรรคตแล้ว ไปอุบัติเป็นเทพในหมู่จาตุมหาราช สถิตอยู่ที่ต้นเสรีสกะ หรือสีรีสกะ (แปลกันว่าไม่ซึก) คือ ต้นเสรีสกะเป็นวิมาน ว่าอย่างนั้นเถอะ
ปายาสิเทพบุตร เมื่อรำลึกชาติหนหลังของตนได้ จึงปรารถนาจะเตือนมนุษย์ทั้งหลาย เมื่อพบพระเถระ นามว่า ควัมปติ จึงเข้าไปนมัสการแล้วฝากคำมายังมนุษย์ทั้งหลายว่า “พระคุณเจ้าควัมปติ ข้าพเจ้าเมื่อเป็นมนุษย์มีมิจฉาทิฐิ เห็นว่าบุญบาปไม่มี นรกสวรรค์ไม่มี อาศัยพระคุณเจ้ากุมารกัสสปะช่วยชี้แนะ จึงสละทิฐิอันชั่วช้านั้นเสีย กระนั้นก็ถวายทานโดยไม่เคารพ ไม่ถวายทานที่ประณีต จึงมาบังเกิดเป็นเทพในหมู่จาตุมหาราช มีต้นเสรีสกะเป็นวิมาน
พระคุณเจ้าควัมปติ ข้าพเจ้าขอสั่งความไปยังมนุษย์ทั้งหลายได้ไหม ถ้าจะถวายทานก็ขอให้ถวายทานโดยเคารพ ถวายทานด้วยมือของตนเอง อย่าถวายทานไม่ประณีต อย่าถวายทานแบบทิ้งๆ ขว้างๆ (สักแต่ให้)”
จากนั้นปายาสิเทวบุตรก็ได้ถามถึงอุตตรมาณพว่าไปเกิดที่ไหน พระเถระ ตอบว่า อุตตรมาณพไปเกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เพราะอุตตรมาณพเธอถวายทานโดยเคารพ ถวายทานทีประณีต ไม่ใช่สักแต่ให้ ด้วยอานิสงส์นี้ เธอจึงไปเกิดเป็นเทพชั้นดาวดึงส์
ความจริงปายาสิราชันย์เป็นถึงเจ้าครองนคร ย่อมมีโอกาสทำบุญทำกุศลได้ดีกว่าอุตตรมาณพซึ่งเป็นข้ารับใช้ธรรมดา แต่ปรากฏว่าปายาสิราชันย์ไม่ได้ใช้โอกาสที่ดีกว่า ทำกุศลที่ดีกว่า จึงไปเกิดเป็นเทพชั้นจาตุมหาราช ต่ำกว่าดาวดึงส์สวรรค์ของอุตตรมาณพเสียอีก
เรื่องนี้เป็นอนุสสติเตือนใจชาวพุทธอย่างดี การทำทานนั้นจะต้องทำให้ครบองค์ประกอบ จึงจะไม่เสียทีที่ได้ทำทาน องค์ประกอบที่ว่านี้คือ
๑. สิ่งของที่จะให้ทาน จะต้องบริสุทธิ์ คือ ได้มาด้วยอาชีพสุจริต ได้มาด้วยหยาดเหงื่อแรงกายจริงๆ มิใช่ได้มาด้วยการทุจริต เช่น ลักเขามาถวาย โกงเขามาถวาย ของนั้นต้องประณีต
๒. เจตนาที่ถวายก็ต้องบริสุทธิ์ คือ ก่อนจะให้ กำลังให้ และหลังจากให้แล้ว ต้องเป็นเจตนาที่เลื่อมใส ไม่เสียดาย ไม่ใช่พอให้ไปแล้วนึกเสียดายภายหลังว่า แหมเสียดาย ไม่น่าถวายพระเลย เอามากินเองยังจะดีกว่า อะไรทำนองนี้
๓. ผู้รับทานก็ต้องบริสุทธิ์ คือเป็นผู้มีศีลมีธรรม (ถ้าเราเลือกได้ ทานของเราก็จะมีผลมาก แต่ข้อนี้สุดวิสัยที่จะเลือกได้ ก็ต้องทำข้อ ๑ และข้อ ๒ ให้บริสุทธิ์บริบูรณ์)
การให้ทานด้วยจิตใจเลื่อมใสจริงๆ แม้เล็กน้อยก็ให้ผลมหาศาล การทำทานด้วยจิตไม่บริสุทธิ์ เช่น หวังให้เขายกย่องว่าใจบุญ หวังอะไรมากกว่าเป็นผลตอบแทน หวังเอาหน้า ถึงจะสละเงินเป็นแสนเป็นล้านก็หาเป็นบุญโดยบริสุทธิ์ไม่ ถึงจะได้ผลก็คงพอได้บ้าง แต่ไม่สมบูรณ์เต็มที่
ความบริสุทธิ์ทั้งวัตถุและจิตใจนี้ พระพุทธศาสนาเน้นมาก สมัยรัชกาลที่ ๕ นี้เอง ยายแฟง แม่เล้าเก็บเงินจากหยาดเหงื่อจากการค้ากามของบรรดาลูกๆ ได้มาก จึงเอามาสร้างวัด ชื่อว่า วัดใหม่ยายแฟง ชื่อเป็นทางการภายหลัง “วัดคณิกาผล” สร้างวัดเสร็จยายแฟงก็ทำบุญฉลอง นิมนต์สมเด็จโตมาเทศน์ฉลอง สมเด็จท่านก็เทศน์ตรงๆ ว่า ถึงจะสร้างวัดใหญ่โต ยายแฟงก็ได้บุญไม่เท่าไหร่ดอก สู้บรรดานางคณิกาทั้งหลายไม่ได้
ว่าแล้วยายแฟงโกรธสมเด็จนานทีเดียว ภายหลังมาตรึกตรองดูจึงรู้ว่าสมเด็จท่านพูดถูก เพราะทรัพย์ที่นำมาสร้างนั้นได้มาด้วยความไม่บริสุทธิ์เท่าไหร่เพราะเป็นผลมาจากซ่อง และคนที่ทำทรัพย์นั้นให้ก็คือบรรดาลูกๆ ทั้งหลายของเธอ แหล่งที่มาของทรัพย์ไม่ค่อยบริสุทธิ์ ผลมันจึงไม่ค่อยได้เท่าที่ควรตามที่สมเด็จโตท่านว่านั้นแล
เราทุกคนต้องหยุดตัวเอง ต้องพาลูกพาหลานญาติพี่น้องวงศ์ตระกูลประพฤติปฏิบัติ ให้มีความสุขในการทำงานมีความสุขในการปฏิบัติทำไปพร้อมๆ กัน ความสุขความสะดวกความสบายในปัจจุบันนี้มันเป็นสิ่งที่มีอยู่เราต้องเห็นโทษเห็นภัยในวัฏสงสารในการเวียนว่ายตายเกิด ฝึกอานาปานสติให้ดีในปัจจุบัน ฝึกทำงานให้มีความสุขในปัจจุบัน เพราะปัจจุบันเป็นพื้นฐานให้อนาคต เพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปจึงมี เราจะเป็นศาสนาพุทธคริสต์ อิสลาม เราก็พากันปฏิบัติอย่างนี้เเหละ เพราะเราทุกคนเกิดมาเพื่อมาปฏิบัติธรรม ผู้ที่เป็นบรรพชิตก็จะได้เป็นพระอริยเจ้าตั้งเเต่พระโสดาบันไปถึงพระอรหันต์ ผู้เป็นฆราวาสก็จะได้เป็นพระอริยเจ้าตั้งเเต่ พระโสดาบัน จนไปถึงพระอนาคามี โลกนี้ไม่ว่างจากพระอรหันต์ มันขึ้นอยู่ที่การประพฤติการปฏิบัติ
แจกปัญญา แจกศาสนา แจกธรรมวินัย แจกสิ่งที่ถูกต้อง
เพื่อเดินตามรอยพระพุทธเจ้าร้อยเปอร์เซ็นต์
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
โดยทุกท่านสามารถติดตามเพิ่มเติมได้ที่
https://linktr.ee/watsubthawee
Share wisdom, spread Buddhism and its discipline.
Advocate righteousness to follow Lord of Buddha's footsteps 100%
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
You can receive new Dharma updates.
https://linktr.ee/watsubthawee