แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ในวันอาทิตย์ที่ ๒๓ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๖
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง สั่งสมทรัพย์ภายใน ตอนที่ ๒๗ เป้าหมายของการบวชบรรพชา พระบรมศาสดาทรงมุ่งให้ถึงความดับทุกข์
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
เมื่อวานเป็นวันบวชเณรเพื่อเตรียมบวชพระ ให้ทุกท่านทุกคนเข้าใจ คำว่า พระ นี้ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่นิติบุคคล พระนี้หมายถึง พระธรรม พระวินัย เป็นอริยมรรค ในการเดินทางที่ประเสริฐสู่มรรคผลนิพพาน ผู้ที่เข้ามาบวช ถือเป็นผู้ที่มีบุญ มีวาสนา เป็นผู้ที่ปฏิบัติบูชา ต้องเอาตัวเรามาประพฤติปฏิบัติเพื่อจะได้สละเสียซึ่งตัวซึ่งตน เราจะไม่ได้เป็นนิติบุคคล เราจะได้เป็นธรรมวินัย เรียกว่า พรหมจรรย์ ที่พระพุทธเจ้าบอกว่า เธอจงมาประพฤติพรหมจรรย์เถิด ทุกท่านทุกคนต้องเปลี่ยนเเปลงตัวเองใหม่ ถึงว่าเราจะบวชวันเดียว 7 วัน หรือ 15 วัน หรือ หลายเดือน หรือ ตลอดชีวิต เพื่อมรรคผลพระนิพพาน เราทุกท่านทุกคนต้องทิ้งนิสัยเก่า มาถือนิสัยของพระพุทธเจ้า ละอบายมุข ได้เเก่ ตามใจตัวเอง ตามอารมณ์ตัวเอง ตามความรู้สึก เค้าเรียกว่า อบายมุข เอาอารมณ์ตัวเองเป็นที่ตั้ง ขี้เกียจขี้คร้าน เรียกว่า อบายมุข
เราต้องตั้งมั่นเข้าหาพระธรรม พระวินัย เราต้องตั้งมั่นมีความสุขในการปฏิบัติธรรม ในการประพฤติปฏิบัติ เราต้องบวชกายด้วย บวชวาจาด้วย บวชใจด้วย เพราะว่า ถ้าเราบวชกาย เค้าเเสดงภาพยนต์เเสดงละคร เอาเสื้อผ้าอาภรณ์สวมใส่พวกลิง อย่างนี้ไม่ได้ มันต้องบวชใจด้วย เน้นไปที่ใจ เพราะการเวียนว่ายตายเกิดเป็นเรื่องของจิตของใจ การประพฤติการปฏิบัติของเราต้องติดต่อต่อเนื่อง เราทุกคน บวชมาพ่อเเม่ก็มากราบมาไหว้ ปู่ย่าตายายก็มากราบมาไหว้ พระมหากษัตริย์ก็มากราบมาไหว้ เพราะเราไม่ได้เป็นนิติบุคคล เราเป็นธรรมวินัยเเล้ว ทุกคนต้องเอาใหม่ อนาคตมันอยู่ที่ปัจจุบันเเล้ว เพราะสิ่งนี้มีสิ่งนี้จึงมี
ผู้ปฏิบัติต้องพากันทำงานกันเป็นทีม อย่างวัดเค้าเรียกว่า ศูนย์รวมของผู้ที่เอามรรคลพระนิพพาน พวกที่บวชมาใหม่ก็ต้องช่วยกัน เพราะการฝึก ต้องตื่นเเต่เช้า ต้องบอกกัน อย่าตัวใครตัวมัน บอกกัน ปลุกกัน ถ้างั้นมันขาดตกบกพร่องได้ บางทีมันนอนหลับไม่ตื่น ก็ไม่ได้ ทุกคนต้องภาวนาว่า เราปฏิบัติกันเป็นทีม กวาดวัดพร้อมกัน บิณฑบาตพร้อมกัน เดินสุดสาย คนที่เดินไม่สุดสาย คือ พระเเก่ พระป่วย เเละ พระกลับมาทำการสงฆ์ที่วัด ไปบิณฑบาตก็ให้เป็นวินัย เป็นโอวาทของพระพุทธเจ้า เป็นข้อวัตรกิจวัตร ด้วยปลีเเข้ง สุดสาย สำรวมท่องพุทโธ พุทโธ
วัดนี้เค้าไม่มีโทรศัพท์มือถือ ถ้ามีโทรศัพท์มือถือ ไม่ได้ท่องพุทโธ ไม่ได้ฝึกอานาปานสติ ถ้ามีโทรศัพท์มือถือ มันจะอยู่เเต่กับ โทรศัพท์ Internet Facebook จิตใจมันจะล่องลอย ต้องไม่ให้มีโทรศัพท์ พวกบุหรี่ใครเคยสูบก็ต้องหยุด ต้องเข้มเเข็ง ทำติดต่อกัน 3 อาทิตย์ขึ้นไป ใจมันถึงจะมีพลัง เราจะข้ามวัฏฏะสงสารต้องอาศัยยานพาหนะ คือ ศีล ศีลคือความประพฤติ สมาธิคือความตั้งมั่น ปัญญา คือ เห็นเเจ้งตัดกิเลส อย่างนี้คือการไม่ทำตามใจตามอารมณ์ ไม่ทำตามความคิด ต้องฝึกตัวเอง ไม่ใจอ่อน ต้องเเก้ไขตัวเอง มันต้องเป็นพระสุปฏิปันโน ต้องปรับปรุงเข้าหาข้อวัตรปฏิบัติ เพราะตามใจตามอารมณ์ตัวเอง เค้าเรียกว่าอบายมุข หนทางเเห่งความเสื่อม มาตามพระพุทธเจ้าเค้าเรียกว่า พระรัตนตรัย เราต้องพากันประพฤติปฏิบัติ
เราต้องเอามาตรฐานของพระพุทธเจ้า เราอย่าไปเอามาตรฐานของวัดต่างๆ ไม่ใช่ของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าท่านทรงเสียสละบรรทมวันละ 4 ชม. ทำงานเสียสละ 20 ชม. ท่านถึงเป็นพระพุทธเจ้า เพราะความสุขอยู่ที่เรามีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง มันต้องเด็ดขาด ต้องเเน่นอน มันต้องเข้มเเข็ง อย่าให้กิเลสเข้มเเข็ง อย่าให้อวิชชาเข้มเเข็ง ทุกคนน่ะต้องพึ่งพระพุทธเจ้า พึ่งพระธรรม พึ่งพระวินัยเป็นการฝึก
ความดับทุกข์นี้เป็นสิ่งที่สำคัญเพราะเราจะได้หยุดทั้งกาย หยุดทั้งวาจา หยุดทั้งใจ หยุดมีเซ็กส์ทางร่างกาย หยุดมีเซ็กส์ทางอารมณ์ จะได้เข้าสู่ความวิเวก กายวิเวก จิตวิเวก ถึงจะได้เข้าถึงอุปธิวิเวก คนเรามันดีอยู่ที่เรามีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง มันจะก้าวไปด้วยปัจจุบันธรรม เพราะสิ่งนี้มี สิ่งนี้ถึงมี เราจะได้ถึงพระ คือพระศาสนา ผู้ที่จะมาบวช ตอนบวชก็ต้องปรับตัวเองเข้าหาธรรม เข้าหาพระวินัย สิกขาบทน้อยใหญ่ เราเน้นที่ปัจจุบัน เพราะอนาคตมันก็ไม่ได้ อดีตมันก็ไม่ได้ สิ่งที่เป็นอดีตถือว่าเป็นสิ่งที่ไม่ทันสมัย ปัจจุบันเป็นสิ่งที่ทันสมัย เช่น เราจะเป็นลูกศิษย์อาจารย์โน้น อาจารย์นี้ สายโน้น สายนี้ มันก็ล้าสมัยไปแล้ว เพราะมันยังไม่เป็นธรรม ยังไม่เป็นปัจจุบันธรรม ยังไม่ใช่ภาคปฏิบัติ ยังเป็นแบรนด์เนมของหลวงพ่อนั้น หลวงพ่อนี้ มันไม่ใช่ปัจจุบันธรรม ด้วยภาคประพฤติภาคปฏิบัติ ที่เราต้องประพฤติปฏิบัติในปัจจุบัน ที่เรากำลังไฟท์ติ้งกับตัวเอง เพราะว่าแต่ละวัน มันก็ตกยุค ตกสมัยไป แต่ธรรมะเป็นสิ่งที่ทันสมัยทุกเวลา ทุกนาที มันก้าวไปด้วยความดับทุกข์ ก้าวไปด้วยศีล สมาธิ ปัญญา
เราเป็นผู้ที่โชคดีนะ ไม่ว่าเราจะเป็นประชาชนหรือเป็นนักบวช ทุกคนประพฤติปฏิบัติได้ ทุกคนต้องปิดอบายมุข อบายภูมิของตัวเอง ให้ตั้งอกตั้งใจประพฤติปฏิบัติ มันต้องก้าวไปข้างหน้า อันไม่ดีไม่คิด อันไหนไม่ดีไม่พูด อันไหนไม่ดีไม่ทำ ต้องรู้จักอาหารกาย รู้จักอาหารใจ อาหารใจคือปัญญา คือไม่หลงในเหยื่อ ละเหยื่อในโลกเสียได้ มุ่งหวังสันติ มันก็จะพัฒนาอาหารใจ ปัจจุบันเราสีลัพพตปรามาส ลูบคลำในศีล ในข้อวัตร ข้อปฏิบัติ เรายังไม่รู้หรอก เพราะเด็กน้อยมันยังไม่รู้หรอก เพราะเราสิกขาลาเพศไป เอาแต่ปัจจุบันแต่ละขณะๆ เขาเรียกว่าขณิกสมาธิ ขณิกะที่ปรากฎการณ์ เราจะได้ศีล สมาธิ ปัญญา เราจะได้ว่างจากสิ่งที่มีอยู่ ด้วยสัมมาทิฏฐิ ด้วยความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง แต่ก่อนเรามัวแต่หลงเพลิน หลงว่าเราเป็นลูกศิษย์เจ้าคุณพุทธทาส เราก็ยิ้ม... หลงว่าเราเป็นลูกศิษย์หลวงตามหาบัว เราก็ยิ้ม... หลงว่าเราเป็นลูกศิษย์อาจารย์ชา ลูกศิษย์หลวงปู่มั่น เราก็ยิ้ม... ที่แท้จริงสิ่งเหล่านั้นมันล้าสมัยไปหมดแล้ว ไม่ใช่ธรรม ไม่ใช่ปัจจุบันธรรม เราต้องเป็นพุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น จัดการตัวเองในปัจจุบัน
การบวชพระ การปฏิบัติธรรมนี่นะ ให้ทุกท่านทุกคนพากันเข้าใจ ว่าเป็นสิ่งที่ดีมาก ประเสริฐมาก เป็นการเดินตามรอยของพระพุทธเจ้า ของพระอรหันต์ การที่จะมีผลใหญ่ มีอานิสงส์ใหญ่ พระพุทธเจ้าท่านให้เราทุกๆ คนพากันตั้งอกตั้งใจ พากันประพฤติปฏิบัติธรรม ตั้งใจรักษาศีลให้ดีทุกข้อ อย่าให้ขาดตกบกพร่อง
กิจวัตรประจำวันต่างๆ นั้นถือว่าเป็นบุญ เป็นกุศล เช่นนั่งสมาธิร่วมรวมกันในศาลา หรือว่าในกุฏิที่พักต้องทำให้ได้ทุกวัน อย่าให้ขาดตกบกพร่องไม่ว่ากรณีใดๆ ทั้งสิ้น เพราะคนเรามันชอบเข้าข้างตัวเอง ทำวัตรสวดมนต์ก็อย่าให้ขาด บิณฑบาตก็อย่าให้ขาด พยายามตั้งอกตั้งใจภาวนา ไม่ให้คลุกคลี ไม่ให้พูดคุยกับคนอื่นในหมู่คณะ เพราะคนเรามันอยู่กับความสงบไม่เป็น อยู่กับตัวเองไม่เป็น ที่อยู่ได้ก็อยู่ได้กับการงาน การพูดคุย เครื่องบันเทิงต่างๆ เช่น โทรศัพท์ คอมพิวเตอร์ ฯ
ตัวเราที่ผ่านๆ มาส่วนใหญ่ก็อยู่กับสิ่งเหล่านั้น... เมื่อเรามาประพฤติปฏิบัติธรรม มาบวช พระพุทธเจ้าท่านให้ตัดสิ่งต่างๆ เหล่านั้นให้หมด ทุกคนทุกท่านต้องตัดให้หมด ไม่มียกเว้นใครๆ ทั้งสิ้น การบวช การปฏิบัติของเราถึงจะมีผลใหญ่ มีอานิสงส์ใหญ่ ถ้าไม่อย่างนั้น การมาอยู่วัดของเรา การมาบวชของเราก็จะไม่ได้ผล แต่กลับมีบาปมีอกุศลติดตามเราไปด้วย
ให้ทุกท่านทุกคนปฏิบัติให้ได้... การปฏิบัติธรรมมันเป็นสิ่งที่ทวนโลก ทวนกระแส ทวนอารมณ์ ทวนจิตใจของเราที่ชอบตกไปสู่ที่ต่ำ ไหลไปสู่ที่ต่ำ เราพยายามมาบวชทั้งกาย มาบวชทั้งใจ ถ้าเรามีแต่กายมาบวช แล้วไม่เอาใจมาบวช ถือว่าไม่ได้ผล
เรามองดูที่ผ่านๆ มาน่ะ ยากที่ทุกคนจะได้ดี เพราะว่าไม่ได้ตั้งอกตั้งใจ ใจอ่อน เอาตัวเองเป็นที่ตั้ง เอาความต้องการตัวเองเป็นที่ตั้ง ไม่ปรารภธรรม ปรารภวินัย เป็นคนหลงความสุขทางร่างกาย ความสุขทางวัตถุ ไม่ได้เน้นถึงความสุขความดับทุกข์ ถึงพระนิพพานที่จิตที่ใจ
พระพุทธเจ้าน่ะท่านพาเราทิ้งทางโลกทางวัตถุหมด พระพุทธเจ้าตั้งแต่ท่านเสด็จออกบรรพชา จนถึงดับขันธปรินิพพาน ท่านตัดทางโลกทางวัตถุหมด ไม่รับเงิน...รับปัจจัย รองเท้าก็ไม่ทรงใส่ ถืออยู่ป่า อยู่โคนไม้ ฉันอาหารหนหนึ่งเพียงหนเดียว ไม่ติดในลาภ ยศ สิ่งอำนวยความสะดวกสบาย ไม่ต้องการผลประโยชน์อะไรในโลกนี้ทั้งสิ้น
เรามาบวชมาประพฤติปฏิบัติธรรม พระพุทธเจ้าท่านมีเมตตาให้เรารู้ความหมายอย่างนี้ เรามาตั้งอกตั้งใจ 'อบรมบ่มอินทรีย์' ถึงจะเหนื่อยก็ช่างมัน ยากลำบากก็ช่างมัน ถึงจะผอม... จะดำก็ช่างมัน เพราะมาเน้นที่จิตที่ใจ ไม่ได้เน้นทางกาย เราพยายามตัดโลกออกจากใจของเรา ถึงแม้ว่าเราจะไม่บวชตลอดชีวิต เราก็ตั้งใจ เราจะบวชตลอดชีวิต เราก็ตั้งใจ ความขี้เกียจขี้คร้านมันมีมากทุกคนนะ จะเคลื่อนไหวอะไร มันก็ไม่อยากเคลื่อนไหว ยิ่งตอนเช้าตี ๓ มันไม่อยากตื่น แต่มันต้องตื่น ต้องฝืน ต้องทน การชนะสิ่งต่างๆ ท่านว่ายังไม่สู้ชนะจิตใจตัวเอง
ผู้ที่บวชมาแล้วให้ตั้งใจประพฤติปฏิบัติให้ดีๆ ให้เกิดมีคุณธรรมขึ้นภายในจิตใจให้เป็นพระอริยะเจ้าให้ได้ ให้เป็นที่เคารพศรัทธาเลื่อมใสของเพื่อนพระภิกษุ สามเณร ญาติโยม ให้ตัวเราเองกราบตัวเองได้ อย่าคอยแต่หวังพึ่งครูบาอาจารย์ เพราะครูบาอาจารย์ท่านไม่ได้อยู่กับเราตลอด ถ้าเรายังปฏิบัติตัวเองยังไม่มีคุณธรรมพอ มันจะไม่มีความเชื่อมั่นในตนเอง จะสวดมนต์ให้พร ก็ออกเสียงไม่เต็มที่ไม่มีพลัง พอถึงคราวที่จะต้องพูดธรรมะจะสั่งสอนญาติโยมก็กล้าๆ กลัวๆ เพราะตัวเองก็ยังปฏิบัติไม่ได้ ไม่กล้าที่จะสบตากับครูบาอาจารย์ ญาติโยม เพราะมีความผิดอยู่ในใจ เราไม่ต้องไปกลัวว่าเราไม่เก่งเทศน์สอนไม่ได้
ให้เราตั้งใจทำข้อวัตรปฏิบัติให้ดี ไม่ให้ขาดตกบกพร่องนี้ก็เป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้วเป็นการเทศน์การสอนไปในตัวแล้ว เราไม่ต้องไปสนใจว่าจะมีญาติโยมมาศรัทธาเลื่อมใสมากหรือน้อย จะมีปัจจัยข้าวของเครื่องใช้หรือไม่ เพราะสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ตัวศาสนา ถ้าเราปฏิบัติดีปฏิบัติชอบจริง ไม่ปฏิบัติออกไปทางโลก ทีนี้ไม่อยากมีก็ต้องมี ไม่อยากได้ก็ต้องได้ ทุกวันนี้จุดมุ่งหมายของการบวชเริ่มจะผิดเพี้ยนไป คิดว่าการมีชื่อเสียงมีลาภสักการะเป็นจุดมุ่งหมายของการบวช
"ข้าแต่พระนาคเสน บรรพชามีประโยชน์อย่างไร อะไรเป็นประโยชน์สูงสุดของพระผู้เป็นเจ้า ? "
"ขอถวายพระพร บรรพชานี้เพื่อจะให้พ้นจากความทุกข์ คือเกิด แก่ เจ็บ ตาย ไม่มีการเวียนว่ายตายเกิดอีก การเข้าสู่พระนิพพานเป็นประโยชน์อย่างสูงสุดของอาตมา "
"ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า บุคคลทั้งหลายบรรพชา เพื่อทำให้แจ้งชึ่งพระนิพพานทั้งนั้น ?" เหตุของผู้บวช
"ขอถวายพระพร มหาบพิตรพระราชสมภาร คนทั้งหลายไม่ใช่บวชเพื่อพระนิพพานด้วยกันทั้งสิ้น คือ บางพวกก็บวชหนีราชภัย (พระราชาเบียดเบียนใช้สอย) บางพวกก็บวชหนีโจรภัย บางพวกก็บวชเพื่อคล้อยตามพระราชา บางพวกก็บวชเพื่อหนีหนี้สิน บางพวกก็บวชเพื่อยศศักดิ์ บางพวกก็บวชเพื่อเลี้ยงชีวีต บางพวกก็บวชด้วยความกลัวภัย บุคคลเหล่าใดบวชโดยชอบ บุคคลเหล่านั้นชื่อว่า บวชเพื่อพระนิพพาน ขอถวายพระพร"
พระเจ้ามิลินท์ทรงซักถามต่อไปว่า "ก็พระผู้เป็นเจ้าเล่า บวชเพื่อพระนิพพานหรือ ?" พระเถระตอบว่า "อาตมภาพบวชแต่ยังเป็นเด็ก ยังไม่รู้เรื่องว่าบวชเพื่อพระนิพพานนี้ ก็แต่ว่าอาตมาคิดว่า พระสมณะที่เป็นศากบุตรพุทธชิโนรสเหล่านี้เป็นบัณฑิต จักต้องให้อาตมภาพศึกษา อาตมภาพได้รับการศึกษาแล้ว จึงรู้เห็นว่าบวชเพื่อพระนิพพานนี้" "พระผู้เป็นเจ้า แก้ถูกต้องดีแล้ว"
แก่นของพระพุทธศาสนาที่ทรงหมายถึงในที่นี้ คือ วิมุตติความหลุดพ้นจากกิเลสทั้งปวง ส่วนศีล สมาธิ และปัญญานั้นเป็นเพียงสะเก็ด เปลือกและกระพี้ของพระพุทธศาสนา มีรายละเอียดโดยย่อดังนี้
สมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับ ณ ภูเขาคิชฌกูฏ เมืองราชคฤห์ ตรัสสอนภิกษุทั้งหลายว่า
บางคนมีศรัทธาออกบวช เมื่อบวชแล้ว ก็ได้ลาภสักการะเป็นอันมาก พอใจหลงใหล ในลาภสักการะนั้น ยกตนข่มผู้อื่นเพราะลาภสักการะนั้น เต็มความปรารถนา (เห็นไปว่าการได้ลาภสักการะ และความนับถือนั้นเป็นผลสูงสุดของการบวช จึงไม่ขวนขวายเพื่อให้มีคุณธรรมยิ่งขึ้นไป)
เขาอยู่อย่างประมาท เมื่อประมาทก็อยู่เป็นทุกข์ เปรียบเหมือนคนต้องการแก่นไม้ เที่ยวแสวงหาแก้นไม้ในป่า แต่เนื่องจากไม่รู้จักแก่นไม้ ได้กิ่งและใบ สำคัญหมายว่าแก่น เขาย่อมไม่สำเร็จประโยชน์ ในกิจที่จะต้องทำด้วยแก่นไม้
บางคนไม่เต็มความปรารถนาอยู่เพียงลาภสักการะและชื่อเสียง จึงทำศีลให้สมบูรณ์แล้วพอใจ เต็มความปรารถนาอยู่เพียงแค่ศีลนั้น (ศีลเปรียบเหมือนสะเก็ดไม้)
บางคนไม่เต็มความปรารถนาเพียงแค่ศีลจึงไม่ประมาท ทำสมาธิให้สมบูรณ์ แล้วพอใจอยู่เพียงสมาธินั้น เปรียบเหมือนแสวงหาแก่นไม้ ได้เปลือกไม้แล้วพอใจ เข้าใจว่าเป็นแก่น
บางคนไม่เต็มความปรารถนาเพียงสมาธิ ไม่ประมาท ทำปัญญาให้เกิดขึ้น แล้วพอใจในปัญญานั้นเต็มความปรารถนา เหมือนคนแสวงหาแก่นไม้ ได้กระพี้แล้วพอใจ เข้าใจว่าเป็นแก่น
บางคนไม่เต็มความปรารถนา เพียงแค่ลาภสักการะและชื่อเสียงศีล สมาธิ และปัญญา เขาทำจิตให้หลุดพ้นจากกิเลสทั้งปวง เรียกว่าได้ถึงแก่นของพระพุทธศาสนา
รวมความว่า ถ้าเปรียบพรหมจรรย์ หรือพระพุทธศาสนาเหมือนต้นไม้ทั้งต้น
๑. ลาภสักการะและชื่อเสียง เปรียบเหมือนใบและกิ่ง
๒. ศีล เปรียบเหมือนสะเก็ด ๓. สมาธิ เปรียบเหมือนเปลือก
๔. ปัญญา เปรียบเหมือนกระพี้ ๕. วิมุตติ เปรียบเหมือนแก่น
พระพุทธองค์ทรงสรุปว่า ภิกษุทั้งหลาย ด้วยประการดังกล่าวมานี้ จึงประมวลลงได้ว่า “เราประพฤติพรหมจรรย์นี้มิใช่เพื่อลาภสักการะ และชื่อเสียง มิใช่เพื่อศีล สมาธิ ปัญญา (ญาณทัสนะ) แต่เราประพฤติพรหมจรรย์นี้ เพื่อความหลุดพ้นแห่งจิตอันไม่กำเริบ (อกุปฺปา เจโตวิมุตฺติ) ซึ่งถือว่าเป็นประโยชน์ เป็นแก่นสารที่แท้จริง”
การสร้างวัด ๑๐ วัด ๒๐ วัด ก็ยังไม่เท่ากับการมีพระอริยะเจ้าครูบาอาจารย์องค์เดียว ถ้าเราตั้งใจประพฤติปฏิบัติให้ถูกต้องตามพระธรรมวินัย เคร่งครัดในข้อวัตรปฏิบัติแล้ว เราก็จะเป็นที่พึ่งพิง เป็นได้ทั้งอาจารย์ของพระ อาจารย์ของเณร อาจารย์ของอุบาสกอุบาสิกา ของเด็กๆ ได้ แต่ถ้าคุณธรรมของเราไม่มีพอก็จะเป็นได้แต่อาจารย์ของเด็ก อาจารย์ของเณร อาจารย์ของญาติโยม ไม่สามารถเป็นครูบาอาจารย์ให้ความร่มเย็นเป็นหลักจิตหลักใจ ชี้แนะแนวทางให้กับพระภิกษุผู้ประพฤติพรหมจรรย์ด้วยกันได้
อีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้ผู้ที่บวชมาแล้วไม่ก้าวหน้าในการประพฤติปฏิบัติ คือ ตัวเองเป็นคนอ่อนไหวอยู่แล้วก็ยังไปอนุโลมกฎกติกาข้อวัตรการปฏิบัติตามเพื่อนฝูงพระภิกษุสามเณรที่บวชใหม่และบวชเก่าอีก อนุโลมตามญาติโยมที่ถวายความสะดวกสบาย ที่ถวายปัจจัยไทยทานด้วยความเกรงใจหรือสงสาร ก็เลยทำให้เกิดความเสียหายแก่ตนเองและพระศาสนา.
ผู้ที่บวชมาแล้ว การคบหาครูบาอาจารย์ เพื่อนฝูงให้ดูดีๆ มีความประพฤติปฏิบัติเช่นไร ถ้ามีการปฏิบัติผิดพระวินัย มีความย่อหย่อน มีความหลงในทางโลกห้ามไปคลุกคลี จะทำให้เรารับเอานิสัยทุศีล หมดอนาคต ครูบาอาจารย์พระที่ปฏิบัติเคร่งครัดในพระธรรมวินัยให้เราคบหาสมาคม เราเป็นคนอ่อนแอต้องอาศัยพระธรรมพระวินัย อาศัยครูบาอาจารย์ เพื่อนฝูง เปรียบเสมือนการเดินทางเราต้องมีทั้งแผนที่มีทั้งคนที่นำเราไป พระเณรที่บวชมาบางทีไม่เข้าใจ ไม่กล้าที่จะเข้าไปหาพระอุปัชฌาย์ครูบาอาจารย์ ไม่กล้าที่จะไปรับใช้อุปัฏฐากท่าน และครูบาอาจารย์ที่รองลงไปอีกที่ท่านปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ส่วนใหญ่ชอบไปคบหาสมาคมกับพระที่บวชพรรษามากแต่ความประพฤติปฏิปทาใช้ไม่ได้ เพื่อนฝูงก็ชอบคบที่โหลๆ
เราไม่ต้องไปมองว่า... คนโน้นปฏิบัติไม่ดี คนนี้ปฏิบัติดี คนนี้กิเลสมาก คนนั้นปฏิปทาน่าเกลียด เราไม่ต้องไปมอง ถ้าเราเป็นคนฉลาด เป็นคนตั้งอกตั้งใจ ส่วนมากก็จะมองเห็นโทษของคนอื่น เมื่อเห็นโทษคนอื่นแล้ว เราจะหมดกำลังใจ หมดศรัทธา เพราะว่าส่วนใหญ่คนที่มาประพฤติปฏิบัติไม่ได้มีใครสำเร็จเป็น 'พระอรหันต์' ส่วนใหญ่ก็เป็นสามัญชนเหมือนกับเรา ถ้าเราไปเอาตัวอย่างเขา เอาแบบเขา คงไม่ได้ ต้องเอาตัวอย่างพระพุทธเจ้า พระอรหันต์อย่างนี้เป็นต้น ไม่อย่างนั้นเราก็คิดอยู่อย่างนั้นว่า คนนั้นเป็นอย่างนั้น คนนี้เป็นอย่างนี้ จิตใจของเราก็กลายเป็นอันธพาลไป
ต้องเมตตาสงสารคนอื่นให้มาก... คนอื่นจะกิเลสมาก กิเลสน้อย ก็ช่างหัวมัน เราก็กลับมาแก้ที่จิตที่ใจของเรา ไม่ต้องไปแก้คนอื่น
อยู่ในโลกสังคมเมืองมนุษย์นี้ 'คนเห็นแก่ตัว' มันมีมาก... เปรียบเสมือนวัวตัวหนึ่งขนมันมีเยอะ เขามีแค่ ๒ เขา อย่างนี้เป็นต้น เราพยายามเอาพระพุทธเจ้าไว้เป็นหลัก แม้นพระรูปนั้นจะบวชมาหลายปีหลายพรรษา เป็นพระมัชฌิมา พระเถระ ถ้ามันไม่ดี ไม่ถูกต้อง เราก็เฉย เราถือว่าเป็นเรื่องของคนอื่น
พระพุทธเจ้าท่านก็ไม่ให้ย่อหย่อนอ่อนแอ ตั้งอยู่ในความประมาท เพราะบวชหลายปี หรือว่าเป็นพระเถระ ถ้าไม่ตั้งอกตั้งใจประพฤติปฏิบัติ ก็มีแต่สร้างกรรมให้แก่ตัวเองและเป็นแบบอย่างให้กับลูกศิษย์ลูกหาไม่ได้ สัจธรรม คือ ความจริง เค้าไม่ได้มีว่าพระเก่า พระใหม่ ถ้าใครไปจับไฟก็ร้อนทั้งพระใหม่ พระเก่า
พระพุทธเจ้าท่านให้ทุกคนมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ พยายามทำความดี ปฏิบัติหน้าที่ให้มีความสุข กายอยู่ที่ไหนก็ให้ใจมันอยู่ที่นั่น มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ ขาดสติ ๑ นาที ก็บ้า ๑ นาที อย่าไปหลงทางวัตถุ เราหลงมาหลายภพหลายชาติแล้ว พระพุทธเจ้าท่านว่าอย่าไปโง่ ให้วัตถุกามคุณมันเผาจิตเผาใจ ต้องหยุดตัวเอง อดกลั้นอดทน ถ้าเราไม่อดกลั้นอดทน จิตใจของเรานี้ไม่มีทางที่จะสงบ ไม่มีทางที่จะเย็นได้ เพราะจิตใจของเรามันตกอยู่ในอำนาจของความมืด คือกามคุณทั้งหลาย มันหลงวัตถุ ของออกมาใหม่ๆ มันก็ยิ่งหลง
รูปเวทนาสัญญาสังขารวิญญาณและอายตนะ ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน สิ่งที่จะดับทุกข์ได้แก้ปัญหาได้ ก็คืออริยมรรคมีองค์ ๘ เพราะคนเรานั้นต้องมีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้องเป็นอริยมรรคมันถึงจะแก้ปัญหาได้ สมณที่หนึ่งที่สองที่สามที่สี่ก็อยู่ที่มีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้องอยู่ในปัจจุบัน นี้เป็นความดับทุกข์ นี้เป็นพรหมจรรย์ เราจะไปตัดออกก็ไม่ได้ จะไปเพิ่มก็ไปได้ เมื่อเรามีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง มันจะเป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม ปัญญาเป็นสิ่งที่สำคัญที่ต้องเข้าสู่การปฏิบัติที่เป็นกิจกรรมที่เรียกว่าศีล เป็นสมาธิที่เรียกว่าสัมมาสมาธิ เป็นปัญญา เป็นอริยมรรคมีองค์ ๘ ในปัจจุบัน การประพฤติการปฏิบัติถ้าเราเข้าสู่ระบบก็เป็นมรรคเป็นผล เข้าสู่ความเป็นพระอริยเจ้า จึงต้องทำให้ถูกต้อง ถ้าไม่ถูกต้องมันก็ไม่ได้ผล
ดังนั้น ผู้บวชจึงต้องมีความเคารพรักในพระธรรมวินัยมากๆ มุ่งประพฤติปฏิบัติเพื่อขัดเกลาจริงๆ จึงจะได้ประโยชน์สูงสุดจากการบวช เพราะการบวชเป็นพระ เป็นสมณะนั้น เหมือนดาบสองคม ดังพระบาลีที่ว่า “กุโส ยถา ทุคฺคหิโต หตฺถเมวานุกนฺตติ สามญฺญํ ทุปฺปรามฏฺฐํ นิรยายูปกฑฺฒติ” หญ้าคาที่บุคคลจับไม่ดี ย่อมบาดมือฉันใด ความเป็นสมณะที่ลูบคลำไม่ดี คือประพฤติไม่ดี ย่อมฉุดคร่าลงในนรกฉันนั้น
บวชนานไม่นานไม่สำคัญเท่ากับการที่ได้บวชมาแล้ว มีเจตนาตั้งใจในการปฏิบัติอย่างจริงจังหรือไม่ พระบวชนานถ้าขี้เกียจขี้คร้านก็สู้พระใหม่ๆ ที่บวชระยะสั้นแต่ปฏิบัติจริงๆ ไม่ได้ โย จ วสฺสสตํ ชีเว กุสีโต หีนวีริโย เอกาหํ ชีวิตํ เสยฺโย วีริยํ อารภโต ทฬฺหํ ฯ ผู้มีความเพียรมั่นคง มีชีวิตอยู่วันเดียว ประเสริฐกว่าชีวิตตั้งร้อยปี ของผู้เกียจคร้าน ไร้ความเพียร
ดังที่พระพุทธองค์ตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย ตราบใดที่เธอไม่หมกมุ่นกับการงานมากเกินไป ไม่พอใจด้วยการคุยฟุ้งซ่าน ไม่ชอบในการนอนมากเกินควร ไม่ยินดีในการคลุกคลีด้วยหมู่คณะ ไม่เป็นผู้ปรารถนาลามก ไม่ตกอยู่ใต้อำนาจแห่งความปรารถนาชั่ว ไม่คบมิตรเลว ไม่หยุดความเพียรพยายามเพื่อบรรลุคุณธรรมสูงๆ ขึ้นไปแล้ว ตราบนั้น พวกเธอจะไม่มีความเสื่อมเลย จะมีแต่ความเจริญโดยส่วนเดียว เพราะฉะนั้นเราจึงต้องเอาพระธรรมวินัยเป็นหลัก เป็นใหญ่ เป็นที่พึ่ง เรียกว่าเป็น ธรรมาธิปไตย เราต้องไม่ประพฤติย่อหย่อน ไม่ลูบคลำในศีล ในข้อวัตรปฏิบัติ ไม่ลังเลสงสัยในพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระอริยสงฆ์ คลายความยึดมั่นถือมั่นในตัวตนของตน ชีวิตของเราจึงจะเป็นชีวิตที่ไม่สูญเปล่า ให้สมกับได้เป็นมนุษย์ผู้ที่ประเสริฐเกิดมาเพื่อพระนิพพานอย่างแท้จริง
แจกปัญญา แจกศาสนา แจกธรรมวินัย แจกสิ่งที่ถูกต้อง
เพื่อเดินตามรอยพระพุทธเจ้าร้อยเปอร์เซ็นต์
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
โดยทุกท่านสามารถติดตามเพิ่มเติมได้ที่
https://linktr.ee/watsubthawee
Share wisdom, spread Buddhism and its discipline.
Advocate righteousness to follow Lord of Buddha's footsteps 100%
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
You can receive new Dharma updates.
https://linktr.ee/watsubthawee