แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ในวันพฤหัสบดีที่ ๒๐ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๖
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง สั่งสมทรัพย์ภายใน ตอนที่ ๒๔ สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า ต้องเว้นขาดจากการทำเดรัจฉานวิชาและสายมูต่าง ๆ
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
พระพุทธเจ้าเป็นผู้ที่ประเสริฐ พระอรหันต์เป็นผู้ที่ประเสริฐ ศาสนานี้ท่านเป็นผู้ขลังเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์ ท่านไหนมีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง เอาธรรมเป็นหลัก เอาธรรมเป็นใหญ่ หยุดตัวเอง หยุดการเวียนว่ายตายเกิดของตัวเอง และบอกวิธีหยุดการเวียนว่ายตายเกิดของผู้อื่น แต่ทุกท่านต้องมาประพฤติมาปฏิบัติเอง เรื่องอภินิหารนั้นพระพุทธเจ้าท่านไม่ สรรเสริญหรอก เพราะถึงมีอภิญญาต่างๆ อย่างอภิญญา ๕
๑) อิทธิวิธญาณ แปลว่า ปัญญาในการแสดงฤทธิ์ได้ต่างๆ เช่น นิรมิตกายคนเดียวเป็นหลายคน หลายคนเป็นคนเดียว ล่องหน ดำดิน เดินน้ำ เป็นต้น คือผู้มีจิตเป็นสมาธิบริสุทธิ์ผ่องแผ้วแน่วแน่แล้ว ย่อมน้อมจิตไปเพื่ออิทธิวิธี และบรรลุอิทธิวิธีหลายประการ คือ คนเดียวเป็นหลายคนก็ได้ หลายคนเป็นคนเดียวก็ได้ ทำให้ปรากฏก็ได้ ทำให้หายก็ได้ ทะลุฝากำแพง ภูเขาไปได้ ผุดขึ้นดำลงในแผ่นดินเหมือนในน้ำก็ได้ เดินบนน้ำเหมือนเดินบนแผ่นดินก็ได้ เหาะไปในอากาศก็ได้ ลูบคลำพระจันทร์พระอาทิตย์ด้วยฝ่ามือก็ได้ ใช้อำนาจทางกายไปตลอดพรหมโลกก็ได้ เปรียบเหมือนช่างหม้อ หรือช่างงา หรือช่างทองผู้ฉลาด เมื่อต้องการภาชนะ หรือเครื่องงา หรือทองรูปพรรณอย่างใด ก็ย่อมทำสำเร็จได้
๒) ทิพพโสตธาตุญาณ แปลว่า ปัญญาคือเป็นผู้มีหูทิพย์, ญาณพิเศษที่ทำให้ฟังอะไรได้ยินหมดตามปรารถนา คือผู้มีจิตเป็นสมาธิบริสุทธิ์ผ่องแผ้วแน่วแน่แล้ว ย่อมน้อมจิตไปเพื่อทิพพโสตธาตุ สามารถได้ยินทั้งเสียงทิพย์และเสียงมนุษย์ ทั้งไกลและใกล้ เกินโสตของมนุษย์ เปรียบเหมือนคนที่ได้ยินเสียงกลอง เสียงตะโพน เป็นต้น แต่ไกลๆ ก็รู้ได้ว่านั่น เป็นเสียงกลอง เสียงตะโพน เป็นต้น
๓) เจโตปริยญาณ แปลว่า ปรีชากำหนดรู้ใจผู้อื่นได้, รู้ใจผู้อื่นอ่านความคิดของเขาได้ เช่น รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ ใจเขาเศร้าหมองหรือผ่องใส เป็นต้น คือผู้มีจิตเป็นสมาธิบริสุทธิ์ผ่องแผ้วแน่วแน่แล้ว ย่อมน้อมจิตไปเพื่อเจโตปริยญาณ สามารถกำหนดรู้ใจของสัตว์หรือบุคคลอื่นด้วยใจ เช่น จิตมีราคะ ก็รู้ว่าจิตมีราคะ ฯลฯ หรือจิตไม่หลุดพ้น ก็รู้ว่าจิตไม่หลุดพ้น เปรียบเหมือน หญิงชายที่ชอบการแต่งตัว เมื่อส่องกระจกดูเงาหน้าของตน ถ้าหน้ามีไฝ ก็รู้ว่าหน้ามีไฝ หรือหน้าไม่มีไฝ ก็รู้ว่าหน้าไม่มีไฝ
๔) ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ แปลว่า ความรู้เป็นเครื่องระลึกได้ถึงปุพเพนิวาส คือขันธ์ที่เคยอาศัยอยู่ในก่อน, ระลึกชาติได้ คือผู้มีจิตเป็นสมาธิบริสุทธิ์ผ่องแผ้วแน่วแน่แล้ว ย่อมน้อมจิตไปเพื่อบุพเพนิวาสานุสสติญาณ สามารถระลึกชาติก่อนได้เป็นอันมาก คือ ระลึกได้หนึ่งชาติบ้าง สองชาติบ้าง... จนกระทั่งตลอดสังวัฏฏกัปวิวัฏฏกัปบ้าง ว่าในภพโน้นเราเป็นอย่างนั้นๆ เมื่อสิ้นอายุแล้ว จุติจากภพโน้นไปเกิดในภพนั้น เป็นอย่างนั้นๆ จนสิ้นอายุ จึงจุติจากภพนั้นมาเกิดในภพนี้ เปรียบเหมือนคนที่ระลึกได้ว่า ได้จากบ้านตนไปบ้านโน้น ในบ้านนั้น ได้ทำอย่างนั้นๆ แล้วได้จากบ้านนั้นไปยังบ้านโน้น ได้ทำอย่างนั้นๆ แล้วกลับจากบ้านนั้น มาสู่บ้านของตนตามเดิม
๕) ทิพพจักขุญาณ แปลว่า จักษุทิพย์, ตาทิพย์, ญาณพิเศษของพระพุทธเจ้า และท่านผู้ได้อภิญญาทั้งหลาย ทำให้สามารถเล็งเห็นหมู่สัตว์ที่เป็นไปต่างๆ กันเพราะอำนาจกรรมเรียกอีกอย่างว่า จุตูปปาตญาณ คือผู้มีจิตเป็นสมาธิบริสุทธิ์ผ่องแผ้วแน่วแน่แล้ว ย่อมน้อมจิตไป เพื่อรู้จุติและอุบัติของสัตว์ทั้งหลาย ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ เกินจักษุของมนุษย์ รู้ชัดว่าหมู่สัตว์ย่อมเป็นไปตามกรรม ผู้ที่ประกอบอกุศลกรรมด้วยมิจฉาทิฏฐิ ตายแล้วย่อมไปสู่ทุคติ นรก ส่วนผู้ที่ประกอบกุศลกรรมด้วยสัมมาทิฏฐิ ตายแล้วย่อมไปสู่สุคติโลกสวรรค์ เปรียบเหมือนคนที่ยืนอยู่บนปราสาทตั้งอยู่ ณ ทาง ๓ แพร่งกลางพระนคร ย่อมมองเห็นหมู่ชนเบื้องล่าง รู้ได้ว่าคนเหล่านั้นกำลังไปไหนทางไหนอย่างไร
ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่วัดเชตวัน เมืองสาวัตถี ทรงปรารภภิกษุผู้กระสันอยากสึกเพระเห็นสาวงามรูปหนึ่งจึงตรัสให้โอวาทว่า "ภิกษุ..ธรรมดากิเลสย่อมไม่มีความชื่นบาน มีแต่จะให้ตกนรก กิเลสทำให้เธอลำบากเหมือนลมพัดภูเขา ทำให้ใบไม้เก่า ๆ กระจัดกระจายได้ โบราณบัณฑิตได้อภิญญา ๕ สมาบัติ ๘ แล้ว ยังเสื่อมจากฌานได้ด้วยอำนาจกิเลส" แล้วได้ตรัสอดีตนิทานสาธกว่า
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว พระโพธิสัตว์เกิดในตระกูลพราหมณ์มั่งคั่งตระกูลหนึ่งมีนามว่า หาริตกุมาร เมื่อเติบโตแล้วได้ไปศึกษาศิลปวิทยาที่เมืองตักกสิลา อยู่ต่อมาเมื่อมารดาบิดาเสียชีวิตแล้วมีความคิดว่า "ทรัพย์เท่านั้นตั้งอยู่ได้ ส่วนผู้ทำให้ทรัพย์เกิดหาตั้งอยู่ไม่ได้ จะมีประโยชน์อะไรด้วยการครองเรือนเล่า"
กลัวต่อความตายได้ให้ทานเป็นการใหญ่แล้วเข้าป่าไปบวชเป็นดาบส มีเผือกมันและผลไม้เป็นอาหาร บำเพ็ญเพียรเป็นเวลานานหลายปี จนได้อภิญญา ๕ และสมาบัติ ๘ จึงลงจากเขามาเที่ยวภิกขาจารในเมืองพาราณสี พระราชาเลื่อมใสจึงนิมนต์ให้จำพรรษาอยู่ในสวนหลวงเป็นเวลา ๑๒ ปี ตลอดเวลาที่จำพรรษาอยู่ที่สวนหลวง ทุกเช้าดาบสจะไปรับอาหารในพระราชวังเป็นประจำ
อยู่มาวันหนึ่ง พระราชาเสด็จไปปราบกบฎชายแดน จึงมอบหน้าที่ถวายอาหารให้พระเทวีทรงแต่งโภชนาไว้เรียบร้อยแล้ว เมื่อดาบสยังช้าอยู่ จึงสนานด้วยน้ำหอมแล้วทรงพระภูษาเลี่ยนเนื้อละเอียดรับสั่งให้เผยสีหบัญชร (หน้าต่าง) ประทับอยู่บนเตียงให้ลมพัดพระวรกายอยู่
ฝ่ายดาบสได้เหาะมาทางอากาศผ่านมาทางสีหบัญชรพอดี พระเทวีได้ยินเสียงเปลือกไม้กระทบกันก็ทราบว่าดาบสมาถึงแล้ว จึงรีบลุกขึ้น ขณะนั้นเองพระภูษาได้เลื่อนหลุดหล่นลง ทำให้ร่างกายของนางถูกดาบสเห็นทั้งหมด เป็นเหตุให้กิเลสของดาบสกำเริบขึ้น ทำให้ฌานเสื่อมทันที ดาบสไม่สามารถควบคุมสติไว้ได้จึงเข้าไปจับพระหัตถ์ของพระนางแล้วคนทั้งสองก็เสพโลกธรรมกัน ดาบสหลังจากรับอาหารแล้วก็เดินกลับสวนหลวงไปตั้งแต่วันนั้นมาคนทั้งสองก็เสพโลกธรรมกันทุกวัน
ข่าวที่ดาบสเสพโลกธรรมกับพระเทวีได้แพร่สะพัดไปทั่วพระนคร พวกอำมาตย์ก็ส่งหนังสือไปกราบทูลพระราชา พระองค์ไม่ทรงเชื่อว่าจะเป็นไปได้ เมื่อปราบกบฎเสร็จแล้วพระราชาก็เสด็จกลับเมือง เข้าไปห้องพระเทวีสอบถามความเป็นจริง พระเทวีทูลว่าจริง พระองค์ก็ยังไม่ทรงเชื่อจึงเสด็จไปหาดาบสตรัสถามความจริง
ดาบสคิดว่า "ถ้าเราบอกว่าไม่เป็นความจริงพระราชาก็ทรงเชื่อ แต่ที่พึ่งที่ดีที่สุดคือคำสัตย์" จึงทูลว่า "ขอถวายพระพรพระองค์ได้สดับมานั้นเป็นความจริง อาตมาหมกมุ่นอยู่ในอารมณ์แห่งความหลงผิดเสียแล้วละ"
พระราชาสดับแล้วตรัสว่า "ปัญญาที่ละเอียดคิดสิ่งที่เป็นประโยชน์ เป็นเครื่องบรรเทาราคะของท่านมีไว้เพื่อประโยชน์ อะไร ท่านไม่อาจใช้ปัญญาบรรเทาความคิดที่แปลกได้หรือ"
ดาบส "มหาบพิตร กิเลส ๔ อย่างคือราคะ โทสะ โมหะ และมทะ เป็นของที่มีกำลังกล้า หยาบคายในโลก ยากที่ปัญญาจะหยั่งถึงได้"
พระราชา "โยมได้ยกย่องท่านเป็นพระอรหันต์ มีศีลเป็นบัณฑิต เบียดเบียนแม้ผู้มีปัญญาโดยแท้"
พระราชาพูดกระตุ้นดาบสว่า "ความกำหนัดเกิดในกายทำลายผิวพรรณของท่าน ท่านจงพยายามทำลายความกำหนัดของท่านนั้นเสียเถิด"
ดาบสได้สติกลับคืนมาแล้วกล่าวเป็นคาถาว่า "กาลเหล่านั้นทำแต่ความมืดให้ มีทุกข์มาก มีพิษใหญ่หลวง อาตมาจักค้นหามูลรากแห่งกามเหล่านั้นจักตัดความกำหนัดพร้อมเครื่องผูกเสีย"
ว่าแล้วก็ขอโอกาสปฏิบัติธรรมในบรรณศาลาพิจารณาดวงกสิณ ยังฌานที่เสื่อมให้เกิดขึ้นได้แล้ว เหาะขึ้นสู่อากาศแสดงธรรมแก่พระราชาแล้วขออำลากลับเข้าป่าตามเดิม
เพราะถึงมีอภิญญาต่างๆ อย่างอภิญญา ๕ ก็ยังมีความแก่ มีความเจ็บ มีความตาย มีพลัดพราก นั่นถือว่าเป็นสายมู เป็นความมีอวิชชามีความหลง ให้ประชาชนคนทั้งโลกเข้าใจว่า พระพุทธเจ้าท่านขลังอย่างนี้ ท่านศักดิ์สิทธิ์อย่างนี้ ท่านมีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง ตามอริยะมรรคมีองค์ ๘ สมณะที่ ๑-๔ นั้นจะพาเราขลัง พาเราศักดิ์ พาเราสิทธิ์ เพื่อหยุดเวียนว่ายตายเกิด เพื่อหยุดพลังงาน เพื่อดำเนินชีวิตประจำวัน พัฒนาวิทยาศาสตร์ สร้างเหตุสร้างปัจจัยจากเหลือกินเหลือใช้ ไม่ทำบาปสร้างแต่บุญสร้างแต่กุศล เทคแคร์ตัวเอง เข้าหาธรรมะ เทคแคร์คนอื่น ไม่ว่าหมู่มวลมนุษย์เทวดา เป็นผู้มีเมตตาเป็นผู้มีความกรุณา เป็นผู้สงบเย็น เป็นแอร์คอนดิชั่น ทำอย่างนี้ ปฏิบัติอย่างนี้ เราถึงจะมีความสุข ครอบครัวเราถึงจะมีความสุข
การปฏิบัติไม่ได้จะเอาแต่สมาธิอย่างเดียว เอากิจกรรมคือศีล เอาสมาธิคือความตั้งมั่น ติดต่อต่อเนื่องในปัจจุบัน เพราะรู้วิธีความดับทุกข์ไม่ได้อยู่ที่ไกล ที่ใกล้ อยู่ที่ใจของเราเอง นี้คือความสุขของหมู่มวลมนุษย์ทั้งหลาย ไม่เกี่ยวกับคนจน คนรวย ไม่เกี่ยวกับ ชาติ ศาสนา เพราะเราทำอย่างนี้ปฏิยัติอย่างนี้ ทุกคนทำได้ปฏิบัติได้ ทุกคนต้องดำเนินอย่างนี้ ช่วยเหลือตัวเอง ถึงจะส่งไม้ผลัดให้ลุกให้หลาน เราเป็นพระก็จะได้เป็นพระที่แท้จริงไม่ได้เป็นแต่แบรนด์เนม เป็นแต่เครื่องหมาย มีศาสนาก็มีศาสนาจริงๆ พุทธ คริสต์ อิสลาม พราหมณ์ ฮินดู ก็ไปในทางเดียวกันนี้แหละ ไม่ได้ไปทางอื่นหรอก นรก สวรรค์ นิพพาน ก็อันเดียวกันนี้แหละ ทุกคนต้องมีความสมัครสมานสามัคคีกัน หยุดแย่งขยะกัน หยุดแย่งอวิชชาความหลงกัน
ปัญหาของศาสนาพุทธในไทย คือ พระ จำนวนไม่น้อย ที่ไม่ทำตามคำสอนของพระพุทธเจ้า มันจึงบิดเบี้ยวกันไปหมด ตั้งแต่เริ่มเลย
วัดต่างๆ…กลายเป็นสถานที่ขอโชค…ขอลาภ วัดพุทธในไทย มีเทพของศาสนาอื่น เต็มไปหมด แถมพระ ส่งเสริมการอ้อนวอน ขอพรจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ อันเป็นมิจฉาทิฏฐิ(ความเห็นผิด) แทนที่ จะเป็นสถานที่ศึกษาธรรม ทุกวันนี้ วัดพุทธในไทย แทบจะเป็นเทวนิยมไปแล้ว
พระทำเดรัจฉานวิชา ปลุกเสกเครื่องรางของขลังขาย เน้นพุทธพานิช คนไทยพุทธ มองเป็นเรื่องปกติ ทั้งที่เป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าสั่งห้ามไว้ในพระวินัย ว่า เดรัจฉานวิชา (การปลุกเสกเลขยันต์ทุกชนิด)คือ สิ่งที่ภิกษุต้องเว้นขาด แค่เรื่องพระวินัย พระยังรักษาไม่ได้เลย จะไปเอาเรื่องอื่น ได้อย่างไร
สุดท้ายคนก็เข้าใจผิด ว่าทั้งการไหว้ ขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ทั้งการทำของปลุกเสก กลายเป็นส่วนหนึ่งของ ศาสนาพุทธไปแล้ว ทั้งที่สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่พระพุทธเจ้าปฏิเสธ
พระนักเทศน์บางคน เทศน์แต่ คำคม ที่ไม่ได้มีสาระให้แง่คิดอะไรมากนักอันเป็นคำคม ที่หาได้ทั่วไป ในอินเทอร์เน็ตทั้งนั้น คำสอนพระพุทธเจ้า มีหลายระดับ ระดับฆราวาสครองเรือน พระพุทธองค์ ก็มีสอนไว้ แต่ไม่เทศน์ ไปเทศน์แบบเอามันฮา เป็นหลัก
การบวช ก็เป็นเพียง ประเพณีนิยม คนไทยถือความเชื่อกันว่า ชายไทยพุทธ อายุ 20 ต้องบวช ซึ่งเป็นความเขื่อที่ผิด พระพุทธเจ้าไม่เคยบัญญัติ ไม่เคยบังคับใครให้บวช คนที่บวช คือ คนที่จะมาฝึกตน เพื่อให้ตนพ้นทุกข์ บวชเพื่อสละ ละวาง
คณะสงฆ์ไทยมีปัญหา คณะสงฆ์ไทยมีปัญหา มียศ (สมณศักดิ์) มีอำนาจ มีเงินเดือน ตามยศ พระจึงบ้ายศ ถือตัว ถือยศ ถือศักดิ์ แทนที่ จะบวชมาเพื่อทำลายอัตตา แต่ กลับมาบวช เพื่อเพิ่มสั่งสมอัตตา และ สะสมกิเลส ตัณหา อุปาทาน ปากพร่ำสอน แต่ ตัวเองก็ไม่ปฏิบัติตามคำสอน
มันบิดเบี้ยวไปหมด ตั้งแต่ต้น พระส่วนใหญ่ จึงทำผิดกันจนกลายเป็นเรื่องปกติ ประพฤติตน ห่างจากคำสอนของพระพุทธเจ้า กันไปเรื่อยๆ กลายเป็นว่า คนที่บวช ไม่ได้มีใจใฝ่ในธรรมแต่อย่างใด เพียงบวชตามประเพณี หรือ บวชเข้ามาเพื่อประกอบอาชีพนักบวช เพื่อ หาเงิน หายศ หาอำนาจ การห่มผ้าเหลืองโกนหัว ไม่ได้ทำให้เกิดพุทธานุสติ-ธรรมานุสติ-สังฆานุสติ
จึงพบพระทำผิดวินัย มากมายในสังคมไทย พระทำเดรัจฉานวิชา ตั้งวงเหล้า เสพยา มีสัมพันธ์กับสีกา เป็นต้น เมื่อพระเป็นแบบนี้ ญาติโยมจะไปเหลืออะไร
สรุป ก็คือคนไทย ที่อ้างตัวว่าเป็นไทยพุทธ โดยส่วนใหญ่ ไม่ได้สนธรรมะ ไม่ได้สนคำสอนของพระพุทธองค์ สนแค่ว่าอะไรศักดิ์สิทธิ์ก็จะไปกราบไหว้-บูชา-ขอพร เพื่อหวังว่า ตัวเองจะได้สิ่งที่ปรารถนาตามกิเลสตัณหาของตนเท่านั้น มีตรรกะที่บิดเบี้ยว ทำบุญกันก็เพื่อหวังสวรรค์ ไม่ได้สนใจเรื่องการดับทุกข์
สุดท้ายคนรุ่นใหม่ ก็สับสน กับการกระทำของพระ และ ผู้ใหญ่ เลยมองว่าศาสนาพุทธ เป็นเรื่องงมงายไร้สาระ ผิดหวังกับการกระทำของพระ ผิดหวังกับทัศนคติแย่ๆของผู้ใหญ่ จึงเข้าไม่ถึงข้อมูลที่แท้จริงว่าศาสนาพุทธโดยแท้นั่นเป็นยังไง สุดท้ายก็เลือกที่จะละทิ้ง และ ไม่นับถือศาสนา
นี่คือ วิกฤติของพระพุทธศาสนา ในประเทศไทยอย่างแท้จริง ถ้าไม่รีบแก้ไข สักวัน คนรุ่นใหม่ก็จะละทิ้ง และ พระพุทธศาสนา ก็จะต้องเลือนหายไปก่อนเวลาอันสมควร (ขอขอบพระคุณเจ้าของข้อความดีๆ นี้ด้วย)
การที่เราจะบำรุงพระพุทธศาสนานี่ก็ต้องไปตามหลักคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ด้วยการประพฤติการปฏิบัติ ที่เราชอบไปทำพระจำหน่าย ทำอะไรเพื่อบำรุงวัด บำรุงพระศาสนา พระจำหน่ายขายผ้ายันต์ ขายเหรียญ มันเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง อันนี้ไม่ใช่จุดประสงค์ของพระพุทธเจ้า เรามักง่ายเกิน มันไม่ใช่วัดแต่ละวัด ทั้งวัดหลวง วัดราษฎร์ มันทำกันไม่ถูกเนอะ เตลิดเปิดเปิง พากันเป็นหมอดู หมอไสยศาสตร์ อย่างนี้ไม่ใช่ แถมยังพากันอวดอุตริมนุษธรรมสิ่งที่ทั้งมีในตน ไม่มีในตน อย่างนี้ถึงแม้เราจะมีเงินเป็นหมื่นล้าน หรือหลายหมื่นล้าน เรามีช่อฟ้า มีอะไรอยู่นี่มันก็ไม่ใช่ศาสนาเจริญ
พระที่ตกอยู่ในจำพวกพระมนต์ดำ ได้แก่พวกที่เรียนวิชาไสยศาสตร์เรียนเวทมนตร์คาถา ยินดีในเครื่องรางของขลัง บางท่านถึงกับลงทุนไปสักลาย ฝังตะกรุด ไปเรียนวิธีปลุกเสกว่าทำอย่างไรถึงขลังถึงศักดิ์สิทธิ์ ร่ำเรียนวิธีเขียนตะกรุดเขียนผ้ายันต์ว่าทำอย่างไรถึงขลัง สนใจอ่านตำราหมอดู ดูฮวงจุ้ย เรียนดูลายมือ ดูฤกษ์ ดูดวง บอกเลขใบ้หวย นี้เป็นมนต์ดำไม่ใช่คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ตามความเป็นจริงแล้วพระพุทธเจ้าไม่ให้เรียน ถือว่าเป็นดิรัจฉานวิชา เป็นวิชาที่ขวางกั้นทางสวรรค์มรรคผลนิพพาน
มหาศีล เป็นพระวินัยที่มุ่ง ห้ามพระภิกษุไม่ให้เลี้ยงชีพด้วยติรัจฉานวิชาต่าง ๆ ดังต่อไปนี้
๑. เว้นขาดจากการเลี้ยงชีพผิดด้วยติรัจฉานวิชา นับตั้งแต่การทางอวัยวะ เช่น ทายลายมือลายเท้าการทายนิมิต เช่นทายลางบอกเหตุ ทายฟ้าผ่า ทำนายฝัน ทำนายหนูกัดผ้า การทำพิธีบูชาไฟ พิธีเบิกแว่นเวียนเทียน (จุดเทียนที่ติดบนแว่นเวียนเทียน แล้วส่งกันต่อ ๆ เพื่อเป็นการทำขวัญ) พิธีชัดแกลบบูชาไฟ พิธีชัดข้าวสารบูชาไฟ พิธีเติมเนยบูชาไฟ พิธีเติมน้ำมันบูชาไฟ พิธีเสกเป่าบูชาไฟ การทำพลีกรรม(บวงสรวงด้วยโลหิต เป็นหมอดูลักษณะที่ทั้งบ้าน ดูลักษณะที่นา เป็นหมอปลุกเสก หมอผี หมอลงเลขยันต์คุ้มกันบ้านเรือน หมองู หมอยาพิษ หมอแมงป่อง หมอรักษาแผลหนูกัด หมอทายเสียงนก หมอทายเสียงกาหมอทายอายุ หมอเสกกันลูกศร หมอทายเสียงสัตว์ ดังนี้เป็นต้น
๒. เว้นขาดจากการเลี้ยงชีพผิดด้วยติรัจฉานวิชา นับตั้งแต่การทายลักษณะแก้วมณี ลักษณะไม้พลองลักษณะศาสตรา ลักษณะดาบ ลักษณะศร ลักษณะธนู ลักษณะอาวุธ ลักษณะสตรี ลักษณะบุรุษ ลักษณะกุมาร ลักษณะกุมารี ลักษณะทาส ลักษณะทาส ลักษณะช้าง ลักษณะม้า ลักษณะกระบือ ลักษณะโคอุสภะ(วัวผู้) ลักษณะโค ลักษณะแพะ ลักษณะแกะ ลักษณะไก่ลักษณะนกกระทา ลักษณะเหี้ย ลักษณะตุ่นลักษณะเต่า และลักษณะมฤค (กวางและสัตว์ป่าทั้งหลาย)
๓. เว้นขาดจากการเลี้ยงชีพผิดด้วยติรัจฉานวิชา ด้วยการดูฤกษ์ยาตราทัพ ให้พระราชาว่า ควรจะยกทัพเข้าประชิดศัตรูเมื่อใด ควรจะถอยทัพเมื่อใด ถ้ายกทัพไปเวลาใดจะมีชัยชนะ ยกไปเวลาใดจะปราชัย เพราะเหตุใด เป็นต้น
๔. เว้นขาดจากการเลี้ยงชีพผิดด้วยติรัจฉานวิชา โดยการพยากรณ์ว่า จะมีจันทรคราส สุริยคราสอุกกาบาต ดาวหางแผ่นดินไหว ฟ้าร้อง หรือพยากรณ์ว่า ดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ และดาวนักษัตรจะขึ้นหรือตกเมื่อใด จะเดินถูกทางหรือผิดทางจะมัวหมองหรือกระจ่าง หรือพยากรณ์ว่า จันทรคราส สุริยคราสดาวนักษัตรจะมีผลอย่างไร เป็นต้น
๕. เว้นขาดจากการเลี้ยงชีพผิดด้วยติรัจฉานกถา โดยการพยากรณ์ว่า ฝนจะดีหรือแล้ง พืชพันธุ์ธัญญาหารจะสมบูรณ์หรือขาดแคลน จะเกิดภัยพิบัติ โรคระบาดต่าง ๆ หรือไพร่ฟ้าประชาชนจะมีความสมบูรณ์พูนสุขกันทั่วหน้า เป็นต้น
๖. เว้นขาดจากการเลี้ยงชีพผิดด้วยติรัจฉานวิชา โดยการให้ฤกษ์อ์าวาหมงคล ให้ฤกษ์วิวาห์มงคลดูฤกษ์เรียงหมอน(ฤกษ์เนื่องในพิธีปูที่นอนบ่าวสาว) ฤกษ์หย่าร้าง ฤกษ์เก็บทรัพย์ฤกษ์จ่ายทรัพย์ ดูโชคดีดูเคราะห์ร้าย ร่ายมนต์ให้ลิ้นกระด้างร่ายมนต์ให้คางแข็ง ร่ายมนต์ให้มือสั่น ร่ายมนต์ไม่ให้หูได้ยินเสียงร่ายมนต์พ่นไฟ ร่ายมนต์ขับผี เป็นหมอเสน่ห์ เป็นผู้บวงสรวงพระอาทิตย์ ผู้บวงสรวงท้าวมหาพรหมทำพิธีเชิญขวัญ เป็นต้น
๗. เว้นขาดจากการเลี้ยงชีพผิดด้วยติรัจฉานวิชา โดยการทำพิธีบนบาน พิธีแก้บน พิธีขับผี สอนมนต์ป้องกันบ้านเรือนทำกะเทยให้กลับเป็นชาย ทำชายให้กลายเป็นกะเทย ทำพิธีปลูกเรือน พิธีบวงสรวงพื้นที่พ่นน้ำมนต์ รดน้ำมนต์ ทำพิธีบูชาไฟ ปรุงยาสำรอก ยาถ่าย ยาแก้ปวดศีรษะ หุงน้ำมันหยอดหู ปรุงยาตายานัตถุ์ ยาทากัด ยาทาสมาน ป้ายยาตา ทำการผ่าตัด รักษาเด็ก ใส่ยา ชะแผล เป็นต้น
ในที่นี้มีคำว่า ติรัจฉานวิชา ๒ คำว่า “ติรัจฉาน” แปลว่า“ไปขวาง” ดังนั้น “ติรัจฉานวิชา” จึงมีความหมายว่าวิชาเหล่านี้ “ขวาง” หรือ “ไม่เข้ากับความเป็นสมณะ” มิได้หมายความว่าเป็นวิชาของสัตว์ติรัจฉาน ๓ ดังนั้นถ้อยคำที่พระไม่ควรพูด จึงจัดเป็นติรัจฉานกถา คือ ถ้อยคำที่ขวางหรือขัดกับความเป็นพระวิชาที่พระไม่ควรเกี่ยวข้อง จึงจัดเป็นติรัจฉานวิชา คือ วิชาที่ขวางหรือขัดกับความเป็นพระ
ถ้าเราปฏิบัติดีปฏิบัติชอบตามพระธรรมคำสั่งสอนขอพระพุทธเจ้าแล้ว ความขลังความศักดิ์สิทธิ์ก็จะเกิดมีขึ้นมาเอง มันเป็นผลพลอยได้ สำหรับพระภิกษุสามเณรเราเข้ามาในสายตรงแล้วไม่น่าจะไปยุ่งเกี่ยวในสิ่งเหล่านี้ ถ้าเรามายุ่งเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ แสดงว่าเราไม่เอามรรคผลนิพพานแล้ว เราจะเอาทางข้าวของเงินทอง ที่ทำตัวเป็นผู้ขลังศักดิ์สิทธิ์บางทีมันไม่ขลังจริงหลอกลวงชาวบ้าน พูดไปหลับตาเคร่งๆ ขรึมๆ ไป เคี้ยวหมากไป ทำเป็นกำหนดวาระจิตทำให้เขาเลื่อมใส ทำอย่างนี้พระเณรที่มาบวชภายหลังจะเข้าใจว่าสิ่งเหล่านี้เป็นพระพุทธศาสนา ญาติโยมที่ยังไม่เข้าถึงพระรัตนตรัย เห็นพระขลังๆ เคร่งๆ ขรึมๆ ก็หมอบคลานเข้ามาเป็นแถวๆ การที่เราปั้นรูปพระ ทำรูปเหรียญครูบาอาจารย์ รูปพระสมเด็จพระพุทธเจ้านี้เป็นสิ่งที่ถูกต้องไม่ผิด เพื่อจะแจกให้ญาติโยมได้ไว้ไปบูชาหรือติดตัวเพื่อระลึกถึงพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ เพื่อจะได้สร้างคุณงามความดี ถ้าเราเอาไปจำหน่ายเอาไปขาย ตั้งราคาองค์นั้นราคาเท่านี้องค์นี้ราคาเท่านั้นชื่อว่ามันผิดทางแล้ว มันเป็นการค้าขายเป็นพาณิชย์ไป มันไม่ใช่ความเสียสละจริง ไม่ใช่เมตตาจริง ไม่ใช่พระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว.
พระพุทธเจ้าตรัสว่า "พระจันทร์และพระอาทิตย์ไม่ได้ร้อนแรงและรุ่งเรืองด้วยรัศมีเพราะโทษมลทิน ๔ ประการ คือ หมอก ควัน ธุลี และอสุรินทราหู กำบังฉันใด ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ จะไม่มีตบะรุ่งเรืองด้วยศีล เพราะโทษมลทิน ๔ ประการปิดบังไว้ คือ ดื่มสุราเมรัย เสพเมถุนธรรม ยินดีรับเงินและทองอันเป็นเหมือนภิกษุนั้นยินดีบริโภคซึ่งกามคุณ และภิกษุเลี้ยงชีพในทางมิชอบด้วย เวชชกรรม กุลทูสกะ (ประจบเอาใจคฤหัสถ์ด้วยอาการอันผิดวินัย) อเนสนา (การหาลี้ยงชีพในทางที่ไม่สมควรภิกษุ) และวิญญัติ (ขอสิ่งของต่อคฤหัสถ์ผู้ที่ไม่ญาติ ผู้ไม่ใช่คนปวารณา) พร้อมด้วยกล่าวอวดอุตตริมนุษย์ธรรม อันไม่มีจริง"
เราต้องรับฟังความจริงจากพระพุทธเจ้า ที่พระพุทธเจ้าสอนน่ะ เพราะเราจะได้ถือนิสัยถือพระวินัยของพระพุทธเจ้า ประชาชนต้องพากันรู้ไว้ อย่าให้พระหลอกลวงพูดแต่เรื่องสวรรค์ อานิสงส์ของสวรรค์ เพื่อให้โยมถวายเงินถวายของ สร้างโบสถ์ สร้างวิหาร สร้างเจดีย์ สร้างพระใหญ่อะไรอย่างนี้ อย่าไปหลงในพระพวกหมอดูหมอทำนาย พวกไสยศาสตร์ต่างๆ พวกของขลังพวกศักดิ์สิทธิ์ มันขลังจริงอยู่ศักดิ์สิทธิ์จริงอยู่ แต่ไม่ใช้เรื่องดับทุกข์ ไม่ใช่ทางนิพพาน ไม่ใช่คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า มันเป็นสายของพระเทวทัต พระพุทธเจ้าถึงไม่ยกพระมหาโมคคัลลานะขึ้นเป็นสาวกฝ่ายขวา เพราะมีฤทธิ์มีอภินิหารเยอะ
เพราะฉะนั้น ครูบาอาจารย์จึงพูดเรื่องจิตเรื่องใจ แต่ไม่พูดเรื่องอภินิหาร จะพูดแต่เรื่องจิตเรื่องใจทุกคนให้เข้าใจ ถึงคราวแล้วถึงเวลาแล้วที่ท่านผู้ที่เป็นภิกษุ ภิกษุณี ทั้งประชาชน พากันเข้าใจเราจะได้ประพฤติพรหมจรรย์แท้ๆ ท่านจะห่มผ้าสีกลัก สีแก่นขนุน ที่ตามโรงงานที่เค้าทำมาก็ไม่สำคัญ มันสำคัญอยู่ที่ท่านมีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง มันต้องเป็นศีล เป็นสมาธิ เป็นปัญญาอย่างนี้ อันนี้มันเป็นธรรมชาติเป็นกฎของธรรมชาติ เราจะได้ไม่พากันหลงงมงาย เราจะได้พากันประพฤติพรหมจรรย์ ทั้งบรรพชิต นักบวช ประชาชนผู้อยู่ที่บ้านผู้ครองเรือน โยมก็มีศีล ๕ ศีล ๘ พระก็มีศีล ๒๒๗ ที่มาในพระปาฏิโมกข์ ในพระไตรปิฏก ๒๑,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ อย่างนี้
แจกปัญญา แจกศาสนา แจกธรรมวินัย แจกสิ่งที่ถูกต้อง
เพื่อเดินตามรอยพระพุทธเจ้าร้อยเปอร์เซ็นต์
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
โดยทุกท่านสามารถติดตามเพิ่มเติมได้ที่
https://linktr.ee/watsubthawee
Share wisdom, spread Buddhism and its discipline.
Advocate righteousness to follow Lord of Buddha's footsteps 100%
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
You can receive new Dharma updates.
https://linktr.ee/watsubthawee