แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ในวันเสาร์ที่ ๑๕ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๖
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง สั่งสมทรัพย์ภายใน ตอนที่ ๒๒ ใช้น้ำทิพย์คือธรรมะ ขันติและเมตตา มาดับความร้อนกายร้อนใจทั้งปวง
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
การภาวนา การปฏิบัติธรรม พระพุทธเจ้าท่านให้เราทุกท่านทุกคนตั้งอยู่ในความเมตตา เมตตาตนเองด้วยการนำตนเองประพฤติปฏิบัติธรรม เมตตาคนอื่นรักคนอื่น เพราะเราทุกคนล้วนมีความทุกข์ทางกาย ทุกข์ทางใจ ทุกข์ในการดำรงชีพ ทุกข์จากญาติพี่น้องวงศ์ตระกูล ทุกคนต้องได้รับความรักความเมตตาจากเรา ทุกท่านทุกคนต้องกลับมาดูตัวเองว่าตนเองมีเมตตาหรือยัง เพราะว่า “เมตตาธรรมเป็นเครื่องค้ำจุนโลก” ตัวเองก็ได้เป็นผู้ที่มีความสุขก่อนคนอื่น คนเราถ้าไม่มีเมตตามันมีความทุกข์มาก คนเราถ้าไม่มีเมตตา มองดูอะไรมันก็ขวางหูขวางตาไปหมด ใครทำอะไรก็ไม่ถูกอกถูกใจ
พระพุทธเจ้าที่ได้เป็นพระพุทธเจ้าก็เพราะท่านมีพระเมตตาธิคุณ มีพระกรุณาธิคุณ มีพระปัญญา พระบริสุทธิคุณ
ที่เราอยู่ในวัด อยู่ในครอบครัวของเรา อยู่ในที่ทำงาน หรือว่าเราอยู่ในที่ทุกหนทุกแห่ง ประการแรกต้องมาเริ่มต้นอยู่ที่เราต้องมีความเมตตา ที่เรามีชีวิตอยู่ได้ก็เพราะเราได้รับความเมตตาจากคุณพ่อคุณแม่ผู้มีพระคุณทั้งหลาย ทุกคนจึงจำเป็นต้องได้เจริญเมตตามากๆ ถ้าเรามีเมตตา ทุกๆ คนก็รักเรา สัตว์ต่างๆ นานาก็รักเรา พวกเพื่อนฝูงหมู่คณะรุ่นพี่รุ่นน้องก็รักเราหมด สิ่งที่ทุกคนต้องการในโลกนี้ก็คือความเมตตา แม้แต่พวกภูตผีปีศาจ พวกเทวดาเขาก็รักเคารพนับถือผู้ที่เมตตา
ดูตัวอย่างพระเทวทัตผู้ที่มีความโกรธ มีความพยาบาท ให้เขาปล่อยช้างตกมันให้มาทำร้ายพระพุทธเจ้า แต่ช้างไม่ทำร้ายพระพุทธเจ้าเลย กลับวิ่งมาแล้วก็มาหมอบลงที่พระบาท ถวายความเคารพพระพุทธเจ้า เพราะเหตุใด ? เพราะพระพุทธเจ้าท่านมีเมตตา
ความเมตตานี้จึงเป็นสิ่งที่สำคัญ ถ้าครอบครัวเรามีคนคนหนึ่งที่เป็นคนมักโกรธอารมณ์ร้อน เจ้าอารมณ์ โมโหร้าย ไม่มีความเมตตา ครอบครัวนั้นต้องได้รับความลำบากแน่นอน ตัวเราเองไม่มีเมตตา ตัวเราก็ลำบาก ในโลกนี้ใครบ้างจะมารักเรา ใครจะรักเรา นับถือเรา ถ้าเราไม่มีเมตตา
โลกนี้กำลังลุกร้อนเป็นไฟ เพราะสาเหตุที่สังคมไร้ความเมตตา ถ้าในครอบครัวก็เป็นครอบครัวแตกแยกบ้านแตกสาแหรกขาด มีปัญหาหย่าร้าง พ่อก็ไปทางหนึ่ง แม่ก็ไปทางหนึ่ง ลูกก็ไปทางหนึ่ง มันเป็นสิ่งที่อเนจอนาถ เป็นสิ่งที่ตกนรกทั้งเป็น ถ้าเป็นประเทศก็ทำแต่สงคราม มีการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่น แย่งเก้าอี้แย่งยศตำแหน่ง แบ่งพรรคแบ่งพวก มีการชุมนุม มีการเดินขบวนนั่งขบวน
ไฟที่ไหม้ในภายนอก แม้จะรุนแรงแค่ไหน ก็ไม่อันตรายเท่ากับไฟภายใน ความรัก ความหึงหวง ความผูกพัน (ราคะ) ความหงุดหงิด วู่วามง่าย ความโกรธ ผูกใจเจ็บ อาฆาตพยาบาท (โกรธ) และความหลงงมงาย ขาดสติ (โมหะ) จัดเป็นไฟภายใน ไฟชนิดนี้แหละที่อันตรายและเป็นไฟไหม้ฟางที่ค่อยๆ เผาใจเราโดยไม่รู้ตัว
พระพุทธองค์ตรัสว่า "กิเลสทั้งสามประการนี้ย่อมเผาบุคคลผู้ยอมอยู่ใต้อำนาจของมัน ให้รุ่มร้อนกระวนกระวายเหมือนไฟเผาไหม้ท่อนไม้และแกลบให้แห้งเกรียม ข้อแตกต่างแห่งกิเลสทั้งสามประการนี้ก็คือ ราคะนั้นมีโทษน้อยแต่คลายช้า โทสะมีโทษมากแต่คลายเร็ว โมหะมีโทษมากด้วยคลายช้าด้วย บุคคลซึ่งออกบวชแล้วประพฤติตนเป็นผู้ไม่มีเรือนเรียกว่า ได้ชักกายออกห่างจากกามราคะ แต่ถ้าใจยังหมกมุ่นพัวพันอยู่ในกามก็หาสำเร็จประโยชน์แห่งการบวชไม่ คือเขาไม่สามารถจะทำที่สุดแห่งทุกข์โดยชอบได้ อุปมาเหมือนไม้สดชุ่มอยู่ด้วยยาง แม้จะวางอยู่บนบก บุคคลผู้ต้องการไฟก็ไม่อาจนำมาสีให้เกิดไฟได้ เพราะฉะนั้น ภิกษุ ภิกษุณีผู้ชักกายออกจากกามแล้ว พยายามชักใจออกจากกามความเพลิดเพลินหลงใหลเสียด้วย"
จริงทีเดียวในจักรวาลนี้ไม่มีไฟอะไรร้อนแรงและดับยากเท่าไฟรัก ความรักเป็นความเรียกร้องของหัวใจ มนุษย์เราทำอะไรลงไปเพราะเหตุเพียงสองอย่างเท่านั้น คือเพราะหน้าที่อย่างหนึ่ง และเพราะความเรียกร้องของหัวใจอีกอย่างหนึ่ง ประการแรกแม้จะทำสำเร็จบ้าง ไม่สำเร็จบ้าง มนุษย์ก็ไม่ค่อยจะเดือนร้อนเท่าใดนัก เพราะคนส่วนมากหาได้รักหน้าที่เท่ากับความสุขส่วนตัวไม่ แต่สิ่งที่หัวใจเรียกร้องนี่ซิ ถ้าไม่สำเร็จ หรือไม่สามารถสนองได้ หัวใจจะร่ำร้องอยู่ตลอดเวลา มันจะทรมานไปจนกว่าจะหมดฤทธิ์ของมัน หรือมนุษย์ผู้นั้นตายจากไป
พระพุทธองค์ตรัสว่า "ไม่ควรปล่อยตนให้ตกอยู่ภายใต้อำนาจแห่งความรัก เพราะการพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รักเป็นเรื่องทรมาน และเรื่องที่จะบังคับมิให้พลัดพรากก็เป็นสิ่งสุดวิสัย ทุกคนจะต้องพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รักที่พอใจ ไม่วันใดก็วันหนึ่ง"
ขณะนี้ เรากำลังถูกเผาอยู่ตลอดเวลา เมื่อใดเราหยุดดิ้นรนให้อภัย ฝึกใจให้สงบ มีสติอยู่ตลอดเวลา เมื่อนั้นไฟย่อมดับไป แต่ยังมีโอกาสเกิดขึ้นอีก ไฟชนิดนี้แหละที่ร้ายแรงที่สุด อย่าปล่อยให้มันไหม้จนลุกลามไปทั่ว
พระพุทธเจ้าทรงข้ามพ้นจากทุกข์ในวัฏฏะแล้ว ตรัสไว้ในพระไตรปิฎก ขุททกนิกาย อิติวุตตกะ ติกนิบาต ว่า
“ดูก่อน! ภิกษุทั้งหลาย ไฟ ๓ กองนี้ ได้แก่ ไฟราคะ ๑ ไฟโทสะ ๑ ไฟโมะ ๑ ดูก่อน! ภิกษุทั้งหลาย ไฟ ๓ กองนี้แล ย่อมเผาผลาญสัตว์ทั้งหลาย”
“ไฟคือราคะ ย่อมเผาผลาญสัตว์ทั้งหลายผู้กำหนัดแล้วหมกมุ่นอยู่แล้วในกามทั้งหลาย ยังติดใจ ยินดีในรสกาม”
แต่ไฟคือโทสะ ย่อมเผาผลาญนรชนทั้งหลาย ผู้อาฆาตพยาบาทซึ่งชอบฆ่าสัตว์ ชอบรังแกข่มเหงทรมาน
ส่วนไฟคือโมหะ ย่อมเผานรชนทั้งหลาย ผู้หลงงมงายหลงยึดถือตัวตนเราเขา อันขัดกับอริยสัจจธรรม
ไฟทั้ง ๓ กองนี้แล! ย่อมเผาหมู่สัตว์ผู้ไม่รู้สึกว่าเป็นไฟ ผู้หลงใหลหมกมุ่นยินดียิ่งในร่างกายของตน สัตว์เหล่านั้นพอกพูนนรก กำเนิดสัตว์เดรัจฉาน อสุรกาย และเปรตวิสัยอยู่ (ทำผู้ที่เกิดในอบายทั้ง ๔ ให้มีปริมาณมากขึ้น) จึงไม่อาจพ้นจากบ่วงแห่งมาร (กิเลสมาร) ไปได้”
ส่วนชนทั้งหลายผู้หมั่นอบรมตนในศาสนธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทั้งกลางวันและกลางคืน หมั่นเจริญอสุภสัญญาเป็นนิตย์ ย่อมทำไฟคือราคะให้ดับลงได้
ชนทั้งหลายที่มีคุณธรรมสูง ย่อมดับไฟคือโทสะลงได้ ด้วยเมตตา และย่อมดับไฟคือโมหะ ด้วยปัญญา อันเป็นเครื่องทำลายกิเลสได้เด็ดขาด
ชนผู้มีปัญญารักษาตนเหล่านั้น ไม่เกียจคร้านทั้งกลางวันและกลางคืน ดับไฟทั้ง ๓ กองนั้นได้แล้ว ชื่อว่าดับกิเลสได้สิ้นเชิง ล่วงพ้นทุกข์ได้ทั้งสิ้น
อุปกรณ์ดับไฟภายในต้องใช้ธรรมะ คือ การให้อภัย มีสติ มีเมตตา ไม่ใช่น้ำที่ไหน เมื่อมีธรรมะก็เหมือนน้ำเย็นชนิดวิเศษที่ช่วยดับไฟประเภทนี้ได้
โอวาทขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ที่มาตรัสรู้ในโลกนี้ ก็ได้ตรัสพุทธภาษิตไว้ว่า “สัพพะปาปัสสะ อะกะระณัง คือ การไม่ทำบาปทั้งปวง” ให้ทุกคนตั้งอยู่ในความเมตตา การไม่คิดร้าย การไม่พูดร้าย การไม่ทำร้าย
ผู้ที่จะเป็นพระที่แท้จริง เป็นเณรแท้จริง เป็นแม่ชีแท้จริง ต้องเป็นผู้ที่เมตตา ถ้าเราต้องการเป็นอริยเจ้าต้องเจริญเมตตาให้มาก มันจะเป็นอริยเจ้าได้อย่างไร เพราะมันไม่มีเมตตาเสียเลย มีความเห็นแก่ตัวอย่างสุดๆ เมื่อเมตตาเราไม่มี สิ่งต่างๆ ที่มันเป็นคุณธรรมมันก็เกิดขึ้นไม่ได้ ถ้าเป็นพระ เป็นชี เป็นญาติโยม ทุกๆ คนต้องพากันเจริญเมตตา เพราะคนที่ไม่เจริญเมตตามันเครียด ชีวิตมันทั้งเคียดทั้งแค้น มันพยาบาท หัวใจมันมียักษ์ มีแต่มาร มีแต่ผี มีแต่มหาโจรอยู่ข้างใน
ความเมตตานี้จำเป็นมากที่ทุกคนจะต้องมี ดูตัวอย่างพระพุทธเจ้าท่านบำเพ็ญพระบารมี เมื่อครั้งเสวยชาติเป็นสุวรรณสามท่านก็เจริญเมตตามาก ในอดีตของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงบำเพ็ญเมตตาบารมี คือ การแผ่เมตตาจิตให้สรรพสัตว์ทั้งปวงเป็นสุขโดยทั่วหน้ากัน ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาของพระโพธิสัตว์ทั้งหลายที่มีความเมตตาต่อสรรพสัตว์ โดยไม่เลือกชนชั้น วรรณะ เพศ วัย หรือเผ่าพันธ์ุใด ๆ เพราะท่านคิดว่าสัตว์โลก คือ เพื่อนร่วมทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ดังนั้นท่านจึงมีความปรารถนาจะนำพาหมู่สัตว์ข้ามวัฏสงสารไปสู่นิพพาน ในพระชาตินี้ พระโพธิสัตว์สุวรรณสามได้บำเพ็ญเมตตาบารมีอย่างยิ่งยวดแม้ว่าจะถูกประทุษร้ายจนสิ้นชีวิตก็ตามการสร้างเมตตาบารมีของพระโพธิสัตว์ในพระชาตินี้จึงเข้าทำนองว่า “ยอมตาย ไม่ยอมไร้น้ำใจ” นั่นเอง
ในอดีตกาล มีฤๅษีชื่อทุกูลฤๅษีและปาริกาฤๅษิณีอาศัยอยู่ในป่าหิมพานต์ วันหนึ่งท้าวสักกะทรงเล็งเห็นว่าฤๅษีทั้งสองจะมีภัยจึงเสด็จมาแนะนำให้ทั้งคู่มีบุตรไว้คอยช่วยดูแลโดยให้ทุกูลฤๅษีใช้มือลูบท้องของปาริกาฤๅษิณีในช่วงที่มีระดู เพียงแค่นี้นางก็จะตั้งครรภ์ เมื่อเวลาผ่านไป ๑๐ เดือน ฤๅษิณีก็คลอดบุตร ผู้มีผิวพรรณเปล่งปลั่งดั่งทองคำ ให้ชื่อว่า สุวรรณสาม วันหนึ่งขณะที่สุวรรณสาม อายุ ๑๖ ปี บิดาและมารดาถูกงูที่อาศัยอยู่ในจอมปลวกพ่นพิษใส่จนตาบอดสนิทนับจากนั้นสุวรรณสามก็ได้ปรนนิบัติดูแลบิดามารดาเป็นอย่างดีเรื่อยมา
สุวรรณสามเป็นผู้ที่แผ่เมตตาอยู่เป็นประจำด้วยเมตตาจิตจึงทำให้ฝูงสัตว์ป่านานาชนิดพากันเดินตามสุวรรณ สามไปในที่ต่าง ๆ วันหนึ่ง สุวรรณสามไปตักน้ำในแม่น้ำ ขณะนั้นพระเจ้าปิลยักขราชทรงดักซุ่มรอล่าเนื้ออยู่ ทรงเห็นสุวรรณสามมีผิวงามดั่งทอง แวดล้อมด้วยฝูงสัตว์ ก็ทรงสงสัยว่าเป็นนาคหรือเทวดากันแน่ จึงทรงยิงลูกศรอาบยาพิษเข้าใส่ เพื่อยับยั้งไว้มิให้หนีหายไป แม้สุวรรณสามทราบว่าพระราชาทรงยิงลูกศรใส่ตน ก็มิได้โกรธเคืองยังคงมีจิตเมตตาอยู่เสมอ และได้สนทนากับพระราชา ด้วยวาจาอันไพเราะ ก่อนที่สุวรรณสามจะสิ้นสติไปพระราชาทรงรับปากจะดูแลบิดามารดาของสุวรรณสามไปตลอดชีวิต
ต่อมา เมื่อทุกูลฤๅษีและปาริกาฤๅษิณีทราบว่า พระราชาทรงยิงลูกศรใส่สุวรรณสามก็มิได้โกรธเคือง แต่ทูลขอร้องให้ทรงนำพวกตนไปหาร่างของสุวรรณสามเมื่อไปถึงทั้งคู่ต่างคร่ำครวญอยู่กับร่างของบุตรอย่างน่าเวทนาจากนั้นปาริกาฤๅษิณีและทุกูลฤๅษีได้อธิษฐานเอ่ยอ้างคุณความดีของสุวรรณสาม รวมกับแรงอธิษฐาน
ของนางเทพธิดาพสุนธรี ผู้เป็นมารดาในอดีตชาติของสุวรรณสามทำให้สุวรรณสามฟื้นขึ้นมาและไม่มีบาดแผลใด ๆ อีกทั้งดวงตาของฤๅษีและฤๅษิณีก็กลับมองเห็นได้ดังเดิมจากนั้น สุวรรณสามได้ถวายโอวาทแด่พระราชาให้ทรงปกครองบ้านเมืองด้วยทศพิธราชธรรมสืบไป
การเจริญเมตตาก็ต้องพยายามฝึกใจตัวเอง อย่าไปดูคนอื่น ให้ดูตัวเอง ให้เราคิดเสมอว่าเราตื่นขึ้นมานี้เราจะให้เมตตาแก่ใครบ้าง เราถือคติในใจว่าเราเกิดมาเพื่อเป็นผู้ให้ผู้เสียสละ มาละความเห็นแก่ตัว มาให้ความสุขตัวเองด้วยการเจริญเมตตา มาให้ความสุขคนอื่นด้วยการเจริญเมตตา ถ้าเราไปเพ่งโทษคนอื่นว่าคนนั้นทำดีทำไม่ดี ความคิดอย่างนี้มันไม่ถูก พระพุทธเจ้าท่านก็ปรับอาบัติ การมองเพ่งโทษคนอื่นต้องอาบัติ ถ้าเรามองดูคนอื่นเพื่อจะช่วยเหลือ เพื่อสงเคราะห์ เพื่ออนุเคราะห์ ถึงเป็นบุญเป็นกุศล
ทุกๆ คนที่มันมีปัญหาน่ะ ทั้งพระทั้งโยมมันไม่ใช่มาจากคนอื่น มาจากตัวเรานี้เอง ตัวเองจะพยายามไปเพ่งโทษไปแก้ไขคนอื่น มันจะไปแก้คนอื่นได้อย่างไร ตัวเองยังแก้ไขตัวเองยังไม่ได้ ถ้าเรามันมีปัญหาในใจ อย่าคิดว่าคนโน้นคนนี้ทำให้มีปัญหานะ มันเป็นความคิดเห็นผิด เป็นการเข้าใจผิด ในโลกนี้สิ่งภายนอกนี้มันไม่มีปัญหา จิตใจของเราต่างหากมันมีปัญหา มันหลง มันชอบไปดูดีดูชั่วดูผิดดูถูกของคนอื่น พระพุทธเจ้าท่านไม่ให้เราไปดูผิดดูถูกของคนอื่น “คนอื่นจะดีจะชั่วก็ช่างของเขา เราไม่เกี่ยว” นักปฏิบัติธรรม ถ้าไปดูผิดดูถูกของคนอื่น มันไม่ถูก “มันผิด”
ผู้มีเมตตาต้องมองดูตนเอง แก้ไขตนเอง ถ้าเรามองข้างนอกฟุ้งซ่าน มุ่งไปตั้งแต่ภายนอก มันจะไปจัดการคนอื่น แก้ไขคนอื่น มันไม่ถูก มันต้องแก้ไขตนเองถึงจะถูก “มันจะแก้ไขภายนอกได้อย่างไร ตัวเองก็ยังเอาตัวเองไม่รอดอยู่แล้ว” คนเราถ้าไม่มองดูตัวเอง มันก็ไปว่าคนอื่นผิด เหมือนเจ้าของอาหารเก็บอาหารไว้ไม่ดี สุนัขมากิน ก็ไปตีสุนัขว่าสุนัขมันแย่ ที่แท้จริงเรามันแย่กว่าสุนัขเพราะเราเก็บอาหารไว้ไม่ปลอดภัย เรามันปัญญาสู้สุนัขไม่ได้ เราจะไปโทษสุนัขได้อย่างไร “คนที่ฉลาดเขาพยายามแก้ที่ตัวเองไม่ต้องไปแก้คนอื่น มันเสียเวลา”
สรุปแล้วปัญหาต่างๆ มันไม่ได้เกิดที่คนอื่น มันเกิดที่ตัวเรา เพราะเราเกิดมาก็ต้องพบเจอสิ่งต่างๆ เจอคนดีไม่ดี สารพัดที่จะเจอ เพราะเราเกิดมาก็ต้องมีปัญหาอย่างนี้ ถ้าเราไปโทษอย่างนั้น อย่างนี้ มันจะยุติธรรมเหรอ ?
ไม่ยุติธรรม...คนเรามันชอบว่าให้ผู้อื่นนะ ฝนไม่ตกก็ไปว่าให้ฝน ฝนตกมากก็ไปว่าให้ฝนอีก แดดไม่ออกก็ไปว่าให้แดด มันมีแต่ว่าให้คนอื่นทั้งนั้น ถ้าไม่ได้ว่าให้คนอื่นทั้งนั้น ถ้าไม่ได้ว่าให้คนอื่น ไม่ได้นินทาคนอื่นมันจะแน่นหน้าอก เพราะความเคยชินที่เราชอบไปแก้ไขคนอื่น
ความพยาบาทนี้มันรุนแรงนะ ผู้ที่มีโทสจริตมันต้องมาจากกรรมเก่า เมื่อรู้ตัวเองว่าตัวเองเป็นคนที่มีโทสจริต ต้องปรับปรุงแก้ไข ถ้าไม่แก้ไขไม่ได้ มันยิ่งกำเริบเสิบสานไปเรื่อย เราอย่าปล่อยให้เราเสียเวลานานเกิน ต้องหยุดตัวเอง เราจะเป็นคนตามอารมณ์ตัวเอง ตามความฟุ้งซ่านไม่ได้ มันเดือดร้อนทั้งตัวเอง เดือดร้อนทั้งคนอื่น
ทุกวันนี้เรามองดูคนส่วนใหญ่ไม่พากันเจริญเมตตาเลย คนฉลาดเอาเปรียบคนที่ด้อยกว่า คนมีกำลังมากก็ทำร้ายคนมีกำลังน้อยกว่า ที่เราเรียนเราศึกษาส่วนใหญ่ก็เพื่อจะเอาเปรียบคนอื่น เพื่อให้มันเก่งมันฉลาดจะได้เอาเปรียบคนอื่น เพื่อจะได้อยู่สบายกินสบายนอนสบาย ไม่คำนึงถึงความยากลำบากของคนอื่น ทำอาชีพจากคนยากคนจน ชื่อว่ามันขาดความเมตตานะ
เราต้องหยุดมองดูหัวใจของตัวเอง ดูตัวอย่างพระพุทธเจ้าท่านมีเมตตาขนาดไหน ท่านมีความเมตตาอย่างไม่มีที่สุดไม่มีประมาณ เรามีตัวอย่างที่ดีๆ เราก็ต้องเอาตัวอย่าง ถ้าเรามาสวดมนต์บทแผ่เมตตา เราไม่มาเจริญเมตตาทางจิตทางใจ เมตตามันจะเกิดขึ้นได้อย่างไร เพราะอันนั้นมันเป็นหนังสือที่เขาพิมพ์มาให้เราสวดแผ่เมตตา เราเกิดมาตั้งแต่เด็ก ได้ยินผู้ใหญ่บอกว่าให้แผ่เมตตา เจริญเมตตา เราต้องน้อมมาปฏิบัติเข้าสู่จิตใจของเรา เพราะทุกคนในโลกนี้ล้วนแต่เป็นญาติพี่น้องกันทั้งหมด ไม่ว่าคนไม่ว่าสัตว์ ทั้งสัตว์ใหญ่เล็ก
ปัญหาต่างๆ ที่มันมีเพราะเรามีความเกิด เมื่อเรามีความเกิดก็ต้องมีความแก่ความเจ็บความตาย มันก็เป็นกระบวนไปหมด มีปัญหาเยอะแยะมากมาย ถ้าเรามาทำตามใจของเรา ทำตามอารมณ์ของเรา ปัญหาต่างๆ มันก็เป็นของมันไปอย่างนี้ มันไม่มีวันจบ พระพุทธเจ้าท่านให้เราเจริญเมตตา เดินทางสายกลาง เอาศีล ๕ เป็นที่ตั้ง เอาศีล ๘ ศีลอุโบสถ ศีล ๒๒๗ เป็นที่ตั้ง เพราะศีลคือความบริสุทธิ์ผุดผ่อง ปราศจากความโลภความโกรธความหลง ทำให้เรามีทรัพย์สมบัติ มีอริยทรัพย์คือคุณธรรมนำเราเป็นพระอริยเจ้า
ทุกท่านทุกคนน่ะ พระพุทธเจ้าท่านให้เราพัฒนาจิตใจของตัวเอง พยายามแก้ปัญหาที่จิตที่ใจของตัวเองให้ได้
เราทุกๆ คน มาเอาหน้าที่เอาการงาน เอาข้อวัตรปฏิบัตินี้เพื่อมาประพฤติปฏิบัติธรรม มาเจริญสติสัมปชัญญะ ให้สติสัมปชัญญะเราสมบูรณ์ "ใจส่งออกน่ะ คือ ใจที่เป็นทุกข์นะ..."
เมื่อเราส่งออกมากๆ น่ะ ออกชิเจนในสมองเรามันก็ไม่สมบูรณ์ เราก็ไม่สามารถที่ควบคุมตัวเองได้น่ะ การนั่งสมาธิก็ดี การเดินจงกรมก็ดี การทำกิจวัตรต่างๆ ก็ดีน่ะ ก็เพื่อให้ทุกคนกลับมาหาตัวเอง เพื่อทำสติสัมปชัญญะของตนเองให้สมบูรณ์ เพราะเราทุกๆ คนน่ะ ไม่ค่อยได้ปฏิบัติตัวเองฝึกตัวเองเลย มีแต่ทำตามความอยากความต้องการ แล้วก็บริโภควัตถุที่ได้ตามต้องการก็พากันหลงเหยื่อ หลงวัฎฎสงสาร
ทุกท่านทุกคนมีความจำเป็นที่จะต้องฝึกตัวเอง เพราะว่าปัญหาต่างๆ น่ะ ทุกคนต้องแก้ได้ด้วยการฝึกใจของตัวเอง เค้าพากันขยัน พากันอดทนทำมาหากิน ศึกษาหาความรู้ จุดประสงค์ก็เพื่อที่เค้าจะได้บริโภคความสุข มีความเป็นอยู่สะดวกสบาย มีหน้ามีตาในสังคม เค้าพากันมุ่งประเด็นไปอย่างนี้นะ ตัวเองสบายยังไม่พอ ลูกหลานญาติพี่น้องก็ให้สบาย สิ่งเหล่านั้นพระพุทธเจ้าท่านถือว่ายังไม่ใช่เรื่องที่ดับทุกข์นะ 'เรื่องที่ดับทุกข์' น่ะทุกคนต้องพากันมาประพฤติปฏิบัติธรรม อบรมบ่มอินทรีย์เพื่อให้สติสัมปชัญญะนี้มันสมบูรณ์มีกำลัง ไม่ให้ความหลงมันมาบงการ มาจัดการเรา
พลังอะไรทุกอย่าง...ก็สู้พลังของ 'สมาธิ' ไม่ได้ ถ้าเราทุกคนมีสมาธิแล้ว เราทุกคนจะเป็นตัวของตัวเอง ไม่มีอะไร ที่จะมาครอบงำเราได้
สิ่งต่างๆ น่ะที่เรารู้เราเห็นในสังคม... ไม่ว่าจะเป็นวัฒนธรรมประเพณี หรือรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ มันก็มาครอบงำเราไม่ได้ เพราะเรามีสมาธิมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ เป็นตัวของตัวเอง
เราทุกคนทำดี มันก็จะรู้แจ้งว่าได้ดีน่ะ ปัญหาต่างๆ เราทุกคนแก้ได้ แต่ต้องมาแก้ที่จิตที่ใจ ปรับตัวเองเข้าหาธรรมะ ถ้าไม่อย่างนั้นน่ะกิเลสของเรานี้มันจะพาเราสร้างบาปสร้างกรรม ทั้งๆ ที่เราก็รู้อยู่แต่เราหยุดมันไม่ได้ เราหยุดมันไม่ได้หรอก... เพราะเราไม่มีกำลังพอ ไม่มีสมาธิพอ สติสัมปชัญญะเรามันน้อย มันไม่สมบูรณ์ ต้องอดต้องทนน่ะ มันอยากคิดเราก็ไม่คิดน่ะ ต้องทำอย่างนี้ เรื่องที่เราอยาก... เราไม่ต้องคิดน่ะ หลายๆ วัน ใจของเรามันก็เย็นได้ ถ้ามันไม่เย็น เราไม่คิดเรื่องนี้ เราอย่าเปิดรูรั่วให้มันไหลมันซึม ธรรมะภาคปฏิบัติพระพุทธเจ้าท่านสอนให้เราทำอย่างนี้แหละ คือ การไม่ทำบาปทางใจทั้งปวง
กายของเรา วาจาของเราน่ะ การเดินเหินของเรานี่แหละ มันเป็นอากัปกิริยาของใจนะ มันเป็นวัตถุอย่างหนึ่ง เพื่ออำนวยให้ใจของเราสะดวกในการทำงานของใจ ใจของเรานี้มีปัญหามากๆๆๆ นะ ถ้าทุกคนไม่ตั้งใจฝึก ไม่ได้ตั้งอกตั้งใจฝึกหัดปฏิบัติ มันเป็นไปไม่ได้ที่จะหยุดตัวเองได้นะ
เราต้องอด... ต้องทน... ต้องฝืน... ต้องปฏิบัติน่ะ พระพุทธเจ้าท่านไม่ให้เราทุกคนเอาความขี้เกียจขี้คร้าน เป็นการปล่อยวาง เราทุกคนมันอินทรีย์อ่อนน่ะ เลยพากันเอาความขี้เกียจขี้คร้านเป็นการวางปล่อย เป็นความไม่ยึดไม่ถือนั้นไม่ใช่ ไม่ถูกไม่ต้องน่ะ การปล่อยวางอย่างนั้นน่ะเป็น อาการที่จิตใจไม่มีกำลัง "เมื่อไม่มีกำลังแล้วมันก็หมดแรง เร่งไม่ออก เร่งไม่ขึ้น" เพราะเรายังมีความเห็นผิด เราคิดว่าเราไม่เอาอะไรแล้วเราปล่อยวาง เราเลยไม่ทำความเพียร เราไม่ฝืน ไม่อด ไม่ทน
วินัยที่พระพุทธเจ้าบังคับเราน่ะ เราต้องปรับใจหาพระวินัย ข้อวัตรปฏิบัติที่ครูบาอาจารย์ตั้งกฎเกณฑ์ขึ้นน่ะให้เราปรับใจเข้าหาปฏิปทาในการประพฤติปฏิบัตินี้ต้องให้ต่อเนื่องกันน่ะ พยายามเอาปัจจุบันให้มันได้ อย่าไปมองไกล เดี๋ยวนี้ก็ปัจจุบันน่ะ แม้มันจะผ่านไปข้างหน้าอีกหลายปี มันก็เป็นปัจจุบันน่ะ เพราะพระอาทิตย์ หรือดวงจันทร์เท่านั้นน่ะที่มาบอกเวลา แต่ที่จริงแล้วใจของเราถ้าไม่อยู่กับสิ่งแวดล้อม เราอยู่กับภาคปฏิบัติมันก็เป็นปัจจุบันไปตลอด...
"การประพฤติปฏิบัติของเรามันถึงไม่มีอดีต...ไม่มีอนาคต...ไม่มีกลางวัน กลางคืนน่ะ เป็นการทำหน้าที่ที่ดีที่สุด อย่างนี้แหละ คือการอบรมบ่มอินทรีย์"
เราอย่าไปมองข้ามในความคิดจิตใจของเราในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เราคิดว่าไม่เป็นไรน่ะ สิ่งเล็กๆ น้อยๆ นั่นน่ะ พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า... มันห้ามมรรคผลพระนิพพานเราหมด "ฝุ่นนี้มันไม่ใหญ่หรอก แต่ถ้ามันเข้าตาเรา เราก็มีปัญหาเหมือนกัน"
พยายามหยุด พยายามนิ่ง พยายามอยู่กับเนื้อกับตัว ให้สติของเรามันดีมันสมบูณ์ เราถึงจะเปลี่ยนแปลงตัวเอง ไปในทางที่ดีได้ ถ้าไม่อย่างนั้นเราก็จะเป็นคนท้ออกท้อใจ ว่าเป็นคนมีบุญน้อยมีวาสนาน้อย ชาตินี้ไม่มีบุญ ไม่สามารถที่จะได้บรรลุธรรมเหมือนกับเค้า
"ทุกคนมันก็เหมือนกันหมดน่ะ มันอยู่ที่ความคิด อยู่ที่การปฏิบัติน่ะ" การปฏิบัติมันก็ไม่ใช่ยากแต่เราต้องเอาใจใส่อย่างสม่ำเสมอ การอบรมบ่มอินทรีย์มันก็เหมือนกับเราเพาะเลี้ยงต้นไม้แล้วก็ปลูกต้นเล็กๆ น่ะ เราพยายามให้น้ำ ให้ปุ๋ยแสงแดดอย่างสม่ำเสมอ ไม่มากเกินไม่น้อยเกิน เดี๋ยวต้นไม้ก็โตเอง มันโตเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ มันโตกลางวันหรือกลางคืนก็ไม่รู้ แต่รู้ว่ามันโต
การประพฤติการปฏิบัติน่ะเราอย่าไปสนใจใคร คนอื่นเค้าจะปฏิบัติหรือไม่ปฏิบัติก็ช่างเค้า เพราะคนอื่นก็เป็นเรื่องของคนอื่นไม่เกี่ยวข้องกับเรา เรื่องคนอื่นก็ให้เป็นเรื่องของคนอื่น เค้าทำดีเค้าทำชั่วมันก็เป็นเรื่องของเค้า เค้าไม่รู้ไม่เห็นเราว่าเป็นผู้ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบก็ไม่เป็นไร เราไม่ต้องคอยให้ใครมาชมเรา เพราะใจของเราไม่มีใครรู้หรอก มีแต่ตัวเรารู้เท่านั้น เพราะเราปฏิบัติธรรมเพื่อมุ่งมรรคผลนิพพาน ไม่ได้มุ่งโลกธรรม คอยมาให้ใครสรรเสริญ
ให้เราทุกคนเน้นมาหาตัวเอง ถึงจะเกี่ยวข้องกับคนอื่น ในชีวิตประจำวัน ข้อวัตรปฏิบัติ เค้าจะทำหรือไม่ทำ เค้าจะมาหรือไม่มา เราอย่าไปสนใจเค้า "เดี๋ยวเราจะเอาดีเอาชั่วของเค้ามาเผาเราอีก"
รู้จักปล่อยรู้จักวางว่าจะให้คนอื่นเค้าเหมือนเรามันคงไม่เหมือนน่ะ ถ้าเหมือนกันหมดคนก็ได้บรรลุธรรมทั้งโลกเหมือนกันหมด มันไม่เหมือนนี่แหละมันถึงเป็นอย่างทุกวันนี้
เรื่องความสุขในการกิน...การอยู่...การนอนน่ะ พระพุทธเจ้าท่านสอนเราให้เราบริโภคเพื่อบรรเทาทุกข์ เพื่อเราจะได้ปฏิบัติธรรมอบรมบ่มอินทรีย์ เราไม่ต้องมาติดมาหลง ความอร่อยมันก็ต้องผ่านไปแค่ลิ้นน่ะ ความสุขความสบายในการพักผ่อนก็บรรเทาทุกข์ไปไม่กี่ชั่วโมงน่ะ
"สิ่งเก่ามันผ่านไป สิ่งใหม่มันก็ผ่านมา มันไม่มีอะไรที่จีรังยั่งยืน พระพุทธเจ้าท่านให้เราคิดดีๆ อย่าได้พากันหลง"
คนเราน่ะถ้าไม่ได้บริโภครูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ ก็คือว่า ชีวิตนี้ไม่มีรส รู้มั้ยว่าถ้ามี 'รส' มันก็มี 'ชาติ' มันต้องมีการเวียนว่ายตายเกิด เราก็อยากพากันมี 'รสชาติ' รสชาติมันจะพาให้เรามีความเกิดทางจิตทางใจนะ
สติสัมปชัญญะของเราก็ให้มันแข็งแรง สติ คือ ความระลึกได้ สัมปชัญญะ ก็คือ ตัวปัญญา สติกับปัญญามันจะเกี่ยวข้องกันตลอดน่ะ แล้วก็ตั้งมั่นอยู่กับสมาธิ สติสัมปชัญญะถึงเป็นตัว 'ศีล' ถึงเป็นตัว 'สมาธิ' ถึงเป็นตัว 'ปัญญา' น่ะ เค้าจะได้ชัขับเคลื่อนชีวิตจิตใจของเราสู่คุณธรรม บางคนไม่รู้การปฏิบัติน่ะ ปล่อยโอกาสปล่อยเวลาไปโดยไม่เจริญสติสัมปชัญญะ จิตใจของเราจึงไม่มี "พุทโธ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน"
ถ้าใจของเราสงบ สติสัมปชัญญะสมบูรณ์น่ะ มันมีค่า มีราคากว่าทรัพย์ภายนอก เพราะนี้มันคือ 'อริยทรัพย์ ทรัพย์ภายใน' ทรัพย์ที่จะนำเราสู่มรรคผลพระนิพพานน่ะ
แจกปัญญา แจกศาสนา แจกธรรมวินัย แจกสิ่งที่ถูกต้อง
เพื่อเดินตามรอยพระพุทธเจ้าร้อยเปอร์เซ็นต์
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
โดยทุกท่านสามารถติดตามเพิ่มเติมได้ที่
https://linktr.ee/watsubthawee
Share wisdom, spread Buddhism and its discipline.
Advocate righteousness to follow Lord of Buddha's footsteps 100%
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
You can receive new Dharma updates.
https://linktr.ee/watsubthawee