แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ในวันศุกร์ที่ ๑๔ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๖
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง สั่งสมทรัพย์ภายใน ตอนที่ ๒๑ บุคคลผู้หาได้ยากนั่นคือ ผู้ให้ผู้เสียสละ และผู้ที่รู้บุญคุณแล้วทดแทน
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
วันนี้เป็นวันมหาสงกรานต์ วันที่ 2 ประจำปี 2566 ของประเทศไทย ที่ทางส่วนราชการให้เป็นวันครอบครัว วันนี้ที่วัดทรัพย์ทวีก็มีบวชพระ ๓ รูป ประเพณีสงกรานต์ก็เป็นประเพณีที่ดี เพื่อกตัญญูกตเวที ต่อศาสนา เป็นประเพณีที่ดี เป็นประเพณีที่มีความมั่นคงของชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เพราะมนุษย์เราคือผู้ที่ประเสริฐเกิดมาส่วนใหญ่ทุกคนก็ไม่เกิด 120 ปี ก็ต้องจากโลกนี้ไป เราต้องมาพัฒนาทั้งวิทยาศาสตร์ เราต้องพัฒนาทั้งใจไปพร้อมๆ กัน เราจะได้ไม่เป็นได้แต่เพียงคน เราจะชื่อว่าทุกข์รู้เหตุเกิดทุกข์ รู้ข้อปฏิบัตัให้ถึงความดับทุกข์ เพราะความมั่นคงของเราคือความเป็นมนุษย์ที่ประเสริฐ ที่เอาพระศาสนาเป็นที่ตั้ง เพื่อเป็นกตัญญูกตเวที
วันนี้ก็จะมีบวช บวชนี้ดี บวชนี้ดีที่สุดในโลก เพราะเราได้พัฒนาใจ เราได้หยุดตามใจตัวเอง ตามอารมณ์ตัวเอง ตามความรู้สึกตัวเอง เข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ ความเป็นพระนี้มันไม่ได้อยู่ที่บวชหรอก ที่แท้จริงน่ะ แต่มาบวชเขาเรียกว่าเข้าคอร์สพิเศษ ความเป็นพระนี้อยู่ที่มีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง ประชาชนก็เอาศีล 5 เป็นหลัก เพราะศีล 5 เป็นเรื่องจิตเรื่อใจ เรื่องหยุดอวิชชาหยุดความหลง หยุดความเป็นคนเข้าสู่ความเป็นมนุษย์ พัฒนาตัวเองเป็นพระอริยะเจ้าในชีวิตประจำวัน เรียกว่าอริยะมรรคมีองค์ 8 แต่เรามาบวชเป็นพระนี้ก็ เพราะมีสิกขาบทน้อยใหญ่มันมากมันช่วยได้เยอะ
เมื่อถึงวันมหาสงกรานต์ เราไปทำงานอยู่กรุงเทพ ทำงานอยู่ที่ต่างประเทศ หรือว่าอยู่ที่ไหนก็ ส่วนใหญ่ก็ต้องกลับมาหาพ่อ หาแม่ หาถิ่นฐานบ้านเกิด เพราะความกตัญญูกตเวที นี่เป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่ ใหญ่ยิ่ง คนเราเกิดมามีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง เป็นสิ่งที่สำคัญ อย่างนี้เมื่อเราคือพ่อคือแม่ เราต้องให้เค้าเข้าใจอย่างนี้ อบายมุขอบายภูมิ ก็คือตามใจตัวเอง ตามอารมณ์ตัวเอง ตามเพื่อน ตามฝูง ในทางที่เป็นมันอบายมุข อย่างนี้เราต้องมีศิลปะ ในความประพฤติ เพราะคนเรามันมีความเห็นผิด เข้าใจผิด มันถึงเป็นคนขี้เกียจขี้คร้าน คนไม่ขยันตามเพื่อนตามฝูงตามสิ่งแวดล้อม อย่างนั้นไม่ได้
คนตาบอด ย่อมมองไม่เห็นโลก แม้ดวงอาทิตย์จะส่องสว่างอยู่ฉันใดคนใจบอด ย่อมมองไม่เห็นพระคุณ แม้จะได้รับความเมตตากรุณาจากผู้มีอุปการคุณฉันนั้น สิ่งที่ควรแก่ความกตัญญู คือทุกสิ่งที่มีบุญแก่เรา ซึ่งอาจแบ่งได้เป็น ๕ ประการ ได้แก่
๑. กตัญญูต่อบุคคล คือใครก็ตามที่เคยมีพระคุณต่อเรา ไม่ว่าจะมากน้อยเพียงไร จะต้องกตัญญูรู้คุณท่าน ติดตามระลึกถึงเสมอด้วยความซาบซึ้ง พยายามหาโอกาสตอบแทนคุณท่านให้ได้ โดยเฉพาะพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระสงฆ์ บิดามารดา ครู อุปัชฌาย์อาจารย์ พระมหากษัตริย์หรือผู้ปกครอง ที่ทรงทศพิธราชธรรม จะต้องตามระลึกนึกถึงพระคุณของท่านให้จงหนัก ให้ปฏิบัติตัวให้เป็นลูกที่ดีของพ่อแม่ เป็นศิษย์ที่ดีของครูอาจารย์ เป็นพลเมืองที่ดีของประเทศชาติและเป็นพุทธมามกะสมชื่อ
พ่อเเม่ก็อยู่ที่เรา ร่างกายเลือดเนื้อก็เป็นของคุณพ่อคุณเเม่ เราเอาร่างกายไปใช้ในสิ่งที่ดี คิดดีๆ พูดดี ทำดีๆ เอามรรคผลนิพพาน เค้าเรียกว่าเรากตัญญูกตเวทีเเล้ว บางคนจะไปเลี้ยงเเม่ทางกายก็ยังไม่เพียงพอ ต้องเลี้ยงเเม่ทางจิตใจ เค้าถึงว่าการมาบวชทำให้พ่อเเม่ได้บุญเยอะ มันได้เปลี่ยนเเปลงตัวเอง จากคนไม่ดีเป็นคนดี จากคนดีเเล้ว ดียิ่งๆ ขึ้นไป เเล้วก็ช่วยเหลือเเม่ เพราะเราทำดีปฏิบัติดีประพฤติดี เรามีความมั่นคงทางธุรกิจที่ไม่ทำบาปทั้งปวง ทำบุญทำกุศล พ่อเเม่ก็มีความสุข พ่อเเม่ก็ไว้วางใจ พ่อเเม่ตั้งมั่นในพระรัตนตรัย ไม่คิด ไม่ต้องไปฟุ้งซ่าน ไม่ต้องเป็นโรคจิตโรคประสาทกับเรา
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสอุปมาว่า ถ้าบุตรจะพึงวางบิดามารดาไว้บนบ่าทั้งสองของตน ประคับประคองท่านอยู่บนบ่านั้น ป้อนข้าวป้อนน้ำและให้ท่านถ่ายอุจจาระปัสสาวะบนบ่านั้นเสร็จ แม้บุตรจะมีอายุถึง ๑๐๐ ปี และปรนนิบัติท่านไปจนตลอดชีวิต ก็ยังนับว่าตอบแทนพระคุณท่านไม่หมด เพราะถ้าไม่มีพวกท่านที่ได้ให้อัตภาพนี้แก่ผม ผมคงไม่มีโอกาสมานั่งบรรยายธรรมะอยู่ตรงนี้ ก็ไม่มีโอกาสที่จะได้มาประพฤติปฏิบัติธรรม ไม่มีโอกาสที่ได้มาเจอพ่อแม่ครูบาอาจารย์ผู้ที่นำพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาบอกมาสอน เพื่อให้ผมได้มีโอกาสมาเปลี่ยนภพภูมิ พวกท่านเป็นผู้ประเสริฐที่สุด ไม่มีถูก ไม่มีผิด เราจะประพฤติปฏิบัติธรรมแค่ไหนก็ทดแทนไม่มีทางหมด เคยได้ยินเพลงเขาบอกว่า “บวชเรียนพากเพียรจนสิ้น หยดหนึ่งน้ำนมกินทดแทนไม่สิ้นพระคุณแม่เอย” หยดน้ำนมก็คือเลือดในตัวของแม่ที่กลั่นออกมาด้วยความรัก ความห่วงใย ที่คอยเลี้ยงดูเราให้เติบโตมาได้จนถึงทุกวันนี้
๒. กตัญญูต่อสัตว์ คือสัตว์ที่มีคุณต่อเรา เช่น ช้าง ม้า วัว ควาย ที่ใช้งาน จะต้องใช้ด้วยความกรุณาปรานี ไม่เฆี่ยนตีมันจนเหลือเกิน อย่าใช้งานหนักจนเป็นการทรมาน ขณะเดียวกันต้องเลี้ยงดูให้อาหารอย่าให้อดอยาก ให้ได้กินได้นอนได้พักผ่อนตามเวลา ตัวอย่างในเรื่องกตัญญูต่อสัตว์นี้มีอยู่ว่า
ในสมัยก่อนพุทธกาล วันหนึ่งพระเจ้ากรุงราชคฤห์เสด็จประพาสอุทยาน และได้บรรทมหลับในอุทยานนั้น ขณะนั้นมีงูเห่าตัวหนึ่งเลื้อยเข้ามาและกำลังจะฉกกัดพระองค์ เผอิญมีกระแตตัวหนึ่งเห็นเข้าแล้วร้องขึ้น พระองค์จึงสะดุ้งตื่นและไล่งูให้พ้นไป ทรงระลึกถึงคุณของกระแตว่าเป็นผู้ช่วยชีวิตพระองค์ไว้ จึงรับสั่งให้พระราชทานเหยื่อแก่กระแตในอุทยานนั้นทุกวัน และห้ามไม่ให้ใครทำอันตรายแก่กระแตในอุทยานนั้น คนทั้งหลายจึงเรียกอุทยานนั้นว่า เวฬุวันกลันทกนิวาปสถาน แปลว่า ป่าไผ่อันเป็นที่พระราชทานเหยื่อแก่กระแต ซึ่งต่อมาก็คือ เวฬุวันมหาวิหาร วัดแห่งแรกในพระพุทธศาสนานั้นเอง
๓. กตัญญูต่อสิ่งของ คือของสิ่งใดก็ตามที่มีคุณต่อเรา เช่นหนังสือ ธรรมะ หนังสือเรียน สถานศึกษา วัด ต้นไม้ ป่าไม้ วัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ในการหาเลี้ยงชีพ ฯลฯ จะต้องปฏิบัติต่อสิ่งเหล่านี้ให้ดี ไม่ลบหลู่ดูแคลน ไม่ทำลาย
ตัวอย่างเช่น ไม้คานที่ใช้หาบของขาย เมื่อเจ้าของตั้งตัวได้ ร่ำรวย ขึ้นก็ไม่ทิ้ง ยังคิดถึงคุณของไม้คานอยู่ ถือเป็นของคู่ชีวิตช่วยเหลือตนสร้าง ฐานะมา จึงเลี่ยมทองเก็บไว้เป็นที่ระลึก ไว้เป็นเครื่องเตือนใจ อย่างนี้ก็มี
มีกล่าวไว้ในเตมียชาดกว่า “อย่าว่าถึงคนที่เราได้พึ่งพาอาศัยกันเลย แม้แต่ต้นไม้ที่ได้อาศัยร่มเงาก็หาควรจะหักกิ่งริดก้านรานใบของมันไม่ ผู้ใดพำนักอาศัยนั่งนอนใต้ร่มเงาของต้นไม้ใดแล้ว ยังขืนหักกิ่งริดก้านรานใบ เด็ดยอด ขุดรากถากเปลือก ผู้นั้นชื่อว่าทำร้ายมิตร เป็นคนชั่วช้าเลวทราม จะมีแต่อัปมงคล เป็นเบื้องหน้า”
๔. กตัญญูต่อบุญ คือรู้ว่าคนเราเกิดมามีอายุยืนยาว ร่างกายแข็งแรง ผิวพรรณดี สติปัญญาเฉลียวฉลาด มีความสุขความเจริญ มีความก้าวหน้า มีทรัพย์สมบัติมาก ก็เนื่องมาจากผลของบุญ จะไปสวรรค์กระทั่งไปนิพพานได้ ก็ด้วยบุญ กล่าวได้ว่า ทุกอย่างสำเร็จได้ด้วยบุญ ทั้งบุญเก่าที่ได้สั่งสมมาดีแล้ว และบุญใหม่ที่เพียรสร้างขึ้นประกอบกัน จึงมีความรู้คุณของบุญ มีความอ่อนน้อมในตัว ไม่ดูถูกบุญ ตามระลึกถึงบุญเก่าให้จิตใจชุ่มชื่น และไม่ประมาทในการสร้างบุญใหม่ให้ยิ่งๆ ขึ้นไป
๕. กตัญญูต่อตนเอง คือรู้ว่าร่างกายของเรานี้เป็นอุปกรณ์สำคัญที่เราจะใช้อาศัยในการทำความดี ใช้ในการสร้างบุญกุศลนานาประการ เพื่อความสุขความเจริญก้าวหน้าแก่ตนเอง จึงทะนุถนอมดูแลร่างกาย รักษาสุขภาพให้ดี ไม่ทำลายด้วยการกินเหล้า เสพสิ่งเสพย์ติด เที่ยวเตร่ดึกๆ ดื่นๆ และไม่นำร่างกายนี้ไปประกอบความชั่ว เช่น ฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ เจ้าชู้ อันเป็นการทำลายตนเอง
การที่คนเราจะมีความคิดใฝ่ดี ตั้งใจทำความดีสร้างสมคุณธรรมให้เกิดขึ้นในตัว เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ยาก แต่ที่ยากยิ่งกว่านั้นก็คือ ทำอย่างไรจึงจะ รักษาความตั้งใจที่ดีนั้นไว้ โดยไม่ท้อถอยไม่เลิกกลางคัน เพราะในการทำความดีย่อมมีอุปสรรค มีปัญหาขัดขวางมากมาย ไหนจะปัญหาภายนอกจากคนรอบข้าง จากสิ่งแวดล้อม ไหนจะปัญหาภายในจากกิเลสรุมล้อมประดังกันเข้ามา เราจะเอาตัวรอด ยืนหยัดสู้ปัญหาทั้งหลายที่เข้ามาผจญได้โดยไม่ท้อถอย ก็ต้องมีสิ่งที่ยึดเหนี่ยวใจไว้ นั่นคือความกตัญญู
ถ้าเป็นผู้ที่มีความกตัญญูเป็นพื้นใจแล้ว เมื่อความท้อถอย ความเบื่อหน่ายเอือมระอาเกิดขึ้น เพียงแต่นึกว่า ที่ตัวเราได้มีโอกาสเรียนรู้ธรรมะ รู้การสร้างบุญกุศล รู้วิธีการดำเนินชีวิตอันประเสริฐ รู้บุญรู้บาปอยู่ทุกวันนี้ก็เพราะพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ได้ทรงเสียสละอุทิศชีวิตทุ่มเทค้นคว้าจนตรัสรู้หลักอริยสัจจ์ คือความจริงอันประเสริฐทั้งหลายมาสอนเรา เมื่อคิดถึงชีวิต เลือดเนื้อ ความเพียรพยายามที่พระองค์ได้ทรงทุ่มเทลงไป ตลอดระยะเวลาที่ทรงบำเพ็ญบารมีอยู่นานถึง 20 อสงไขยกับแสนกัปป์ ว่ามากมายมหาศาลเพียงใด ตลอดจนคิดถึงพระคุณของครูบาอาจารย์ทั้งหลายที่ท่านอุตส่าห์ถ่ายทอดคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต่อๆ กันมา และอบรมสั่งสอนให้เราได้ทราบได้รู้ถึงคำสอนของพระองค์ โดยไม่เห็นแก่ความเหนื่อยยาก คิดเพียงเท่านี้ ความท้อถอยก็หาย ความเหนื่อยหน่ายก็คลาย แม้ความตายก็ไม่หวั่น เกิดกำลังใจที่จะทำความดีต่อไปไม่มีที่สิ้นสุด
กตัญญูต่อพระพุทธเจ้า คือยังไง พระพุทธเจ้าคือ ผู้บำเพ็ญบารมี คือผู้รู้ทุกอย่างตามความเป็นจริง ได้ตรัสรู้ อย่างผู้ที่บวชมาก็ต้องต่อยอดสืบทอดให้เป็นพระอริยเจ้า พระโสดาบัน พระสกทาคามี อนาคามี พระอรหันต์ พระพุทธเจ้าท่านบำเพ็ญบารมีมาหลายล้านชาติมาบอกมาสอนเรา เราจะไปทำให้มัวหมองเศร้าหมองไม่ได้ เพราะเราทุกคนที่บวชมายังไม่ได้เป็นพระธรรม ไม่ได้เป็นพระวินัย เราถึงมาประพฤติมาปฏิบัติ เพื่อที่จะเป็นพระธรรม เป็นพระวินัย เราพากันเป็นเพียงภิกษุ การเรียนการศึกษา พระพุทธเจ้าท่านให้เรานำไปประพฤติปฏิบัติ ไม่เช่นนั้นเราก็จะยิ่งทำผิดไปเรื่อย แล้วเราจะมีความสุขได้ยังไง
เพราะเราเป็นคนไม่ซื่อสัตย์ต่ออาชีพของเราคือนักบวช ใจของเราไม่ซื่อสัตย์ต้องหน้าที่การงาน งานของเราคือการประพฤติพรหมจรรย์ งานของเราคือรักษาศีล สิกขาบทน้อยใหญ่ เพื่อกตัญญูต่อพระพุทธเจ้า เพราะว่าอาหารบิณฑบาต เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค ที่อยู่ที่อาศัย สิ่งอำนวยความสะดวกสบาย เป็นอริยทรัพย์ของพระพุทธเจ้าทั้งหมด การประพฤติปฏิบัติของเราถือว่าเป็นการคอรัปชั่น เพราะไม่ตั้งใจปฏิบัติเอามรรคผลนิพพาน เป็นการคอรัปชั่นในเครื่องแบบ ไม่มีการประพฤติปฏิบัติ มีแต่เพียงการทรงเครื่อง เหมือนเล่นลิเก แสดงโขน แสดงละคร แสดงภาพยนตร์เท่านั้น แต่ยังไม่ได้มีการประพฤติปฏิบัติอะไรเลย เราพากันทำอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้ พระพุทธศาสนาของเราจะไปรอดได้ยังไง มันไปไม่รอด
ถ้าไม่เอาธรรม เอาพระวินัย เราก็เป็นคนไม่กตัญญูกตเวที เราเป็นลูกของพ่อของแม่ พ่อแม่เราถึงจะดีไม่ดี ก็เป็นเรื่องของท่าน มาสร้างบารมี เราทุกคนไม่ได้หายใจให้คนอื่น ไม่ได้กินข้าวให้คนอื่น เราทุกคนต้องประพฤติปฏิบัติเอง เดินด้วยลำแข้งของตนเอง อาศัยพระธรรมของพระพุทธเจ้า ประพฤติปฏิบัติ ไม่กินเหล้าเจ้าชู้การพนัน ไม่มักมากในกามพยาบาท พวกเจดีย์ พวกวิหารเป็นเพียงเปลือกให้คนศรัทธาเลื่อมใส ต้องให้ใจเข้าถึงแก่นแท้ของพระศาสนาให้ได้ การที่จะสร้างกุฏิ สร้างวิหาร สร้างโบสถ์ สร้างเจดีย์ อย่างนี้ พระพุทธศาสนามันไปไม่รอด พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า "อานนท์! พุทธบริษัททั้ง ๔ คือ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ทำสักการบูชาเราอยู่ด้วยเครื่องบูชาสักการะทั้งหลายอันเป็นอามิส เช่น ดอกไม้ ธูป เทียน เป็นต้น หาชื่อว่าบูชาตถาคตด้วยการบูชาอันยิ่งไม่ อานนท์เอย! ผู้ใดปฏิบัติตามธรรมปฏิบัติชอบยิ่ง ปฏิบัติธรรมให้เหมาะสม ผู้นั้นแลชื่อว่าสักการะบูชาเราด้วยบูชาอันยอดเยี่ยม"
เราจึงต้องเป็นผู้กตัญญูกตเวที ต่อพระพุทธเจ้า ต่อพ่อแม่ ต่อบรรพบุรุษของเรา เป็นผู้ที่เสียสละ ทุกคนเป็นลูกศิษย์พระพุทธเจ้าต้องพากันพิจารณาตนเอง เดินจงกรมก็พิจารณากายใจ ว่าตามใจตามอารมณ์หรือเปล่า นั่งสมาธิก็พิจารณากายใจว่ายังตามใจตามอารมณ์หรือเปล่า ยืนเดินนั่งนอนก็พิจารณาตนเอง เพื่อแก้ไขตนเองประพฤติปฏิบัติตนเองเราจะได้เป็นคนกตัญญูกตเวทีต่อพระพุทธเจ้า เราเป็นผู้ที่ประเสริฐ เราเกิดมาได้พบพระพุทธศาสนา ได้พบคำสอนของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าเพียงได้ยินได้ฟัง ก็เป็นคุณเป็นประโยชน์อย่างใหญ่หลวง ได้ปฏิบัติตามก็ยิ่งเป็นอานิสงส์ใหญ่ ต้องพากันพิจารณาตัวเอง พากันแก้ไขตัวเอง เพื่อประพฤติปฏิบัติตัวเอง เราจะได้เป็นคนกตัญญูกตเวทีต่อพระพุทธเจ้า
ความกตัญญูจึงเป็นคุณธรรมที่สำคัญยิ่ง ที่จะประคองใจของเราให้ดำรงมั่นอยู่ในคุณธรรมอันยิ่งๆ ขึ้นไป
เมื่อเรากตัญญู เราต้องเข้าสู่ความประพฤติความปฏิบัติเพื่อจะได้เป็นพระพุทธศาสนา มันไปทางใจอย่างเดียวก็ยังไม่พอ ต้องเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ ถ้าไม่ประพฤติปฏิบัติ ศีลเราก็ยังไม่มี สมาธิก็ไม่มี ปัญญาของเราก็ยังไม่มี เพราะเรายังไม่ได้เอาปัญญามาเสียสละเลย เราต้องเข้าถึงแก่นแท้ของพระพุทธศาสนา คือ รู้แล้วประพฤติปฏิบัติเพื่อให้เกิด ศีล สมาธิ ปัญญา เพราะเรามองดูภาพรวมของประเทศ หรือว่า สังคม ของโลก มันไม่สมบูรณ์ อริยมรรคมีองค์ ๘ ยังไม่เอามาใช้ทำงาน เพื่อพัฒนาทั้งเทคโนโลยีและจิตใจไปพร้อมๆกัน เราถึงมีปัญหา สิ่งภายนอกถึงมีปัญหา
ผู้ที่เวียนว่ายตายเกิดนั้นคือผู้ที่ไม่รู้จักอริยสัจ ๔ คือ ไม่รู้ทุกข์ ไม่รู้เหตุให้เกิดทุกข์ ไม่รู้ความดับทุกข์ ไม่รู้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ เรียกว่าไม่รู้ธรรมนูญแห่งชีวิต พวกที่เวียนว่ายตายเกิดนี้ ต้องพากันเข้าใจ ทุกคนที่ความเป็นอยู่อะไรนี้ ไม่เข้าใจ ไม่ว่าการเรียน การศึกษา การทำอะไรนี้ เพราะเอาตัวตนเป็นใหญ่ จะจบดอกเตอร์มาหลายดอกเตอร์ หรือว่าจะจบ ป.ธ.๙ ป.ธ.๑๐ มาก็ชื่อว่ายังไม่เข้าใจธรรมนูญแห่งชีวิต ตาทุกคนยังถือว่าตาบอด ที่จะหายบอดก็คือธรรมนูญแห่งชีวิต เราทุกท่านทุกคนพากันคิดดูดีๆนะ ความเห็นแก่ตัวทั้งหลาย หรือว่าความขี้เกียจ ขี้คร้านทั้งหลาย อยากจะตามใจตัวเอง ตามอารมณ์ตัวเอง ตามความรู้สึก มันคือปัญหาของเราและปัญหาของคนอื่น ธรรมนูญชีวิตนี้เข้าสู่เหนือนักปรัชญา เหนือจิตวิทยา ถึงเป็นความประพฤติของเรา ของท่านแต่ละคน ต้องพากันเข้าใจอย่างนี้ ปฏิบัติอย่างนี้ เราปฏิบัติไปเดี๋ยวมันก็จะดีขึ้น ยิ่งทุกวันนี้ ยิ่งวิทยาศาสตร์มาช่วยกันดำรงชีวิตนี้ ถ้าเรามีธรรมนูญชีวิตพัฒนาทั้งใจไปพร้อมๆ กัน ถือว่าดีมาก ประเสริฐมาก เพราะดูแล้วไม่ว่าจะเป็นคนรวย เป็นเศรษฐี มหาเศรษฐี มันไม่ใช่ดับทุกข์ได้ มันดับทุกข์ได้อยู่ที่เรามีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้อง มีความสุขในการประพฤติปฏิบัติอย่างนี้ ให้สำคัญ เพราะดูแล้วมันจะรวยล้นฟ้า มีรถ มีเครื่องบิน หรือว่าเหนือเครื่องบิน เหนือคอมพิวเตอร์มันก็ดับทุกข์ไม่ได้ ถ้าเราไม่เข้าสู่ธรรมนูญคือความดับทุกข์ที่ถูกต้อง
การบวชนี้ถึงเป็นสิ่งที่ดีที่สุดเพราะเป็นการหยุดตัวเอง เพราะการทำตามใจตัวเอง ตามอารมณ์นี้มันไม่ได้ ต้องมาหยุดตัวเอง หยุดมีเซ็กส์มีเพศสัมพันธ์ทางกายและมาหยุดมีเซ็กส์มีเพศสัมพันธ์ทางจิตใจเรียกว่าไฟท์แห่งการหยุดวัฏฏะสงสาร คนเราตามใจตัวเอง ตามอารมณ์ตัวเอง ตามความรู้สึกยิ่งสร้างปัญหา การมาบวชถึงมาหยุดตัวเอง พระพุทธเจ้าท่านเปรียบอุปมาให้ฟังเหมือนบุรุษโบราณ เขาเอาไม้ไผ่มาสีกันให้เกิดไฟ ถ้าไม้ยังเปียกยังสดอยู่มันก็ไม่ติด มันถึงต้องออกบวช ออกบวชก็หมายถึงหยุดตัวเอง เราทุกคนเข้าใจผิดเพราะความรู้ ความเข้าใจนี้ มันยังเป็นสามัญชนอยู่ มันยังไม่ใช่ธรรมะ ทุกคนถึงไม่มีสิทธิ์ที่จะทำตามใจตัวเอง ทำตามอารมณ์ตัวเอง ผู้ที่เปลี่ยนแปลงตัวเองได้ ต้องเอาธรรมะเป็นหลัก เอาศีลเป็นหลัก มีความสุขในการประพฤติปฏิบัติ ให้ดูพวกฤาษี ชีไพร เขาพากันทำตามใจตัวเอง อย่างนี้มันก็ได้ผลระดับหนึ่ง มันต้องหยุดทางความคิด หยุดทางอารมณ์ ต้องเข้าสู่ภาคประพฤติปฏิบัติ ผู้ที่มาบวชถึงได้บุญ ได้กุศลเยอะ พวกที่บวชถึงต้องอาศัยพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าไม่อยู่ก็ต้องอาศัยพระอรหันต์ พระอรหันต์ไม่อยู่ก็ต้องอาศัยธรรมวินัย คนเราทำตามใจตัวเองไม่ได้ ทำตามอารมณ์ตัวเองไม่ได้ ไม่อย่างนั้นมันจะไม่ได้เข้าสู่หนทาง มันจะเป็นเพียงนักปราชญ์เฉยๆ เป็นนักปรัชญาเฉยๆ ผู้ที่มาบวชถึงต้องมาปรับใจตัวเอง มาปรับตัวเอง อย่าให้ตัวเองมีอะไรแอบแฝง
แต่ว่าการบวชนั้น ก็มิได้มีผู้มุ่งผลอย่างสูงดังกล่าวนี้เสมอไป ดังในมิลินทปัญหา พระเจ้ามิลินท์ได้ถาม พระนาคเสน ว่า ประโยชน์สูงสุดของการบวชคืออะไร ? พระนาคเสนท่านก็ตอบว่า ประโยชน์สูงสุดของการบวชนั้น คือพระนิพพาน คือความดับ เพราะไม่ยึดมั่นอะไรๆ ทั้งหมด แต่คนก็มิใช่บวชเพื่อประโยชน์นี้ทั้งหมด บางคนบวชเพราะหลีกหนีราชภัยบ้าง หนีโจรภัยบ้าง ปฏิบัติตามพระราชประสงค์หรือความประสงค์ของผู้มีอำนาจบ้าง ต้องการจะพ้นหนี้สินบ้าง ต้องการความเป็นใหญ่บ้าง ต้องการที่จะดำรงชีวิตอยู่อย่างสะดวกสบายบ้าง เพราะกลัวภัยต่างๆ บ้าง พระนาคเสนตอบพระเจ้ามิลินท์ ดังนี้
อย่างที่ ๑ เรียกว่า บวชได้กิ่งใบของพรหมจรรย์ คือบวชแล้วก็มุ่งแต่จะได้ลาภ ได้สักการะ ได้สรรเสริญ เมื่อได้ก็พอใจเพียงเท่านั้น
อย่างที่ ๒ เรียกว่า บวชได้กะเทาะเปลือกของพรหมจรรย์ คือก็ไม่ได้มุ่งจะได้ลาภสักการะและสรรเสริญทีเดียว แต่ก็ปฏิบัติในศีลให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ด้วย และก็พอใจเพียงว่า จะปฏิบัติในศีลให้บริสุทธิ์บริบูรณ์เท่านั้น
อย่างที่ ๓ เรียกว่า บวชได้เปลือกของพรหมจรรย์ คือเมื่อปฏิบัติในศีลให้บริสุทธิ์ได้แล้ว ก็ปฏิบัติในสมาธิให้บริบูรณ์ด้วย และก็พอใจเพียงสมาธิเท่านั้น
อย่างที่ ๔ เรียกว่า บวชได้กระพี้ของพรหมจรรย์ คือเมื่อปฏิบัติในศีล ในสมาธิ ให้บริบูรณ์แล้ว ก็ปฏิบัติต่อไปจนเกิดญาณทัสสนะคือความรู้ความเห็นธรรมะขึ้นด้วย และก็พอใจเพียงที่รู้ที่เห็นเท่านั้น
อย่างที่ ๕ เรียกว่า บวชได้แก่นของพรหมจรรย์ คือว่าได้ปฏิบัติสืบขึ้นไปจนได้วิมุตติ คือความหลุดพ้นจากกิเลสและกองทุกข์บางส่วนหรือสิ้นเชิง ตามสามารถของการปฏิบัติ อย่างที่ ๕ นี้ จึงจะชื่อว่าได้บรรลุแก่นของการบวช หรือว่าบวชได้แก่นของพรหมจรรย์
การบวชจึงหลายจุดประสงค์จำนงหมาย ดังคำโบราณที่ว่า บวชหลบบวชลี้ บวชหนีวัฏสงสาร บวชผลาญข้าวสุก บวชสนุกหาบาป บวชคาบเหล็กไฟ บวชไปทำพุทธพาณิช บวชติดเรื่องโลกๆ บวชนั่งโงกงมแก่ ตามคำที่ว่ามาทั้งหมดนี้ การบวชหนีวัฏสงสาร มุ่งมรรคผลนิพพานเป็นจุดหมายปลายทาง เป็นการบวชที่ประเสริฐสุด พระพุทธองค์ทรงสรรเสริญ
เรามาบวชเป็นพระ เป็นสมมติสงฆ์ แต่ทุกๆ คนนั้นจิตใจนั้นยังไม่ได้เป็นพระ ต้องมาปฏิบัติพระธรรม พระวินัย เพื่อให้ใจของเราเป็นพระ พระคือผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ปฏิบัติตรง ปฏิบัติเพื่อออกจากทุกข์ พระคือผู้ที่เห็นภัยในวัฏฏสงสาร “พระคือผู้ที่เดินตามทางสายกลาง คือพระธรรม พระวินัย
ถ้าเราประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าถึงจะเป็นผู้ที่สมควรรับกราบ รับไหว้ รับการบูชาจากประชาชน ถ้าเราไม่ประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ผู้ที่มาบวชอยู่ที่วัดก็คือเปรตตนหนึ่งมาคอยรับส่วนบุญจากประชาชน ที่เค้าถวายทาน อุปัฏฐาก อุปถัมภ์น่ะ
เพราะว่าศาสนาพุทธของเรานี้มีความเมตตามาก มีกรุณามาก อย่างไม่มีที่สุดไม่มีประมาณ ก็ย่อมมีสิ่งที่ไม่ดีเข้ามาเจือปนย่อมมีผู้ที่ไม่มีศักยภาพในการทำมาหากิน มาเอาพระพุทธศาสนาหาเลี้ยงชีพ นี้ก็คือว่าเป็นสภาวธรรม เป็นเรื่องธรรมดาบางคนบางท่านจิตใจไม่สงบน่ะ เป็นโรคจิต เป็นโรคประสาท คิดว่าเมื่อมาบวชแล้วมันคงจะดีขึ้น บางท่านบางคนก็เมื่อเป็นฆราวาส เป็นคนไม่รับผิดชอบ ดื่มเหล้า ดื่มเบียร์ เล่นการพนัน เจ้าชู้ ติดยาเสพติด พ่อแม่ ญาติพี่น้องก็เอามาบวช หวังว่าจะดีขึ้น เพราะว่าธรรมะของพระพุทธเจ้านั้นถ้าใครประพฤติปฏิบัติแล้วก็ย่อมดีทุกๆ คนน่ะ ถ้าปฏิบัติตามพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว ถ้ามันไม่ดี มันเป็นไปไม่ได้ มันต้องดี
เราต้องเอาพระพุทธเจ้าเป็นหลักเป็นเกณฑ์ เป็นบรรทัดฐาน เป็นมาตรฐานเอาพ่อแม่ครูบาอาจารย์ พระอุปัชฌาย์ หลวงพ่อกัณหา เป็นตัวอย่างน่ะ ท่านอายุ ๗๒ ปี บวชมาแล้ว ๕๒ พรรษา ตั้งแต่บวชมานี้ยังไม่เอาเงินสักบาทเป็นของตัวเอง เป็นของส่วนตัว ฉันอาหารวันหนึ่งก็เพียงหนเดียว ไม่อ่านหนังสือพิมพ์ทางโลก ไม่ฟังวิทยุ ดูโทรทัศน์ ไม่มีมือถือ ไม่เล่นไลน์ ไม่เล่นอินเทอร์เน็ต เฟซบุ๊ค
เราบวชมาน่ะต้องพากันตั้งอกตั้งใจประพฤติปฏิบัติให้เต็มที่เต็มกำลัง ตามพระธรรม ตามพระวินัย ข้อวัตร กิจวัตรคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า อย่าได้ย่อหย่อนอ่อนแอ เพราะพื้นฐานของเราทุกๆ คนนั้นเป็นคนย่อหย่อนอ่อนแอ ตามใจตัวเอง ตามอารมณ์ตนเอง ตามความเคยชินที่ได้สะสมมานาน จนเป็นนิสัย เป็นสันดาน ธรรมะของพระพุทธเจ้านั้นเป็นสิ่งที่ทวนโลก ทวนกระแส ทวนอารมณ์ของเราน่ะ ไม่ไปตามสัญชาตญาณ สัตว์โลกทั้งหลายที่เวียนว่ายตายเกิด ต้องทวนกระแส ต้องตามพระพุทธเจ้า ถือนิสัยของพระพุทธเจ้า
ทุกท่านทุกคนน่ะต้องผ่านอุปสรรคได้ ผ่านปัญหาได้ ด้วยการเอาศักยภาพแห่งความเป็นมนุษย์ที่ประเสริฐออกมาทำงาน ออกมาใช้งาน ต้องกล้าสู้ กล้าเผชิญในการผ่านอุปสรรคต่างๆ นานาเพราะทุกสิ่งทุกอย่างมันไม่มีอะไรมากไปกว่า ทุกอย่างเกิดขึ้น ทุกอย่างตั้งอยู่ ทุกอย่างก็ต้องดับไป เราต้องระดมเอาบารมีสิบทัศออกมาใช้งาน ออกมาทำงาน เราต้องระดมเอาอริยมรรคมีองค์แปดประการออกมาใช้ ออกมาทำงาน ถ้าไม่มีอุปสรรคต่างๆ นานา มาปรากฏเราก็ไม่ได้ประพฤติเราก็ไม่ได้ปฏิบัติน่ะ ไม่มีข้อสอบเราก็ไม่ได้ตอบปัญหา แก้ปัญหา เราทุกคนก็ถือว่าเราเป็นโชคดีที่พระพุทธเจ้าสอนให้เราให้เข้าใจที่ถูกต้อง มีความเห็นถูกต้อง เราจะได้ปฏิบัติถูกต้อง เพื่อเราจะได้ผ่านภพผ่านภูมิที่มันกำลังปรากฏการณ์แก่เรา ในชีวิตประจำวัน
เราต้องทำอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้แหละทุกๆ วัน จนกว่าเราจะหมดกิเลส สิ้นอาสวะ ถ้าเราไม่ตั้งใจประพฤติปฏิบัติ เราก็ไม่สมควรที่จะทานอาหาร เพราะเราทุกคนถือว่าเป็นเสขะบุคคล บุคคลที่จะต้องพึงประพฤติพึงปฏิบัติน่ะ เรายังไม่ใช่อเสขบุคคล คือ บุคคลที่หมดกิเลส สิ้นอาสวะแล้ว เรายังเป็นคนที่มีหนี้มีสินต่อผู้มีพระคุณคือพ่อ คือแม่ และประชาชน ผู้ที่ทำบุญตักบาตร ถวายปัจจัยทั้งสี่ เราทุกคนต้องทำความเพียร ประพฤติปฏิบัติธรรม เพื่อเราจะไม่มีหนี้มีสิน เราจะได้ให้บุญให้กุศลกับพ่อแม่ ปู่ย่าตายาย พร้อมทั้งประชาชนที่ทำบุญตักบาตร อุปถัมภ์ อุปัฏฐาก เราบวชมาแล้วน่ะ พ่อแม่บังเกิดเกล้าก็กราบเรา ไหว้เรา ผู้แก่ผู้เฒ่าวัยชราก็กราบเราไหว้เรา ทุกท่านทุกรูป พระพุทธเจ้าให้เรามีจิตสำนึกเรามีเพศต่างจากคฤหัสถ์แล้ว เราต้องประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าอย่างเต็มที่เต็มกำลัง เต็มความสามารถด้วยความตั้งอกตั้งใจ
ถ้าเรามีสติสัมปชัญญะใจของเรามันจะสงบ ใจของเรามันจะเย็น ความสุขของเราคือการปฏิบัติธรรม การทำงานของเรา คือการประพฤติปฏิบัติธรรมวินัย งานคือข้อวัตร กิจวัตร ข้อประพฤติข้อปฏิบัติของความเป็นพระธรรมพระวินัยของเรา นี้คือความโชคดี ความประเสริฐที่เราทุกคนได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ที่ได้ประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ถึงเราจะบวชนาน ไม่นานนี้ไม่สำคัญ สำคัญอยู่ที่เราได้ประพฤติปฏิบัติอย่างเต็มที่ เต็มกำลัง เต็มความสามารถ ให้ได้มาตรฐานตามพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ให้เราได้ภูมิใจในตัวเอง ให้พ่อแม่ ญาติพี่น้องภูมิใจ ให้ประชาชน ได้ภูมิใจในการบวช แล้วตั้งอกตั้งใจประพฤติปฏิบัติอย่างสมศักดิ์ศรีเป็นที่รักเคารพบูชาของเหล่าเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย จึงจะได้ชื่อว่าสงฆ์สาวกแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
แจกปัญญา แจกศาสนา แจกธรรมวินัย แจกสิ่งที่ถูกต้อง
เพื่อเดินตามรอยพระพุทธเจ้าร้อยเปอร์เซ็นต์
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
โดยทุกท่านสามารถติดตามเพิ่มเติมได้ที่
https://linktr.ee/watsubthawee
Share wisdom, spread Buddhism and its discipline.
Advocate righteousness to follow Lord of Buddha's footsteps 100%
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
You can receive new Dharma updates.
https://linktr.ee/watsubthawee