แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ใน วันเสาร์ที่ ๘ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๖
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง สั่งสมทรัพย์ภายใน ตอนที่ ๑๖ พฤติกรรมของคนหมู่มากที่ไม่มีความรู้รักษาตัวหรือไม่มีวินัย จะเป็นเหมือนกระบือบอดที่เที่ยวอยู่ในป่าดง
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
ประเทศไทยเรานับถือศาสนาหลายศาสนา พอที่จะสังเขปฟังเข้าใจง่ายๆ ศาสนาพุทธ คริสต์ อิสลาม พราหมณ์ ฮินดู ซิกข์ เป็นต้น ศาสนานี้คือธรรมะ ธรรมะคือศาสนา มนุษย์เราต้องพัฒนาวิทยาศาสตร์ ก็คือพัฒนากาย พัฒนาใจก็คือพัฒนาให้ใจของเราไปตามศาสนา ศาสนาทุกศาสนาก็จะหยุดอบายมุข อบายภูมิ ประเทศไทยเราการปกครองก็จะเอาหลักศาสนาแล้วก็เอาหลักวิทยาศาสตร์ไปพร้อมๆ กัน ทุกๆ ศาสนาก็คือไม่ทำบาป แล้วก็ทำจิตใจ ให้สงบ ทำจิตใจให้มีปัญญา
ประเทศไทยเราปีหนึ่งๆ ช่วงสงกรานต์ ช่วงปีใหม่ เทศกาลต่างๆ นี้ก็พากันตายเยอะ เพราะอุบัติเหตุ อย่างปีใหม่นี้ก็หลายร้อย สงกรานต์นี้ก็เป็นพัน สาเหตุก็เพราะ เราพากันทิ้งเรื่องศาสนา พากันไปกินเหล้า กินเบียร์ สวนเสเฮฮา มนุษย์เราคือผู้ที่มีความเห้นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง ต้องมาหยุดตัวเอง ด้วยการเอาศาสนาเป็นการนำทางของจิตใจ ผู้ที่ถือพระศาสนาแต่ละศาสนาน่ะ ต้องพากันเคร่งครัด ถ้าไม่อย่างนั้นน่ะจะมีแต่แบรนด์เนมของแต่ละศาสนา ของนักบวชนี้ก็เป็นแบรนด์เนมของผู้ที่มาบวช ศาสนานี้ก็คือการที่ทุกคนน่ะแก้ไขตัวเอง ไฟติ้งตัวเอง มันเป็นสิ่งที่ง่ายสำหรับภาพรวม เพราะเราไม่ได้แก้ที่คนอื่น เราแก้ที่ตัวเอง คนที่เป็นพ่อก็แก้ที่เป็นพ่อ คนเป็นแม่ก็แก้ที่เป็นแม่ ที่เป็นลูกก็แก้กับคนที่เป็นลูก คนที่เป็นหลานก็แก้ผู้ที่เป็นหลาน เพราะนี้เราต้องพัฒนาสร้างเหตุสร้างปัจจัย เพราะสิ่งนี้มี สิ่งต่อไปมันถึงจะมี เราจะได้ส่งไม้ผลัดให้ลูกให้หลาน
เราจะไปทำตามใจตัวเอง ทำตามอารมณ์ตัวเองไม่ได้ ต้องเอาศานาเป็นหลักเอาธรรมะเป็นหลัก เพราะเราทุกคนเป็นนิติบุคคล เป็นตัวเป็นตน เราต้องเข้าหลักพระศานา เราต้องหยุดมีเซ็กทางความคิด หยุดมีเซ็กทางอารมณ์ เราต้องสมาทานพากันตั้งใจ ทุกท่านทุกคนหน่ะ พ่อแม่ ญาติพี่น้องวงศ์ตระกูล หรือรัฐบาลเขาก็ไม่มาปฏิบัติให้เรา เราต้องปฏิบัติเองที่ปัจจุบัน
ประเทศเราน่ะมีการขายเหล้า ขายเบียร์ทุกหมู่บ้านเลย พวกร้านอาหารนี้ก็ขาดไม่ได้พวกเหล้าพวกเบียร์ แล้วก็พวกบุหรี่ พวกนี้ถือว่าผิด เพราะว่าพวกเหล้าพวกเบียร์ พวกบุหรี่ พวกใบกระท่อม พวกกัญชานี้มันผิด มันทำให้ระบบสมองเสียหาย ทำให้ประสาทเสียหาย พวกเหล้าพวกนี้นะทำลายประเทศไทยของเรา ถึงรัฐบาลได้เงินมาบริหารประเทศ แต่มันไม่คุ้ม เพราะมันเสียหายมากกว่าได้
การดื่มเหล้านั้น ทำให้เกิดความสุขได้บ้างสำหรับคนที่ติด แต่เป็นความสุขหลอกๆ บนความทุกข์ เหล้าทำให้เพลิดเพลิน แต่เป็นการเพลิดเพลินในเรื่องเศร้า การดื่มน้ำเมา นอกจากจะเป็นการมอมเมาตัวเองวันแล้ววันเล่า ยังเป็นการบั่นทอนทุกสิ่งทุกอย่างของตนเองอีกด้วย แม้ที่สุดความสุขทางใจที่คนเมาเห็นว่าตนได้จากการเสพสิ่งเสพย์ติดนั้น ก็เป็นความสุขจอมปลอม
พระพุทธศาสนาประณามการดื่มสุราและการซ่องเสพของมึนเมาเสพติดให้โทษทุกชนิด แต่จุดหนักอยู่ที่สุรา ที่ท่านแสดงไว้ในสิงคาลกสูตร ซึ่งทรงสอนแก่สิงคาลกมาณพว่า ๑. ธนชานิ ทำให้เสื่อมเสียทรัพย์ เพราะไหนจะต้องซื้อเหล้ามาดื่มเอง ไหนจะต้องเลี้ยงเพื่อน งานการก็ไม่ได้ทำ ดังนี้แม้เป็นมหาเศรษฐี ถ้าติดเหล้าก็อาจจะล่มจมได้
๒. กลหปฺปวฑฺฒนี ก่อการทะเลาะวิวาท เพราะดื่มเหล้าแล้วขาดสติไม่สามารถ ควบคุมตนเองได้ จะเห็นได้ว่าในวงเหล้ามักจะมีเรื่องชกต่อยตีรันฟันแทงอยู่เสมอ เพื่อนรักกันพอเหล้าเข้าปาก ประเดี๋ยวเดียวก็ทะเลาะกัน ฆ่ากันเสียแล้ว
๓. โรคานํ อายตนํ จะเกิดโรคหลายอย่าง ทั้งโรคตับแข็ง โรคกระเพาะ โรคหัวใจ โรคเส้นโลหิตในสมองแตก โรคทางระบบประสาท ฯลฯ
๔. อกิตฺติ สญฺชนณี เสื่อมเสียชื่อเสียง เพราะไปทำสิ่งที่ไม่ดีเข้า ใครรู้ว่าเป็นคนขี้เมา ก็จะดูถูกเหยียดหยาม ไม่มีใครไว้วางใจ
๕. หิริ โกปินนิทฺทํสนี ทำให้ขาดความละอาย ทำให้แสดงอุจาดขาดความละอาย พอเมาแล้วอะไรที่ไม่กล้าทำ ก็ทำได้ จะนอนอยู่กลางถนน จะเอะอะโวยวาย จะถอดเสื้อผ้าในที่สาธารณะ ทำได้ทั้งนั้น
๖. ปญฺญาย ทุพฺพลีกรณี ทำให้สติปัญญาเสื่อมถอย พอเมาแล้ว จะคิดอะไรก็คิดไม่ออก อ่านหนังสือก็ไม่ถูก พูดจาวกวน พอดื่มหนักๆ เข้าอีกหน่อยก็กลายเป็นคนหลงลืม ปัญญาเสื่อม
“เหล้าจึงผลาญทุกสิ่งทุกอย่าง ผลาญทรัพย์ ผลาญไมตรี ผลาญสุขภาพ ผลาญเกียรติยศ ผลาญศักดิ์ศรี ผลาญสติปัญญา”
การดื่มสุราชื่อว่าไม่รักตัว ล้างผลาญทรัพย์สมบัติลูกเมียผลาญคุณงามความดีทุกอย่าง จึงชื่อว่าไม่รักตัว ไม่รักคุณความดีของตัว ไม่รักลูกเมีย ทรัพย์สมบัติ ไม่รักเกียรติยศของตัวทุกอย่าง คนที่ดีมีศีลมีสัตย์ เป็นที่เคารพนับถือของคนทั่วไป ถ้าเวลาเขาจะคิดทำลายเสีย เขาก็ใช้อุบายมอมเหล้าให้เมาเสียจนลืมตัวชวนให้ทำผิดทำชั่วที่เขาได้เตรียมเอาไว้ เพราะเมาจนลืมตัวไปทำชั่วเข้าก็เสียคน พอเวลาหายเมาแล้วนึกถึงการกระทำต่างๆ ที่ตัวทำไป ก็เกิดมีความเดือดร้อนใจ เหมือนกับว่าหน้าของตัวเองเป็นใบหน้าที่เกลี้ยงเกลาสะอาดไม่มีตำหนิเลย ต้องมาเป็นแผล เห็นแล้วก็เกิดความไม่สบายใจฉันใด คนที่ไม่เคยทำบาปทำชั่ว แต่เพราะประมาททำชั่วเพราะขาดสติ นึกถึงบาปที่ไม่ดีก็ย่อมไม่สบายใจทุกที สิ่งที่เราทำไปแล้วก็ให้มันแล้วไป เราต้องตั้งต้นด้วยการสำรวมใหม่ อย่ากระทำเช่นนั้นอีกเป็นครั้งที่สอง แต่บางคนไม่เข้าใจ เมื่อทำชั่ว ทำเสียเกิดความเสียใจก็หันไปดื่มสุราอีกเป็นการดับกลุ้ม ซึ่งย่อมเป็นไปไม่ได้จะยิ่งซ้ำหนักอีก เปรียบเหมือนร่างกายของเราหรือพื้นสกปรก แต่แทนที่เราจะใช้น้ำสะอาดล้าง กลับใช้น้ำสกปรกมาล้าง แล้วลองคิดดูว่ามันจะสะอาดได้อย่างไร เมื่อเราสกปรกแล้วต้องอาบน้ำชำระร่างกาย ฟอกสบู่ให้สะอาด แล้วไม่เข้าไปเกลือกกลั้วกับสิ่งสกปรกอื่นๆ อีก ก็ไม่เปื้อนสกปรกอีกเช่นกัน
“ไม้ขีดเพียงก้านเดียว อาจเผาผลาญเมืองทั้งเมืองให้มอดไหม้ไปได้ฉันใด น้ำเมาเพียงเล็กน้อย ก็อาจทำลายทุกสิ่งทุกอย่างของเราได้ฉันนั้น”
ให้ทุกๆ ท่านทุกๆ คนน่ะ ไม่ว่าเราจะอยู่มุมของประเทศไทย ก็ต้องให้เข้าใจว่า อันไหนถูกต้อง อันไหนไม่ถูกต้อง อย่าได้ทำตามความไม่ถูกต้อง เพราะคนเราจะหยุดตัวเองได้ มันต้องอาศัยเวลา หลายเดือน เพราะว่าความเห็นแก่ตัวนี้มันอร่อยๆ นะ ความเห็นแก่ตัวนี้มันเป็นของอร่อยนะ เวทนานี้เป็นของอร่อย เราต้องต้องเอาปัญญา เอาความเห็นถูกต้อง ความเข้าใจถูกต้อง แล้วก็ต้องปฏิบัติให้ถูกต้อง ท่านถึงให้มีสัมมาสมาธินี้อย่าใจอ่อน ในปัจจุบันนี้เราต้องเอาให้ดี จัดการให้ดี เพราะแต่ละคนมันประมาท แต่ละครอบครัวมันประมาท เช่นประเทศไทยของเรานี้ก็ เทคโนโลยีมันพัฒนามามีจักรยาน แล้วก็มีรถเครื่องมีมอเตอร์ไซหน่ะ ประเทศไทยนี้ยังไม่สวมหมวกกันน็อค ดูแต่ละหมู่บ้านแต่ละอำเภอนี้ถือว่าเป็น 0% ทุกคนน่ะต้องพากันเข้าใจนะว่า เรายังไม่เข้าสู่ความถูกต้อง ยังไม่เข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ อย่าเห็นสิ่งนี้ว่าไม่สำคัญ มันสำคัญนะ อย่างบ้านเราสกปรกมันก็สำคัญ อย่างที่อยู่ที่อาศัย เสื้อผ้าอาภรณ์ ห้องน้ำ ห้องสุขา มันสกปรก มันก็สำคัญ เพราะมันเป็นเชื้อโรค มันเป็นไวรัส การที่ไม่สวมหมวกกันน็อคก็ถือว่ามันเสียหาย เราจะมักง่ายไม่ได้ เราต้องพากันเอาใจใส่ติดต่อต่อเนื่องกันอย่างนี้แหละ เพราะส่วนใหญ่เรามันไม่รู้จักทุกข์ ไม่รู้จักเหตุให้เกิดทุกข์ ไม่รู้จักข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ มันไม่ได้พัฒนาครอบครัว ไม่ได้พัฒนาบ้านเกิด ให้เข้าถึงระบบเศรษฐกิจพอเพียง พากันไปทำมาหากินในภูมิภาคต่างๆ พากันกินเหล้ากินเบียร์ ขับรถประมาท มันติด อย่างประเทศไทยนี้อุบัติเหตุเป็นอันดับ ๒ ของโลกนะ (เว็บอ้างอิง https://www.sanook.com/auto/66453/)
เราจะไปโทษความยากจน ทำให้ไม่มีหมวกกันน็อคนี้ไม่จริง ตอนท้ายนี้ตำรวจเขาเคร่งครัดนะ อย่าหาว่าตำรวจเขามาจับนะ เพราะว่าถ้าไม่เข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ มันก็ไปไม่ได้ ไม่มีธรรมะ ไม่มีกฎหมาย ไม่มีสิ่งที่ถูกต้อง แต่ก่อนพวกตำรวจเขาก็หาเงินหาตัง เพราะเหตุอย่างนี้แหละ กฎหมายมีเพื่อที่จะ ให้ทุกคนเข้าสู่กระบวนการหยุดทำผิด ประเทศไทยเรานี้จังหวัดใหญ่ๆ อย่างนครราชสีมา ทางทีมหมอเตรียมแพทย์บอกว่า คนตายเพราะ มอเตอร์ไซ ไม่สวมหมวกกันน็อค หรือว่าพวกเมานี้ก็ วันหนึ่งเฉลี่ย 2 คนครึ่ง ถ้าคิดเป็นเดือนก็นับร้อยคน แต่ไม่ได้ออกสื่อ
อบายมุขคือพวกที่กินเหล้ากินเบียร์ พวกไม่ใส่หมวกกันน็อกนี้มันยิ่งกว่าโควิด 19 นะ ต่อไปนี้ตำรวจก็ต้องเข้มงวดนะ พวกหมวกกันน็อกพวกกินเหล้ากินเบียร์ ภัยของประเทศไทยเราก็คืออบายมุข อบายภูมิ พวกยาเสพติด เพราะประเทศเราต้องปลอดพวกเหล้าพวกเบียร์ พวกยาเสพติด เราอย่าไปคิดอย่างคนมีปัญญาน้อย อย่างตั้งบ่อนคาสิโน เพราะห้ามอย่าไรมันก็ไม่อยู่ ก็ตั้งเอาเสียเลย เราต้องมีปัญญาที่จะต้องแก้ไข เมื่อพ่อแม่เราเป็นอย่านี้ เป็นอย่านู้น เราก็ต้องเอาดีกว่าพ่อเราแม่เรา อันไหนมันบกพร่อง ก็ต้องแก้ไข
อย่างพวกวิทยาศาสตร์เขาพากันแก้ไข แต่เรื่องใจเรื่องศาสนานี้เราต้องเข้มแข็งเราต้องแก้ไข ศาสนามันถึงไม่เป็นแต่เพียงแบรนด์เนม ไม่เป็นกาฝากของสังคม ไม่ใช่มีศาสนาไว้เพื่อหลงงมงาย เพื่อบั่นทอนสติปัญญามนุษย์ เป็นได้แต่ความหลง เป็นได้แต่เพียงคน มันต้องพัฒนาศาสนา ถ้างั้นไม่รู้ว่าเราจะมีศาสนาไว้ทำอะไร ถ้าไม่เข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ ถ้าใครไม่พร้อมก็อย่าพากันมาบวช มาบวชแล้วก็ไม่ทำตามอย่างนี้ มันไม่ใช่ มันทำให้ประเทศไทยเรานี้ ถึงไม่ค่อยมีนักการเมืองมีแต่นักกินเมือง ข้าราชการก็ไม่ค่อยมีมีแต่ข้าราชกิน เดี๋ยวนี้ก็ถือว่าง่ายขึ้น ในความรู้ความเข้าใจ อย่างพูดอย่างนี้มันก็ฟังได้ทั่วประเทศทั่วโลก เหมือนโควิดนี้ก็แปปเดียวก็ขยายหลายประเทศ ในภาคประพฤติ ภาคปฏิบัติ มันก็เช่นเดียวกัน ทุกอย่างมันมีทั้งคุณมันมีทั้งโทษ
พระพุทธองค์ได้ทรงสั่งสอนให้คนเราต้องเรียนความรู้ทางโลก และทางศีลธรรมด้วย เพราะว่าจะมีความรู้แต่เพียงอย่างเดียวไม่ได้ ลองพิจารณาดูว่า ถ้าคนเรามีความรู้ ความเป็น แต่ขาดความรู้ทางศีลธรรมที่เรียกว่า วินัย แล้วก็จะมีทั้งคุณและทั้งโทษเท่ากัน เพราะความรู้และความเป็นนั่นแหละ คนเราจึงสามารถที่จะทำทุจริตต่อหน้าที่ คดโกงต่างๆ แล้วก็ต้องติดคุกติดตาราง หนีอบายภูมิไม่รอด
พระพุทธองค์ของเราได้ทรงสอนให้เป็นผู้มีความรอบรู้ รู้จักทำแล้วจึงทรงสั่งด้วยว่า ต้องมีวินัย ตามมงคลข้อที่ว่า วินโย จ สุสิกขิโต แปลว่า มีวินัยที่ได้ศึกษาดีแล้ว ในพระพุทธศาสนามีอยู่ ๒ อย่างคือ คำสั่ง กับ คำสอน วินัยเป็นคำสั่ง หมายความว่า สั่งให้ทำอย่างนั้นอย่างนี้ ไม่ให้ทำอย่างนั้นอย่างนี้ เป็นลักษณะของคำว่า วินัย
การดำเนินชีวิตของเรานั้นมีอยู่ ๒ ทาง คือทางโลกกับทางธรรม ในตัวของเรามีความสำคัญอยู่ ๒ อย่างคือ ชีวิตกับจิตใจ ชีวิตแปลว่าความเป็นอยู่ต้องขึ้นกับโลก ต้องพึ่งโลกชีวิตจึงจะเจริญก้าวหน้าได้ ส่วนจิตใจนั้น ต้องอาศัยธรรม การอบรมจิตใจทางธรรม จึงจะทำให้จิตใจของเราเจริญก้าวหน้าได้ เพราะฉะนั้น เราจึงต้องดำเนินชีวิตให้สอดคล้องทั้งสองทาง ฉะนั้นวินัยที่จะใช้เป็นเครื่องมือกำกับความรู้นั้นจึงมีอยู่สองทางด้วยเหมือนกัน คือ วินัยทางโลก เรียกว่า อาคาริยวินัย วินัยทางธรรม เรียกว่า อนาคาริยวินัย
การอยู่รวมกันเป็นหมู่มากที่จะให้ความสุขได้นั้นจะต้องอาศัยวินัยเป็นเครื่องควบคุมความเป็นอยู่ ชาวบ้านที่อยู่ทางโลกก็ต้องรักษาวินัยทางธรรมด้วย ส่วนพระสงฆ์สามเณรที่อยู่ทางธรรม ก็จะต้องรักษาวินัยทางโลกด้วย ถ้าเราทิ้งทางใดทางหนึ่งแล้วจะเป็นผลเสียอย่างมาก เช่น ทางโลกไม่มีวินัยทางธรรมกำกับ ก็เสียผลทางด้านอบรมจิตใจ ทางธรรมไม่มีวินัยทางโลก ถึงจะไม่เสียผลทางด้านจิตใจ แต่ก็ไม่มีความราบรื่นในชีวิต ถ้าใครทิ้งทั้งสองทาง ก็เหมือนหลับตาเดิน มีแต่ภัยอันตรายรอบด้าน พระพุทธองค์จึงทรงตรัสว่า "โน เจ อสฺส สกา พุทธิ วินโย วา สุสิกฺขิโต วเน อนฺธมหีโสว จเรยฺย พาหุโก ชโน" พฤติการณ์ของคนหมู่มาก ที่ไม่มีความรู้รักษาตัว หรือไม่มีวินัย จะเป็นเหมือนควายบอดที่เที่ยวอยู่ในป่าดง
ถ้าความรู้ของตน คือสติปัญญาสำหรับฝึกหัดขัดเกลาตนเองให้สะอาดด้วยศีล สงบด้วยสมาธิ สว่างด้วยปัญญา ก็ไม่มี อีกประการหนึ่ง วินัยที่ศึกษาดีแล้ว คือกิริยามารยาทที่ดี มีสำนึกว่าอะไรควรทำ อะไรไม่ควรทำ ก็ไม่มี ฝูงชนก็จะพึงประพฤติตัว เหมือนกระบือบอดโซซัดโซเซอยู่ในป่า
ความหมายของทางรูปศัพท์ว่า วินัย มูลศัพท์เดิมว่า วิ + นี คำว่า นี แปลว่า นำไป คำว่า วิ แปลได้ ๓ อย่างคือ แปลว่า วิเศษ ก็ได้ หรือแปลว่า แจ้ง ก็ได้ และแปลว่า ต่างๆ ก็ได้ เมื่อเอาคำว่า วิ มานำหน้า คำว่า นี สำเร็จรูปเป็น วินัย
วินัยทางโลก หมายถึงระเบียบการควบคุมในสังคมหนึ่งๆ ซึ่งเป็นข้อบังคับของสังคม ซึ่งเรียกกันหลายอย่าง เป็นต้นว่า พระราชบัญญัติ พระราชกฤษฎีกา กฎหมาย กฎ ข้อบังคับ ระเบียบแบบแผน ธรรมเนียม คำสั่ง กติกา และอีกหลายๆ อย่าง สิ่งเหล่านี้เป็นวินัยทั้งสิ้น
นักปราชญ์ทุกชาติทุกภาษา ต่างกล่าวกันเป็นเสียงเดียวกันว่า วินัย เป็นข้อแตกต่างที่ทำให้มนุษย์มีความแตกต่างจากสัตว์ทั่วไป มนุษย์มีจารีตประเพณี เพื่อดำเนินวิถีชีวิตของหมู่คณะ มีศาสนาเป็นเครื่องคุ้มครองใจ มีปัญญาสามารถถอดเอาความรู้สึกทางดีงามสร้างขึ้นเป็นศิลปกรรม เพื่อความสุดชื่นบันเทิงแก่จิตใจ และมีภาษาเป็นเครื่องถ่ายทอดความรู้ต่างๆ เหล่านี้เป็นเครื่องแตกต่างที่มนุษย์มีมากกว่าสัตว์ทั้งหลาย การเป็นอยู่ในชีวิตประจำวันของสังคมที่อยู่กันด้วยความสงบนั้นต้องมีวินัยเป็นเครื่องควบคุม เช่น จะค้าขาย จะแต่งงาน จะหย่าร้าง จะไปทางบกทางอากาศ มีวินัยควบคุมไว้ทั้งสิ้น แม้เวลาที่ซกต่อยกันก็ต้องมีวินัย คือกติกา หรือแม้แต่จะรบราฆ่าฟันกันก็มีวินัย เรียกว่ายุทธวินัย นี่แสดงให้เห็นแล้วว่าวินัยเป็นสิ่งที่ทั่วโลกยอมรับรอง แม้แต่กระทั่งเราจะเลือกบุคคลใดเป็นผู้นำเราก็จะต้องดูว่า ผู้นั้นมีวินัยไหม หรือว่าเคารพวินัยหรือไม่ การเลือกคนที่ไม่มีวินัย ไม่รู้จักวินัย ไปเป็นผู้บัญญัติวินัย นับว่าเป็นการกระทำที่ผิดอย่างช่วยไม่ได้ทีเดียว เหมือนเลือกเอาปีศาจไปเป็นหมอรักษาคนไข้ทีเดียว
ในทางธรรมก็เหมือนกัน ทุกๆ ศาสนาย่อมจะมีข้อบัญญัติไว้สำหรับศาสนิกชนในศาสนานั้นๆ อย่าง ศาสนาคริสต์ มีบัญญัติ ๑๐ประการ เป็นทางดำเนินชีวิต ศาสนาอิสลาม มีรุก่นอิสลาม ๕ ประการ เป็นทางดำเนินชีวิต ศาสนาฮินดู มีสังสการ ๑๖ ข้อ เป็นทางดำเนินชีวิต
ในพุทธศาสนาก็ได้บัญญัติวินัยสำหรับพุทธศาสนิกชนไว้อย่างครบถ้วน โดยแยกเป็นสองพวก คือ อาคาริยวินัย เป็นวินัยของชาวบ้าน และอนาคาริยวินัย เป็นวินัยของชาววัด มีพระภิกษุ สามเณร เป็นต้น ใครอยู่ในประเภทไหนก็รักษาวินัยของประเภทนั้นไว้
อาคาริยวินัย เป็นวินัยของชาวบ้าน เป็นคนครองเหย้าครองเรือน ได้แก่ ศีล ๕ ศีล ๘ ใครจะเลือกปฏิบัติเอาอย่างหนึ่งอย่างใดก็ได้ในสองอย่างนี้
ความมุ่งหมายของศีล ๕ นั่น เป็นการรักษาความสงบ ความสามัคคี และเมตตาธรรมแก่สังคม ซึ่งเราจะเห็นได้ดังตัวอย่าง ข้อที่ ๑ ที่ว่าห้ามฆ่าสัตว์ เรามานึกถึงตัวของเราเองเป็นเกณฑ์ว่า เรามีความรักชีวิตหรือไม่ เราก็จะต้องยอมรับว่ารักชีวิตด้วยกันทุกคนและถ้าใครมาฆ่าเรา เราจะทำอย่างไร แน่นอนทุกคนจะต้องสู้ป้องกันตัว ถ้าสมมุติว่า เราไม่มีวินัยข้อนี้แล้ว เราคิดดูทีหรือว่า เราจะมีความสงบสุขอยู่ได้หรือไม่ จะต้องรบราฆ่าฟันประหัตประหารชีวิตกัน วินัยข้อนี้เป็นการรักษาสิทธิชีวิตของกันและกัน และพร้อมกันนั้น ก็เป็นเหตุให้มีความเมตตาซึ่งกันและกัน ในข้อที่ ๒ ห้ามการลักทรัพย์ เพราะเป็นการทำให้ได้รับความเดือดร้อน เพราะทรัพย์เป็นของที่หามาได้ด้วยหยาดเหงื่อแรงงานของตน การลักทรัพย์ไม่ทำคนให้เป็นคนได้ เพราะว่าการลักนี้แม้แต่สัตว์เดรัจฉานเช่น สุนัข กา ก็รู้จักลักของๆ คนอื่น แล้วเราเป็นมนุษย์ แต่การกระทำไม่แตกต่างจากสัตว์ก็เป็นที่น่าละอาย ในวินัยข้อที่ ๓ ห้ามประพฤติผิดในลูกเมียผู้อื่น เพราะการเป็นชู้นั้นเป็นการข่มเหงน้ำใจกัน ก่อให้เกิดความแตกร้าวของสังคม วินัยข้อที่ ๔ เว้นจากการพูดเท็จ เพราะการพูดโกหกกันนั้นเป็นการทำลายประโยชน์ของผู้อื่น ทางศาสนาตำหนิมาก และในวินัยข้อที่ ๕ คือเว้นจากการดื่มสุราเมรัยเครื่องมึนเมา เพื่อต้องการให้คนเรามีสติสัมปชัญญะ มีความรู้สึกรับผิดชอบ ไม่เป็นคนที่ประมาทมัวเมา เพราะสุราเป็นที่ตั้งของความประมาท
ในทางการแพทย์ โรคที่เกิดขึ้นมี ๒ ประเภท
๑) โรคประจำสังขาร เช่น โรคชรา โรคจากเชื้อโรคที่ระบาดเป็นครั้งคราว
๒) โรคที่เกิดขึ้นจากการประพฤติผิด เช่น ขาดศีลข้อ ๑ ทำให้อายุสั้น เช่น บุคคลประเภทเจ้าพ่อทั้งหลาย ฆ่าคนมา มาก ลงท้ายก็โดนเขาฆ่าเอาบ้าง
ขาดศีลข้อ ๒ ทำให้เกิดโรคประสาท เช่น โรคหวาดผวา โรคจิต
ขาดศีลข้อ ๓ ทำให้เกิดกามโรคหรือโรคเอดส์ได้ง่าย
ขาดศีลข้อ ๔ ทำให้เกิดโรคความจำเสื่อม ผู้ที่โกหกมากๆ เข้า ลงท้าย แม้กระทั่งตัวเองก็หลงลืมว่าเรื่องที่ตนพูดขึ้นนั้น เป็นเรื่องจริงหรือโกหก
ขาดศีลข้อ ๕ ทำให้เกิดพิษสุราเรื้อรัง โรคตับแข็ง ก่อการทะเลาะวิวาทได้ง่าย
ดังนั้นหากเรารักษาศีล ๕ ได้ ก็เหมือนได้ฉีดวัคซีนป้องกันสารพัด โรคไว้แล้ว ในวันพระหรือทุก ๗ วัน ควรถือศีล ๘ ซึ่งมีข้อเพิ่มเติมจากศีล ๕ ดังนี้
ศีลข้อ ๓ เปลี่ยนจากประพฤติผิดในกาม เป็น เว้นจากการเสพกาม
ศีลข้อ ๖ เว้นจากการกินอาหารยามวิกาล คือตั้งแต่เที่ยงถึงเช้าวันรุ่งขึ้น
ศีลข้อ ๗ เว้นจากการตกแต่งร่างกายด้วยเครื่องประดับ และของหอม และเว้นจากการดูการละเล่น ศีลข้อ ๘ เว้นจากการนอนบนที่นอนอันอ่อนนุ่มและสูงใหญ่
ศีลข้อ ๖-๘ จะควบคุมความรู้สึกทางเพศไม่ให้เกิดขึ้นเกินส่วน และนั่นก็คือ๑) เป็นการคุมกำเนิดโดยธรรมชาติ ๒) เป็นการลดช่องว่างระหว่างชนชั้น ไม่มีการแข่งขันประดับประดาร่างกาย ใช้ชีวิตความเป็นอยู่อย่างไม่ฟุ้งเฟ้อ ๓) เป็นการทำให้จิตใจสงบเบื้องต้น เพื่อให้ สามารถเข้าถึงธรรมะชั้นสูงต่อไปได้โดยง่าย
อนาคาริยวินัย วินัยนี้เป็นวินัยสำหรับพระภิกษุโดยเฉพาะ วินัยของพระก็มีอยู่ ๔ คือ ปาฏิโมกขสังวรศีล ความสำรวมในพระปาฏิโมกข์ ได้แก่ ศีลของพระ ๒๒๗ ข้อ เริ่มแต่ปาราชิก ๔ สังฆาทิเสส ๑๓ เป็นต้น อินทรียสังวรศีล คือการสำรวมในอินทรีย์ทั้ง ๖ มี ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ อาชีวปาริสุทธิศีล การแสวงหาเลี้ยงชีพในทางที่บริสุทธิ์ ไม่หลอกลวงเขาเลี้ยงชีพ เช่น ทำเดรัจฉานวิชา เพื่อหวังลาภสักการะ เป็นต้น ปัจจัยสันนิสสิตศีล ให้ภิกษุพิจารณาปัจจัย ๔ ที่ได้มา มีบิณฑบาต เป็นต้น เหล่านี้เป็นกุศลโดยย่อ หรือวินัยของพระ ซึ่งเรียกว่า อนาคาริยวินัย ถ้าจะมีคำถามว่า ผู้ที่ไม่รักษาวินัยทั้ง ๔ อย่างนี้จะเป็นอย่างไร ข้อนี้ท่านแก้ว่า ภิกษุผู้ไม่รักษาวินัยทั้ง ๔ นี้ชื่อว่า เป็นอลัชชี ผู้ไม่มียางอาย เป็นผู้ย่ำยีศาสนา ครั้นตายลงไปแล้วย่อมไปเกิดในอบายภูมิอย่างแน่นอน
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า
"สีลเมวิธ สิกฺเขถ อสฺมึ โลเก สุสิกฺขิตํ สีลํ หิ สพฺพสมฺปตฺตึ อุปนาเมติ เสวิตํ
ท่านทั้งหลาย พึงศึกษาเรื่องศีลในศาสนานี้ บุคคล ศึกษาดีแล้ว ย่อมนำสมบัติทุกอย่างมาให้ ในโลกนี้"
อานิสงส์ของศีล ๑. เป็นทางมาแห่งโภคทรัพย์สมบัติ และทำให้สามารถใช้ทรัพย์ได้เต็มอิ่ม โดยไม่ต้องหวาดระแวงว่าจะมีใครมาทวงคืน ๒. ทำให้มีชีวิตอยู่ด้วยความเป็นสุข ไม่ต้องหวาดระแวงว่าใครจะมาปองร้าย ๓. ทำให้เกียรติคุณฟุ้งขจรไปว่าเป็นคนเชื่อถือได้ มีอนาคตดี ๔. ทำให้แกล้วกล้าอาจหาญในท่ามกลางประชุมชน ๕. ทำให้เป็นคนไม่หลงลืมสติ มีความจำดี ๖. ตายแล้วก็ไปเกิดในสวรรค์ มีสุคติเป็นที่ไป และเป็นทางดำเนินไม่สู่มรรคผลนิพพานในที่สุด
วินัยกับศีลคืออันเดียวกัน แต่วินัยมันย่อยไปเป็นหลายข้อ นี้เป็นภาคประพฤติภาคปฏิบัติ เรียกว่า มนุษย์เราเนี่ย ไปทำตามใจของตัวเองไม่ได้ ทำตามอารมณ์ของตัวเองไม่ได้ ทำตามความรู้สึกของตัวเองไม่ได้ ต้องเอาธรรมเป็นหลัก เอาธรรมเป็นใหญ่เอาธรรมเป็นที่ตั้ง ประพฤติปฏิบัติ เรียกว่า ศีล เรียกว่า พระวินัย เพราะว่าวินัยเป็นพื้นฐานของความดี เรียกว่า สัมมา ต้องประกอบด้วย สัมมาทิฏฐิ ถ้าเราไม่มีพระวินัย มันก็เป็นความรู้ความเข้าใจ ไม่มีภาคประพฤติภาคปฏิบัติ ว่าเราต้องคิดอย่างนี้ เพื่อลงรายละเอียด แต่พระวินัยต่างๆ ต้องเอาธรรมเป็นหลัก อย่างกฎหมายบ้านเมืองอย่างนี้ ถ้าไม่เอาธรรมเป็นหลัก อย่างนี้ก็ถือว่ายังไม่ถูกต้อง เช่น ออกกฎหมายบ้านเมืองทำแท้ง หรือว่า อนุญาตให้ตั้งโรงเบียร์ โรงเหล้า บ่อนคาสิโน ให้มีโรงฆ่าสัตว์ อย่างนี้ขัดกับธรรมะ วินัยต่างๆ ต้องอ้างอิงธรรมะ เพราะการประพฤติการปฏิบัติต้องเอาธรรมะเป็นหลัก
ธรรมะเป็นสิ่งที่เป็นกลางๆ ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่ตัวตน ไม่ได้เป็นนิติบุคคล เป็นธรรมะ เป็นสภาพที่บริสุทธิ์ ไม่เกิดจากการปรุงแต่ง ที่เกิดอวิชชา เกิดจากความหลง ถึงต้องมีพระวินัย เพื่อใจจะได้เข้าหาธรรม ใจจะได้เข้าถึงศาสนา เพราะศาสนาคือความดี คือธรรมะ ผู้ที่ทำตามใจตัวเอง ตามอารมณ์ตัวเอง ถือว่าไม่มีระเบียบไม่มีวินัย ถือว่าวินัยนั้นยังเป็นวินัยที่ไม่เป็นธรรม ถือว่ายังทำไม่ถูกต้อง ศาสนาถึงเป็นความดี เป็นสิ่งที่ไม่ทำบาปทั้งปวง ทำแต่บุญแต่กุศล ทุกคนต้องรู้ทุกข์ รู้เหตุเกิดทุกข์ รู้ข้อปฏิบัติถึงการดับทุกข์ ต้องเข้าสู่ระเบียบ สู่ธรรมะ สู่พระวินัย เราดูตัวอย่าง อย่างพระพุทธเจ้า ท่านสอนพระวินัยของพระ มีตั้งสองหมื่นหนึ่งพันธรรมขันธ์ เพื่อจะได้ให้ทุกคนไม่ตามใจตัวเอง ไม่ตามอารมณ์ตัวเอง ไม่ตามความรู้สึก เอาธรรมเป็นใหญ่เอาธรรมเป็นหลัก เรียกว่า เข้าสู่ความบริสุทธิ์เรียกว่า พรหมจรรย์ เราทุกคนครอบครัวของเรา ทุกคนต้องปรับตัวเข้าหาศีลหาธรรม เข้าหาพระวินัย
ทุกคนพากันทำอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้ จะได้มีศีลเสมอกัน เมื่อการเรียนการศึกษาไม่เอาธรรมเป็นหลัก เอาธรรมเป็นใหญ่ ไม่มีระเบียบไม่มีวินัย สมองสติปัญญาของเรานั้นน่ะ มันเอาไปใช้ในทางมิจฉาทิฏฐิ มันเข้าสู่ความสงบไม่ได้ เข้าสู่สันติไม่ได้ การเรียนการศึกษาเพื่อทำร้ายตัวเองและพวกพ้อง เรียกว่าเป็นมิจฉาทิฏฐิ การปล่อยวาง ต้องปล่อยวางทิฏฐิมานะ อัตตาตัวตน ไม่ใช่ปล่อยวางพระวินัย เราต้องเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ เพราะว่ามันเป็นภาคจำเป็นของเราทุกๆคน ถ้าอย่างนั้นเราจะเป็นพระธรรมเป็นพระวินัยไม่ได้ เราจะเป็นพ่อ เป็นแม่ที่ดีไม่ได้ ทุกคนถึงมีความจำเป็นต้องเรียน ต้องศึกษา เพื่อเราจะได้ปรับกาย วาจาปรับใจเข้าหาธรรมะ เข้าหาพระวินัย วัดถึงจะเป็นข้อวัตรข้อปฏิบัติ ผู้ที่บวชมาจะได้พัฒนาตัวเองจากภิกษุ จะได้เป็นพระธรรมเป็นพระวินัย จะได้เป็นสมณะผู้ไม่ทำบาปทั้งปวง ผู้ไม่ทำตามใจตามอารมณ์ตัวเอง จะได้เป็นพระอริยเจ้า ส่วนประชาชนที่อยู่ทางบ้านก็เหมือนกัน ก็ต้องพากันทำอย่างนี้ เราทำอย่างนี้ ครอบครัวของเราถึงมีความสุข มีความอบอุ่น ถ้าอย่างนั้นมันไปไม่ได้ จะซิกแซกยังไงมันก็ไปไม่ได้ มันไปไม่รอด เพราะมันไปไม่ถูกทาง เราต้องการเปลี่ยนฐานชีวิตจิตใจให้เป็นมงคล ไปสู่ความดีความก้าวหน้า เราต้องการความบริสุทธิ์กระจ่างแจ้ง เพราะฉะนั้นเราจึงจำเป็นต้องรักษาวินัย ผู้มีวินัยดี หมายถึง ผู้ที่รักษาวินัยทั้งทางโลกและทางธรรมอย่างถูกต้องและเคร่งครัดนั่นเอง
แจกปัญญา แจกศาสนา แจกธรรมวินัย แจกสิ่งที่ถูกต้อง
เพื่อเดินตามรอยพระพุทธเจ้าร้อยเปอร์เซ็นต์
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
โดยทุกท่านสามารถติดตามเพิ่มเติมได้ที่
https://linktr.ee/watsubthawee
Share wisdom, spread Buddhism and its discipline.
Advocate righteousness to follow Lord of Buddha's footsteps 100%
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
You can receive new Dharma updates.
https://linktr.ee/watsubthawee