แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ใน วันอังคารที่ ๔ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๖
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง สั่งสมทรัพย์ภายใน ตอนที่ ๑๒ พึงมีหิริ หักห้ามความคิดอกุศล มีความเพียรพยายามแก้ไขตนเอง สอนตนเองอยู่สม่ำเสมอ
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
การพัฒนาหมู่มวลมนุษย์ของเราพัฒนาการเรียนการศึกษา พัฒนาความรู้ความเข้าใจพร้อมกับการประพฤติการปฏิบัติไปพร้อมๆ กัน เรียกว่าสัมมาทิฏฐิ ความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้อง เพราะการเวียนว่ายตายเกิด คือความไม่รู้คือความไม่เข้าใจ เป็นกระบวนการของความหลงเรียกว่า ไสยศาสตร์ มนุษย์เราถึงเอาพัฒนาความรู้ความเข้าใจให้เกิดสัมมาทิฏฐิ ความเห็นถูกต้อง ความเข้าใจถูกต้อง พร้อมทั้งการประพฤติการปฏิบัติ ในปัจจุบันในชีชิตประจำวัน หมู่มวลมนุษย์ทั้งหลายถึงจะหยุดความเป็นคน หรือหยุดอวิชชาหยุดความหลง เพื่อเข้าสู่ความเป็นมนุษย์ สู่ความเป็นปัญญาชน
ทุกๆ คนต้องพัฒนาอย่างนี้ๆ เพราะเราต้องเข้าถึงความเป็นวิทยาศาสตร์ที่สมบูรณ์ เข้าถึงเรื่องธรรมะที่สมบูรณ์ ต้องมีทั้งความรู้และมีการปฏิบัติ ความเข้าใจผิดความเห็นผิด มันกลายให้ทุกคนหน่ะมีจริตต่างกัน เพราะระบบความคิดระบบอวิชชา ระบบแห่งความหลง การปฏิบัติต้องติดต่อต่อนื่องกัน เหมือนไก่ฟักไข่มันใช้เวลา 3 อาทิตย์ถึงจะออกลูกมาเป็นตัว เรามีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง แล้วต้องปฏิบัติในปัจจุบันติดต่อต่อเนื่อง เราต้องเข้าใจอย่างนี้แหละ มันจะเปลี่ยนทุกคนด้วยภาคประพฤติภาคปฏิบัติ ของระบบความคิดภาคปฏิบัติกลับไป มนุษย์เรานี้ถึงจะมีความสุขอยู่ทุกหนทุกแห่ง เข้าถึงธรรมะ เราไปปล่อยให้ตัวเองมีความทุกข์ไม่ได้ ปล่อยให้ตัวเองยากจน ไม่มีอยู่ไม่มีกินไม่มีใช้ไม่ได้
ปัญญาคือมีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง จึงเป็นสิ่งสำคัญมาก เราทุกคนต้องคิดให้เก่งคิดให้ถูกต้อง คิดตามหลักเหตุผล ตามหลักวิทยาศาสตร์ อย่าปฏิบัติตามอัธยาศัย มันจะเสียหาย เสียเวลา คนคิดไม่เก่งนี้ มันจะเป็นมนุษย์ไม่ได้ คิดไม่เก่ง ไม่ถูกต้อง คนเราจะเก่งกว่าสัตว์ทั้งหลาย ประเสริฐกว่าสัตว์ทั้งหลาย ก็เพราะว่าคิดเก่งวางแผนเก่งปฏิบัติเก่ง จึงชื่อว่า เป็นผู้ประเสริฐกว่า ดีกว่าสัตว์เดรัจฉาน สัตว์นรก เปรต อสุรกาย
คิดเก่ง วางแผนเก่ง ปฏิบัติเก่ง พร้อมทั้งเป็นคนดีที่มีศีลธรรมมีคุณธรรม เราทุกคนคิดดูสิ พ่อแม่เราเป็นอย่างนี้ ญาติพี่น้องเป็นอย่างนี้ ก็เพราะว่าคิดไม่เก่ง วางแผนไม่เก่ง ปฏิบัติไม่เก่ง ไม่ได้เอาธรรมะเป็นหลัก เอาธรรมะเป็นใหญ่ เอาธรรมะเป็นที่ตั้งในการดำเนินชีวิต พากันดำเนินชีวิตตามอัธยาศัย คนเราน่ะ เรามีร่างกายครบอาการ 32 มีมันสมอง มีไว้ให้เราคิด ให้มีสติมีปัญญา ไม่ใช่ปล่อยตัวเองไปตามอัธยาศัยนะ เรามีตาก็เพื่อฉลาด มีหูก็เพื่อฉลาด มีจมูกมีลิ้นมีกายมีใจ ก็เพื่อฉลาด เรียนหนังสือศึกษาธรรมะก็เพื่อฉลาด เมื่อฉลาดแล้วยังไม่พอ ต้องมีความสุขในการทำงาน มีความสุขในการเสียสละ ขยัน รับผิดชอบ ด้วยการเอาธรรมะเป็นหลักเป็นใหญ่ พระพุทธเจ้าจึงให้เราทำอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้ คนเราอยู่เฉยๆ จะรวยได้ยังไง จะมีทรัพย์ได้ยังไง ทุกสิ่งทุกอย่างมีเหตุปัจจัยทั้งหมด เราต้องคิดเป็น วางแผนเป็น วางแผนเป็นยังไม่พอ ต้องมีความสุขในความขยันประหยัดซื่อสัตย์กตัญญูกตเวที เราถึงจะรวยได้ เฮงได้ จะไปคิดมากไปปรุงแต่งมากไม่ได้ ยิ่งเพิ่มโรคเครียด โรคจิตโรคประสาท โรควิตกกังวล เพิ่มเป็นทวีคูณ เป็นทั้งโรคกายเป็นทั้งโรคใจ
เราต้องมีความ สุขในความขยันประหยัดซื่อสัตย์กตัญญูกตเวที เพื่อไม่ให้มีอบายมุข ทางสู่อบายภูมิเกิดขึ้นในใจ จึงต้องมาปิดทางอบายภูมิ คือ อบายมุข ให้แก่ตนเองจึงจะถูก เราทุกคนต้อง สร้างขึ้นมา ทำขึ้นมาปฏิบัติขึ้นมาด้วยน้ำพักน้ำแรงด้วยมันสมองสองมือ ด้วยแรงกาย แรงวาจาสัมมาวาจา และแรงพลังใจจากการประพฤติปฏิบัติ
ประชาชนทุกคนไม่มีสิทธิ์ที่จะรวยได้ ถ้าคิดไม่เก่ง วางแผนไม่เก่ง ขยันไม่เก่ง รับผิดชอบไม่เก่ง อดทนไม่เก่ง ไม่ประหยัด ไม่ซื่อสัตย์ ไม่กตัญญู ไม่เอาธรรมะเป็นหลักเป็นที่ตั้ง ถึงจะหามาได้ มีมาได้ ก็คือมีมาจากการทุจริตคดโกง จากการรวยทางลัด เราคิดไม่เก่งวางแผนไม่เก่ง อย่างมากก็เป็นได้แต่เพียงผู้ใช้แรงงานทางกาย เพราะคนไม่มีหัว ไม่มีมันสมองไม่มีปัญญา จะเป็นใหญ่เป็นนายคนไม่ได้ เรามีหัวมีสมองต้องเอามาคิดเอามาวางแผน วางแผนเป็นยังไม่พอต้องประพฤติปฏิบัติด้วย
ความสุขจะเกิดได้ก็มาจากเราคิดเป็นวางแผนเป็น เราลองคิดดูสิ! คนกินเหล้าดื่มเบียร์ เล่นการพนันคิดว่าเขา คิดเป็นไหม? คิดไม่เป็น ถ้าคิดเป็นจะไปกินทำไมเหล้าเบียร์ จะไปเล่นทำไมการพนันจะไปเจ้าชู้ทำไม แสดงว่าคิดไม่เป็น ได้แต่ทำตามสัญชาตญาณ ตามอัธยาศัย ตามเพื่อนฝูงเฉยๆ ก็เพราะคิดไม่เป็น ถ้าเราเข้าไปเกี่ยวข้องกับคนคิดไม่เป็น ก็คือคบคนพาล ไม่มาคบบัณฑิตมีพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ เป็นต้น เลยพากันมาสร้างทุกข์ให้กับตนเอง คนที่มีความเห็นไม่ถูกต้องเป็นคนขี้เกียจขี้คร้าน ตกอยู่ในอบายมุข ชื่อว่าเกิดมาสร้างทุกข์ให้ตนเอง สร้างทุกข์ให้ตนเองยังไม่พอ ส่งต่อไปยังพ่อแม่ ลูกหลาน ญาติพี่น้อง วงศ์ตระกูล ลามปามไปทั้งบ้านทั้งครอบครัวทั้งตระกูล ทุกคนรู้จักอบายมุขแน่นอนแล้วหรือยัง? อบายมุข คือ ขี้เกียจขี้คร้าน คบคนชั่วเป็นมิตร กินเหล้า เจ้าชู้ เที่ยวกลางคืน เล่นการพนัน จึงมาเป็นกระบวนการแห่งความเสื่อม เสื่อมทั้งในชาตินี้และชาติหน้า ทุกท่านต้องมาสมาทานเพื่อไม่มีสิ่งเหล่านี้ในใจชีวิตท่าน จึงจะไม่ตกต่ำลงสู่อบายภูมิ
คนเรา ถ้าคิดเป็นต้องขยันอดทนรับผิดชอบ เหินห่างจากอบายมุข มีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง เอาธรรมะเป็นหลักเป็นใหญ่เป็นที่ตั้ง เราถึงจะเปลี่ยนแปลงฐานะของตัวเองได้ อย่างวัดเราอย่างนี้นะเป็นวัดป่า มีทั้งป่าไม้ธรรมชาติที่ขึ้นเอง ป่าไม้ธรรมชาติที่เราปลูกขึ้น ระบบน้ำระบบประปา ก็วางระบบไว้หมด หลายคนคิดไม่เป็นว่า ต้นไม้มันจะเดินไปหาน้ำตามห้วยหนองคลองบึงไม่ได้ มันไม่มีขา ต้องตักน้ำมารดให้มัน มันจึงจะมีชีวิตอยู่ได้ แต่บางคนก็คิดอย่างนี้ไม่ได้นะ คนมีปัญญาต้องคิดเป็น เราจะเอาแต่ทานอาหารพักผ่อน เพลิดเพลินแต่กับโทรศัพท์มือถือ อินเทอร์เน็ต Facebook อย่างนี้คือคนคิดไม่เป็นนะ เพราะไม่เสียสละอะไรเลย
เราต้องให้ใจเป็นพระ พระหมายถึงพระอริยเจ้าตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไป ท่านเหล่านั้นเป็นผู้ที่คิดเป็น เพราะชีวิตนี้เกิดมาเพื่อมาเปลี่ยนแปลงตนเองไปในทางที่ดี มันสมองเราเอาไปคิดแต่สิ่งที่จำเป็น ให้เป็นปัจจุบันธรรมไปเรื่อยๆ
คนเราต้องมีความสุขในการละกาม ละความพยาบาท มีแต่ความเมตตากรุณา เมื่อเราไม่มีกามไม่มีพยาบาท ใจก็สงบลง เย็นลงเพราะเราได้จัดการไวรัสที่มีอยู่ในใจเรา ด้วยการมาละกาม มาละพยาบาท คือรู้จักแล้วไม่ไปคิด ไม่พูด ไม่ทำ มีเจตนาที่จะหยุด เหมือนมีกองไฟใหญ่อยู่กองหนึ่ง เราเอาน้ำมาดับ แยกฟืนออก เหลืออยู่แต่ไออุ่น ผ่านไปไม่นานมันก็เย็น ใจเราก็เช่นกัน จะสงบเย็นหมดปัญหา มีแต่พระนิพพาน พระนิพพานคือดับไม่เหลือเชื้อ สงบเย็นทุกๆ ขณะ เรามาบวชมาประพฤติปฏิบัติธรรมเราเป็นภิกษุทุกท่านต้องเอามาตรฐานของพระพุทธเจ้าของพระอรหันต์ อย่าเอามาตรฐานของภิกษุในศาสนาที่หย่อนอ่อนแอที่เห็นเห็นกันอยู่นะ
เราบวชไม่กี่วันไม่สำคัญ สำคัญอยู่ที่เรามีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้อง พระเก่า ถ้าที่ผ่านมารูปไหนไม่ได้ตั้งใจ ก็สมาทานตั้งใจใหม่ เน้นที่ปัจจุบันมาเจริญภาวนา พัฒนาอานาปานสติงานภายใน งานภายนอกคือข้อวัตรกิจวัตรก็ทำไปด้วยสัมมาสติ สัมมาสมาธิ งานภายในก็เพื่อให้ใจเราเป็นพระนั้นสำคัญยิ่ง ดูตัวอย่างสมัยก่อน ผู้ที่เป็นผู้สร้างเสนาสนะ กุฏิวิหารจะเป็นพระอรหันต์ทั้งหมด น้อยที่จะเป็นพระเสขบุคคลหรือภิกษุปุถุชน อริยมรรคมีองค์ 8 จึงสำคัญทุกข้อ พระภิกษุผู้บวชเก่าต้องปรับปรุงตนเองเพื่อเราจะได้ไม่จมอยู่ในกาม ไม่จมอยู่ในพยาบาท ไม่จมอยู่ในการอยากได้ของผู้อื่น จะได้เป็นธรรม เป็นปัจจุบันธรรม ด้วยความไม่ประมาท
ถ้าใจยังจมอยู่ในกาม พยาบาท มันจะเล่นงานท่านจนสะบักสะบอม จึงต้องมาสมาทานตั้งใจเสียสละ เพื่อเป็นผู้ไม่จมอยู่ในกาม ไม่จมอยู่ในพยาบาทไม่จมอยู่ในการเบียดเบียน อยากได้ของผู้อื่น ท่านต้องมาจัดแจงตนเองให้ได้
ถ้าคิดมากจะไม่เป็นโรคจิตโรคประสาทหรือ? ไม่เป็นสิ! เพราะเราคิดเสียสละ ไม่ใช่คิดแต่จะเอา ที่เป็นโรคจิตโรคประสาท ก็เพราะว่าคิดแต่จะเอา จะมี จะเป็น อย่างเดียว มนุษย์เราจะบริสุทธิ์ได้ด้วยปัญญา ย่อมบริสุทธิ์ได้ด้วยสิ่งทั้ง 5 นี้คือ การงาน วิชาความรู้ คุณธรรม ศีล ชีวิตอันอุดม หาใช่บริสุทธิ์ด้วยตระกูลหรือว่าทรัพย์สมบัติไม่
กมฺมํ วิชฺชา จ ธมฺโม จ สีลํ ชีวิตมุตฺตมํ เอเตน มจฺจา สุชฺฌนฺติ น โคตฺเตน ธเนน วา
โลกสมัยใหม่ยิ่งก้าวไปไกล การคิดการวางแผน เอาวิทยาศาสตร์เอาเทคโนโลยีมาช่วย เอาระบบคอมพิวเตอร์ เอาระบบการติดต่อสื่อสารออนไลน์มาช่วย เราไม่ต้องเดินย่ำต๊อกเหมือนสมัยโบราณ เราไม่ต้องไปตลาด อยู่ที่บ้านก็สั่งอาหารมาส่งถึงที่ได้ ถ้าเรารู้จักใช้เทคโนโลยีอุปกรณ์สมัยใหม่มาใช้พัฒนา พร้อมทั้งพัฒนาใจของเราไม่ให้หลง การพัฒนาวัตถุเทคโนโลยีต่างๆ นั้นถือว่าเป็นเรื่องดี ที่ไม่ดีเพราะคิดไม่เป็น วางแผนไม่เป็น ปฏิบัติไม่ถูกต้องกับสิ่งเหล่านั้น
ทุกคนต้องเริ่มต้นตนเองใหม่ อย่าให้เซ่อๆเบลอๆงงๆไปกว่านี้ การเรียนการศึกษาใหม่ๆ มันก็ยาก แต่มันก็มีประโยชน์มาก การจะเริ่มต้นเป็นคนใหม่ ด้วยการมีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง ถึงแม้มันจะยาก แต่มันก็มีผลเป็นความสุขสงบ และดับทุกข์ อย่าไปเป็นคนคิดไม่เป็น เหมือนคนเสพยาเสพติดทั้งหลาย คนทั้งโลกว่าไม่ดี แต่ตัวมันเองก็ว่าดีอยู่นั่นแหละ เพราะทำตามอัธยาศัย จึงต้องเป็นอย่างนี้ สิ่งที่เป็นมาแล้วแก้ไขอะไรไม่ได้นะ เราต้องเอาใหม่ เริ่มต้นใหม่ในปัจจุบัน ถ้าเรามีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง ชีวิตนี้ไม่มีคำว่าสาย เน้นอีกนะว่าทุกคนต้องแก้ตนเองปฏิบัติตนเอง เพราะเราจะไปโทษแต่คนอื่นไม่ได้ ถ้าเราไม่แก้ที่ตัวเรา ใครจะมาแก้ให้เรา มันเป็นเรื่องเฉพาะตน
วันนี้ขอนำเอาเรื่องราวสามเณรอดีตเด็กขอทานอนาถา มาเล่าสู่กันฟัง เด็กคนนี้ชื่อเดิมว่าอย่างไรไม่ทราบ แต่ชาวบ้านเขาเรียกท่านว่า “ไอ้ผ้าเก่าขาด” หรือ “ไอ้ตูดขาด” เพราะท่านนุ่งกางเกงผ้าเก่าขาดวิ่นอยู่ผืนเดียว ก็มีอยู่แค่นั้น วันๆ ก็ถือกะลาขอทานยังชีพ ได้อาหารการกินบ้าง อดบ้าง อดเสียส่วนมาก ท่านพระอานนทเถระไปบิณฑบาต พบเด็กคนนี้เข้า ก็เกิดความสงสารตามประสาพระชอบเลี้ยงเด็ก
พระอานนท์เป็นคนรักเด็ก เห็นเด็กเร่ร่อนก็นึกสงสารแล้วเขาจะอดตาย จึงจับมาบวชและให้การศึกษาอบรมเป็นจำนวนมาก จนพระมหากัสสปะเถระท่านพูดกระเซ้าเวลาพบกัน ด้วยวาทะว่า “เจ้าเด็กน้อย” พระอานนท์ถามเด็กมอมแมมคนนี้ว่า เจ้าอยู่อย่างนี้ลำบากเหลือเกินเจ้าบวชจะไม่ดีกว่าหรือ
เด็กน้อยถามว่า “ใครจะบวชให้ผมเล่าครับ”
“ฉันเอง” พระอานนทเถระพูด แล้วนำเขาไปวิหารอาบน้ำให้ด้วยมือท่านเอง ขัดคราบไคลออกหมดจนสะอาดสะอ้านแล้วให้กรรมฐานแล้วให้บวชเป็นสามเณร พระเถระจับกางเกงขึ้นมาคลี่ดู ไม่เห็นว่าจะนำไปใช้อะไรได้ จึงเอาพาดกิ่งไม้ไว้
สามเณรน้อยได้รับการฝึกฝนอบรมจากพระอานนท์ เมื่ออายุครบบวชก็ได้อุปสมบทจากภิกษุสงฆ์ มีปัจจัยสี่ใช้สอยไม่ขาดแคลน เมื่ออยู่ดีกินดีขึ้นฉวีวรรณก็ผุดผ่องอ้วนท้วน มีน้ำมีนวลขึ้นแล้วก็เกิด “ความกระสันอยากสึก” ขึ้นมาในจิต
เมื่อ พระปิโลติกะ เธอเกิดความคิดอยากสึก เธอจึงกลับไปยังต้นไม้ต้นนั้น กางเกงตูดขาดยังอยู่ เธอจึงหยิบมันขึ้นมาตั้งใจจะนุ่งแล้วถือกะลาไปขอทานตามเดิม ทันใดนั้นเธอก็ชะงัก กล่าวสอนตนเองว่า “ไอ้โง่เอ๊ย เอ็งชักไม่มียางอายเสียเลย เอ็งบวชมาแล้ว มีเครื่องนุ่งห่มอย่างดี มีอาหารอย่างดีกิน แล้วยังอยากจะกลับมานุ่งผ้าเก่าขาดเที่ยวขอทานอีกหรือ”
ให้โอวาทตนเองเสร็จ ก็นึกละอายใจ ตัดสินใจไม่สึก จะขอบวชอยู่ในพระศาสนาต่อไป จึงเอากางเกงตูดขาดแขวนกิ่งไม้ไว้เช่นเดิม ว่ากันว่าพระคุณเจ้า “กางเกงตูดขาด” เทียวไล้เทียวขื่อไปยังต้นไม้นั้นจับกางเกงตูดขาดลูบคลำไปมา พลางให้โอวาทเตือนสติตนเอง แล้วก็ตัดสินใจไม่สึก ทำอย่างนี้ถึงสามครั้งสามครา เวลาพระอื่นถามว่าไปไหนก็บอกว่า “ผมจะไปสำนักอาจารย์”
สามสี่วันต่อมา เธอก็ได้บรรลุเป็นพระอรหัตน์ ไม่ไปๆ มาๆ อีกต่อไป ภิกษุทั้งหลายจึงถามท่านว่า “ผู้มีอายุ เดี๋ยวนี้ท่านไม่ไปสำนักอาจารย์หรือ ทางนี้เป็นทางเที่ยวไปของท่านมิใช่หรือ”
เธอตอบว่า “ท่านทั้งหลาย เมื่อมีความเกี่ยวพันอยู่กับอาจารย์ ผมจึงไป แต่บัดนี้ผมตัดความเกี่ยวข้องกับอาจารย์หมดสิ้นแล้ว” เท่ากับบอกนัยว่าท่านได้บรรลุพระอรหัตน์แล้ว
เหล่าภิกษุไม่พอใจ หาว่าท่านปิโลติกะ (พระกางเกงตูดขาด) อวดอ้างว่าบรรลุพระอรหัตน์ จึงพากันไปกราบทูลพระพุทธองค์ให้ทรงทราบ
พระพุทธเจ้าเมื่อทรงสดับคำกล่าวหาของภิกษุทั้งหลายแล้ว จึงตรัสว่าถูกแล้ว ภิกษุทั้งหลาย บุตรของเราเมื่อมีความเกี่ยวข้องอยู่ จึงไปสำนักอาจารย์ บัดนี้เธอได้ตัดความเกี่ยวข้องนั้นแล้ว เธอได้บรรลุพระอรหัตแล้ว
จากนั้นพระพุทธองค์ ได้ตรัสคาถาดังต่อไปนี้ “คนที่หักห้ามใจจากความคิดอกุศลด้วยหิริ มีน้อยคนในโลกผู้ที่ไม่เห็นแก่นอน ตื่นอยู่เสมอ เหมือนมีม้าดีคอยหลบแส้ของสารถีหาได้ยาก เธอทั้งหลายจงพากเพียร มีความสังเวชสลดใจในความบกพร่องของตนเองแล้วเร่งพัฒนาตน เหมือนม้าดี ถูกเขาหวดด้วยแส้แล้วเร่งฝีเท้าขึ้นฉะนั้น เธอทั้งหลายจงศรัทธา เชื่อมั่นในสิ่งที่ดี มีศีลพระพฤติดีงาม มีวิริยะความพากเพียร มีสมาธิความตั้งใจมั่น และพรั่งพร้อมด้วยการวินิจฉัยธรรม มีความรู้และความประพฤติดี มีสติมั่นคง ปฏิบัติตนได้ดังนี้ จักละทุกข์ได้ไม่น้อยเลย”
“พระกางเกงตูดขาด” อดีตเด็กขอทานอนาถามีหิริหักห้ามความคิดอกุศล มีความเพียร พยายามแก้ไขตนเอง สอนตนเองอยู่ตลอดเวลา ในที่สุดท่านก็ได้บรรลุเป้าหมายสูงสุดแห่งพรหมจรรย์ กางเกงตูดขาดตัวนั้น ได้เป็น “อาจารย์” ของท่าน คือเป็นเครื่องเตือนสติให้ท่านมีฉันทะอยู่ในพระศาสนาจนได้เป็นพระอรหันต์ด้วยประการนี้
คนเรานั้นน่ะความสุข ความดับทุกข์ มันอยู่ที่จิตใจของเราสงบ อยู่ที่สติสัมปชัญญะของเราสมบูรณ์ เพราะเราทุกๆ คนนั้นน่ะถูกกิเลส คือ ความโลภ ความโกรธ ความหลง มันเผาจิตเผาใจให้ตัวเองเป็นทุกข์ ตัวเองเร่าร้อน ถึงแม้ร่างกายมันยังไม่ตายแต่จิตใจของเรานั้นก็ถูกเผาทั้งเป็นน่ะ พระพุทธเจ้าท่านถึงให้เรามารู้จักอารมณ์ รู้จักความคิด การวิ่งตามอารมณ์ตามความคิดนั้นเป็นสิ่งที่ไม่จบไม่สิ้น
มาฝึกทำใจให้สงบไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหนอยู่ในอิริยาบถใดต้องให้ใจของเรามันสงบ ไม่ให้วิ่งตามอารมณ์ ไม่ให้ตัวเราวิ่งตามความฟุ้งซ่าน ตามความเคยชินของเราที่สั่งสมมาแล้วหลายภพหลายชาติ
เบื้องแรกเบื้องต้นนี้ เราพากันมาฝึกทำใจให้สงบทำสบายๆ ไม่ต้องไปเคร่งเครียด ถ้ามันเครียดแล้วมันทำอะไร ไม่ได้หรอก
สมาธิ คือความสงบน่ะ ทุกๆ ท่านทุกคนต้องพากันฝึกสมาธิ เบื้องต้นให้ฝึกสมาธิก่อน อย่าเพิ่งเจริญปัญญา
เหมือนนักเรียนประถมศึกษานี้ต้องฝึกท่อง ก ไก่ ข ไข่ หรือภาษาต่างประเทศก็ A B C D เรามันยังเป็นเด็กอยู่ เราจะทิ้งพื้นฐานไปไม่ได้ เพราะพื้นฐานนี้สำคัญ
เราฝึกใจสบายฝึกใจสงบน่ะ อย่างเรานั่งสมาธิอย่างนี้แหละ เราจะนั่งขัดสมาธิ นั่งพับเพียบ หรือว่านั่งเก้าอี้ก็นั่งให้มันสบาย ปล่อยกายปล่อยใจของเราให้มันสบาย ทิ้งอดีตทิ้งอนาคต ทิ้งอะไรทุกสิ่งทุกอย่างที่มันอยู่ในใจของเราออกหมดน่ะ เรามาอยู่กับลมหายใจของเรา หายใจเข้าก็รู้...ให้สบาย หายใจออกก็รู้...ให้สบาย
'ใจ' ของเราทุก ๆ คนมันก็เหมือนกับลิงนี้แหละ... เมื่อเราเอาลิงมาผูกไว้มันก็กระโดดโลดเต้นน่ะ แต่มันไปไหน ไม่ได้เพราะเราผูกมันไว้ นานๆ เข้าเดี๋ยวลิงเค้าก็หยุดเค้าก็สงบ เราไม่ต้องไปคิดอะไร เรามีหน้าที่รู้ลมออก...ลมเข้า ทำอย่างนี้อย่างเดียวเดี๋ยวใจของเรามันก็ค่อยๆ สงบ
"การทำสมาธินี้มันเป็นงานเบา เป็นงานนั่งอยู่เฉยๆ แต่ว่ามันเป็นงานยากกว่างานทุกอย่าง ทำไปเรื่อยๆ แหละ ลมเข้า...ออก หยาบ กลาง ละเอียด เราก็ให้รู้ มันจะสงบหรือไม่สงบ เราก็ทำไปเรื่อยๆ เพราะนี้คือการฝึก คือการปฏิบัติเบื้องต้น"
ปกติคนเราน่ะมีความอยาก มีความต้องการ ทำนิดๆ หน่อย ๆ ก็อยากให้มันสงบ การนั่งสมาธิ ก็คือ เรามาละความอยากน่ะ เรามาละความเห็นแก่ตัว เราทำไปปฏิบัติไป เพื่อนเราเค้าก็พากันประพฤติปฏิบัติ หรือเค้าไม่ปฏิบัติก็ช่างหัวเค้า
'การปฏิบัติใจ' ให้ใจของเรามันเป็นสมาธินี้มันไม่เหมือนการเรียนหนังสือนะ อันนี้เป็นการฝึกจิตฝึกใจของเรา เพื่อให้ใจของเรามันสงบ เราต้องฝึกอย่างนี้ไปหลายๆ วันน่ะจนกว่าจิตใจของเรามันจะสงบเข้าสมาธิได้เป็นสมาธิ
พระพุทธเจ้าท่านให้เราตัดสิ่งภายนอกหมดเพื่อฝึกใจ ไม่คลุกคลี ไม่พูดคุยกับหมู่คณะ สมาทานในใจว่าไม่จำเป็น เราจะไม่พูดกับใคร ไม่มองหน้าใคร ถ้ามีเหตุที่จะพูดก็พูด เพียงเล็กน้อยที่มีความจำเป็นที่จะต้องพูดเท่านั้น จะพยายามเบรกตัวเองไว้เพราะตัวเองเป็นคนพูดมาก มีหน้าที่ฝึกสมาธิ และทำข้อวัตรปฏิบัติ ถ้าเราไปส่งใจออกข้างนอกน่ะการฝึกสมาธิของเราก็ขาดการต่อเนื่อง เรื่องเพื่อนเรื่องฝูงเรื่องพ่อเรื่องแม่ กิจการงานต่างๆ ให้พักไว้ก่อน หยุดไว้ก่อน ช่วงนี้เราจะพากันฝึกสมาธิกัน เค้าไปเรียนหนังสือกันเค้าไปเรียนที่โรงเรียนน่ะ เป็นกลุ่มเป็นก้อนเป็นหมู่คณะที่โรงเรียน เค้ามาเรียนสมาธิมาฝึกสมาธิ เค้ามาฝึกกันที่วัดเป็นกลุ่มเป็นก้อนเป็นหมู่เป็นคณะ เพื่อประพฤติปฏิบัติให้มันไปในแนวเดียวกัน
"ความสามัคคีในการกระทำความดีทำให้เกิดสุข" ทุกๆ ท่านทุกคนน่ะพยายามดูตัวเอง มองดูตัวเอง ดูความบกพร่องของตัวเองทางกาย ทางวาจา ทางจิตใจของตัวเอง เพื่อจะได้พากันฝึกสมาธิกันอย่างเต็มที่ ทุกๆ คนน่ะพยายามอย่าให้ใจมันส่งออกไปข้างนอกเหมือนเมื่อเรายังไม่ได้บวชไม่ได้มาอยู่วัด เราคิดไป 'สารพัดคิด' น่ะ ทีนี้เรามาสมาทานไม่คิดเรื่องบ้าน เรื่องโลก เรื่องสังคม จะมาทำใจระงับ จะมาทำใจสงบ ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า "นัตถิ สันติ ปะรัง สุขัง" "สุขอันไหนก็สู้ความสงบไปไม่มี"
คนเรานี้นะความสุขความดับทุกข์มันอยู่ที่ ใจสงบ ทำทุกอย่างก็เพื่อให้ใจสงบ ถ้าเราวิ่งตามสิ่งภายนอก วิ่งตามวัตถุ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์น่ะ ท่านตรัส... ไม่ใช่ความสุขน่ะ เป็นความทุกข์ เป็นความหลง เป็นสิ่งเสพติดน่ะ มันทำร้ายจิตใจเราและผู้อื่น เราจะมาทำจิตทำใจของเรา ละจากรูป จากเสียง กลิ่น รส โผฎฐัพพะธรรมารมณ์น่ะ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างนั้นมันไม่จีรังยั่งยืน ล้วนแต่เกิดขึ้นแล้วก็จากไป ไม่ว่าสิ่งดีๆ ก็จากไปน่ะ พ่อแม่ ญาติพี่น้อง ผู้ใหญ่ ปู่ย่าตายายของเราก็จากไปหมด บางทีญาติพี่น้องเรายังเด็กอยู่ก็ยังจากไปก็มี สิ่งที่ไม่ดีหรือดีนี้ ล้วนแต่เป็นสิ่งที่จากไปทั้งนั้น
"สิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันของเรามันไม่มีอะไรเลย ที่จะมีอะไร ที่ล้วนแต่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป"
เราทุกคนทุกท่านต้องทำใจให้สงบ...อย่าได้พากันหวั่นไหวต่ออารมณ์ ที่จะกระทบอารมณ์ของเราในชีวิตประจำวัน อดเอาทนเอา ทุกสิ่งทุกอย่างมันก็ล้วนแต่เป็นอารมณ์เท่านั้นน่ะ มันผ่านไปผ่านมาเหมือนกับลมมันผ่านเรา ในขณะนี้...กาลเวลา ฤดูฝน ฤดูหนาว ฤดูใบไม้ผลิ หน้าแล้ง ทุกอย่างมันผ่านไปอย่างนี้แหละ เราทั้งหลายถึงได้พากันมาบรรพชาอุปสมบทมาประพฤติปฏิบัติธรรมเพื่อทำใจของเราให้มันสงบทำใจของเราให้มันเย็น
พระพุทธเจ้าท่านปฏิบัติเป็นตัวอย่าง... ทิ้งทุกสิ่งทุกอย่าง สมบัติพัสถาน สิ่งอำนวยความสะดวกสบาย ฉันอาหารวันหนึ่งเพียงหนเดียว ไม่รับเงินไม่รับปัจจัย รองเท้าก็ไม่ทรงพระบาท ท่านก็มีความสุขที่สุดในโลก
เราทุกท่านทุกคนถือว่าไม่มีความสุขไม่มีความสงบน่ะ จะนั่งสมาธิซัก ๕ นาทีให้สงบมันก็ไม่สงบน่ะ พระพุทธเจ้าท่านเข้า 'นิโรธสมาบัติ' น่ะ คือเข้าสมาธิเสวยวิมุตติสุขอยู่กับความสงบเป็น ๗ วัน หรือว่าตลอดไป
การมาบวชการมาปฏิบัตินี้ทุกๆ ท่านทุกคนต้องได้ฝึกตนเอง ถือโอกาสนี้ ถือเวลานี้เป็นเวลาปฏิบัติ พระพุทธเจ้า ครูบาอาจารย์ท่านไม่ให้เราเห็นแก่ความเหน็ดความเหนื่อย ความยากลำบาก เห็นแก่ปากแก่ท้อง เห็นแก่ความง่วงเหงาหาวนอน ติดสุขติดสบายติดฟรีสไตล์เหมือนแต่ก่อน ถ้าเราไปติดอย่างนั้นน่ะเราไม่ได้ฝืน ไม่ได้ทน เราก็ถือว่าตัวเอง เป็นคนบาปเป็นคนไม่ดีนะ
การที่เมตตาตนเองสงสารตนเองนั้นน่ะทุกท่านทุกคนต้องนำตัวเองประพฤติปฏิบัติเข้าหาธรรมะ ฝึกใจฝึกสมาธิ ให้ถือว่าวันนี้เป็นวันที่เริ่มต้น ค่อยๆ ทำไป ค่อยๆ ปฏิบัติไป เดี๋ยวมันก็ค่อยดีเอง
การปฏิบัติธรรมนั้นให้ทุกท่านทุกคนพากันเข้าใจนะ ไม่ใช่ปฏิบัติอยู่ที่วัดอย่างเดียว อยู่ที่ไหนๆ ก็ปฏิบัติได้ การปฏิบัติอยู่ที่เรามีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง มาเปลี่ยนเบรคตนเองใหม่ เราทำได้ทุกอิริยาบถ ทุกที่ทุกเวลากลับมาหาอานาปานสติ หายใจเข้าหายใจออกสบายหายใจเข้าหายใจออกมีความสุข ที่เป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม ตามหลักเหตุผลตามหลักวิทยาศาสตร์ อย่าไปเชื่อแต่ตนเอง ทำตามอัธยาศัยตนเองไปเรื่อย ให้ทุกท่านทุกคนกลับมาพิจารณาตนเองเพื่อจะเปลี่ยนแปลงตนเองให้ได้ เราจะได้ถือนิสัย หรือธรรม ถือพระวินัยของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แม้แต่องค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ทรงเคารพในพระธรรม เพราะพระธรรมทำให้พระองค์เป็นพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าก็คือธรรมะ ธรรมะก็คือพระพุทธเจ้า ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเราตถาคต ผู้ใดเห็นเราผู้นั้นเห็นธรรม
ทุกท่านทุกคนต้องกระชับเรื่องปัญญา พิจารณาให้แจ่มแจ้ง ให้รู้จักผิดชอบชั่วดี ตั้งอกตั้งใจประพฤติปฏิบัติ ให้ศีลสมาธิปัญญาเกิดที่กายที่ใจท่าน ในทุกหนทุกแห่ง เอากายใจที่เหลืออยู่นี้ให้มีแต่ศีลสมาธิปัญญา อย่าเอาเรื่องของบุคคลสิ่งอื่นมาใส่ใจตนเองมากไปกว่านี้เลย ชีวิตของเราจึงจะเป็นชีวิตที่ไม่สูญเปล่า สมกับได้เป็นเกิดมนุษย์ ซึ่งเป็นผู้ที่ประเสริฐเกิดมาเพื่อพระนิพพานอย่างแท้จริง
แจกปัญญา แจกศาสนา แจกธรรมวินัย แจกสิ่งที่ถูกต้อง
เพื่อเดินตามรอยพระพุทธเจ้าร้อยเปอร์เซ็นต์
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
โดยทุกท่านสามารถติดตามเพิ่มเติมได้ที่
https://linktr.ee/watsubthawee
Share wisdom, spread Buddhism and its discipline.
Advocate righteousness to follow Lord of Buddha's footsteps 100%
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
You can receive new Dharma updates.
https://linktr.ee/watsubthawee