แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ในวันศุกร์ที่ ๓๑ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง สั่งสมทรัพย์ภายใน ตอนที่ ๘ คนเราเมื่อถึงคราวจะตาย ญาติพี่น้องทั้งหลายก็ช่วยไม่ได้ จึงต้องมีการพัฒนาใจให้พรั่งพร้อม
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
ทุกท่านทุกคนเกิดมาร่างกายเป็นมนุษย์ คือผู้ที่ประเสริฐ ของเราจะประเสริฐได้ยิ่งๆ ก็เพราะศาสนา ศาสนาคือธรรมะ ธรรมะคือศาสนา เราปฏิบัติ เรามีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง ที่เกี่ยวกับความรู้ความเข้าใจเรียกว่า ความเห็นที่ถูกต้อง คือรู้ความเป็นจริง คือรู้อริยะสัจ ๔ คือทุกข์ที่เกิดขึ้นได้ทางกาย ก็เพราะว่าเราไม่รู้ทุกข์ที่มันจะเกิดทางใจของเราได้ ก็เพราะเราไม่รู้ พระพุทธเจ้าท่านถึงให้เรารู้ความจริงที่เรียกว่าอริยสัจ ศาสนาคือรู้เรื่องอริยสัจ รู้เรื่องความจริง คือรู้อริยะสัจ ๔ คือรู้ทุกข์ รู้เหตุเกิดทุกข์ ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ รู้แล้วต้องเข้าสู่ภาคประพฤติเข้าสู่ภาคปฏิบัติตั้งแต่เด็กๆ การที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธเจ้า เกี่ยวข้องกับพระอริยเจ้า ถึงเป็นสิ่งที่ดี เรียกว่ามงคล
ถ้าพ่อแม่มีสัมมาทิฏฐิ คือมีความเห็นถูกต้อง มีความเข้าใจถูกต้อง แล้วพ่อแม่ปฏิบัติถูกต้อง ผู้ใดเกิดมาเป็นบุตร หรือว่า เป็นธิดา ก็ถือว่าผู้นั้นได้เปรียบ หน้าที่ของเราจะปฏิบัติ เพื่อดำรงธาตุ ดำรงขันธ์ ดำรงชีวิต ที่ประเสริฐ มากกว่าสัตว์เดรัจฉาน เราก็ต้องอาศัย สติ อาศัย ปัญญาประพฤติปฏิบัติตามหลักเหตุหลักผล หลักวิทยาศาสตร์ เหมือนมนุษย์ที่พากันประพฤติ พากันปฏิบัติเช่นทุกวันนี้ มีที่อยู่ มีที่อาศัย มีที่ทำมาหากิน มีบ้าน มีรถ มีสิ่งที่อำนวยความสะดวกความสบาย มียานพาหนะ มีการสื่อสาร ก็เพื่อให้มนุษย์มีความสะดวก มีความสบาย ทางด้านจิตใจ เราก็ต้องประพฤติ ต้องปฏิบัติ เพื่อเราจะได้หยุด เวียนว่ายตายเกิด ที่เราจะเวียนว่ายตายเกิดเพราะเป็นอวิชชา เป็นความหลง มันเลยเป็นพลังงานแห่งการเวียนว่ายตายเกิด สัตว์โลกทั้งหลาย ที่ยังไม่หมดกิเลส สิ้งอาสวะ ก็ย่อมเวียนว่ายตายเกิด มันเป็นพลังงาน มันเป็นกระบวนการ เพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปมันถึงมี เราทุกคนถึงต้องพัฒนาทั้งเทโนโลยีวิทยาศาสตร์พร้อมทั้งพัฒนาใจไปพร้อมๆ กัน ถ้าไม่อย่างนั้นมันหลง
ความดับทุกข์ของมนุษย์หน่ะ มันอยู่ที่เรามีความเห็นถูกต้อง มีความเข้าใจถูกต้อง มีการปฏิบัติที่ถูกต้อง ในปัจจุบัน ปัจจุบันของเราทุกๆ คนตั้งแต่เราเกิดมาจนถึงหมดลมหายใจ ทุกท่านทุกคนน่ะถึงต้องพากันประพฤติพากันปฏิบัติ ไม่มีใครยกเว้น ถึงจะเป็นทางสายกลาง พัฒนาทั้ง สิ่งภายนอก แล้วพัฒนาใจไปพร้อมๆ กัน การประพฤติการปฏิบัติ ทุกท่านทุกคนก็ต้องมีฉันทะ มีความพอใจ มีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ ถ้าเราไม่มีฉันทะ ไม่มีความพอใจในการประพฤติในการปฏิบัติ สุขภาพจิตสุขภาพใจของเรา มันก็ไม่ดี เป็นสาเหตุให้หมู่มวลมนุษย์ทั้งหลาย พากันเป็นโรคจิต โรคประสาท โรคทรัพย์จางๆ คือโรคที่ไม่มีความสุขน่ะ
มนุษย์เราถึงต้องมีความเห็นถูกต้อง มีความเข้าใจถูกต้อง มีการปฏิบัติที่ถูกต้อง มนุษย์เราก็จะมีความสุขกว่าบุคคลอื่น มีความสุขอย่างไม่มีโทษ การทำงานมันถึงเป็นความสุข ในชีวิตประจำวันของเรา ถ้าผู้ใหญ่ก็นอนสัก ๖ ชั่วโมง พักผ่อนสัก ๖ ชั่วโมง เวลาตื่นก็มีความสุข ในการทำงาน และการพัฒนาใจไปพร้อมๆ กัน การทำงานก็คือการปฏิบัติธรรม การปฏิบัติธรรมก็คือการทำงาน มนุษย์ทั้งหลายนี้ถึงจะมีความสุขมาก ถ้าเราไม่มีมีความเห็นถูกต้อง มีความเข้าใจถูกต้อง มีการปฏิบัติที่ถูกต้อง หมู่มวลมนุษย์ทั้งหลายนี้ก็จะไม่ได้เป็นมนุษย์ ร่างกายเป็นมนุษย์ แต่จิตใจของเรายังเป็นคน คำว่าคนนี้คือความหลง คืออวิชชาคือความไม่รู้ ทำทั้งผิดทั้งถูก ทำทั้งดีทั้งชั่ว ทำทั้งบาปทั้งบุญ ท่านพุทธทาสถึงบอกว่า เป็นมนุษย์ได้เพราะใจสูง…
ถ้าอยู่วัยเด็ก ก็มีความสุขในการเรียนหนังสือ ในการทำงานที่บ้านที่ครอบครัว ต้องฝึกตัวเองตั้งแต่เด็กๆ ถ้าปล่อยให้ตัวเองใหญ่โต พัฒนาแต่กาย ไม่พัฒนาใจ พัฒนาใจคือ เสียสละ ละความขี้เกียจขี้คร้าน มีความสุขในการทำงาน ก็ฝึกตัวเองแต่น้อย ไก่มันฟักไข่มันใช้เวลา ๓ อาทิตย์ถึงออกลูกมาเป็นตัว เราจะพัฒนาใจเราก็ต้องทำติดต่อต่อเนื่องกัน เพื่อคอนโทรลตัวเอง เพื่อไฟต์ติ้งกับตัวเอง เราอย่าเอาความสุขที่มากับการกิน การเล่น การเที่ยว พวกนั้นเรียกว่าความรู้สึกนึกคิด จริงๆ ความสุขนั้นเป็นไปได้แต่เพียงคน เราต้องพัฒนาปฏิปทา พัฒนาใจของเราให้เข้าสู่หลักเหตุผลหลักวิทยาศาสตร์ตั้งแต่เด็กๆ
ที่ว่าศาสนานี้ทุกท่านทุกคนต้องพากันรู้จักศาสนา ศาสนาคือธรรมะ ธรรมะคือศาสนา ศาสนาคือที่ไม่มีตัวไม่มีตน คือการเสียสละ เราจะอยู่ในโลกนี้ เราจะเห็นมีศาสนาพุทธ ศาสนาคริสต์ อิสลาม พราหมณ์ ฮินดู หลายศาสนานี้หมายถึงธรรมะ ไม่ใช่นิติบุคคล ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน ให้ทุกคนเข้าใจ คำว่าพระ พระนี้ก็นับเอาตั้งแต่พระโสดาบันจนถึงพระอรหันต์ พระก็คือพระธรรมคือพระวินัย คือพระธรรมพระวินัยเรียกว่าศาสนา ศาสนานี้ไม่ใช่ที่เห็นทางรูปแบบ ที่เป็นโบสถ์ วิหาร เจดีย์ แต่รูปแบบ ยังไม่เพียงพอ เราต้องเข้าสู่ตัวศาสนาที่แท้จริง ศาสนานี้เป็นเรื่องจิตเรื่องใจ คือเรื่องรู้ทุกข์ รู้เหตุเกิดทุกข์ รู้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ ถ้าไม่อย่างนั้นนะ มันคือศาสนามันเป็นแบรนด์เนมเฉยๆ อย่างโบสถ์อย่างวิหารของศาสนาพุทธเป็นแบรนด์เนมเฉยๆ โบสถ์คริสก็เป็นแบรนด์เนมของศาสนาคริสต์ อย่างมัสยิสก็เป็นแบรนด์เนมของศาสนาอิสลาม แต่ตัวของพระศาสนานี้ อยู่ที่คำสอนเพื่อให้เข้าถึงแก่นแท้ คือเรารู้อริยสัจ ๔ คือรู้ทุกข์ รู้เหตุเกิดทุกข์ รู้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ เราต้องเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติอย่างนี้นะ
อย่างเราทุกคนร่างกายเป็นมนุษย์ แต่ว่าจิตใจเราไม่ได้เป็นมนุษย์ ประเทศไทยของเราน่ะ ดูอย่างประเทศ ลาว เขมร พม่า จีน ฝรั่ง ญี่ปุ่น เกาหลี อะไรต่างๆ เราจะเห็นนักบวช ไม่รักษาพระวินัย ทำตามใจตัวเอง ทำตามอารมณ์ตัวเอง ทำตามความรู้สึกอย่างนั้น ก็ยังถือว่ายังไม่เข้าถึงพระศาสนา ให้พากันเข้าใจ การประพฤติการปฏิบัติทุกๆ ศาสนา คือไม่ได้รับผลประโยชน์ในการนับถือศาสนา เราต้องเอาศาสนามาประพฤติมาปฏิบัติทางจิตใจ เราจะได้พัฒนาวิทยาศาสตร์ และพัฒนาใจไปพร้อมๆ กัน เราดูตัวอย่างแบบอย่างที่หมู่มวลมนุษย์เราพัฒนาเทคโนโลยีที่ทันสมัยอย่างนี้แหละ มันก็เป็นได้แต่เพียงคน มีบ้าน มีรถหรู มีเครื่องบิน มีคอมพิวเตอร์ มีเหมือนที่มีอยู่นี่แหละ ถึงจะมี แต่ก็เป็นได้แต่เพียงคน
เราต้องพากันพัฒนาใจไปพร้อมๆ กัน ศาสนานี้เป็นเรื่องหยุดวัฏฏะสงสาร หยุดพลังงานของวัฏฏะสงสาร หยุดกรรม หยุดเวร หยุดมีเซ็กทางความคิดทางอารมณ์ กับอวิชชา กับความหลง เพราะอันนี้แหละมันเป็นเรื่องส่วนตัว ทุกท่นทุกคนต้องพากันปฏิบัติ ถ้าอย่างนั้นการเรียนการศึกษามาก ความรู้มาก มันก็เป็นความเห็นแก่ตัว มันเป็นการทำร้ายโลก โลกนี้ถึงไม่มีนักการเมือง มีแต่นักกินเมือง ถ้าอย่างนั้นก็ไม่มีข้าราชการ มีแต่ข้าราชกิน หมู่มวลมนุษย์ที่เกิดมาก็ไม่ได้เป็นมนุษย์ แต่เป็นได้แต่เพียงคน ทุกท่านทุกคนต้องพากันรู้จักพระศาสนา เราจะไม่ได้หลงงมงาย ที่ทำๆ ไปตามความคิด ทำไปตามอารมณ์ ทำตามความหลงทั้งหลายทั้งปวง เรียกว่าไสยศาสตร์ ไสยศาสตร์ก็คือความหลง ทุกท่านทุกคนจะมาหลงไม่ได้ จะไปตามใจไม่ได้ ต้องพากันเสียสละทางจิตใจ
การปฏิบัตินี้มันเป็นอริยมรรคมีองค์ ๘ ต้องปฏิบัติได้ในปัจจุบัน เวลาเราพูดอย่างนี้ ต้องเอาธรรมะเป็นหลัก เอาธรรมะเป็นใหญ่ เราไม่หวังผลประโยชน์อะไรตอบแทน เวลาเราทำงานสมัครงานเพื่อเสียสละ ไม่หวังอะไรตอบแทน เขาเรียกว่าเราจะได้การกระทำอย่างนี้เรียกว่าสัมมาทิฏฐิ ไม่มีอวิชชาไม่มีความหลง ทุกอย่างมันจะก้าวไปด้วยความเห็นถูกต้อง ความเข้าใจถูกต้อง การปฏิบัติที่ถูกต้อง จะเป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม หมู่มนุษย์เราจะพากันมีความสุข ไม่พากันเป็นโรคจิต โรคประสาท โรคซึมเศร้า โรคทรัพย์จาง เหมือนกำลังเป็นอยู่ เรียกว่า พากันมาหลงขยะ เราเรียนเรารู้เราเข้าใจ แล้วเราก็พากันปฏิบัติ เพราะพระพุทธเจ้าท่านถึงให้ ๗ วัน มีวันพระ เป็นวันที่ต้องไปฟังธรรมจากพระพุทธเจ้า จากพระอรหันต์ เดี๋ยวนี้พระอรหันต์นั้นก็หายาก เขาก็เอาจากหนังสือ เอาจากตำรับตำรามาเทศน์ ๗ วันต้องฝึกตัวเองให้รักษาศีล ๘ ศีลอุโบสถ คือไม่ทานอาหารเย็น ไม่ร้องเพลงไม่กระหึ่มเพลงในใจ ไม่ฟังเพลง ไม่นั่งไม่นอนใช้หมอนที่มันสบาย ต้องเน้นที่ฝึกใจ
เราก็พากันมาบวช ประเทศไทยเรานี้ก็ต้องลาสิกขา น้อยคนที่จะมาบวชเอามรรคผล เอาพระนิพพาน เพราะว่าพ่อแม่เขาน่ะส่วนใหญ่ก็เป็นสามัญชน เขาไม่รู้จักว่า พระนิพพานคือความดับทุกข์ของความเป็นมนุษย์ เพราะเขารู้จักความสุขในระดับความเป็นมนุษย์รวย ความเป็นเทวดา ถึงแม้ว่าเราจะลาสิกขาไป เราไปประพฤติไปปฏิบัติที่โรงเรียน ที่ทำงาน เพราะความเป็นพระ คือมีความเห็นถูกต้อง มีความเข้าใจถูกต้อง มีการปฏิบัติที่ถูกต้อง ในปัจจุบัน ต้องสมาทานอันไหนไม่ดีไม่คิด อันไหนไม่ดีไม่พูด อันไหนไม่ดีไม่ทำ มีความสุขในการทำหน้าที่การงาน เพื่อจะได้ดูพ่อดูแม่ ดูธุรกิจหน้าที่การงาน เป็นนักการเมืองที่ดี เป็นข้าราชการที่ดี เป็นประชาชนที่ดี ให้ทุกคนพากันเข้าใจอย่างนี้ ถ้างั้นน่ะ เราถึงทิ้งธรรมะไปหมดไม่ได้ เหมือนที่เราเห็นอยู่นี้แหละ ทุกหมู่บ้าน พากันขายเหล้าขายเบียร์ พากันกินเหล้ากินเบียร์ อันนั้นไม่ได้ อันนั้นเป็นได้แต่เพียงคน มันมีการฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม มีการเล่นการพนัน อบายมุข อบายภูมิ ถ้าระดับอย่างนั้นหน่ะมันถือว่าต่ำกว่าสัตว์เดรัจฉานก็ได้ เพราะสัตว์เดรัจฉานมันไม่กินเหล้ากินเบียร์ ไม่เล่นการพนัน ไม่ส้รางปืน สร้างระเบิด ไม่โกงกินคอรัปชั่น ให้เข้าใจ ความสุข ความดับทุกข์ของมนุษย์นั้นมันไม่ได้อยู่ที่รวย เหมือนมหาเศรษฐีของเมืองไทย หรือเป็นมหาเศรษฐีของประเทศอื่น มันอยู่ที่เรามีความเห็นถูกต้อง มีความเข้าใจถูกต้อง มีการปฏิบัติที่ถูกต้อง ใจของเรามันมีความสุขในปัจจุบัน ถ้าเราปฏิบัติธรรมะ เราก็ย่อมมีอยู่มีกินมีใช้ เหลืออยู่ เหลือกิน เหลือใช้ ให้เข้าใจอย่างนี้ ใจจะได้รู้จักพระศาสนา เราจะได้มีพระศานา
เรามาบวชมาปฏิบัติ เราลาสิกขาแล้วเราก็ต้องเอาไปปฏิบัติต่อ สำหรับผู้ที่มาบวชเพื่อมรรคผลนิพพาน ก็มุ่งทำไปปฏิบัติไป ธรรมะของพระพุทธเจ้า แม้ว่าเราเป็นคนหัวถื่อๆหัวไม่ดี เราปฏิบัติติดต่อต่อเนื่อง ทุกคนก็ได้เป็นพระอริยะเจ้ากันทั้งหมด ไม่มีใครไม่ได้เป็น เพราะเราไม่ได้ทำตามใจตัวเอง ไม่ได้ทำตามตัวเอง มันก็เป็นพระธรรมเป็นพระวินัย มันก็หยุดตัวหยุดตนไปโดยอัตโนมัต ออโตเมติกอยู่แล้ว ถ้าใครไม่เอาธรรมะ 100 % ไม่เอามรรคผลนิพพาน ผู้ที่มาบวชก็ไม่เป็นพระหรอก เป็นพระแต่งตั้งเฉยๆ เป็นพระห่มผ้าเหลือง เป็นพระคามที่อุปัชฌาย์บวชคู่สวดสวดถูกต้องตามสังฆกรรมเฉยๆ แต่ไม่ได้เป็นพระภิกษุตามพระพุทธศาสนา อยู่นอกศาสนา อยู่นอกธรรม อยู่นอกพระวินัย ถึงจะบวชก็เท่ากับลาสิกขา เพราะไม่ปฏิบัติตามสิกขา เขาเรียกว่าลา ลาไปหมดแล้ว
ผู้ที่มาบวชต้องพากันเข้าใจ อย่าเห็นว่าศาสนาเป็นของสูง เป็นของที่ประชาชนยอมรับกันเป็นเสียงเดียวว่า ต้องกราบ ต้องไหว้ ต้องให้อาหาร ต้องยกมือไหว้ ต้องอัญชลี ไม่มีข้อแม้ใดๆ ทั้งสิ้น ต้องตั้งใจ ปฏิบัติพระศาสนา สิกขาบทน้อยใหญ่ ต้องสมาทานต้องตั้งใจประพฤติตั้งใจปฏิบัติ เราถึงจะได้เป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าน่ะเพียงเราได้ยินชื่อก็ได้บุญได้กุศลเยอะแล้ว พระอรหันต์เพียงเราได้ยินชื่อเราก็ได้บุญได้กศลเยอะแล้ว เราจะเป็นพระแบรนด์เนมนอกศาสนา ให้ประชาชนได้รู้ได้เห็นได้สัมผัส มันไม่เป็นมงคล มันเป็นอัปมงคล เป็นตัวเสนียดจัญไร ให้ทุกท่านทุกคนเข้าใจ ผู้ที่ไม่ได้บวชก็เป็นพระอริยะเจ้าได้ ได้ตั้งแต่พระโสดาบัน ถึง พระอนาคามี ให้พากันเข้าใจ เราก็เอาศีล 5 ให้ได้ 100% ถ้าใครแข็งแรงอยู่วันพระก็ให้เอาศีล 8 100% ทุกคนต้อไฟติ้งให้กับตนเอง เพราะอันนี้ไม่ได้รักษาให้โก้ๆ รักษาแบรนด์เนม แต่รักษาเพื่อให้ได้หยุดตัวเอง มีความสุขในการหยุดตัวเอง
เราเดินทางไกลเราต้องอาศัยเครื่องบิน ข้ามภูเขา ข้าวทะเล ข้ามมหาสมุทร ศีลสมาธิ ปัญญา นี้เรียกว่าพระศาสนา พระเราเณรเราพวกมาอยู่วัด ผู้ที่ไม่ได้บรรพชาอุปสมบท ก็ให้การสนับสนุน อะไรก็อุดมสมบูรณ์เรียกว่าสัปปายะ อาหารก็สัปปายะ ที่อยู่ก็สัปปายะ ธรรมะของพระพุทธเจ้าก็สัปปายะอยู่แล้ว เหลือแต่ตัวเรานี้แหละที่ยังไม่สัปปายะ มันยังเอาตัวตนเป็นใหญ่ เราจะเอาตัวตนเป็นใหญ่นี้ไม่ได้ เราต้องเอาธรรมะเอาพระวินัย เอามรรคผลพระนิพพานเป็นหลักเป็นใหญ่ เพราะบุคคลที่จะแก้ไขตัวเองได้ ไฟติ้งกับตัวเองได้ ใจต้องอยู่กับเนื้อกับตัว ต้องอยู่ในปัจจุบัน ไม่ตื่นเต้นกับ รูป เสียง กลิ่น รส ลาภ ยศ สรรเสริญ ใครไปใครมา ใครเกิดใครตาย มันเป็นเรื่องให้รู้ทุกข์ รู้เหตุเกิดทุกข์ รู้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ในปัจจุบัน คนทำงานที่เป็นพระพุทธเจ้า ที่เป็นพระอรหันต์ เขาทำอย่างนี้แหละ ถ้าเราทำอย่างนี้แหละให้ติดต่อต่อเนื่องกัน
สามเณรอายุ 7 ขวบที่ได้รับพุทธานุญาตให้อุปสมบทด้วยวิธีพิเศษมีอยู่ 2 รูป คือ สามเณรสุมนะ กับ สามเณรโสปากะ
สามเณรโสปากะไม่มีประวัติในคัมภีร์ธัมมปทัฏฐกถาหรืออรรถกถาธรรมบทที่พระเณรท่านเรียนกัน แต่มีอยู่ในอรรถกถาแห่งเถรคาถา (ปรมัตถทีปนีภาค 2) จึงไม่ค่อยเป็นที่รู้จักกัน
อาจารย์บางพวกกล่าวว่า โสปากะเกิดในตระกูลพ่อค้า นามว่า “โสปากะ” สักแต่ว่าตั้งเพื่อสิริมงคลเท่านั้น มิได้เกี่ยวกับสัปเหร่อ หรือการเผาผีเผาศพแต่อย่างใด แล้วท่านก็บรรยายรายละเอียดว่า
เด็กน้อยโสปากะเกิดได้ 4 เดือนบิดาก็สิ้นชีวิต จึงตกอยู่ในการดูแลของ “จุฬบิดา” (น้องชายพ่อ หรืออา) ไม่บอกว่ากลายเป็นพ่อเลี้ยงหรือว่าเพียงแต่เป็นผู้ดูแลแทนพ่อ พิเคราะห์ดูอาจเป็นพ่อเลี้ยงจริงๆ ก็ได้ เวลาโสปากะทะเลาะกับลูกๆ ของเขา พ่อเลี้ยงจะดุด่าและลงโทษเสมอ ไม่ว่าหญิงหรือชายมี “เรือพ่วง” ไปแต่งงานใหม่มักจะมีปัญหามีเรื่องระหองระแหงกันในครอบครัว เช่น ลูกคุณมารังแกลูกฉัน หรือลูกคุณรังแกลูกเรา หรือลูกเรารังแกลูกคุณและลูกฉัน ว่ากันให้วุ่น
วันหนึ่งพ่อเลี้ยงโกรธจัดจึงนำเด็กชายโสปากะไปป่าช้าเอาเชือกผูกแขนไพล่หลังมัดไว้กับศพทิ้งไว้ด้วยหมายใจจะให้เป็นเหยื่อสุนัขจิ้งจอก เด็กน้อยเห็นสุนัขจิ้งจอกกำลังมาจึงร้องไห้ด้วยความกลัว
ว่ากันว่าเสียงร้องไห้ของเด็กน้อยผู้น่าสงสารได้ยินไปถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ทรงตรวจดูด้วยพระญาณก็ทรงทราบเหตุการณ์โดยตลอด จึงทรงแผ่พระรัศมีไปยังเด็กน้อยตรัสว่า โสปากะไม่ต้องกลัว เธอจงมองดูตถาคต ตถาคตจะช่วยเธอให้รอด ดุจปล่อยพระจันทร์จากปากราหูฉะนั้น
ด้วยพุทธานุภาพเชือกที่มัดอยู่ขาดออกโสปากะเป็นอิสระและได้บรรลุโสดาปัตติผล รู้ตัวอีกทีก็มานั่งเจี๋ยมเจี้ยมอยู่ในพระคันธกุฎีแล้ว
ข้างฝ่ายมารดาเมื่อบุตรชายหายไปก็เที่ยวตามหาไปจนทั่ว เมื่อไม่พบจึงเข้าไปพระอารามคิดได้อย่างเดียวว่า พระพุทธเจ้าทรงมีพระญาณหยั่งรู้อดีต ปัจจุบัน อนาคต พระองค์ย่อมทรงทราบว่าลูกเราอยู่ที่ไหน เราไปกราบทูลขอพึ่งพระมหากรุณาของพระองค์ดีกว่า ไปถึงก็ถวายบังคมแล้วกราบทูลถามถึงบุตรชายของตนเอง พระพุทธองค์ทรงทราบว่านางมีอุปนิสัยแห่งมรรผล จึงตรัสสอนธรรมว่า “บุตรทั้งหลายก็ช่วยไม่ได้ บิดาและพี่น้องก็ช่วยไม่ได้ คนเราเมื่อถึงคราวจะตาย ญาติพี่น้องทั้งหลายก็ช่วยไม่ได้”
เท่ากับเตือนว่าบุตรที่สุดแสนรักนั้นเขาก็มีคติหรือทางไปเป็นของเขาเอง เอาเข้าจริงเขาก็ช่วยเหลืออะไรเราไม่ได้ คติหรือทางไปของเราจะเป็นอย่างไร จะไปดีไปร้อยก็ขึ้นอยู่กับการกระทำของเราเอง
นางได้ฟังก็ได้คิด คิดตามไปก็ยิ่งเห็นจริงตามจึงได้บรรลุเป็นพระโสดาบัน หารู้ไม่ว่าในขณะนั้นบุตรน้อยของตนก็นั่งฟังพระธรรมเทศนานั้นอยู่ใกล้ๆ นั่นเอง แต่ด้วยอิทธาภิสังขาร (การบันดาลด้วยฤทธิ์) สองแม่ลูกจึงมองไม่เห็นกัน ลูกชายได้บรรลุเป็นพระอรหันต์
จากนั้นพระพุทธองค์ทรงคลายฤทธิ์สองแม่ลูกจึงเห็นกัน
ถามว่าไฉนเด็กน้อยอายุเพียงขวบก็ได้บรรลุพระอรหัตผล คำตอบก็มีว่าเพราะเด็กน้อยคนนี้ในอดีตกาลอันนานโพ้นได้สร้างบุญบารมีไว้
ในชาติที่กล่าวถึงนั้นโสปากะเกิดในตระกูลพราหมณ์ ออกบวชเป็นฤาษีบำเพ็ญพรตอยู่บนยอดเขาสูงแห่งหนึ่ง เหตุการณ์ดังกล่าวนี้เกิดขึ้นในสมัยพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่าสิทธัตถะ ขณะเขาใกล้จะตายพระพุทธเจ้าสิทธัตถะเสด็จไปโปรดเขา เขาแต่งอาสนะดอกไม้ถวายให้พระพุทธองค์ประทับ พระพุทธองค์ประทับเหนืออาสนะดอกไม้นั้น ทรงแสดงพระธรรมเทศนาเกี่ยวกับอนิจจตา (ความไม่เที่ยง) ปลดเปลื้องเขาจากความยึดถือผิดๆ ว่าสรรพสิ่ง เที่ยงแท้นิรันดร
เขาเจริญอนิจจสัญญา (ความระลึกว่าไม่เที่ยงแท้) ในใจ จวบจนสิ้นลม ละจากอัตภาพนั้นแล้วไปเกิดในเทวโลก ท่องเที่ยวในสังสารวัฏตลอดกาลยาวนาน ในที่สุดก็บังเกิดเป็นเด็กน้อยโสปากะในกรุงราชคฤห์ดังกล่าวมาแล้ว
พระพุทธเจ้าตรัสถามปัญหา “อะไรเอ่ย” ทำนองปริศนาธรรม เช่น “อะไรเอ่ยชื่อว่าหนึ่ง” โสปากะกราบทูลว่า “สัตว์ทั้งหลายอยู่ได้ด้วยอาหาร” (อาหารชื่อว่าหนึ่ง)
“อะไรชื่อว่าสอง” ตรัสถามอีก “นามกับรูป ชื่อว่าสอง” โสปากะกราบทูล
อะไรเอ่ยชื่อว่า 3 เวทนา 3, อะไรเอ่ยชื่อว่า 4 อริยสัจ 4, อะไรเอ่ยชื่อว่า 5 อุปาทานขันธ์ 5, อะไรเอ่ยชื่อว่า 6 อายตนะภายใน 6, อะไรเอ่ยชื่อว่า 7 โพชฌงค์ 7, อะไรเอ่ยชื่อว่า 8 อริยมรรคมีองค์ 8, อะไรเอ่ยชื่อว่า 9 สัตตาวาส 9 จนกระทั่งถึง “อะไรชื่อว่าสิบ” เด็กน้อยอรหันต์ก็กราบทูลได้ทุกข้อ เพราะไม่ใช่เด็กน้อยธรรมดาหากเป็นเด็กน้อยอรหันต์
เนื่องจากเป็นการเอ่ยถึงเพียงข้อธรรม พระอรรถกถาจารย์จึงต้องขยายความเพิ่มเติมในปรมัตถโชติกา อรรถกถาขุททกปาฐะ ไว้อย่างละเอียด ซึ่งโดยสังเขปคำอธิบายข้อธรรมต่างๆ ทั้ง 10 ข้อมีดังต่อไปนี้
อะไรเอ่ยชื่อว่า 1 สัตว์ทั้งปวงตั้งอยู่ได้ด้วยอาหาร อรรถกถาอธิบายว่า "สัตว์ทั้งหลายที่ตั้งอยู่ได้ด้วยอาหาร เพราะอรรถว่าเป็นปัจจัยในขันธ์ทั้งหลาย ก็ฉันนั้นเหมือนกัน แต่เมื่อว่าโดยปรมัตถ์ พึงทราบว่า เมื่อขันธ์ทั้งหลาย เกิดแก่และตายอยู่"
อะไรเอ่ยชื่อว่า 2 นามและรูป อรรถกถาอธิบายว่า "ภิกษุละอัตตทิฏฐิความเห็นว่าเป็นตนได้ ด้วยการเห็นเพียงนามรูปแล้ว เมื่อหน่ายโดยมุขคือการพิจารณาเห็นอนัตตา ย่อมจะเป็นผู้ทำที่สุดทุกข์ได้ ย่อมบรรลุปรมัตถวิสุทธิได้"
อะไรเอ่ยชื่อว่า 3 เวทนา 3 กล่าววคือ สุขเวทนา, ทุกขเวทนา และอทุกขมสุขเวทนา อรรถกถาอธิบายว่า "ภิกษุละสุขสัญญา ความสำคัญว่าสุข ด้วยการเห็นเวทนาทั้งสามเป็นทุกข์ ... ย่อมจะเป็นผู้ทำที่สุดทุกข์ได้ ย่อมบรรลุปรมัตถวิสุทธิได้"
อะไรเอ่ยชื่อว่า 4 อริยสัจ 4 กล่าวคือ ทุกข์, สมุทัย, นิโรธ, มรรค อรรถกถาอธิบายว่า "ความแห่งบทของอริยสัจเหล่านั้นมีดังนี้ ความตัดขาดภวตัณหา ย่อมมีได้ เพราะความตรัสรู้ตามและแทงตลอดอริยสัจเหล่านี้ เหมือนอย่างที่ตรัสไว้ว่า - ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ทุกขอริยสัจนี้นั้น อันเราตถาคตตรัสรู้แล้ว แทงตลอดแล้ว ฯลฯ ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ อันเราตถาคต ตรัสรู้แล้ว แทงตลอดแล้ว ภวตัณหาเราตถาคตก็ถอนได้แล้ว ตัณหา ที่นำไปในภพ ก็สิ้นแล้ว บัดนี้ การเกิดอีกไม่มีกันละ ดังนี้"
อะไรเอ่ยชื่อว่า 5 อุปาทานขันธ์ 5 กล่าวคือ รูป, เวทนา, สัญญา, สังขาร, วิญญาณ อรรถกถาอธิบายว่า "เมื่อพิจารณาโดยความเกิดความดับ (ของอุปาทานขันธ์ 5) เป็นอารมณ์ ได้อมตะด้วยวิปัสสนาแล้ว ย่อมทำให้แจ้งอมตะ คือพระนิพพาน โดยลำดับ"
อะไรเอ่ยชื่อว่า 6 อายตนะภายใน 6 กล่าวคือ ตา, หู, จมูก, ลิ้น, กาย, ใจ อรรถกถาอธิบายว่า " ภิกษุพิจารณาอายตนะภายใน 6 โดยความเป็นของว่าง ตามพระบาลีว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย คำว่า สุญฺโญ คาโม บ้านว่าง นี้เป็นชื่อของอายตนะภายใน 6 ดังนี้ โดยความเป็นของเปล่าและโดยความเป็นของลวง เพราะตั้งอยู่ได้ไม่นาน เหมือนฟองน้ำและพยัพแดดฉะนั้น ก็หน่าย ทำที่สุดทุกข์โดยลำดับ ย่อมเข้าถึงที่ซึ่งมัจจุราชมองไม่เห็น"
อะไรเอ่ยชื่อว่า 7 โพชฌงค์ 7 กล่าวคือสติ, ธรรมะ, วิริยะ, ปีติ, ปัสสัทธิ, สมาธิ, อุเบกขา อรรถกถาอธิบายว่า "พระโยคาวจร เมื่อเจริญทำให้มากซึ่งโพชฌงค์ 7 เหล่านี้อย่างนี้ไม่นานนัก ก็จะเป็นผู้ได้คุณมีความหน่ายโดยส่วนเดียวเป็นต้น ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า ย่อมเป็นผู้ทำที่สุดทุกข์ได้ในปัจจุบัน"
อะไรเอ่ยชื่อว่า 8 อริยมรรคมีองค์ 8 หรือมรรคมีองค์แปด กล่าวคือสัมมาทิฏฐิ, สัมมาสังกัปปะ, สัมมาวาจา, สัมมากัมมันตะ, สัมมาอาชีวะ, สัมมาวายามะ, สัมมาสติ, สัมมาสมาธิ อรรถกถาอธิบายว่า "เมื่อเจริญมรรคมีประเภท 8 และมีองค์ 8 นี้อย่างนี้ ย่อมทำลายอวิชชา ทำวิชชาให้เกิด ทำให้แจ้งพระนิพพาน ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า เป็นผู้ทำที่สุดทุกข์ได้ในปัจจุบัน"
อะไรเอ่ยชื่อว่า 9 สัตตาวาส 9 กล่าวคือภพภูมิทั้ง 9 คือ นานาตฺตกายภูมิ, เอกตฺตกายภูมิ, นานตฺตสญฺญีภูมิ, เอกตฺตสญฺญีภูมิ, อสญฺญีภูมิ, อากาสานญฺจายตนภูมิ, วิญฺญาณญฺจายตนภูมิ, อากิญฺจญฺญายตนภูมิ, เนวสญฺญานาสญฺญายตนภูมิ อรรถกถาอธิบายว่า "ธรรม 9 ควรกำหนดรู้ คือ สัตตาวาส 9 หน่ายด้วยการเห็นเป็นเพียงกองสังขารล้วนๆ คลายกำหนัดด้วยการเห็นอนิจจลักษณะด้วยตีรณปริญญา หลุดพ้นด้วยการเห็นทุกขลักษณะ เห็นที่สุดโดยชอบด้วยการเห็นอนัตตลักษณะ ตรัสรู้ความเป็นธรรมชอบ ด้วยปหานปริญญา ย่อมเป็นผู้ทำที่สุดทุกข์ได้"
อะไรเอ่ยชื่อว่า 10 ท่านผู้ประกอบด้วยองค์ 10 เรียกว่าพระอรหันต์ อรรถกถาอธิบายว่า พระอรหันต์ประกอบด้วยมรรคมีองค์ 8 และสัมมาญาณเป็นองค์ที่ 9 และ สัมมาวิมุตติ เป็นองค์ที่ 10 ยังให้ท่านเป็นพระอเสขะ คือผู้ไม่ต้องศึกษาอีก คือไม่ต้องศึกษาไตรสิกขา คือศีล สมาธิ ปัญญาอีกต่อไป เพราะได้ศึกษาจบโดยได้บรรลุอรหันตผลแล้ว
การมอบปัญหาให้คิดหาคำตอบนี้ คงคล้ายกับที่พุทธนิกายเซนเรียกว่า “โกอาน” (ญี่ปุ่น) หรือ “กงอั้น” (จีน) นั่นเอง เมื่ออรหันต์น้อยโสปากะตอบได้หมดทุกข้อ การอุปสมบทให้เธอเรียกการอุปสมบทนี้ว่า “ปัญหาพยากรณูปสัมปทา” (การอุปสมบทด้วยการตอบปัญหา)
น่าสังเกตว่า โสปากะเธอมิได้ผ่านการบวชเณรก่อน พระพุทธองค์ประทานอุปสมบทให้ทันทีทันใด ต่างจากกรณีเด็กน้อยสุมนได้บรรพชาเป็นสามเณรก่อน พระพุทธเจ้าประทานการอุปสมบทอันเรียกว่า “ทายัชชอุปสมัปทา” ให้ แต่โสปากะไม่ต้องบวชเณรก่อน ข้ามขั้นเป็นพระภิกษุเลย และการอุปสมบทของเธอเรียกว่า “ปัญหาพยากรณูปสัมปทา”
พระโสปากเถระอดีตเด็กน้อยเกือบจะตกเป็นเหยื่อสุนัขจิ้งจอก เมื่อหวนรำลึกถึงเรื่องราวในอดีตของตน ได้กล่าวคาถาประพันธ์ทำนองอัตชีวประวัติไว้อย่างไพเราะ ขอนำมาลงไว้ตอนท้ายดังนี้ครับ
เราได้เห็นพระพุทธเจ้าผู้สูงสุดกว่านรชน เป็นอุดมบุรุษ เสด็จจงกรมอยู่ในร่มเงา แห่งพระคันธกุฎี จึงเข้าไปถวายบังคม เราห่มจีวรเฉวียงบ่าข้างหนึ่งประนมมือไหว้พระองค์ผู้ปราศจากกิเลส พระองค์ตรัสถามปัญหาเรารู้ความของปัญหานั้น ไม่สะทกสะท้านวิสัชนาปัญหานั้น พระองค์ตรัสถามปัญหา เรารู้ความของปัญหานั้น พระองค์ตรัสอนุโมทนาแล้วหันไปตรัสกับภิกษุทั้งหลายว่า โสปากะนี้ใช้สอยจีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และคิลานเภสัช ของชาวอังคะและชาวมคธเหล่านั้น นับเป็นลาภของชาวอังคะและชาวมคธ และเป็นลาภของพวกเขาที่ได้ต้อนรับและทำสามีจิกรรม (ความเคารพในรูปแบบอื่นๆ) แก่โสปากะ พระองค์ตรัสกับเราว่าโสปากะ การวิสัชนาปัญหานี้เป็นการอุปสมบทของเธอ เราอายุเพียง 7 ขวบ ได้รับการอุปสมบทเป็นภิกษุมีชีวิตของร่างกายนี้อันเป็นชาติสุดท้าย
พระธรรมอันดีงามของพระพุทธองค์ช่างน่าอัศจรรย์แท้หนอ
แจกปัญญา แจกศาสนา แจกธรรมวินัย แจกสิ่งที่ถูกต้อง
เพื่อเดินตามรอยพระพุทธเจ้าร้อยเปอร์เซ็นต์
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
โดยทุกท่านสามารถติดตามเพิ่มเติมได้ที่
https://linktr.ee/watsubthawee
Share wisdom, spread Buddhism and its discipline.
Advocate righteousness to follow Lord of Buddha's footsteps 100%
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
You can receive new Dharma updates.
https://linktr.ee/watsubthawee