แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ในวันจันทร์ที่ ๒๗ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง สั่งสมทรัพย์ภายใน ตอนที่ ๕ ไม่ว่าบ้านหรือป่า ไม่ว่าที่ลุ่มหรือที่ดอน พระอรหันต์ทั้งหลายอยู่ที่ใด ที่นั้นไซร้น่ารื่นรมย์
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
ให้ทุกท่านทุกคนรู้จักพระศาสนา ศาสนานี้ไม่ใช่โบสถ์ ไม่ใช่วิหาร ไม่ใช่มัสยิส แต่คือธรรมะ ธรรมะเป็นเรื่องพัฒนาวิทยาศาสตร์และพัฒนาใจไปพร้อมๆ กัน เพื่อเข้าสู่ความดับทุกข์ เพื่อทุกคนถึงเข้าสู่วัตร เข้าสู่ข้อวัตร วัดนี้ก็คือศูนย์รวม ของแบบอย่างแต่ละประเทศ ต้องมีศูนย์รวม ทุกคนต้องฝึกตัวเองเต็มที่ ต้องเอาพระพุทธเจ้าเป็นหลัก เอาธรรมะเป็นหลัก
ให้ทุกท่านทุกคนรู้จักศาสนา ส่วนใหญ่ผู้ที่เวียนว่ายตายเกิดยังไม่รู้จักศาสนา ไม่รู้จักของดีแท้ดีจริง ศาสนาเป็นความดับทุกข์ คือเป็นสัมมาทิฏฐิ มันเป็นกฏแห่งกรรม แห่งความดับทุกข์ ศาสนาทุกศาสนาก็คือหลักกฏแห่งกรรม ผู้ที่มาบวชเป็นพระ เป็นเณร เป็นแม่ชี ก็ยังไม่รู้จักศาสนาของแท้อยู่ ให้รู้จักศาสนา รู้จักอริยสัจ ๔ ความเป็นพระนี้ก็เป็นได้กับทุกๆ คนถ้าตั้งอยู่ในหลักพระพุทธศาสนา จะเป็นพระไปในตัวในระบบความคิด ระบบคำพูดการกระทำ มันเป็นสิ่งที่แน่นอน เข้าถึงความดับทุกข์ตั้งแต่ยังไม่ตาย มันจะเลื่อนของมันไปเอง เป็นปัจจุบันธรรมไปเรื่อย ศาสนาคืออะไร? ศาสนาก็คือไม่ทำตามใจตัวเอง ไม่ทำตามอารมณ์ตัวเอง ไม่ทำตามความรู้สึกตัวเอง ในโลกนี้ถึงต้องมีศาสนา ความดีทั้งหมด ความเป็นธรรม ความยุติธรรม ที่ไม่มีตัวไม่มีตน เรียกว่าศาสนา ศาสนา คือ หนทางที่ประเสริฐที่ประกอบด้วยอริยมรรคมีองค์ 8 คนเราเกิดมาถึงต้องมีศาสนาประจำใจ
“ศาสนา” เป็นศัพท์ในภาษาสันสกฤต บาลีใช้ว่า สาสนา แปลว่า คำสั่งสอน ย่อมมีในทุกศาสนา ในฝ่ายตะวันตก คำว่าศาสนาตามความหมายกว้างๆ คือ ความเชื่อในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ซึ่งมีอำนาจอยู่เหนือสิ่งธรรมชาติ จะเรียกว่าพระเจ้าหรือพระผู้เป็นเจ้าก็แล้วแต่ ซึ่งพระองค์ทรงปกครองและควบคุมโลก พร้อมทั้งมวลมนุษยชาติด้วยทิพย์อำนาจ มนุษย์มีหน้าที่ จะต้องมีความเชื่อ ความศรัทธา เคารพบูชาพระองค์และคำสั่งสอนของพระองค์ด้วยความเกรงกลัวและด้วยความจงรักภักดี รับใช้พระองค์ด้วยการประพฤติปฏิบัติตามหลักคำสั่งสอนอย่างเคร่งครัด
คำว่า “ศาสนา” มีความหมายกว้างขวางกว่า “ศีลธรรม” ศีลธรรมหมายถึงข้อปฏิบัติเกี่ยวกับประโยชน์สุขในขั้นพื้นฐานทั่วไป และมีตรงกันแทบทุกศาสนา ศาสนาหมายถึงระเบียบปฏิบัติในขั้นสูง ผิดแปลกแตกต่างกันไปเฉพาะศาสนาหนึ่งๆ ทีเดียว ศีลธรรม ทำให้เป็นคนดี มีการปฏิบัติไม่เบียดเบียนตนหรือคนอื่น ตามหลักสังคมทั่วๆ ไป แต่เมื่อได้ปฏิบัติครบถ้วนตามนั้นแล้ว คนก็ยังไม่พ้นทุกข์ที่มาจากการเกิด แก่ เจ็บ ตาย ยังไม่พ้นทุกข์จากการเบียดเบียนของกิเลส อำนาจของศีลธรรมได้สิ้นสุดลงเสียก่อนที่จะกำจัด โลภะ โทสะ โมหะ ให้สิ้นสุดไปได้ และไม่สามารถกำจัดความทุกข์อันเกิดจากกการ เกิด แก่ เจ็บตายได้ ส่วนขอบเขตของศาสนานั้นยังไปไกลต่อไปอีก โดยเฉพาะพระพุทธศาสนา ย่อมมุ่งหมายโดยตรงที่จะกำจัดกิเลสโดยสิ้นเชิงหรือดับทุกข์ทั้งหลายที่เกิดขึ้นจากการเกิด แก่ เจ็บ ตาย ให้สิ้นไป นี้ชี้ให้เห็นว่า ศาสนากับศีลธรรมนั้นต่างกันอย่างไร พุทธศาสนาไปได้ไกลกว่าศีลธรรมสากลของโลกทั่วๆ ไป เมื่อเข้าใจดังนี้แล้ว เราจะได้สนใจพุทธศาสนาโดยเฉพาะ
ศาสนาอื่นนิยมกันเพียงให้เว้นจากความชั่ว และให้ยึดถือในความดี ให้หลงยึดผูกพันในความดี จนถึงยอดของความดี คือพระผู้เป็นเจ้า พระพุทธศาสนายังไปไกลกว่านั้นมาก คือไม่ยอมผูกพันตัวเองกับสิ่งใดเลย การผูกพันในความดีนั้น ก็จัดว่าเป็นการปฏิบัติถูกในระยะต้นหรือระยะกลาง เมื่อเรายังทำอะไรให้สูงไปกว่านั้นไม่ได้เท่านั้นเอง ในระยะแรกเราเว้นจากความชั่ว ในระยะถัดมาเราก็ทำความดีให้เต็มที่ ส่วนในระยะสูงนั้น เราทำจิตใจให้ลอยสูงเหนือการครอบงำของทั้งความดีและความชั่ว
การที่ผูกพันตัวอยู่ภายใต้ผลของความดี ยังไม่ใช่การพ้นจากความทุกข์โดยสิ้นเชิง เพราะคนชั่วก็จะมีความทุกข์ไปตามประสาคนชั่ว คนดีก็จะต้องมีความทุกข์ไปตามประสาของคนดี ถึงเป็นมนุษย์ที่ดีก็มีความทุกข์อย่างมนุษย์ที่ดี จะดีอย่างเทวดาก็มีความทุกข์อย่างเทวดา แม้จะเป็นพรหมก็มีความทุกข์อย่างพรหม จะไม่มีความทุกข์เลยก็ต่อเมื่อขึ้นไปให้พ้น สูงเหนือจากสิ่งที่เรียกว่าความดีกลายเป็นโลกุตตระ (โลกของพระอริยเจ้า) คือเป็นพระอริยเจ้าเสียเอง ถ้าขึ้นสูงถึงที่สุดก็เรียกว่าเป็นพระอรหันต์
ที่นี้ คำว่าพระพุทธศาสนานั้น แปลว่าอะไร พุทธ แปลว่า พระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าแปลว่า ผู้รู้ พุทธศาสนา ก็แปลว่า ศาสนาของผู้รู้ พุทธศาสนิกชนก็แปลว่าผู้ปฏิบัติตามศาสนาของผู้รู้ ที่ว่ารู้นั้นหมายถึงรู้อะไร ก็คือรู้สิ่งทั้งปวงตามที่เป็นจริงนั่นเอง จึงกล่าวได้ว่าพุทธศาสนาก็คือ ศาสนาที่ทำให้รู้ว่าอะไรเป็นอะไร เป็นศาสนาเกี่ยวกับความรู้จริง เราจึงต้องปฏิบัติจนเรารู้ได้เอง เมื่อรู้ถึงที่สุดแล้วไม่ต้องกลัวกิเลสตัณหาต่างๆ จะถูกความรู้นั้นทำลายให้สิ้นไปความไม่รู้ (อวิชชา) ความหลงก็จะดับไปทันที ในเมื่อความรู้ได้เกิดขึ้นมาฉะนั้น ข้อปฏิบัติต่างๆ จึงมีไว้เพื่อให้วิชชาเกิด ท่านทั้งหลายจงปักใจมั่นในทางที่จะเข้าถึงพระพุทธศาสนา ด้วยการปฏิบัติให้รู้ว่าอะไรเป็นอะไรเท่านั้น ขอแต่ให้เป็นความรู้ที่ถูกต้อง รู้ด้วยความเห็นแจ้งจริงๆ อย่ารู้อย่างโลกๆ รู้ครึ่งๆ กลางๆ ซึ่งไปหลงสิ่งที่ไม่ดีว่าดี หลงสิ่งซึ่งเป็นที่เกิดของความทุกข์ว่าเป็นความสุขดังนี้ ก็จะค่อยๆ รู้ไปตามลำดับ นั่นแหละ จะเป็นการรู้จักพุทธศาสนาที่ถูกตัวพุธศาสนาแท้ๆ
ถ้าศึกษาพุทธศาสนาโดยวิธีนี้แล้ว แม้คนตัดฟืนขายที่ไม่รู้หนังสือก็จะเข้าถึงตัวพุทธศาสนาได้ ในขณะที่มหาเปรียญหลายประโยคที่กำลังง่วนอยู่กับพระไตรปิฎก ไม่อาจเข้าถึงพุทธศาสนาได้เลย พวกเราที่มีสติปัญญาอยู่บ้าง น่าจะสามารถพินิจพิจารณาสิ่งทั้งปวงให้รู้ตามที่เป็นจริงได้ ฉะนั้นเมื่อถูกความทุกข์อะไรเข้าแก่ตัวเองแล้ว ก็จะต้องศึกษาสิ่งนั้นให้เข้าใจแจ่มแจ้งว่ามันเป็นอย่างไรกันแน่ ความทุกข์ที่เกิดขึ้นและกำลังเผาลนเราให้เร่าร้อนอยู่นั้นมันคืออะไร เป็นอย่างไร มาจากไหน
ถ้าทุกคนตั้งสติ คอยเฝ้ากำหนดพิจารณาความทุกข์ที่เกิดขึ้นแก่ตนในลักษณะดังกล่าวนี้แล้ว ก็จะเป็นทางให้เข้าถึงพุทธศาสนาได้ดีที่สุด ดีกว่าการที่จะเรียนเอาจากพระไตรปิฎกอย่างเปรียบเทียบกันไม่ได้ทีเดียว การที่ใครจะมัวแต่ศึกษาพุทธศาสนาจากพระไตรปิฎก ในแง่ของภาษาหรือวรรณคดีหรือปรัชญานั้น จะไม่มีทางรู้ว่าอะไรเป็นอะไร ทั้งๆ ที่พระไตรปิฎกก็เต็มไปด้วยคำบรรยายว่าสิ่งนั้นเป็นอย่างนั้น สิ่งนี้เป็นอย่างนี้ เขาฟังอย่างนกแก้วนกขุนทอง พูดตามที่จำไว้ได้ แต่ไม่สามารถที่จะเข้าถึงความจริงของสิ่งทั้งหลาย เว้นไว้แต่เขาจะได้ทำการพิจารณาให้เห็นเป็นเรื่องจริงของชีวิตจิตใจ เข้าถึงตัวจริงของกิเลส ของความทุกข์ของธรรมชาติ หรือของสิ่งทั้งปวงซึ่งเข้ามาเกี่ยวข้องกับตัวเขานั่นแหละ จึงจะเข้าถึงตัวพระพุทธศาสนาที่แท้ได้
คนที่ไม่เคยอ่านเคยฟังพระไตรปิฎกเลย แต่เคยพิจารณาอย่างละเอียดลออทุกครั้ง ที่ความทุกข์เกิดขึ้นแผดเผาจิตใจของตน นี้แหละเรียกว่าเขากำลังเรียนพระไตรปิฎกโดยตรงและอย่างถูกต้องดียิ่งกว่ากำลังเปิดเล่มพระไตรปิฎกออกอ่าน เพราะว่าพวกที่กำลังลูบคลำเล่มพระไตรปิฎกอยู่ทุกๆ วัน แต่แล้วไม่รู้จักอมฤตธรรมคำสอนที่มีอยู่ในพระไตรปิฎก เขาก็คล้ายกับการที่เรามีตัวเอง ใช้ตัวเอง ปฏิบัติตัวเอง ไม่สามารถแก้ปัญหาต่างๆ ที่เกี่ยวกับตัวเองให้ลุล่วงไปได้ ยังคงมีความทุกข์ ยังคงมีตัณหาที่เป็นเหตุให้เกิดทุกข์เพิ่มมากขึ้นทุกๆ วัน ตามอายุที่เพิ่มขึ้น นี่เพราะไม่รู้จักตัวเราอย่างเดียวเท่านั้น
ชีวิตจิตใจที่สวมอยู่กับเรา เราก็ยังไม่รู้จัก การที่จะไปรู้สิ่งลึกลับที่ซ่อนอยู่ในพระไตรปิฎกนั้นมันยุ่งยากไปกว่าเป็นไหนๆ เพราะฉะนั้นจงหันมาศึกษาพุทธศาสนาหรือรู้จักตัวพุทธศาสนาด้วยการศึกษาจากตัวจริง คือจากสิ่งทั้งปวง ซึ่งรวมทั้งร่างกายและจิตใจนี้เอง จากชีวิตซึ่งกำลังหมุนอยู่ในวงกลมของความอยาก กระทำตามความอยาก แล้วก็เกิดผลอย่างนั้นอย่างนี้ขึ้นมาหล่อเลี้ยงเจตนาที่อยาก จึงทำสืบต่อไปไม่มีที่สิ้นสุด ต้องเวียนว่ายอยู่ในวัฏฏสงสาร หรือทะเลแห่งความทุกข์ เพราะความที่ไม่รู้ว่า อะไรเป็นอะไร ข้อเดียวเท่านั้น
สรุปความว่า พุทธศาสนา คือวิชาและระเบียบปฏิบัติเพื่อให้รู้ว่า อะไรเป็นอะไร เมื่อเรารู้ว่า อะไรเป็นอะไรถูกต้องจริงๆ แล้วไม่ต้องมีใครมาสอนเราหรือมาแนะนำเรา เราก็ปฏิบัติต่อสิ่งนั้นๆ ถูกต้องได้ด้วยตนเอง แล้วกิเลสก็จะหมดไปเอง เราเป็นอริยบุคคลขั้นใดขั้นหนึ่งขึ้นมาทันที เราจะปฏิบัติอะไรไม่ผิดขึ้นมาทันที เราจะลุถึงสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้ หรือที่ชอบเรียกกันว่ามรรคผลนิพพาน นี้ได้ด้วยตนเอง เพราะการที่เรามีความรู้ว่าอะไรเป็นอะไรโดยถูกต้องถึงที่สุดอย่างแท้จริงเท่านั้น
พระสารีบุตรท่านได้พบชีวิตใหม่ในพระศาสนาของพระพุทธเจ้า เพราะพระอัสสชิเป็นผู้แนะนำ เมื่อท่านบวชเข้ามาแล้วจึงเคารพพระอัสสชิ อาจารย์ของท่านมาก ถึงกับนอนหันศีรษะไปยังทิศต่างๆ ที่ทราบว่าท่านอัสสชิอยู่
เมื่อท่านเข้ามาในพระพุทธศาสนาก็อยากเห็นลูกหลานได้เข้ามาลิ้มรสแห่งสันติสุขอย่างท่านบ้าง จึงเกลี้ยกล่อมน้องชายมาบวชกันทุกคน
น้องคนเล็กที่ชื่อเรวตะนี้ ตอนนั้นยังเล็กมาก แต่ท่านก็บอกพระสงฆ์ที่อยู่หมู่บ้านท่านไว้ล่วงหน้าว่า ถ้าน้องชายท่านอยากบวช ก็จงให้บวชเลย โยมทั้งสองก็คอยระวังแจกลัวลูกชายคนโตจะมาเอาน้องคนเล็กไปบวชอีก จึงชิง “ตัดหน้า” ด้วยการจัดการให้ลูกชายแต่งงานตั้งแต่อายุ ๗ ขวบ งานแต่งงานได้จัดขึ้นอย่างหรูหรา เจ้าบ่าวเจ้าสาวยังเล็กเกินกว่าจะรู้เรื่องของโลก เขาพาทำพิธีต่างๆ ก็ตื่นเต้นสนุกสนานตามประสาเด็ก ญาติผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายของเจ้าบ่าวและเจ้าสาวก็ผลัดกันเข้ามายังห้องพิธี เพื่ออวยพรเจ้าบ่าวเจ้าสาว “ขอให้อายุมั่นขวัญยืนครองชีวิตคู่ยาวนาน”
“ขอให้ถือไม้เท้ายอดทอง กระบองยอดเพชร”
“ขอให้อายุยืนเหมือนคุณยาย”
เสียงอวยพรดังขึ้นไม่ขาดระยะ จนกระทั่งพิธีแต่งงานสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี เป็นที่ชื่นชมของญาติวงศ์ทั้งฝ่ายเจ้าบ่าวและเจ้าสาว
เจ้าบ่าวน้อยเรวตะได้ยินคำอวยพรก็สะดุดใจทันที ภาพคุณยายอายุเกินร้อยร่างกายทรุดโทรม หนังเหี่ยวฟันหลุด ผมขาวโพลน เดินแทบไม่ได้ มือไม้สั่นเทิ้ม ต้องให้คนคอยพยุงลุกพยุงนั่ง จึงถามผู้ใหญ่ว่า เจ้าสาวของผมก็จะเป็นเช่นคุณยายใช่ไหม
“ใช่แล้ว จะอายุยืนปานนั่นแหละ” ญาติๆ ตอบ
“แล้วผมก็จะเป็นเช่นนั้นไหม”
“เป็นดหมือนกัน แน่แท้ๆ ลูกเอ๋ย” เสียงตอบยืนยัน ผู้ตอบนึกว่าเป็นการให้กำลังใจ
ตรงข้ามกับสร้างความสลดหดหู่ให้เกิดขึ้นแก่เจ้าบ่าวน้อย พลันภาพพระพี่ชายก็ผุดขึ้นในใจ สงสัยอุปติสสะพี่ชายเราคงคิดเห็นเช่นเดียวกันนี้ จึงเบื่อหน่ายออกไปบวช อย่ากระนั้นเลย เราไปบวชดีกว่า
คิดว่าถ้าจะลาบวชตรงๆ คงไม่ได้รับอนุญาตเพราะเพิ่งแต่งงาน จึงคิดจะหนีไปบวชขณะที่เขาแห่เพื่อส่งตัวเจ้าบ่าวไปยังห้องหอที่เตรียมไว้อย่างสวยหรูนั่น เรวตะได้ช่องทางหลบหนีไปยังสำนักวัดป่าซึ่งอยู่ใกล้ทางผ่าน เข้าไปขอบวช
ภิกษุทั้งหลายรู้ว่าเด็กน้อยเป็นน้องชายพระสารีบุตร จึงจัดการบวชเณรให้ เพราะถือว่าได้รับอนุญาตจากพระพี่ชายแล้ว
พระสารีบุตรรู้ว่าน้องชายคนเล็กได้บวชเป็นสามเณรแล้ว คิดจะไปนำตัวมาอยู่ด้วยที่พระเชตวันมหาวิหาร แต่พระพุทธองค์ตรัสว่าให้รอสักพรรษาหนึ่งก่อน ออกพรรษาแล้วค่อยไป พระองค์ก็จะเสด็จไปด้วย
ต้องเข้าใจว่า น้องชายท่านอยู่เมืองราชคฤห์ พระเชตวันมหาวิหารอยู่เมืองสาวัตถี แคว้นโกศล ห่างกันคนละรัฐทีเดียว ระยะทางมิใช่ใกล้
ฝ่ายสามเณรน้อยเรวตะคิดว่า ถ้าอยู่ที่วัดป่านั้น พวกญาติอาจตามมาพบและนำตัวกลับบ้าน จึงเรียนกรรมฐานจากพระเถระทั้งหลายแล้วเข้าไปอยู่ในป่าสะแก ซึ่งอยู่ห่างจากวัดประมาณ ๓๐ โยชน์ (๔๘๐ กิโลเมตร)
ภายในพรรษานั้นเอง สามเณรน้อยบำเพ็ญจิตภาวนาจนได้บรรลุพระอรหัตผล เป็นสามเณรน้อยอรหันต์
เมื่อออกพรรษาปวารณาแล้ว พระสารีบุตรไปทูลลาพระพุทธเจ้า เพื่อไปเยี่ยมสามเณรน้องชายอีก ท่านคงเป็นห่วงว่าอยู่อย่างไรเพราะตัวยังเล็กนัก คราวนี้พระพุทธองค์ตรัสว่า พระองค์ก็จะไปด้วย จึงพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์จำนวนมากเสด็จดำเนินไปยังเมืองราชคฤห์
ว่ากันว่ามีทางไปยังป่าสะแกสองเส้นทาง เส้นทางหนึ่งเป็นทางตรงระยะทางประมาณ ๓๐ โยชน์ แต่เต็มไปด้วยพวก “อมนุษย์”
อีกเส้นทางหนึ่งเป็นทางอ้อมระยะทางประมาณ ๖๐ โยชน์ สะดวกสบายไม่มีอันตราย พระพุทธองค์ทรงเลือกเส้นทางตรง แม้จะไม่ค่อยปลอดภัยนักก็ไม่สู้กระไร เพราะคงไม่เกิดอะไรขึ้นกับขบวนพระสงฆ์ซึ่งมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นประมุข แต่เส้นทางนี้ค่อนข้างกันดาร ไม่ค่อยมีผู้คน อาหารบิณฑบาตย่อมหายาก สงสัยกันว่าทำไมพระพุทธองค์ทรงเลือกเส้นทางนี้ ไม่กลัวพระสงฆ์อดตายหรืออย่างไร
ไม่อดและไม่ตายแน่นอน เพราะทรงทราบว่าในขบวนตามเสด็จมีพระสีวลีเถระอยู่ด้วย พระสีวลีเป็นพระเถระมีบุญ มีลาภมาก ไปไหนๆ ก็จะมีลาภเสมอ คราวนี้ตามเสด็จพระพุทธเจ้าเข้าป่ากันดาร ถึงไม่มีผู้คนจะนำข้าวปลาอาหารมาถวายพระสงฆ์ เหล่าเทพยดาทั้งหลายก็พากันตระเตรียมอาหารมาถวายตลอดทาง
ฝ่ายสามเณรน้อยอรหันต์เรวตะก็นิรมิตพระคันธกุฎีถวายพระพุทธองค์ประทับ สร้างเรือนยอด ลานจงกรม สถานที่พักกลางวันและกลางคืนถวายพระภิกษุสงฆ์ด้วยอิทธิฤทธิ์ ทำให้พระสงฆ์ทั้งปวงคิดว่ากำลังอยู่ในวัดสวยงามท่ามกลางป่า
แท้ที่จริงแล้วก็คือป่าสะแกดีๆ นี้เอง ที่กลายเป็นสถานที่มีสิ่งปลูกสร้างโอ่โถง สวยงามได้เพราะอำนาจอิทธิฤทธิ์บันดาล
พระแก่สองรูป เห็นกุฏิตึก เห็นอาคารต่างๆ สร้างอย่างสวยงาม ก็นึกตำหนิว่าภิกษุนี้ (หมายถึงสามเณรเรวตะ) คงมัวแต่ก่อสร้าง จะเอาเวลาที่ไหนบำเพ็ญเพียรทางจิต พระศาสดาเสด็จมาเยี่ยมผู้สนใจแต่กับการก่อสร้างอย่างเรวตะ คงเห็นว่าเป็นน้องชายพระอัครสาวก พูดง่ายๆ ว่า เห็นแก่หน้าว่าอย่างนั้นเถอะ
พระพุทธองค์ทรงทราบว่าพระขรัวตาสองรูปนี้คิดอกุศลต่อพระอรหันต์ขีณาสพ (ผู้หมดสิ้นกิเลส) จะเป็นบาปเป็นกรรมโดยใช่เหตุ จึงทรงบันดาลด้วยอิทธิฤทธิ์ให้ขรัวตาสองรูปนี้ลืมบริขาร เมื่อทั้งสองกลับมาเอาบริขารที่วัด ไม่เห็นตึกรามสวยงามที่เคยพักเลยแม้หลังเดียว มีแต่ป่าสะแกเต็มไปหมด ต้องบุกป่าฝ่าหนามสะแกค้นหาบริขารของตน พบห่อของๆ ตนห้อยอยู่ที่กิ่งสะแกต้นหนึ่ง แล้วกลับไปด้วยอาการงงๆ
เหตุการณ์ผ่านไปเดือนกว่าๆ เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จจากการเยี่ยมสามเณรน้อยอรหันต์แล้วก็เสด็จกลับไปยังเมืองสาวัตถี ประทับที่วัดบุพพาราม นางวิสาขามหาอุบาสิการู้ว่าพระพุทธองค์พร้อมภิกษุสงฆ์จำนวนมากประทับอยู่ที่วัดบุพพารามของตนจึงตระเตรียมภัตตาหารไว้ถวายในวันรุ่งขึ้น
ขรัวตาสองรูปอยู่ในจำนวนนั้นด้วยรีบไปบ้านนางวิสาขาแต่เช้าตรู่ทีเดียว (แสดงว่าต่างคนต่างไป ไม่พร้อมกัน ฉันเสร็จก็กลับวัด) นางวิสาขานำข้าวยาคูมาถวายขรัวตาทั้งสองรูป จึงเรียนถามว่าที่อยู่ของเรวตะอรหันต์น้อยเป็นอย่างไร น่าอยู่ไหม
ทั้งสองรูปลืมว่าเมื่อเดือนกว่าที่ผ่านมาพวกตนได้อยู่ในตึกสวยงามอย่างไร นึกได้แต่ตอนกลับไปเอาของที่ลืมไว้ ต้องบุกดงสะแกถูกหนามตำเท้าจนเลือดไหล จึงตอบว่า “น่าอยู่อะไรกัน โยม มีแต่ป่าสะแกไม่เหมาะที่คนจะอยู่ น่าจะเป็นที่อยู่ของพวกเปรตมากกว่า”
พระแก่คล้อยหลัง พระหนุ่มอีกสองรูปมาถึง นางถวายข้าวยาคูแล้วถามถึงที่อยู่ของเรวตะอรหันต์น้อย ทั้งสองพูดด้วยความอัศจรรย์ใจว่า “โอ มหาอุบาสิกา ในป่าในดงอย่างนั้นทำไมมีกุฏิสวยงามมากมายหลายหลัง ยังกับวิมาน น่ารื่นรมย์ดุจเทวสภาชื่อสุธรรมาบนดาวดึงส์สวรรค์ก็มิปาน โยมเอ๋ย”
ฟังภิกษุสองกลุ่มพูดไม่เหมือนกันเลย นางวิสาขาคิดว่าน่าจะมีอะไรบางอย่างแน่ หลังจากถวายภัตตาหารแด่พระพุทธเจ้าและภิกษุสงฆ์แล้ว จึงกราบทูลถามว่าที่อยู่ของเรวตะอรหันต์น้อยเป็นอย่างไรกันแน่
พระพุทธองค์ตรัสว่า “อุบาสิกา ไม่ว่าจะเป็นบ้านหรือป่าก็ตาม พระอรหันต์อยู่ ณ สถานที่ใด สถานที่นั้นน่ารื่นรมย์ทั้งนั้น” แล้วตรัสโศลกบทหนึ่งว่า “คาเม วา ยทิ วา รญฺเญ นินฺเน วา ยทิ วา ถเล ยตฺถ อรหนฺโต วิหรนฺติ ตํ ภูมิรามเณยฺยกํ. ไม่ว่าบ้าน ไม่ว่าป่า ไม่ว่าที่ลุ่ม หรือที่ดอน พระอรหันต์ทั้งหลายอยู่ที่ใด ที่นั้นไซร้ น่ารื่นรมย์”
สามเณรเรวตะหลังจากได้อุสมบทเป็นพระภิกษุแล้ว ได้รับยกย่องจากพระพุทธองค์ในเอตทัคคะ (ในความเป็นเลิศกว่าผู้อื่น) ด้านอยู่ป่าเป็นวัตร (คืออยู่ป่าเสมอ) ตลอดชีวิตท่าน ท่านอยู่สงบแต่ในป่า โดยเฉพาะป่าสะแกท่านชอบมาก จนได้นามว่า “ขทิรวนิยเรวตะ” (เรวตะ ผู้ชอบอยู่ป่าสะแก) บางท่านแปลว่า “อยู่ป่าตะเคียน”
เพราะชอบอยู่ป่านี่เองจึงเกิดเรื่องครั้งหนึ่ง เมื่อท่านชราภาพแล้ว ท่านถูกจับพร้อมของกลางที่พวกโจรมาทำหล่นไว้ เขาหาว่าท่านขโมยของเขามา เมื่อเรื่องถึงพระราชา ท่านได้แสดงความบริสุทธิ์ของท่าน ว่าอย่าว่าแต่ขโมยเลย แม้เจตนาสักนิดเดียวที่จะเอาของที่เขาไม่ให้ก็ไม่มีในใจท่าน พระราชารับสั่งให้ปล่อยพระเถระแล้วตรัสถามว่า ท่านขอรับ ท่านกระทำโจรกรรมนี้หรือไม่? พระเถระเพื่อจะประกาศกรรมเช่นนั้น ที่ตนไม่เคยกระทำตั้งแต่เกิดมา เพราะตัดกิเลสได้เด็ดขาด และไม่ควรกระทำในกรรมเช่นนั้น เมื่อจะแสดงธรรมแก่พระราชา จึงได้กล่าวคาถานี้ว่า “นับแต่เราออกบวชเป็นบรรพชิตแล้ว ไม่รู้สึกถึงความดำริอันไม่ประเสริฐประกอบด้วยโทษเลย ในระยะกาลนานที่เราบวชอยู่นี้ เราไม่รู้สึกถึงความดำริว่า ขอให้สัตว์เหล่านั้น จงถูกฆ่า ถูกเขาเบียดเบียน จงได้รับทุกข์ เรารู้สึกแต่การเจริญเมตตาอันหาประมาณมิได้ อบรมสั่งสมดีแล้วโดยลำดับ ตามที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้แล้ว เราได้เป็นมิตรเป็นสหายของสัตว์ทั้งปวง เป็นผู้อนุเคราะห์สัตว์ทั้งปวง ยินดีแล้วในการไม่เบียดเบียน เจริญเมตตาจิตอยู่ทุกเมื่อ เรายังจิตอันไม่ง่อนแง่นไม่กำเริบให้บันเทิงอยู่ เจริญพรหมวิหารอันบุรุษผู้เลวทรามไม่ซ่องเสพ สาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นผู้เข้าทุติยฌานอันไม่มีวิตกวิจารประกอบด้วยความเป็นผู้นิ่งเป็นอริยะ โดยแท้จริง ภูเขาศิลาล้วนไม่หวั่นไหว ตั้งอยู่คงที่ แม้ฉันใด ภิกษุก็ฉันนั้น ย่อมไม่หวั่นไหวดุจบรรพตเพราะสิ้นโมหะ
ความชั่วแม้มีประมาณเท่าปลายขนทราย ย่อมปรากฏเหมือนประมาณเท่าหมอกเมฆ แก่ท่านผู้ไม่มีกิเลสเครื่องยั่วยวน ผู้แสวงหาความสะอาดเป็นนิตย์
เมืองหน้าด่านเป็นเมืองอันเขาคุ้มครองแล้วทั้งภายในและภายนอก ฉันใด ท่านทั้งหลายจงคุ้มครองตนฉันนั้นเถิด ขณะอย่าได้ล่วงเลยท่านทั้งหลายไปเสีย เราไม่ยินดีต่อความตาย ไม่เพลิดเพลินต่อความเป็นอยู่ แต่เรารอเวลาตาย เหมือนลูกจ้างคอยให้หมดเวลาทำงานฉะนั้น เราไม่ยินดีความตาย ไม่เพลิดเพลินความเป็นอยู่ แต่เรามีสติสัมปชัญญะ รอท่าเวลาตาย พระศาสดา เราคุ้นเคยแล้ว เราทำคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าเสร็จแล้ว ปลงภาระอันหนักลงแล้วถอนตัณหาเครื่องนำไปสู่ภพแล้ว ได้บรรลุถึงประโยชน์ที่กุลบุตรออกบวชเป็นบรรพชิตต้องการแล้ว บรรลุถึงความสิ้นสังโยชน์ทั้งปวง”
ครั้นท่านพระเถระได้กล่าวอย่างนี้แล้ว ท่านก็เห็นกาลปรินิพพานแห่งตนปรากฏขึ้นในจิต จึงให้โอวาทแก่พวกเหล่านั้นโดยสังเขปนั่นแล เมื่อจะประกาศพระนิพพานจึงกล่าวคาถาสุดท้าย
“เธอทั้งหลายจงยังสิกขา ๓ มีทานและศีลเป็นต้น ที่ควรให้ถึงพร้อม ให้ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาทเถิด จงเป็นผู้ไม่ประมาทในการตามรักษาศีลอันเป็นไปแก่คฤหัสถ์ อันต่างด้วยประโยชน์ในปัจจุบัน และประโยชน์ในเบื้องหน้า ในการตามประกอบสมณะ และวิปัสสนาภาวนา ท่านทั้งหลายจงไม่ประมาทในทานและศีลเป็นต้น นี้เป็นคำพร่ำสอน คือเป็นโอวาทของเรา”
ครั้นแสดงข้อปฏิบัติอันเป็นประโยชน์แก่ผู้อื่นอย่างนี้แล้ว เมื่อจะถือเอาที่สุดแห่งข้อปฏิบัติอันเป็นประโยชน์ตน จึงกล่าวว่า “เอาเถอะ เราจักปรินิพพาน เราเป็นผู้หลุดพ้นแล้วในที่ทุกสถาน เราเป็นผู้หลุดพ้นแล้วจากกิเลสและภพทั้งหลาย โดยประการทั้งปวง เพราะเหตุนั้น เราจักปรินิพพานโดยส่วนเดียวฉะนี้แล”
แล้วท่านก็เข้าเตโชธาตุสมาบัติเหาะขึ้นในอากาศ บัดดลนั้นก็เกิดเปลวเพลิงลุกไหม้เผาร่างท่านเป็นเถ้าธุลี ดับขันธปรินิพพาน ในห้วงนภากาศนั้นแล
พวกเด็กๆ น่ะมันอยู่ที่พ่อที่แม่ ถ้าพ่อแม่มีศีลมีธรรมมีอะไร ให้ลูกมันเคารพนับถือไม่ใช่ให้ลูกมันสงสาร มันถึงจะบอกลูกได้ ลูกมันถึงจะไม่ติดยาม้า ยาอี กินเหล้า เมาเบียร์เมาสาวอะไร คนเราน่ะถ้าไม่ได้ตั้งมั่นในความดี มันก็หนักกว่าสัตว์เดรัจฉาน สัตว์เดรัจฉานมันไม่สร้างระเบิด ไม่สร้างปืน ไม่สร้างบ่อนคาสิโน ไม่กินเหบ้า กินเบียร์ ไม่เล่นการพนัน ไม่คอร์รัปชั่น แสดงว่าชีวิตในยุคนี้มันตกต่ำ เพราะว่าโควิดในการเวียนว่ายตายเกิดมันหนักขึ้น คนเรามันไปใกล้ใครหรือว่าเกี่ยวข้องกับใครมันก็ติดโควิด เช่นว่า ครอบครัวๆ หนึ่งเป็นหวัด ก็เป็นทั้งครอบครัวเลยอย่างนี้ มันใกล้กัน ยิ่งเราเป็นพ่อเป็นแม่ยิ่งถ่ายทอดทาง ดีเอ็นเอ
มันไม่สายนะถ้าเรามีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง การเรียนการศึกษามันเป็นการรู้จักยา รู้จักแผนที่ ต้องให้มันเข้าใจ เวลาอันนี้จะได้ใช้ยาถูก ปวดหัวใช้ยาอะไร ปวดท้องใช้ยาอะไร ขาดวิตามินตัวไหนใช้วิตามินอะไร
คนเรานี้มันมีสิ่งเที่ยงแท้แน่นอนคือ ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ความพลัดพราก ชีวิตนี้เราจะมีความสุขในการปฏิบัติธรรมในการทำงานในปัจจุบันไปเรื่อยๆ เราจะมีความสุขในการรักษาศีล มีความสุขในการทำงานไปเรื่อยๆ ในชีวิตประจำวัน ไม่มีอะไรที่จะดีกว่านี้ยิ่งไปกว่าอีกแล้ว เมื่อเรามีลมหายใจนี่คือชีวิต เรามีธรรมะคือการเสียสละ มีความสุขในการทำงาน มีความสุขในอิริยาบถทั้ง ๔ มีสติอยู่ในกายภายนอก มีสติอยู่ในกายภายใน มีความสุขในเวทนาภายนอกเวทนาภายใน มีความสุขในธรรมภายนอกในธรรมภายใน มีสติสัมปชัญะอย่างนี้นะ เราไม่เอาอะไรอีกแล้ว ต้องพากันพัฒนาอย่างนี้นะ เราจะไปลังเลสงสัยอะไร เพราะชีวิตของเราไม่มีอะไรนอกจากแต่ความเกิดความแก่ความตายความพลัดพราก เราต้องเอาพระนิพพานเป็นที่ตั้งเราต้องเสียสละ ถ้าเราเสียสละอย่างนี้ ฮืม… ชีวิตเราจะมีความสุข มีสัมปชัญญะอยู่ในปัจจุบัน เราถึงจะมีสมาธิ เมื่อก่อนเรามีความลังเลสงสัยมีความลูบคลำในข้อวัตรข้อปฏิบัติ เรายังลูบคลำในศีล เรายังลังเล จิตใจของเราต้องให้เป็นหนึ่งอย่างนี้นะ เราต้องพัฒนาไปเรื่อยๆ เราอย่าไปว่าจะเอาประพฤติธรรมขั้นนู้นขั้นนี้ เราไม่ต้องไปเอาขั้นไหนหรอก เสียสละไป เพราะคนส่วนใหญ่เขาไม่รู้จักสมถะ ไม่รู้จักวิปัสสนา
ทุกท่านทุกคนพากันภาวนาพากันปฏิบัติ ความเหน็ดเหนื่อยความยากความลำบาก ความเจ็บความเเก่ ความตาย มันทำให้เราได้พัฒนาใจ ใจของเราที่มันมีความหลง มันมีเหตุผลเยอะ เราต้องเหนือเหตุเหนือผล คือทิ้งสู่พระไตรลักษณ์ว่ามันไม่เเน่ ไม่เที่ยง ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน เราถึงจะเผาภพ เผาชาติ เผาการเวียนว่ายตายเกิดได้ พระพุทธเจ้าให้พากันทำอย่างนี้นะ
แจกปัญญา แจกศาสนา แจกธรรมวินัย แจกสิ่งที่ถูกต้อง
เพื่อเดินตามรอยพระพุทธเจ้าร้อยเปอร์เซ็นต์
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
โดยทุกท่านสามารถติดตามเพิ่มเติมได้ที่
https://linktr.ee/watsubthawee
Share wisdom, spread Buddhism and its discipline.
Advocate righteousness to follow Lord of Buddha's footsteps 100%
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
You can receive new Dharma updates.
https://linktr.ee/watsubthawee