แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ในวันศุกร์ที่ ๑๗ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง ชีวิตใหม่ที่เลือกได้ ตอนที่ ๖๙ ไม่มีอะไรที่จะเปลี่ยนแปลงฐานะเราได้ นอกจากเราเป็นคนดี เป็นคนเสียสละ
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
มนุษย์เราจะประเสริฐได้ก็ด้วยการฝึกตน มีความสุขในการประพฤติปฏิบัติธรรม ปฏิบัติธรรมก็คือ มีความสุขในการทำงาน การทำงานกับการปฏิบัติธรรมก็คืออันหนึ่งอันเดียวกัน
พระพุทธเจ้าทรงสงสารหมู่สัตว์ มีพระมหากรุณาธิคุณต่อพุทธบริษัท ต่อพระภิกษุสามเณร เพราะไม่เข้าใจในการประพฤติปฏิบัติ เกิดมาก็มาสร้างปัญหาให้ตนเองให้ผู้อื่น โดยไม่รู้ตัว เพราะว่าสาเหตุมาจากไม่มีตัวอย่าง แบบอย่าง แม่พิมพ์ที่ดี ที่ไม่มีก็คือไม่มีพระอริยเจ้าเป็นตัวอย่าง ตั้งแต่พระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี พระอรหันต์ ตัวอย่างที่ประเสริฐอย่างนั้นไม่มี ที่มีอยู่เดี๋ยวนี้ก็มีแต่ในหนังสือในตำรับตำราส่วนใหญ่ แต่ว่าแทบไม่มีพระอรหันต์ พระอริยเจ้า เป็นตัวอย่างแบบอย่างเลย เมื่อไม่มีตัวอย่างแบบนี้เราจะทำอย่างไร?
พระพุทธเจ้าตรัสว่า ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตนคน อื่นใครเล่าจะเป็นที่พึ่งได้ เมื่อมีตนที่ฝึกฝนดีแล้ว ย่อมได้ที่พึ่งที่ได้โดยยากคือพระนิพพาน พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้ามีชัดเจนอยู่แล้ว เราเอาพระธรรมคำสอนนั่นแหละมาประพฤติปฏิบัติ เน้นลงที่ปัจจุบัน สิ่งภายนอกให้ทุกคนตัดออกให้หมด ทิ้งอดีตอนาคต สิ่งแวดล้อมต่างๆ เราก็ตัดออกไปให้เป็นศูนย์ มาโฟกัสที่ปัจจุบันขณะ เพื่อให้เป็นธรรมะล้วนๆ ปราศจากตัวตน จึงต้องทำอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้ กายจึงจะวิเวกได้ จิตจึงจะวิเวกได้ สงบระงับสังขารการปรุงแต่งทั้งหลายจึงจะเป็นอุปธิวิเวกได้ เราจับหลักจับประเด็นสิ! พระอรหันต์ ท่านเป็นผู้ไม่มีนิมิต คือไม่มีตัวตน สิ่งที่มีอยู่เป็นอยู่ เป็นแต่สภาวะธรรมปัจจุบัน จึงไม่มีนิมิตอะไรเลย เพราะท่านมองดูโลกนี้โดยความเป็นของว่างเปล่า มีสติอยู่ทุกเมื่อ ทั้งโลกนี้และตัวของท่านเองเป็นของว่างเปล่า ดังที่พระพุทธองค์ตรัสกับพระโมฆราชว่า
สุญฺญโต โลกํ อเวกฺขสฺสุ โมฆราช สทา สโต อตฺตานุทิฏฺฐึ อูหจฺจ เอวํ มจฺจุตโร สิยา
เอวํ โลกํ อเวกฺขนฺตํ มจฺจุราชา น ปสฺสตีติ
ดูกรโมฆราช เธอจงพิจารณาเห็นโลกโดยความว่างเปล่า มีสติทุกเมื่อ พึงถอนอัตตานุทิฏฐิ คือความยึดมั่นถือมั่นเรื่องตัวตนเสีย ด้วยอาการอย่างนี้ เธอจะเป็นผู้ข้ามมัจจุราชเสียได้ บุคคลพิจารณาเห็นโลกอย่างนี้ มัจจุราชจึงไม่เห็น
เรามาประพฤติปฏิบัติตามอริยมรรคมีองค์ 8 มีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้องอย่างนี้เรียกว่าประพฤติพรหมจรรย์ เราต้องจับประเด็นที่ใจของพระอรหันต์ ที่ไม่มีนิมิต ความเป็นจริงก็เป็นอย่างนั้น ทุกสิ่งผ่านเข้ามา ตั้งอยู่ชั่วคราว และเปลี่ยนแปลงไปดับสลายไปในที่สุด เหมือนลมหายใจ ที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป เหมือนอิริยาบถต่างๆ มันตั้งอยู่ได้ไม่นานก็ต้องผ่านไป เหมือนกระแสไฟฟ้าที่ส่งมาติดต่อกัน เป็นกระบวนการปรากฏการณ์ที่เป็นพลังงานของความเกิดดับของรูปธรรมนามธรรม ให้มองเป็นเช่นนี้
สิ่งเหล่านี้หาใช่ตัวใช่ตนไม่ มันเป็นธรรมชาติที่เกิดขึ้นมาตั้งอยู่เพียงชั่วคราวและดับไปในที่สุด ถ้าเราไม่ยึดมั่นถือมั่น ก็จะเห็นแต่ทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้น ทุกข์เท่านั้นที่ตั้งอยู่ ทุกข์เท่านั้นที่ดับไปนอกจากทุกข์ไม่มีอะไรเกิด นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรดับ
ที่เราทานอาหารพักผ่อน ผลัดเปลี่ยนอิริยาบถ ก็เพียงเพื่อบำบัดทุกข์เฉยๆ ไม่ได้เป็นความสุขอย่างไร เราจะมีความสุขได้ ต้องมีปัญญาเห็นแจ้งว่าเราทุกคนเกิดมา เพื่อมีพระพุทธเจ้า มีพระธรรม มีพระอริยสงฆ์ อยู่ในใจ เป็นผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติตรง ปฏิบัติเพื่อรู้ธรรมเป็นเครื่องออกจากทุกข์ ปฏิบัติสมควร ผู้ปฏิบัติอย่างนี้จึงเป็น สงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้า ที่เป็นพระอริยบุคคล 8 จำพวก เป็นผู้ควรแก่การบูชา เป็นผู้ควรแก่การต้อนรับ เป็นผู้ควรแก่การกราบไหว้ เป็นเนื้อนาบุญของโลกไม่มีนาบุญอื่นยิ่งกว่า ใครได้เห็น ได้ฟัง ได้สัมผัส ก็เป็นบุญอย่างหาที่สุดไม่ได้
เราเกิดมาเพื่อมาเสียสละ เบื้องต้นต้องมาเสียสละความไม่ดี เสียสละอารมณ์ความรู้สึกไม่ดีออกไป เสียสละวัตถุสิ่งของเพื่อกำจัดความตระหนี่ เสียสละกำลังกาย เพื่อให้เกิดกำลังทางจิตใจความสุขของมนุษย์จะมีได้เพราะมีความสุขในการเสียสละ จับประเด็นให้ดีๆ
พระพุทธเจ้าคือใคร? พระพุทธเจ้าคือ ผู้ที่เสียสละมากที่สุด ทรงบรรทมวันหนึ่งเพียง 4 ชั่วโมงอีก 20 ชั่วโมง ทรงบำเพ็ญประโยชน์เพื่อเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เราจะเป็นพระอริยเจ้าได้ก็ต้องเสียสละ ที่เรามีความยากจน มีปัญหาในตนเอง ในสังคมนั้น ก็มาจากสิ่งเดียวคือ ความเห็นแก่ตัว ทำอะไรก็จะเอาจะเอาอย่างเดียว เอาแต่ประโยชน์ส่วนตนและพวกพ้องเป็นหลัก ไม่รู้จักเสียสละ ขนาดมาปฏิบัติธรรมก็ปฏิบัติเพื่อจะเอา อยากจะได้ อยากจะดี อยากจะมี อยากจะเป็น จะเอาๆ อย่างเดียว แบบนี้มันก็ไม่ได้อะไร ทุกคนจะมาเอาอะไร ผ่านมาก็ผ่านไป นี่เป็นสิ่งที่ผ่านมาให้สร้างความดีสร้างบารมี เราจะไปเอาอะไรกันนักหนา ปฏิบัติเพื่อมาละ ไม่ใช่ปฏิบัติเพื่อมาเอา
คนเราเรียนหนังสือทำงานก็เพื่อจะเอาจะเอา ไม่เสียสละ ขยันก็ขยันเพื่อจะเอา อดทนก็อดทนเพื่อจะเอา รับผิดชอบก็ทำเพื่อจะเอา เราต้องมาเพิ่มปัญญาให้ตนเองนะ เราทำทุกอย่าง ก็เพื่อความเสียสละ เพื่อพัฒนาทางใจ แต่นี่ไม่เสียสละ โลกเราส่วนใหญ่ก็เลยมีแต่ปัญหาฉ้อโกงคอรัปชั่นมากมาย เพราะจะมาเอาอย่างเดียว คนเราต้องเอาธรรมะเป็นหลัก เอาธรรมะเป็นใหญ่ เอาธรรมะเป็นที่ตั้ง มีความสุขในการประพฤติปฏิบัติ กลับมาหาอานาปานสติ อย่าไปตามใจ ตามอารมณ์ ตามความรู้สึก กลับมาหาการปฏิบัติ กลับมาหาข้อวัตรกิจวัตร ทำสมาธิเดินจงกรม การเสียสละคืองานของผู้ปฏิบัติธรรม
ขยันการทำบุญให้ทานแล้ว ถือว่าเป็นการสนใจธรรมเพียงพอ; นี้เข้าใจผิด.
สนใจธรรมะนั้นต้องรู้ธรรมะ หรือว่ากระทำอยู่อย่างถูกต้อง ชนิดที่กิเลสนั้นถูกทำลายอยู่เสมอ.
ทีนี้ มาดูถึงการทำบุญให้ทาน : คนส่วนมากเหล่านั้น ไม่ได้ทำบุญเพื่อทำลายกิเลส; แต่ทำบุญเพื่อพอกกิเลส, และก็โดยไม่รู้สึกตัว; เช่นว่า ให้ทานไปบาทหนึ่งสองบาท ก็จะให้ได้บุญได้กุศลชนิด ที่ทำให้เกิดรวย เกิดสวย มีโชคดี. มีบางคนคิดจะตักบาตรช้อนหนึ่ง ก็จะให้ได้วิมานหลังหนึ่ง, ได้สวรรค์วิมานจากการ ตักบาตรช้อนหนึ่งก็มี. อย่างนี้ทำบุญเพิ่มกิเลส โดยความหวังที่จะเอา กำไรมากเกินกว่า การค้ากำไรชนิดไหนหมด.
มีที่ไหนบ้าง ที่ทำบุญ ตักบาตรช้อนหนึ่ง เป็นราคาไม่กี่สตางค์ แล้วจะได้วิมานหลังหนึ่ง? ไม่มีการค้าขายที่ไหน ที่ได้กำไรมากขนาดนี้.
เมื่อไปหวังอย่างนี้ ก็เรียกว่าละโมบอย่างยิ่ง; การทำบุญนั้นมัน จึงเป็นการเพิ่มกิเลส เขาไม่เคยเลื่อนขึ้นมา, เลื่อนขึ้นมา จนได้ทำบุญ เพื่อให้ตัวหมดกิเลส, ทำบุญเพื่อให้เรา หมดความเห็นแก่ตัว, ทำทานเพื่อเราหมดความตระหนี่, ให้มีจิตใจที่มีกิเลสน้อยลง; ไม่เคยคิดอย่างนี้.
การที่ทำบุญทำทานในรูปนั้น ยังไม่ใช่เป็นเรื่องสนใจธรรมะอย่างถูกต้อง; ฉะนั้น คนที่ทำบุญชนิดนั้นมากๆ กลับร้องไห้มากกว่าคนอื่น, เป็นทุกข์มากกว่าคนอื่น, และเมื่อปัญหาอะไรเกิดขึ้น ก็แก้ไขไม่ได้ แก้ไขไม่ถูก แล้วก็เป็นโรคเส้นประสาทก็มี เป็นบ้าก็มี.
นี่แล้วจะไปโทษว่าธรรมะไม่ช่วย, ไปโทษธรรมะว่าไม่มีประโยชน์, ทำบุญจนจะตายอยู่แล้ว บุญยังไม่เห็นช่วย; ธรรมะแท้ๆ นั้นคนละเรื่องกัน กับการทำอย่างที่ เขาคิดว่าเป็นธรรมะแล้ว.
เราทุกคนต้องพากันเข้าใจ เมื่อเข้าใจ เราก็ต้องพากันหยุด อริยมรรคมีองค์ 8 เบื้องต้นคือ สัมมาทิฏฐิ มีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง จะไปจบลงที่องค์สุดท้ายคือ สัมมาสมาธิ เราจึงต้องมาหยุดตนเอง มารู้จักตนเองว่าความคิดความรู้ต่างๆ ทั้งหลายทั้งปวงมันเป็นทุกข์อย่างยิ่ง ถ้าเราไม่หยุด ใครจะมาหยุดให้เรา เราทุกคนจะไปวุ่นวายกันไปทำไม? เราต้องรู้จักใช้ทรัพยากรให้เป็น อย่างร่างกายของเรา ประกอบมาจากธาตุทั้ง 4 คือ ดิน น้ำ ไฟ ลม เป็นอากาศ เราไปคิดไปปรุงแต่งมันย่อมปวดหัว ใจของเรามันก็ไม่สงบ ถ้าเราไม่มีเครื่องอยู่ พระพุทธเจ้าให้เราอยู่กับอานาปานสติหายใจเข้าให้สบาย หายใจออกให้สบาย หายใจเข้ามีความสุข หายใจออกมีความสุข หรือไม่ก็ไปอยู่กับอริยมรรคมีองค์ 8 อันอื่น เช่น เวลาทำงานที่เป็นสัมมาอาชีวะ ก็มีความสุขกับการทำงานในปัจจุบัน การเมาเหล้าเมาเบียร์มันมีเวลาหยุด มีเวลาสร่างนะ แต่เมาความคิดเมาความปรุงแต่ง มันเมาค้างมันแฮงค์ มันไม่จบไม่สิ้นนะ เราก็ต้องสงสารตนเองบ้าง เราจะไปคิด เราจะไปปรุงแต่งมันทำไม เราต้องหยุดตนเองเพื่ออบรมบ่มอินทรีย์ให้ใจเราสงบให้ใจเราเย็น
เราทุกคนกำลังเป็นโรคไม่รู้จักอารมณ์ ไม่รู้จักความคิด ไม่รู้จักความปรุงแต่ง ไม่รู้ว่าอันนี้เป็นธรรมชาติที่เราเกิดมาก็ต้องมีความคิดมีอารมณ์ เราพากันหลงในความปรุงแต่งหลงในสังขาร ก็เลยเป็นโรคหวั่นไหวไหวหวั่นต่อโลกธรรมทั้ง 8 คือ มีลาภ เสื่อมลาภ มียศ เสื่อมยศ นินทา สรรเสริญ สุข ทุกข์
ทุกท่านทุกคนต้องมารักษาโรคด้วยยาของพระพุทธเจ้า คือ ธรรมะโอสถ ใจเราจะได้เอาร่างกายนี้ทำประโยชน์เท่าที่จำเป็น ไม่มีความจำเป็นเลยที่จะทำลายระบบสมอง ทำร้ายร่างกายของตนเอง ร่างกายมันไม่รู้เรื่องอะไร หาของไม่ดีใส่เข้าไปร่างกาย ก็เหมือนแพะรับบาป ถ้าใจของใครไวต่อสีแสง รูป เสียง กลิ่น รส ลาภ ยศ สรรเสริญ นินทา เราต้องมาหยุดตนเองด้วยธรรมะโอสถ ด้วยการรู้จักความปรุงแต่งของเราทุกคน เราทำให้ง่ายอย่างนี้แหละ มันก็จะดีขึ้น ไม่มีอะไรจะมีความสุขเท่ากับรู้จักและมาหยุดตนเอง จะได้หยุดเป็นทาสของความคิด ทาสของอารมณ์ ทาสของความปรุงแต่ง ถ้าเรามีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง หยุดปรุงแต่ง เรื่องมันก็จบกัน ไม่ได้มีอะไร มันหาเรื่องให้ตนเองเฉยๆ สรุปแล้วปัญหาภายนอกไม่มีหรอก ปัญหามาจากที่มีความเห็นไม่ถูกต้อง เข้าใจไม่ถูกต้อง ปฏิบัติไม่ถูกต้อง ต้องมารู้จักปัญหาที่เป็นเรื่องใหญ่สำหรับเราทุกคน มันเป็นชะนวนเหมือน กับคนโบราณบอกว่า ไม้ขีดก้านเดียวที่จุดขึ้นมามันเผาบ้านทั้งหลังได้ ความคิดความรุนแรงอย่าไปให้ความสำคัญมั่นหมายกับมัน ไม่ให้มันมามีอำนาจมีอิทธิพลครอบงำจิตใจ ให้ทุกท่านทุกคนพากันถอนรากถอนโคนของอวิชชาคือความหลงออกไปให้ได้
อย่างพระอรหันต์ พระอริยเจ้าท่านมีความสุขจากการเสียสละ เพราะว่าจิตใจของท่านไม่มีปัญหา หมดปัญหา ท่านก็เสียสละ ท่านจึงมีอายุยืน ถ้าท่านไม่เสียสละเพื่อประโยชน์ เพื่อผู้อื่น เพื่อมหาชนส่วนรวม ท่านก็อายุไม่ยืน
ทุกท่านทุกคนอย่าพากันเผาตนเอง ต้องรู้จักอารมณ์ รู้จักความคิด เราอย่าไปวิ่งตามรูปเสียงกลิ่น รส ลาภยศสรรเสริญ เราทุกคนพากันคิดดูดีๆนะ อวิชชาความหลง ความคิดความปรุงแต่งมันเผาเรา ความอยากความต้องการต่างๆมันมาเผาเรา ดังที่พระพุทธองค์ตรัสว่า ทะเลไม่อิ่มด้วยน้ำ ไฟไม่อิ่มด้วยเชื้อ คนหลงก็ไม่อิ่มเต็มด้วยตัณหาความทะยานอยากต่างๆ
การประพฤติปฏิบัติ เราอย่าพากันทำให้มันวุ่นวาย ครั้งหนึ่ง มีพระไปกราบ หลวงพ่อพุทธทาสที่สวนโมกขพลาราม แล้วกราบเรียนท่านว่า ผมอยากจะมาอยู่กับท่านอาจารย์ มาปฏิบัติกับท่านอาจารย์ หลวงพ่อก็เลยถามว่า ท่านไม่มีวัดไม่มีที่อยู่หรือ? พระรูปนั้นก็ตอบไปว่ามีที่อยู่ครับ แต่อยากมาประพฤติปฏิบัติกับท่านอาจารย์ หลวงพ่อพุทธทาสก็เลยบอกไปว่า ท่านไม่รู้การปฏิบัติหรอก การปฏิบัติไม่ต้องไปทำอะไรมาก ไม่ต้องไปคิดอะไร เราต้องรู้จักความคิด รู้จักอารมณ์ อย่าไปวุ่นวายตามอารมณ์ เพราะความคิดความปรุงแต่งมันเป็นทุกข์อย่างยิ่ง การปล่อยวางได้จึงเป็นสุขอย่างยิ่ง ยิ่งปล่อยวางยิ่งบางเบา ยิ่งรับเอายิ่งเป็นทุกข์
ถ้าเราไม่รู้จักความคิดความปรุงแต่ง ไม่อย่างนั้นก็คือ เผาตนเอง เรากำลังสร้างบาป สร้างกรรม สร้างเวร สร้างภัยให้กับตนเอง เราทุกคนต้องมารู้อารมณ์อย่างนี้ ต้องมารู้ความคิดอย่างนี้ รู้จิตรู้ใจอย่างนี้ พากันมาหยุดความวุ่นวาย คนเราทำได้อย่างนี้มันดีนะ เข้าถึงความพอดีพอเพียง มักน้อยสันโดษ เราทุกคนต้องมาเสียสละความวุ่นวาย ความปรุงแต่งออกจากจิตใจของเรา เราทำอย่างนี้จึงจะเป็นคนเก่งเป็นคนฉลาด ไม่เป็นทาสของความคิด ไม่เป็นทาสของอารมณ์ ไม่เป็นทาสของสิ่งแวดล้อม ใจจะได้เป็นธรรม เป็นธรรมชาติ สงบเย็น ใจจะได้มีพระนิพพาน ในจิตใจ ในปัจจุบัน เราทุกคนพากันคิดให้ดีๆนะ เราจะเผาตัวเองไปถึงไหน
ทางสายกลางของพระพุทธเจ้า เริ่มต้นด้วยสัมมาทิฏฐิ มีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง มาสรุปสุดท้ายด้วย สัมมาสติ สัมมาสมาธิ คือ เป็นศีลสมาธิ ปัญญา เป็นการหยุดความวุ่นวาย หยุดความปรุงแต่ง เราทุกคนจะพากันมาเอาอะไร? เพราะทุกอย่างไม่ใช่ของจะมาเอา เราต้องมาเสียสละ มีความสุขในการเสียสละ ความจริงแล้ว มันคิดไปเรื่อยแหละ บวชเป็นพระก็คิดไปเรื่อย คิดไปเรื่อย ก็คือคิดไปเรื่อย มันไม่หยุด บางคนถึงกับร้องไห้ มันไม่หยุด ก็เพราะเราคิดไม่หยุด
อย่าง มีคนเขาไปถามพระอรหันต์ว่า เป็นอย่างไรบ้างท่าน จิตใจของท่านเป็นอย่างไรบ้าง ท่านก็ตอบว่า ใจของผมก็ไม่มีอะไร ทุกอย่างเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป ไม่มีอะไรเลย อย่างนี้ถึงจะมีความสุขอย่างยิ่ง ถึงจะมีความสุขจริงๆ
ผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ได้บรรลุถึงพระนิพพาน บุคคลนั้น ถึงจะรู้ด้วยใจของตนเอง ประจักษ์แจ้งด้วยใจของตนเอง แจ่มแจ้งด้วยใจของตัวเอง ดังที่พระพุทธองค์ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว เห็นอยู่อย่างนี้ ย่อมเบื่อหน่ายทั้งในรูป ทั้งในเวทนา ทั้งในสัญญา ทั้งในสังขาร ทั้งในวิญญาณ เมื่อเบื่อหน่าย ย่อมคลายกำหนัด เพราะคลายกำหนัด จิตย่อมหลุดพ้น. เมื่อหลุดพ้นแล้ว ย่อมมีญาณหยั่งรู้ว่า หลุดพ้นแล้ว ย่อมรู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี.
ถ้าคิดแล้วบรรลุได้ ต่อให้คิดจนตาย หลายชาติก็คิดไม่จบหรอก เพราะนี่มันเป็นเรื่องที่วิ่งไปตามความคิด ตามอารมณ์ ตามสังขาร การปรุงแต่ง มันเป็นมิจฉาทิฏฐิ เป็นความเห็นผิด
การรักษาศีลก็คือ การไม่ปรุงแต่ง คือการเสียสละ
การทำสมาธิก็คือ การไม่ปรุงแต่งคือการเสียสละ
การเจริญปัญญาก็คือ การไม่ปรุงแต่งคือ การเสียสละ
คนเราน่ะเมื่อหยุดความคิด หยุดความปรุงแต่งได้ ใจจะสงบลง เย็นลง
การทำงานคือการปฏิบัติธรรม พระพุทธเจ้าท่านสอนพวกเราไม่ให้เป็นคนขี้เกียจขี้คร้าน ต้องทำงานต้องเสียสละ มีความขยันมากๆ งานของพระก็คือการรักษาศีลให้ดีๆ ทำจิตใจให้ตั้งมั่นในความดี ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ให้ตั้งมั่นไม่หวั่นไหว ไม่ง่อนแง่น คลอนแคลน เราจะตั้งมั่นแต่ความดี ความดีคืออะไรก็คือมีศีล ๕ ศีล ๘ ศีล ๒๒๗ เดินจงกรมก็ให้มาก นั่งสมาธิก็ให้มาก ทำกิจวัตร ทำวัตรสวดมนต์ ทำความสะอาดห้องน้ำห้องสุขา รักษาเสนาสนะ ดูแลต้นไม้ กวาดถนนหนทาง ที่อยู่อาศัยให้สะอาด พิจารณาร่างกายแยกออกเป็นชิ้นๆ สู่ไตรลักษณ์ พิจารณาเวทนาที่มันสุขมันทุกข์ พิจารณาเวทนาทางจิตใจคือมันชอบไม่ชอบ พยายามทำให้มากๆ เจริญให้มากๆ
คนอื่นเขาไม่ทำหรือเขาจะทำก็ช่างหัวเขา ให้เราตั้งใจประพฤติปฏิบัติ ฝึกให้ใจเราอยู่กับกาย กายมันเดินมันนั่งมันนอน ทำอะไรอยู่ก็ให้ใจมันอยู่กับสิ่งเหล่านั้น พยายามอย่าให้ใจมันเที่ยวข้างนอก ฝึกอานาปานสติไว้ ฝึกหายใจเข้าหายใจออกทุกอิริยาบถ เพื่อให้ใจมันมีเครื่องอยู่ อย่าให้ใจมันว่างจากการจากงาน เพราะว่าใจเราต้องมีเครื่องอยู่ คนเราถ้ามันว่างงานเกิน มันจะฟุ้งซ่าน ต้องหางานให้จิตตัวเองทำ แต่งานนั้นให้เกิดประโยชน์ต่อคุณธรรม
อย่าได้ไปเชื่อกิเลสนะ เพราะกิเลสมันติดสุขติดสบาย ติดขี้เกียจติดขี้คร้าน กิเลสมันชอบไปเอาความสุขทางเนื้อทางหนัง ไปสรวลเสเฮฮาสนุกไปวันๆ วันโน้นทีวันนี้ที กิเลสของคนเรามันไม่ธรรมดา มันเป็นแม่ทัพ มันเป็นบ้าน เป็นเมือง เป็นราชธานี เป็นเมืองหลวง เราพยายามไม่ให้มันมาตั้งในหัวจิตหัวใจเรา นี่เป็นงานของพระของผู้ปฏิบัติ
ส่วนสำหรับงานของญาติของโยม งานทำมาหากิน การค้าการขายเกษตรกร ข้าราชการ รัฐวิสาหกิจต่างๆ เราก็ต้องตั้งอกตั้งใจทำ ทำงานให้สบายให้มีความสุข ให้ใจมันอยู่กับตัว
เราถือว่าเราทำงานเพื่อเสียสละ เราอย่าไปว่างานหนักงานยุ่ง มันเหน็ดมันเหนื่อยไม่ได้พัก เราอย่าไปคิดอย่างนั้น คนเราต้องมีความสุขในการทำงาน มันจะเบื่อหรือไม่เบื่อเราอย่าไปสนใจมัน
เราทำงานทำความดีตั้งแต่เช้าจนถึงนอนหลับ ตื่นขึ้นก็ทำใจดีใจสบายอย่างนั้นทุกๆ วันนั่นแหละ ถ้าใจเรามีความสุขในการทำงานนั่นแหละคือการปฏิบัติธรรม เราอาจจะไม่เห็นคุณค่าในการทำงาน ควรมีความสุขในการปฏิบัติงาน เราคิดว่าการทำงานก็คือเอาแรงกายแรงวาจาได้มาซึ่งวัตถุ ที่แท้จริงนั้นนะคือการทำความดี ความเสียสละของเรา
ตั้งใจทำดีๆ ต้องให้ใจมีความสุข เราต้องการให้มันเสร็จเร็วก็ให้รีบทำแบบมีความสุข ถ้าเราเป็นคนขยัน เป็นคนเสียสละ เป็นคนที่มีศีลมีธรรม ทุกคนจะรักเคารพนับถือเราเพราะเรามีคุณค่า เป็นคนที่มีผลประโยชน์ต่อคนอื่น
คนเราต้องเป็นคนที่มีคุณค่า มีประโยชน์ต่อผู้อื่นไม่ว่าทางกาย ทางวาจา ทางจิตใจ ต้องให้คนอื่นมีผลประโยชน์ในตัวเรา เราอย่าไปเอาผลประโยชน์จากคนอื่น อย่างน้อยต้องมีผลประโยชน์ร่วมกัน ทุกๆ คนต้องเป็นมือเป็นเท้าเป็นใจให้ซึ่งกันและกัน
พระพุทธเจ้าท่านเกิดท่านเป็นผู้ให้ เกิดมาเพื่อเป็นคนเสียสละ ไม่ทำตามใจตัวเอง ท่านจึงได้เป็นพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าท่านมีความสุขมากที่สุดในโลก เพราะท่านเป็นคนเสียสละ ท่านทำการงานให้กับบุคคลอื่นๆ ท่านมีความเมตตา มีความสงสารอย่างไม่มีที่สุดไม่มีประมาณ ไม่เอาเปรียบมวลมนุษยชาติ ท่านเป็นครูของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ให้เราตั้งใจประพฤติปฏิบัติตามท่าน
ชีวิตคนเราไม่นานมันก็ตาย มันตายทางร่างกาย มันก็เป็นตามอายุขัย แต่จิตใจของเราถ้ามันไม่หมดกิเลสไม่สิ้นอาสวะ มันต้องเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสาร เพราะกิเลสเรามี วัฏสงสารมันจึงมี ถ้ากิเลสเราไม่มี วัฏสงสารก็ไม่มี
พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่าเพราะสิ่งนั้นมีสิ่งนั้นจึงมี ธรรมทั้งหลายทั้งปวงมีเหตุมีปัจจัย ถ้ามีเหตุผลมันก็ถึงมี ที่เรามีความเป็นอยู่ทุกวันนี้ล้วนมาจากเหตุจากปัจจัย ไม่ใช่ว่าเกิดขึ้นลอยๆ โดยไม่มีเหตุ ท่านจึงให้สร้างเหตุสร้างปัจจัยให้ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาท
คนเราที่มันได้เกิดเป็นพ่อ เป็นแม่ เป็นพี่ เป็นน้อง ได้ประพฤติปฏิบัติร่วมกันได้เคยสร้างเหตุสร้างปัจจัยมาร่วมกัน
คนเราคนเก่าถ้าปฏิบัติอย่างเก่าๆ มันก็จะเป็นอย่างเก่าๆ มันต้องปฏิบัติให้ดีมากกว่าเก่าๆ ต้องดีอย่างสม่ำเสมอ คนเรานี่คิดดูมันก็แปลก อยากให้คนอื่นเคารพรักนับถือ แต่การประพฤติปฏิบัติมันไม่สมเหตุสมผล ทุกๆ คนพร้อมจะเคารพนับถือเรา พร้อมที่จะให้ความไว้วางใจ พร้อมที่จะให้เก้าอี้เรานั่ง ขอให้เราเป็นผู้เสียสละ เป็นผู้มีศีล ประพฤติกายวาจาใจให้ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาท เป็นคนที่มีสมาธิตั้งมั่นไม่หวั่นไหว ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ให้มันตั้งอยู่และดับไป ไม่หวั่นไหว มีพระธรรมคำสั่งสอนเป็นจุดยืน มีความสุขมีความสงบ มีจิตใจเปรียบเสมือนแอร์คอนดิชั่นเนอร์อยู่ในตัวในจิตใจ มีสติมีปัญญารู้จักรู้แจ้งว่าความโลภ ความโกรธ ความหลงนี้เราจะทำตามไม่ได้ ถึงจะมาในภาพสวย ภาพเอร็ดอร่อย สุขสบาย น่าเพลิดเพลิน ก็มีความรู้จักรู้แจ้งว่านี่แหละทุกข์
ถ้าเราปฏิบัติอย่างนี้ทุกคนจะให้ความเคารพไว้วางใจ ทุกคนเขาจะแต่งตั้งเราเอง ทุกคนจะเคารพกันได้ก็ต้องมีความดีมีคุณธรรมมีศีลมีธรรม
คนเรานั้นปัญหาต่างๆ ในโลกนี้มี แต่ว่ามันไม่มีถ้าจิตใจของเราไม่มีปัญหา ทำไมจิตใจจึงมีปัญหาก็เพราะจิตใจมีอัตตามีตัวมีตน มันมีเรา มันมีตัวของเรา เราพยายามละสักกายทิฏฐิ เราอย่าไปถือว่าร่างกายเป็นเรา ว่าเวทนา ว่าสุขว่าทุกข์เป็นเรา ความจำได้หมายรู้เป็นเรา เราจะเอาความคิดโน่นคิดนี่เป็นเรา เราอย่าไปเอา เราพยายามคืนธาตุคืนขันธ์นี้สู่ธรรมชาติ เราพยายามรู้จักรู้แจ้ง มันจะได้หลับสนิท มันจะมีนิพพานในอกในใจ มันจะได้รู้ว่าทำจิตใจแบบนี้มันดี มันสงบมันเย็น คนไม่ตายไม่มีความทุกข์ทางจิตทางใจ
พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ก็มารวมอยู่ที่จิตใจของเรานั้นแหละ เราพยายามสร้างกายของเรา สร้างวาจาของเรา สร้างใจเราให้มันเป็นพระ พระแปลว่าผู้เสียสละ เห็นภัยในวัฏสงสาร พระคือผู้ไม่มีตัว ไม่มีตน ไม่มีพี่ ไม่มีน้อง ไม่มีลูก ไม่มีหลาน ไม่มีทรัพย์สมบัติ อะไรๆ ที่มันมีอยู่มันเป็นของชั่วคราว เหมือนลมผ่านมาผ่านไป เหมือนพยับแดดเดี๋ยวมันก็ไม่มี
พระพุทธเจ้าให้เราฝึกใจอย่างนี้ๆ ทุกๆ วัน อินทรีย์บารมีของเราจะค่อยๆ แก่กล้าขึ้น นี่เป็นงานของเราทั้งทางกายทางจิตใจในชีวิตประจำวัน เราปฏิบัติแบบนี้ชื่อว่าเป็นนักปฏิบัติธรรม
ทุกๆ คนต้องตั้งใจประพฤติปฏิบัติ ไม่มีใครมาปฏิบัติแทนเราได้ เราถือว่าเราเป็นคนมีบุญ มีชีวิตอยู่ที่เรายังไม่ตาย มัจจุราชคือความตายยังให้โอกาสเราได้ทำความดี สร้างบารมี ด้วยเหตุนี้เราถึงต้องปฏิบัติเดินตามรอยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
สัมมาสมาธิ ความตั้งใจมั่น เราต้องตั้งใจมั่นตลอดกาล เป็นผู้ที่เที่ยงแท้แน่นอนในความดี เป็นผู้ที่เดินหน้าอย่างเดียว ไม่หยุด ไม่กลับหลัง เขาเรียกว่าเข้าถึงกระแสของความดี เข้าถึงกระแสของ “พระนิพพาน” ถ้าเราทำไปเดี๋ยวก็หยุดอะไรอย่างนี้ การประพฤติการปฏิบัติธรรมมันก็ไม่ได้ผล เมื่อเราไม่เข้าถึงความดี ตนเองก็เคารพนับถือตนเองไม่ได้ ทุกอย่างมันขัดข้องไปหมด ไม่มีอะไรที่จะเปลี่ยนแปลงวิทยฐานะเราได้ นอกจากเราเป็นคนดี เป็นคนเสียสละ
ชีวิตของเรามันก็เหมือนที่เขาไปเข้าโรงเรียนนี้แหละ เขาไปเรียนปริญญาตรี ปริญญาโท ปริญญาเอก แต่นั่นมันเป็นการเรียนหนังสือ แต่นี่มันคือการปฏิบัติธรรม การปฏิบัติธรรมเป็นการทำปริญญาในจิตใจ การทำปริญญาทางหนังสือนี่ก็ยังลำบาก แต่การทำปริญญาในการประพฤติปฏิบัติธรรมมันลำบากกว่ากันตั้งเยอะ
พระพุทธเจ้าตอนที่ท่านตรัสรู้ใหม่ๆ ท่านยังท้อพระทัยเลยว่า ธรรมะที่เราตรัสรู้นี้มันทวนกระแส มันเห็นตรงกันข้ามกับโลกที่เป็นอยู่ เราจะไปเทศน์ไปสอนให้ใครเข้าใจได้ เพราะมันเป็นธรรมะที่ไม่ตามใจใคร มันทวนกระแส ต้องอด ต้องทน ต้องฝืน พระพุทธเจ้าท่านบำเพ็ญพระบารมีมามาก ท่านอาศัยความเมตตา ความกรุณา ท่านก็ได้มาระลึกนึกถึงดอกบัว ๔ เหล่า ท่านถึงได้ทรงเมตตาสั่งสอนเวไนยสัตว์
ให้ทุกท่านทุกคนนี้จงเข้าใจคำว่าปฏิบัติธรรม มันเป็นสิ่งที่ทวนกระแส ทุกๆ คนปฏิบัติได้ ทุกๆ คนทำได้ มันยากมันลำบากก็จริงอยู่ แต่ว่ามันมีคุณค่ามากๆ มันนำความสุขความดับทุกข์มาให้เราในอนาคตได้แน่นอน ไม่ต้องสงสัย
หวังว่าทุกท่านทุกคนจะได้นำพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งเป็นสิ่งที่ประเสริฐอันมีค่าหาประมาณมิได้ ไปประพฤติปฏิบัติด้วยกันทุกท่านทุกคนเทอญ...
แจกปัญญา แจกศาสนา แจกธรรมวินัย แจกสิ่งที่ถูกต้อง
เพื่อเดินตามรอยพระพุทธเจ้าร้อยเปอร์เซ็นต์
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
โดยทุกท่านสามารถติดตามเพิ่มเติมได้ที่
https://linktr.ee/watsubthawee
Share wisdom, spread Buddhism and its discipline.
Advocate righteousness to follow Lord of Buddha's footsteps 100%
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
You can receive new Dharma updates.
https://linktr.ee/watsubthawee