แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ในวันพุธที่ ๑๕ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง ชีวิตใหม่ที่เลือกได้ ตอนที่ ๖๗ การรักษาศีล รักษาพระวินัย ต้องลงรายละเอียดถึงจิต ถึงใจ จึงจะเป็นฐานให้สมาธิ ปัญญาเกิด
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
นักจิตวิทยาพยายามที่จะเขียนงานวิจัย วิทยานิพนธ์ ให้เป็นวิทยาศาสตร์ แต่มันเขียนไม่ได้ เพราะว่าจิตวิทยานั้นมันแค่เจริญสติ มันยังไม่ได้เข้าถึงศีล ถึงสมาธิ ถึงปัญญา ที่ติดต่อกันเป็นสายน้ำ การเรียนการศึกษานี้ เพื่อจะส่งตัวเองเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ การปฏิบัติมันต้องติดต่อต่อเนื่อง ให้เป็นสายน้ำ เราดูตัวอย่างพระอรหันต์ ท่านปฏิบัติติดต่อต่อเนื่อง รวมทั้งศีล ทั้งสมาธิ ทั้งปัญญาให้สมบูรณ์ในปัจจุบันธรรม หยุดจากจิตวิทยา พระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่ถึงมีกระบวนการปฏิจจสมุปบาท เพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปมันถึงมี หยุดในสิ่งที่มี สิ่งต่อไปมันถึงไม่มี
ดูแล้วตัวเรายังไม่เข้าใจ ไม่มีความสุขในความสุขในการรักษาศีล เราคิดว่าสิกขาบทน้อยใหญ่มันจู้จี้จุกจิก หยุมหยิม มันไม่เข้าใจ เราต้องดูตัวอย่าง หลวงปู่ชา สมัยตอนทำความเพียรน่ะ ท่านเดินบิณฑบาตเห็นปลาอยู่ในบ่อหิน ท่านก็สงสาร วันต่อไปเห็นอีก ท่านก็สงสารปลา มันไปไม่ได้ ท่านสงสารจับใจ วันต่อมาก็ไปบิณฑบาตก็เห็นเขาเอาปลาดุกย่างมาใส่บาตร โอ้ท่านก็คิดในใจว่าที่เราไปเห็นแน่ๆ ใหญ่ขนาดนี้ รุ่นนี้ เพราะการรักษาศีลของท่านมันละเอียดถึงจิตถึงใจ
ใกล้ฤดูเข้าพรรษา หลวงพ่อชาเดินธุดงค์มาถึงวัดป่าแห่งหนึ่ง ตั้งอยู่ในป่าช้า เขตอำเภอเมือง จังหวัดนครพนม มีพระหลวงตาพำนักอยู่กับพระลูกวัดหลายรูป วันนั้น เมื่อกล่าวธรรมปฏิสันถารกันพอสมควร หลวงตาสมภารวัดปรารภถึงภูมิจิตกับตัวเองว่า "ผมหมดความโกรธแล้ว" หลวงพ่อรู้สึกแปลกใจมาก เพราะคำพูดเช่นนี้ไม่ค่อยได้ยินใครกล่าวบ่อยนักในหมู่ผู้ปฏิบัติ จึงอยากพิสูจน์ให้รู้ชัด และช่วงนั้นจวนเข้าพรรษาแล้ว หลวงพ่อตัดสินใจขอจำพรรษาด้วย
แต่ไม่ง่ายเสียทีเดียว หลวงตาไม่ไว้ใจใครง่ายๆ เหมือนกัน เพราะหลวงพ่อเป็นพระแปลกหน้า และยังจรมาผู้เดียว ไม่รู้ต้นสายปลายเหตุว่าจะมาดีหรือร้ายอย่างไร หลวงตากับพระลูกวัดจึงปฏิเสธไม่ยอมให้พำนักด้วย แต่ผ่อนผันให้ไปจำพรรษาที่ป่าช้านอกเขตวัด
ครั้นถึงวันเข้าพรรษา หลวงตาให้พระไปนิมนต์หลวงพ่อมาจำพรรษาด้วย เพราะได้รับคำทักท้วงจากพระรูปหนึ่งว่า "พระมีพรรษามากขนาดนี้ ให้จำพรรษานอกเขตวัดเห็นจะไม่เหมาะ บางทีท่านอาจเป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบก็ได้ ไม่ควรประมาท"
แม้จะได้ร่วมจำพรรษาในสำนัก แต่หลวงตากับลูกศิษย์ก็ตั้งกติกากีดกันหลวงพ่อไว้หลายอย่างคือ
- ไม่ให้รับประเคนของจากโยม ต้องคอยรับจากพระรูปอื่นส่งให้ - ไม่ให้ร่วมอุโบสถสังฆกรรม ให้บอกปริสุทธิเท่านั้น
- เวลานั่งฉันอาหารให้นั่งต่อท้ายพระพรรษาน้อยที่สุดของสำนัก
กติกาทั้งสามข้อนี้ หลวงพ่อยินดีปฏิบัติตามทุกอย่าง แม้ท่านจะมีพรรษาสิบแล้วก็ตาม ท่านกลับพิจารณาน้อมเอาประโยชน์จากข้อกีดกันนั้น โดยให้คติแก่ตนเองว่า "หลวงตากับคณะกำลังทดสอบเรา และการนั่งหัวแถวหรือท้ายแถวก็ไม่แปลกอะไร เหมือนกับเพชรนิลจินดา จะวางไว้ที่ไหนก็มีคุณค่าเท่าเดิม และการปฏิบัติตามกติกานี้ จะช่วยลดทิฐิมานะของเราให้เบาบางลงด้วย"
การจำพรรษาร่วมกับหลวงตาผ่านไปด้วยความสงบ เพราะหลวงพ่อวางความรู้สึกนึกคิดได้ถูกและเป็นปกติ จึงพากเพียรภาวนาอย่างสม่ำเสมอ พยายามพูดน้อย เมื่อได้ยินใครพูดสิ่งใดก็น้อมมาพิจารณาเป็นปัญญาแก้ไขตัวเอง และเฝ้าสังเกตเลือกเอาแต่สิ่งที่ดีงามจากข้อวัตรปฏิบัติที่มีอยู่ในสำนัก เพื่อถือเอาเป็นบทเรียน
ขณะเดียวกัน หลวงตาและคณะก็จับตามองหลวงพ่ออย่างไม่ให้คลาดสายตาเช่นกัน แต่ท่านวางเฉย ไม่แสดงกิริยาอาการใดๆ โต้ตอบ กลับคิดขอบคุณเขาว่า "เขาช่วยไม่ให้เราเผลอไปประพฤติบกพร่อง เปรียบเหมือนมีคนมาช่วยป้องกันความสกปรก ไม่ให้แปดเปื้อนแก่เรา"
ในพรรษานั้น หลวงพ่อทำความเพียรภาวนาสม่ำเสมอ เคารพกฏกติกาอย่างไม่บกพร่อง พระเณรร่วมสำนักเริ่มยำเกรงท่านมากขึ้น
เช้าวันหนึ่ง ชาวบ้านนำข้าวหมากมาถวาย หลวงตากับพระลูกวัดทุกรูปฉันกันอย่างเอร็ดอร่อย ส่วนหลวงพ่อเพียงแต่รับประเคนแล้ววางไว้ข้างๆ หลวงตาสังเกตดูอยู่จึงถามว่า "ท่านชา ไม่ฉันข้าวหมากหรือ... ทำไมล่ะ ?"
"ไม่ฉันครับ... ผมว่ากลิ่นและรสมันไม่เหมาะแก่พระเท่าไหร่"
หลวงตาได้ฟังก็หน้าเสีย... ฉันอาหารแทบไม่รู้รส
อยู่ต่อมาวันหนึ่งในกลางพรรษา หลวงตาพาพระเณรลงเรือไปเก็บฟืนมาไว้ใช้ เมื่อถึงไร่ร้างริมน้ำ พระลูกวัดพากันขึ้นไปขนฟืนมากองไว้ที่ฝั่งห้วย หลวงพ่อทำหน้าที่ขนลงเรือ ขณะจัดเรียงฟืน หลวงพ่อสังเกตเห็นไม้พะยุงท่อนหนึ่ง มีรอยถากเป็นทรงกลมยาวประมาณ 2 เมตร ท่านคิดว่าไม้ท่อนนี้ต้องมีเจ้าของแน่ หากขนลงเรือจะมีความผิดเป็นการลักทรัพย์ ทำให้ขาดจากการเป็นพระได้ จึงไม่ยอมแตะต้อง
พอได้เวลาจวนกลับ หลวงตาเดินมาถึงเห็นไม้ท่อนนั้นถูกทิ้งอยู่ริมตลิ่ง จึงร้องถามว่า "ท่านชา... ทำไมไม่ขนไม้ท่อนนี้ลงเรือ ?"
"ผมเห็นว่าไม่เหมาะครับ มันคงมีเจ้าของเพราะมีรอยถากไว้"
เมื่อหลวงพ่อตอบเช่นนี้ หลวงตาชะงักงันอยู่ชั่วครู่ แล้วจึงแกล้งร้องบอกแก้เก้อให้พระเณรรีบลงเรือ โดยทิ้งไม้ท่อนนั้นไว้ริมฝั่งนั่นเอง
ความผิดพลาดของหลวงตา ผู้มีทีท่าว่าเป็นนักปฏิบัติที่เคร่งครัดส่งเสริมให้คุณค่าของหลวงพ่อสูงขึ้นตามลำดับ เพราะหลวงพ่อไม่ซ้ำเติมหรือดูหมิ่นเหยียดหยามใคร กลับเก็บตัวภาวนาอยู่เงียบๆ เช่นเดิม
หลังจากนั้นหลายวัน ชาวบ้านมาเผาข้าวหลามข้างโรงครัว ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากกุฏิหลวงพ่อ หลวงพ่อกลับจากบิณฑบาตก็ขึ้นกุฏินั่งพักผ่อน สักครู่หนึ่งเห็นหลวงตาเดินผ่านไปทางโรงครัว ขณะนั้นไฟลุกไหม้กระบอกข้าวหลามจนเกรียม เพราะไม่มีใครคอยพลิกกลับ
หลวงตามองซ้ายมองขวานึกว่าไม่มีใครเห็น จึงพลิกกระบอกข้าวหลามเสียเอง หลวงพ่อนั่งอยู่ที่หน้าต่างจึงเห็นการกระทำนั้น ครั้นถึงเวลาฉัน ชาวบ้านนำข้าวหลามมาถวาย พระเณรฉันกันหมด แต่หลวงพ่อรับแล้ว วางไว้เฉยๆ หลวงตาฉันไปได้สักพัก ก็เหลือบตาสำรวจกิริยาการขบฉันของลูกศิษย์ตามความเคยชิน แต่สายตาต้องสะดุดหยุดลงทันที เพราะเห็นหลวงพ่อไม่ยอมฉันข้าวหลาม จึงถามเบาๆ ว่า "ท่านชา ฉันข้าวหลามหรือเปล่า ?" "เปล่าครับ" หลวงพ่อตอบ
คราวนี้หลวงตาถึงกับสะอึก แล้วพูดอย่างอายๆ ว่า "ผมต้องอาบัติแล้ว" (พระจับอาหารที่ยังไม่ได้รับประเคน ถ้าของที่จับยังไม่เคลื่อนที่ ต่อมามีคนมาประเคนในภายหลัง หากพระผู้จับฉันอาหารนั้นเป็นอาบัติ ส่วนพระรูปอื่นฉันได้ แต่ถ้าทำให้ของเคลื่อนที่ไป แม้มีผู้มาประเคนใหม่ หากพระรับมาฉันก็เป็นอาบัติด้วยกันทุกรูป)
หลวงตานึกรู้ทันทีว่า หลวงพ่อต้องเห็นตนพลิกกระบอกข้าวหลามแน่ จึงสารภาพผิดออกมา ครั้นฉันอาหารเสร็จ หลวงตาเข้ามาขอแสดงอาบัติด้วย แต่หลวงพ่อพูดว่า "ไม่ต้องก็ได้ครับ ให้พยายามสำรวมระวังต่อไป"
หลวงตากับพระเณรรู้สึกทึ่งและนึกนิยมในอัธยาศัยของหลวงพ่อมากขึ้น ทั้งที่พวกตนพยายามกีดกันรังเกียจด้วยความไม่ไว้ใจ แต่พระอาคันตุกะรูปนี้กลับหนักแน่นและใจสูงยิ่งนัก จึงตกลงกันว่าให้ล้มเลิกกติกากีดกันนั้น
แต่หลวงพ่อตอบด้วยนิสัยที่เคารพต่อกฎระเบียบว่า "ทำอย่างนั้นคงไม่เหมาะครับ ขอให้ถือตามกติกาเดิมที่ตั้งไว้ดีกว่า เพื่อความสงบเรียบร้อยต่อไป" ต่อจากนั้นมา พระทุกรูปได้ให้ความสำคัญและเคารพยำเกรงต่อหลวงพ่อมาก ความรู้สึกอคติที่มีต่อกันถูกทำลายลงด้วยคุณธรรม
เราจะยึดมั่นถือมั่น มันก็ทิ้งศีลไปเรื่อยๆ จิตใจเรามันหยาบ เราเลยมีเซ็กทางความคิด มีเซ็กทางอารมณ์ เราปล่อยให้มีเซ็ก ทางความคิด ทางอารมณ์ มันไม่ได้ พระที่ปฏิบัติถึงต้องระมัดระวังพระวินัย ทั้งระบบความคิด หยุดมีเซ็กทางความคิด หยุดมีเซ็กทางอารมณ์ ต้องระมัดระวังเรื่องประเคนอย่างนี้แหละ ของฉันตั้งแต่เช้าไปถึงเที่ยง ของฉันพวกนี้ต้องสำรวมระวัง อาหารที่ยังไม่ได้ประเคนอย่าไปแตะต้อง ถ้าตัวเองแตะต้อง พรุ่งนี้ไปประเคนก็ฉันไม่ได้ ถ้าไปยกเคลื่อนที่ก็ไปองอื่นก็ฉันไม่ได้ เพราะว่าเพื่อที่จะให้เรานี้ต้องละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาป เพื่อลงลายละเอียดในเรื่องจิตเรื่องใจ ไม่ใช่พระพุทธเจ้าอยากให้เราลำบาก พระนี้ที่มียาในย่ามหรือมีอะไรในย่ามนี้ต้องระวัง ลูกศิษย์มาจับย่าม เณรมาจับ หรือโยมมาจับก็ต้องประเคน ถ้าเณรมาจับ โยมมาจับ แล้วไม่รู้ไปฉันก็ต้องอาบัติ ทำไมต้องอาบัติ เพราะเราไม่สำรวมระวัง พระจะต้องลงลายละเอียดเพื่อให้เข้าใจ
พระหลวงปู่มั่น หลวงปู่ชา หลวงตามหาบัวนี้ ไปอยู่ที่ไหน ถึงไม่ให้พระปลูกมะม่วงปลูกอาหารที่จะฉัน ถ้าคิดอย่างนี้ก็ต้องอาบัติแล้ว นอกจากเราปลูกไว้เพื่อแจกจ่าย ปลูกให้นกให้อะไรกิน พระถึงทำไร่ทำเกษตรไม่ได้ (ลงเรื่องพระวินัย) ถ้าต้นไม้ต่างๆ เราคิดจะปลูกฉัน เราไปอาศัยร่มไม้ก็ไม่ได้ เพราะใจเรามีโมหะ มันมีความหลง พระวินัยนี้ถึงให้เราหยุดมีเซ็กทางจิตใจ มีเซ็กทางความหลง หยุดให้เราไม่ขอของจากผู้ที่ไม่ใช่ญาติไม่ใช่ผู้ปวารณา หยุดไม่ให้พระไปเรี่ยราย ทอดกฐิน ทอดผ้าป่า เพราะถ้าเราปฏิบัติดีปฏิบัติชอบนี้ไม่ต้องห่วง เพราะการปฏิบัติดีปฏิบัติชอบนี้ก็คือ ธนาคาร คือ เนื้อนาบุญของโลก เพราะครูบาอาจารย์ท่านสอนว่า เอ้ย อย่าให้เขาเอาเงินใส่ซอง อย่าให้เขาเอาเงินใส่ย่าม ไม่จับเงินแต่สะพายย่ามก็เท่าเก่า เราอย่าไปห่วงเรื่องอยู่เรื่องฉัน อย่าไปแย่งศรัทธา แย่งมัคทายกกัน ถ้าเห็นคนรวยก็ประจบประจง ถ้าเห็นคนจนให้พรไม่ออก เราจะหลงขยะอะไร ให้เราพากันเอามรรคผลนิพพาน แม้แต่พระฤาษีที่บำเพ็ญตบะอยู่ตามภูเขา เหาะเหินเดินอากาศได้ ถ้าเขาวิพากษ์วิจารณ์กันว่า โอ้.. ฤาษีตนนั้น เก่ง แข็งแรง พระฤษีก็ยังเครียด เพราะลาภสักการะ เสียงเยินยอ เรื่องลาภยศสรรเสริญเป็นอันตราย แสบเผ็ด
ดังที่พระพุทธองค์ตรัสอุปมาถึงลาภยศสรรเสริญไว้ว่า ภิกษุทั้งหลาย ! ลาภสักการะและเสียงเยินยอ เป็นอันตรายที่ทารุณ แสบเผ็ด หยาบคาย ต่อการบรรลุพระนิพพาน อันเป็นธรรมเกษมจากโยคะ ไม่มีธรรม อื่นยิ่งกว่า
โลกธรรม ๘ (โดยย่อ ๑๒ อุปมา)
๑. เป็นอันตรายที่ทารุณ แสบเผ็ด หยาบ ต่อการบรรลุนิพพาน
๒. มันย่อมจะบาดผิวหนัง ย่อมบาดหนัง บาดถึงเนื้อ ถึงเอ็น ถึงกระดูก ถึงเยื่อกระดูก
๓. อุปมาหมือนสุนัขขี้เรื้อน จะวิ่งไปไหนก็ไม่สบาย ยืน นั่งนอน ก็ต้องทนทุกข์ทรมาน
๔. อุปมาเหมือนเต่าติดชนัก ถูกแทงด้วยปฎัก จากมารผู้มีบาป
๕. อุปมาเหมือนปลากลืนเบ็ด ย่อมถึงความพินาศ
๖. อุปมาเหมือนผู้กินคูถ กินของสกปรกจนท้องป่อง
๗. อุปมาเหมือนผู้ติดเซิงหนาม เหมือนแกะขนยาว เข้าไปสู่เชิงหนาม ย่อมได้รับทุกข์พินาศ
๘. อุปมาเหมือนถูกสายฟ้าฟาด ลงกลางศรีษะ
๙. เหมือนถูกพายุร้ายพัดไปในอากาศ จนขาขาด ปีกขาด หัวขาด ตัวขาด ไปคนละทาง
๑๐. เหมือนลูกสุนัขดุถูกขยี้ด้วยดีสัตว์ (ดุกว่าเดิม) (พระเจ้าอชาตสัตตุกุมาร บำรุงพระเทวทัต)
๑๑. จิตย่อมติดแน่นในสิ่งนั้น เหมือนพระเทวทัต ถูกลาภสักการะ จนติดแน่น จึงคิดทำลายสงฆ์
๑๒. เหมือนต้นไม้ออกผลเพื่อฆ่าตนเอง เช่น ต้นอ้อ กล้วย หรือม้าอัสดร ตั้งครรภ์แล้วตัวเองต้องตาย
เพราะฉะนั้น ในเรื่องนี้พวกเธอทั้งหลาย พึงสำเหนียกใจไว้ดังนี้ว่า “เราทั้งหลาย จักไม่เยื่อใยในลาภสักการะ และเสียงเยินยอที่เกิดขึ้น อนึ่ง ลาภ สักการะ และเสียง เยินยอที่เกิดขึ้นแล้ว ต้องไม่มาห่อหุ้มอยู่ที่จิตของเรา”
พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย ลาภสักการะนี่ มันฆ่าคนได้เหมือนกัน "สักกาโร ปุริสัง หันติ" แปลว่า ลาภสักการะฆ่าคน ไม่ได้ฆ่าคนให้ตายทางร่างกาย แต่ฆ่าคนให้ตายทางจิต ทางวิญญาณ คือจิตเขาตายด้าน ไม่เจริญงอกงามในธรรมวินัย ไม่ก้าวหน้าในการคึกษา ในการปฏิบัติตามหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า แต่ไปติดอยู่ในวัตถุเหล่านั้น ในความขลัง ความศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้น อันนี้เป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง แต่ก็มีคนนิยมกันอยู่ แล้วก็พระเราทำด้วย คนก็นึกว่าเป็นเรื่องทางพระพุทธศาสนา เลยเข้าใจเขวไป
นี่เป็นเรื่องเสียหาย ไม่ใช่เสียหายเพียงเล็กน้อย เพราะว่าเป็นมิจฉาทิฐฏิ ทำคนให้หลง ให้เข้าใจผิดไปด้วยประการต่างๆ เช่นเรื่องที่ไม่เหมาะไม่ควร เป็นเรื่องที่เราควรจะพูดจา ทำความเข้าใจกับญาติโยม ให้รู้ชัด เข้าใจชัด ในเรื่องอย่านี้ไว้ ให้เขาได้รู้ว่าอะไรเป็นพระพุทธศาสนา อะไรไม่ใช่หลักคำสอนในทางพระพุทธศาสนา
ถ้าเราเห็นคนโง่ แล้วเราให้ความโง่เพิ่มแก่เขา เราไม่ได้ช่วยอะไรเขา ถ้าเราเห็นคนจน เราทำให้เขาจนหนักลงไป ก็ไม่ได้ช่วยคนจนนั้นให้อยู่ดีกินดีขึ้น ถ้าเราเห็นคนงมงาย แล้วเราช่วยให้มันงมงายหนักลงไป อะไรมันจะดีขึ้นในวงคนเหล่านนั้น อะไรจะเจริญงอกงามในคนเหล่านั้น ผู้กระทำก็ไม่ใด้ชื่อว่าปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า แม้จะเป็นนักบวช นุ่งเหลืองห่มเหลือง โกนผมโกนคิ้ว แต่หาได้ปฏิบัติตามแนวคำสอนของพระพุทธเจ้าไม่ ได้ร่วมมือร่วมใจกัน ทำลายหลักคำสอนในทางพุทธศาสนา ที่เป็นของแท้ของจริง ให้จมหายไป แต่ให้สิ่งซึ่งไม่ใช่สัจจธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าเจริญงอกงาม นั่นคือการทำลายนั่นเอง
ทำไมพระพุทธศาสนาจึงเสื่อมสูญไปจากประเทศอินเดีย ก็่ไม่ใซ่ว่ามีคนอื่นมารังแกอะไร หามิได้ มาในตอนปลายเรียกว่าอิสลามรังแกบ้าง แต่ส่วนสำคัญที่สุดนั้น ก็คือว่า พระเราไม่ยืนหยัดอยู่ในหลักการของพระพุทธศาสนา พูดตามภาษาปัจจุบันว่า ใม่มีจุดยืนที่แน่นอน จุดยืนแน่นอนไม่มี แต่ว่ากวัดแกว่งไปตามอารมณ์คน อารมณ์โลก
ต้องการจะเอาพวกมาก ต้องการเอาบริษัท ต้องการลาภสักการะจากคนเหล่านั้นๆ เลยโน้มเอียงไปตามความต้องการของคน คนต้องการอะไร ก็ทำสิ่งนั้นให้ ทำหนักเข้าๆ ชาวบ้านก็มองเห็นว่า พระสงฆ์ในพระพุทธศาสนานี่เหมือนกับนักบวชพราหมณ์ คือเหมือนกับนักบวชพราหมณ์ทั้งหลายที่มีอยู่ก่อนยุคพระพุทธเจ้า พราหมณ์ทำไสยศาสตร์ ทำน้ำมนต์ สวดวิงวอน บนบานศาลกล่าว เซ่นเจ้า เซ่นผี ไหว้เทวดา พระสงฆ์ก็ทำอย่างนั้น เมื่อทำเหมือนกับพราหมณ์แล้ว ก็มีพราหมณ์มาก่อนพระพุทธเจ้า ก่อนพระสงฆ์ แล้วทำไมเราจะต้องมานับถือพระสงฆ์อีก นับถือพราหมณ์แบบเดิมดีกว่า เพราะเหมือนกันแล้ว เลยหมดเท่านั้นเอง คือหมดไปจากอินเดีย ก็เพราะว่าพระเราลดตัวลงไปทำทุกอย่างที่พราหมณ์กระทำ จนชาวบ้านเห็นว่าพระกับพราหมณ์เหมือนกันเสียแล้ว แล้วก็เลยไม่นับถือพระ ไม่สนใจพระต่อไป พระก็เลยหายไปจากประเทศอินเดีย ไม่มีพระเหลืออยู่ เวลานี้พึ่งแตกหน่อใหม่ขึ้นมาบ้างไม่กี่หน่อ เพราะว่าเอาพันธุ์ไปจากลังกาบ้าง ไปจากประเทศไทยบ้าง ได้ไปปลูกไปเพาะ ให้เกิดเชื้อขึ้นในประเทศอินเดีย นี่คือการสูญพันธุ์
เราต้องเดินตามรอยของพระพุทธเจ้า เราต้องเดินตามรอยของพระอรหันต์ ต้องเอาพระธรรมเอาพระวินัย เราก็เห็นความผิดพลาดของการทิ้งพระธรรมทิ้งพระวินัย เมื่อโลกพัฒนาไป แต่ทางศาสนาเราก็ต้องพัมนาใจไปคู่กับเทคโนโลยี เราจะได้พัฒนาเผ่าพันธุ์ของความเป็นมนุษย์ เขาคิดว่ามันแก้ไขไม่ได้ แต่มันแก้ไขได้ เพราะมันแก้ไขที่ตัวเอง ไม่ได้แก้ไขที่คนอื่น คนอื่นเขาก็แก้เขามันก็จะได้ เพราะว่ามีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง ถ้าใครปฏิบัติไม่ได้ก็อย่าพากันมาบวช ถ้าบวชแล้วทำไม่ได้ก็ให้พากันสึก มันก็แค่นี้เอง โจรก็ไปอยู่ในส่วนของโจร พระก็อยู่ในส่วนของพระ พระธรรมพระวินัย เราจะมาแทรกได้อย่างไง ตัวเราเองก็ต้องเป็นพระธรรมพระวินัย ไม่ใช่มีโจรในตัวเรา มันถึงเรียกว่าพระศาสนา
เราทุกคนอย่าไปหลงขยะ จะเอาขยะมากองกัน มารวมกัน มันก็ยิ่งเน่ายิ่งเหม็น เราต้องทิ้ง เราต้องเสียสละ ขยะ คือสิ่งที่เป็นอดีต ชั่วเจ็ดที ดีเจ็ดหนก็ชั่งหัวมัน เน้นปัจจุบันไปเรื่อยๆ ใจของเราจะได้มีโอกาสพัฒนา ใจของเราจะได้มีความสุขขึ้น ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า จักษุเกิดขึ้นแล้วแก่เรา ปัญญาเกิดขึ้นแล้วแก่เรา ญาณเกิดขึ้นแล้วแก่เรา วิชชาเกิดขึ้นแล้วแก่เรา แสงสว่างเกิดขึ้นแล้วแก่เรา เราจะได้ทำอย่างนี้ เราจะได้บริโภคของใหม่ของสด เรื่องอะไรล่ะ จะบริโภคแต่ของเก่าอยู่นั่น บริโภคแต่ความวิตกกังวล บริโภคแต่วิจิกิจฉาความลังเลสงสัย บริโภคแต่ความฟุ้งซ่าน บริโภคแต่ความยินดีพอใจในกาม บริโภคแต่ความพยาบาทอาฆาตมาดร้าย
การภาวนา มันต้องทำอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้แหละ เราโชคดีนะ ที่เราได้มาอยู่ ในสำนักที่มี พ่อแม่ครูบาอาจารย์ ที่เข้มแข็ง ที่เคร่งครัด ปฏิบัติจริง เพื่อไม่ให้เราทำตามอัธยาศัย เราต้องตัดความโง่ที่เรียกว่า “อัธยาศัย” นี้ออกจากจิตใจของท่านให้ได้ ต้องเอาพระธรรม เอาพระวินัย เอาข้อวัตรกิจวัตรเป็นหลักอย่างนี้แหละ ท่านถึงจะตัดกรรมที่มาจากอัธยาศัยได้ เหมือนแขกที่มาพักกับเรา เราก็จะได้ยินคำว่า ขอนิมนต์พักตามอัธยาศัยตามสบาย หรือว่าขอเชิญเจริญพรพักตามอัธยาศัยตามสบายนะ แต่พระพุทธเจ้าไม่ได้ตรัสเหมือนทางโลก พระองค์ตรัสว่า ให้พักตามพระธรรมตามพระวินัย ตามข้อวัตรกิจวัตร ตามข้อปฏิบัติ เพื่อมุ่งมรรคผลพระนิพพาน เราอย่าไปคิดอย่างไม่ฉลาด คิดว่า ทำตามใจคือไทยแท้ จะเป็นลาวแท้ เขมรแท้ ฝรั่งแท้ จีนแท้ก็ไม่ได้ เราจะได้ลูบคลำในศีล ในข้อวัตรข้อปฏิบัติ
ถ้าเราไม่ประพฤติปฏิบัติอย่างนี้ อารามต่างๆ นั้น จะไม่มีพระ จะมีแต่ผู้ที่ปลงผมห่มผ้ากาสาวพัสตร์เท่านั้น แต่ไม่มีความเป็นพระอยู่ในใจ คือไม่มีพระธรรม ไม่มีพระวินัย ไม่มีข้อวัตรปฏิบัติ คือ อารามนั้นไม่มีพระ เพราะว่าผู้ที่มาบวชได้พากันลาสิกขาบทไปหมดแล้ว ผู้ที่ลาสิกขาบทคือ ผู้ที่ไม่ได้เอาพระธรรม เอาพระวินัย เพื่อมุ่งมรรคผลพระนิพพาน เรียกว่าคือผู้ที่ลาสิกขาบท ให้เข้าใจอย่างนี้นะ ถึงจะได้เป็นวัด มีข้อวัตรปฏิบัติ มีพระธรรม มีพระวินัย วัดทั้งหลายจะได้เป็นวัดที่มีพระ ไม่เป็นวัดร้าง คือ ร้างจากพระธรรม ร้างจากพระวินัย ร้างจากมรรคผลนิพพาน
ทุกท่านทุกคนไม่ต้องไปมองดูคนอื่นหรอก ต้องมองดูตนเอง ไปมองดูคนอื่นก็ต้องให้เกิดปัญญา เช่นว่า เขาทำไม่ถูก โอ้...อย่างนี้ ต้องไม่เอาเป็นตัวอย่าง ถ้าเขาทำถูก เอ้อ...อย่างนี้ เอาเป็นตัวอย่าง ต้องมองให้เกิดปัญญา เพราะเรามีตาก็เพื่อมีปัญญา มีหู มีจมูก มีลิ้น มีกาย มีใจ ก็เพื่อมีปัญญา
ต้องให้เป็นปัญญาที่จะนำเราไปสู่การประพฤติปฏิบัติ เราไม่ต้องไปแก้ไขคนอื่น ทุกคนแก้ไขตนเองอย่างนี้ ทุกๆคนจึงจะเป็นธรรมาธิปไตยมากขึ้น ที่เดี๋ยวนี้คนทั้งโลกพากันทำจนเป็นโลกาธิปไตยอันมาจากอัตตาธิปไตย คือ การทำตามใจตัวเอง ตามอารมณ์ตัวเอง ตามความรู้สึกตัวเอง ทำตามๆ กันทั้งบ้านทั้งเมือง ทั้งโลก มันไม่ได้ประโยชน์ ไม่ได้เป็นธรรมาธิปไตยเลย ทุกท่านทุกคนต้องพากันประพฤติปฏิบัติ ไม่ต้องไปแก้ไขคนอื่นหรอก เพราะถ้าไปแก้เขา เขาก็ไม่เชื่อเรา เพราะเราไม่ได้มุ่งมรรคผลนิพพาน
เหมือนกับคนที่เขาทำอะไรสำเร็จทุกอย่าง คนอื่นเขาเห็นเขาก็มาถามเอง เหมือนกับที่พระพุทธเจ้าได้สำเร็จมรรคผลนิพพาน คนทั้งหลายที่ต้องการความหลุดพ้น ก็มาเข้าเฝ้า มาศึกษา มาเรียนรู้ มาเข้าใจในการประพฤติปฏิบัติอย่างนี้ เราไม่ต้องไปว่าให้คนอื่นว่าทำไมเขาไม่นับถือเรา ไม่เลื่อมใสเรา ต้องปฏิบัติให้ตนเองเลื่อมใสตนเองก่อน เราอย่าไปโง่หลาย! เพราะต่อให้ พูดเป็นร้อยครั้งพันครั้ง ก็สู้การปฏิบัติให้ดู เป็นตัวอย่างไม่ได้ คนเราต้องเป็นเศรษฐีธรรม เป็นเศรษฐีปฏิบัติ เป็นเศรษฐีพระนิพพานให้ได้
อย่างเราไปอยู่วัดไหน จะเป็นพระอรหันต์เป็นพระอริยะเจ้าได้ ก็ต้องมีครูบาอาจารย์มีตัวอย่างแบบอย่างในการประพฤติปฏิบัติ เพราะฉะนั้น ท่านถึงว่าการได้เห็นพระพุทธเจ้าเป็นบุญเป็นกุศลเยอะ เพราะว่าเป็นบัณฑิตที่แท้จริง การได้เห็นพระอรหันต์พระอริยเจ้า ก็ได้บุญเยอะ ได้ฟังธรรมคำสั่งสอนได้ถวายทานก็มีบุญใหญ่มีอานิสงส์ใหญ่ การจะเปลี่ยนแปลงตัวเองมันก็ต้องทำอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้ เราอย่าไปกลัวมันอดกลัวมันยากลำบาก เราต้องเข้มแข็งอดทนปฏิบัติอย่างนี้ เราจะไปใจอ่อนไม่ได้
เราจะคิดว่าไม่สำคัญ นี่เป็นเรื่องสำคัญมาก เราคิดว่าอันนี้ไม่ดี แต่ก็ยังไปคิดมันอีก มันไม่ได้ เพราะใจของเรามันเสพจนชำนิชำนาญ ใจของเรามันอ่อนแอ เราต้องมาเข้าใจเพื่อที่จะได้เปลี่ยนแปลงแก้ไขตัวเอง ไม่ควรที่จะปล่อยตัวเองไปตามความขี้เกียจ ขี้คร้าน การทำตามใจตนเอง ตามอารมณ์ตัวเอง ตามความรู้สึกนี้ มันเป็นขบวนการเป็นคุณสมบัติของคนพาล เหมือนที่กำลังเป็นอยู่อย่างนี้
เราต้องหันมาทางพระพุทธเจ้า ทางพระอริยสงฆ์ หันมาทางผู้รู้ ในการเรียนการศึกษานี้ ก็เป็นแนวทางที่จะเข้าหาผู้รู้ คือ บัณฑิต
บัณฑิตที่แท้จริงได้แก่พระพุทธเจ้า ได้แก่พระอรหันต์ พระอริยเจ้า ผู้ที่มีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้องตามอริยมรรคมีองค์ ๘ ส่วนบัณฑิตภายในใจของเรา ก็คือเราต้องน้อมเอาพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้ามาประพฤติปฏิบัติเพื่อสร้างบัณฑิตภายในกาย วาจา ภายใจของเรา
ถ้าเราเข้าใจธรรมะแล้ว ธรรมะกับการงานต้องไปด้วยก้น ไม่ใช่หยุดการงานมาปฏิบัติธรรม การงานคือการปฏิบัติธรรม การปฏิบัติธรรมคือการทำงาน เรียกว่าอริยมรรคมีองค์แปด การพัฒนาจิตใจของเรา มันต้องพัฒนาให้ติดต่อต่อเนื่อง มันได้จะได้ดับเย็นเป็นพระนิพพาน
ผู้เอยผู้ใด ลำพองใจประมาทมาก่อน
แต่กลับตัวได้ไม่นิ่งนอน ถ่ายถอนชั่วช้าสร่างซาไป
ผู้นั้นเหมือนจันทร์วันเพ็ญ ลอยเด่นดูงามอร่ามใส
ไม่มีเมฆมัวหมองเท่ายองใย ส่องหล้าทั่วไปสว่างเอย
แจกปัญญา แจกศาสนา แจกธรรมวินัย แจกสิ่งที่ถูกต้อง
เพื่อเดินตามรอยพระพุทธเจ้าร้อยเปอร์เซ็นต์
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
โดยทุกท่านสามารถติดตามเพิ่มเติมได้ที่
https://linktr.ee/watsubthawee
Share wisdom, spread Buddhism and its discipline.
Advocate righteousness to follow Lord of Buddha's footsteps 100%
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
You can receive new Dharma updates.
https://linktr.ee/watsubthawee