แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ในวันเสาร์ที่ ๑๑ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง วางโครงสร้างชีวิต ตามรอยพระพุทธเจ้า ตามรอยพ่อแม่ครูบาอาจารย์
เนื่องในงานมุทิตาสักการะอายุวัฒนมงคล ๘๗ ปี หลวงปู่อุทัย สิริธโร
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
วันพรุ่งนี้เป็นวันอายุวัฒนมงคลครบ ๘๗ ปี องค์พ่อแม่ครูบาอาจารย์หลวงปู่อุทัย สิริธโร หรือ หลวงปู่พระราชวชิรญาณโสภณ หลวงปู่ถือกำเนิดเมื่อ วันที่ ๑๒ มีนาคม ๒๔๗๙ ณ บ้านหนองบก ต.หนองหิน อ.ยโสธร จ.อุบลราชธานี (ปัจจุบันขึ้นกับ จ.ยโสธร)
การศึกษาท่านเรียนจบชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ นับว่าสูงสุด ในชนบทสมัยนั้น เมื่อเรียนจบแล้ว ท่านออกมาทำงานช่วยบิดามารดา เช่น ทำนา ทำสวน เป็นต้น จนอายุครบ ๒๑ ปี จึงได้อุปสมบท เป็นพระภิกษุ เมื่อวันที่ ๙ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๙๙ ณ วัดสำราญนิเวศน์ ต.ปุ่ง อ.อำนาจเจริญ จ.อุบลราชธานี (ปัจจุบันนี้ขึ้นอยู่กับ จ.อำนาจเจริญ) มี พระครูทัสสนะประกาศ เป็นพระอุปัชฌาย์ พระใบฎีกาอ่อน เป็นพระกรรมวาจาจารย์ ได้รับนามฉายาว่า “สิริธโร” อันมีความหมายเป็นมงคลว่า ผู้ทรงไว้ซึ่งศิริ
เมื่ออุปสมบทแล้วท่านมาจำพรรษา ณ วัดป่าบ้านหนองบก จ.ยโสธร ซึ่งเป็นวัดสาขาของ หลวงปู่ผั่น ปาเรสโก เป็นเวลา ๓ พรรษา (พ.ศ. ๒๕๐๒) แล้วออกแสวงหาครูบาอาจารย์ มาพักจำพรรษาอยู่กับหลวงปู่สิม พุทธาจาโร และ หลวงปู่แว่น ธนปาโล ณ วัดสันติสังฆาราม จ.สกลนคร เป็นเวลา ๒ พรรษา (๒๕๐๒-๒๕๐๓)
หลวงปู่อุทัย สิริธโร ได้มีโอกาสพบ หลวงปู่ฝั้น อาจาโร ในปี พ.ศ. ๒๕๐๓ หลังจากนั้นเป็นต้นมาท่านได้ติดตามศึกษาปฏิบัติธรรมและอุปัฎฐากหลวงปู่ฝั้น อาจาโร ที่วัดถ้ำขาม จ.สกลนครเรื่อยมา โดยได้รับอุบายธรรมจากหลวงปู่ฝั้น อาจาโร ว่า “หากคิดถึงบ้าน ให้หันหลังไปทางบ้าน แล้วสะพายบาตรเดินขึ้นเขาไป”
หลวงปู่อุทัย มีโอกาสได้รับอุบายธรรมจากหลวงปู่ฝั้น อาจาโร อยู่เสมอๆ จนเกิดความซาบซึ้งใจในธรรม จิตตั้งมั่นในคำสอนของหลวงปู่ฝั้น อาจาโร โดยท่านจะเน้นเรื่องของศีล สมาธิและคำสอนของพระพุทธเจ้า อีกทั้งยังได้รับอุบายธรรมในเรื่องการอดอาหาร และการกวาดตาด จากหลวงปู่ฝั้น อาจาโร อีกด้วย หลวงปู่อุทัย ได้ศึกษาธรรมกับ หลวงปู่ฝั้น อาจาโร จวบจนท่านหลวงปู่ฝั้น อาจาโรละสังขารในปี ๒๕๒๐
หลังจากหลวงปู่ฝั้น อาจาโร ละสังขาร หลวงปู่อุทัย สิริธโร และ หลวงปู่เสถียร คุณวโร ได้ชวนกันไปปลีกวิเวกที่สำนักสงฆ์ถ้ำพระภูวัว ต.โสกก่าม อ.เซกา จ.หนองคาย (ปัจจุบัน จ.บึงกาฬ ซึ่งเป็นที่ปฏิบัติธรรมขององค์หลวงปู่ฝั้น อาจาโร มาก่อนจนถึงเป็นวัดสมบูรณ์จวบจนมาถึงปัจจุบัน) ซึ่งเป็นสถานที่สัปปายะเหมาะแก่การเจริญธรรมศึกษาธรรม ซึ่งหลวงปู่อุทัย ได้พัฒนาสำนักสงฆ์แห่งนี้จนสามารถตั้งเป็นวัดได้สำเร็จในที่สุด ครั้นเมื่อเสร็จงานพระราชทานเพลิงศพขององค์หลวงปู่ฝั้น อาจาโร เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๑ องค์หลวงปู่อุทัยก็จำพรรษา อยู่ที่ถ้ำพระภูวัวเรื่อยมา
ในปี พ.ศ. ๒๕๒๑ พระธรรมวิสุทธิมงคล (หลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน) ได้ทราบข่าวการการปฏิบัติพระกรรมฐานของหลวงปู่อุทัย สิริธโร ณ สำนักสงฆ์ถ้ำพระภูวัว จึงได้เมตตาและมีโอกาสมาเยี่ยมหลวงปู่อุทัย อยู่เสมอๆ จนกระทั่งในปี พ.ศ. ๒๕๔๘ หลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน ได้รับการบริจาคที่ดินบริเวณเขาใหญ่ หลวงปู่อุทัย ท่านได้รับความเมตตาจากองค์หลวงตามหาบัว วัดป่าบ้านตาด ให้มาช่วยพัฒนา วัดเขาใหญ่ญาณสัมปันโน เพื่อให้เป็นที่เผยแพร่ธรรมะขององค์พระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า และเป็นที่ฝึกสอนเหล่าพระนักปฏิบัติทั้งหลาย ที่ตั้งใจฝึกปฏิบัติเพื่อพระพุทธศาสนา สามารถสืบทอดคำสั่งสอนของ พระพุทธเจ้าให้มั่นคง คือ ปฏิบัติดีและปฏิบัติตรง เพื่อให้รู้แจ้งในธรรมอันเป็นเครื่องพ้นจากกองทุกข์ทั้งหลาย ทั้งปวง เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน
องค์หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน แห่งวัดป่าบ้านตาด อ.เมือง จ.อุดรธานี ได้แสดงธรรมเทศนากล่าวยกย่องหลวงพ่ออุทัย สิริธโร ไว้เมื่อวันที่ ๓๐ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๒ มีความตอนหนึ่งว่า (หลวงตาท่านมองไปที่รูปครูบาอาจารย์เพชรน้ำหนึ่ง) “...นั่นองค์หนึ่งพระภาวนา ชื่อเสถียร ท่านเป็นคนอุดรแล้วท่านไปภาวนาอยู่ทางเขตต่อพม่า เมืองไทย-พม่าเขตต่อ นี่สำคัญมากนะ ชื่อเสถียร บ้านเดิมท่านอยู่อุดร พาพ่อพาแม่ไปอยู่ทางนู้น มีที่สะดวกสบาย การทำมาหาเลี้ยงชีพก็สะดวก ทุกอย่างสงบสงัดทั้งด้านธรรมทั้งด้านโลก ท่านเลยชวนพ่อแม่ท่านไป ท่านเข้าท่าอยู่นะ แล้วได้ประโยชน์ ทางนู้นชื่อเสถียร นู่นอาจารย์ชา ท่านบุญมี ท่านอุทัย ท่านวันชัย หลวงพ่อตัน ท่านปัญญา นี่เพชรน้ำหนึ่งมีหลายองค์นะนี่ ท่านสำเร็จเรียบร้อยแล้ว ถ้าเป็นสมัยครั้งพุทธกาลเป็นพระอรหันต์ ทุกวันนี่เทวทัตมันขวางหูขวางใจ ว่าอรหันต์ไม่ได้ เทวทัต คือพระที่ท่านจะรู้กันต้องเป็นนักภาวนาด้วยกัน ได้สนทนากันในวงภายในๆ รู้กันแต่ว่าภายใน นอกนั้นไปท่านเหมือนไม่รู้ไม่ชี้ เพราะฉะนั้นวงกรรมฐานกันมองเห็นกันรู้กันทันทีๆ เพราะทราบจากใจ”
และเมื่อวันที่ ๑๕ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๒ มีความตอนหนึ่งว่า “...ท่านอุทัย ท่านปฏิบัติราบรื่นมาโดยลำดับนะ ทางด้านปฏิบัติท่านหนักในธรรมมาโดยลำดับ ไม่ค่อยเห็นยุ่งอะไรกับใคร กับงานอะไรไม่ค่อยไป เลยให้ท่านอยู่ที่นั่นเหมาะ การภาวนาหาอรรถหาธรรมจริงๆ ไม่ได้เกี่ยวกับผู้กับคนอะไรนะ เกี่ยวเฉพาะที่โคจรบิณฑบาตได้เท่านั้น นั่นละท่าน หาธรรมท่านหาอย่างนั้น” นี่คือโครงสร้างชีวิตที่งดงามขององค์หลวงปู่
โครงสร้างของหลวงปู่มั่นที่บำเพ็ญพุทธบารมีมา เสียสละพระโพธิญาณ เป็นพระอรหันต์สาวก ผู้ปฏิบัติตามค่อยพัฒนาขึ้น ถึงมีผู้บรรลุธรรม ปฏิบัติทางตามสายนี้ มันก็มีมากขึ้น หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต ได้ปฏิบัติตนตามแนวทางคำสอนพระศาสดาอย่างเคร่งครัด และยึดถือธุดงควัตรด้วยจริยวัตรปฏิปทางดงาม จนได้รับการยกย่องจากผู้ศรัทธาทั้งหลายว่าเป็นพระผู้เลิศทางธุดงควัตร ท่านวางแนวทางในการปฏิบัติสมถะและวิปัสสนาตามหลักธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาพุทธเจ้าให้แก่สมณะประชาชนอย่างกว้างขวาง จนมีพระสงฆ์และฆราวาสเป็นลูกศิษย์จำนวนมาก ท่านเป็นพระป่าผู้เป็นที่รู้จักและเป็นพระอาจารย์คนสำคัญของหลายสำนักการปฏิบัติธรรม หลวงปู่มั่นไม่เคยถือสมณศักดิ์หรือสมบัติใดๆ นอกจากในพุทธบัญญัติไว้ และเป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปว่าท่านเป็นพระแท้ผู้ควรค่าแก่การยึดเป็นแบบอย่างที่แท้จริง
หลวงปู่มั่น เกิดเมื่อ วันที่ ๒๐ มกราคม พ.ศ. ๒๔๑๓ เมื่อท่านอายุได้ ๑๕ ปี ได้บรรพชาเป็นสามณรในสำนักวัดบ้านคำบง บวชแล้วได้ศึกษาความรู้ทางพระศาสนา มีสวดมนต์และสูตรต่างๆ ในสำนักบรรพชาจารย์ จดจำได้รวดเร็ว เมื่ออายุได้ ๑๗ ปี บิดาขอร้องให้ลาสิกขาเพื่อช่วยการงานทางบ้าน ท่านก็ได้ลาสิกขาออกไปช่วยการงานของบิดามารดาเต็มความสามารถ ท่านเล่าว่า เมื่อลาสิกขาไปแล้วยังคิดที่จะบวชอีกอยู่เสมอไม่ลืมเลย คงเป็นเพราะมีอุปนิสัยในทางบวชมาแต่ก่อนอย่างหนึ่ง อีกอย่างหนึ่งเพราะติดใจในคำสั่งของยายว่า "เจ้าต้องบวชให้ยาย เพราะยายก็ได้เลี้ยงเจ้ายาก" เมื่ออายุได้ 23 ปี ท่านเข้าบชที่วัดเลียบ จังหวัดอุบลราชธานี ฝึกปฏิบัติธรรมกับพระอาจารย์เสาร์ กนฺตสีโล จากนั้นหลวงปู่มั่นก็นิยมออกธุดงค์ตลอดเวลา ท่านได้บรรลุธรรมอย่างเด็ดขาดในการธุดงค์ และยกย่องกันว่าท่านเป็นผู้ที่เป็นเลิศในการธุดงค์ ประมาณปี 2450 - 2453 ท่านได้จาริกไปทางจังหวัดลพบุรี ไปพักอยู่ที่เขาพระงามบ้าง ถ้ำสิงโตบ้าง ต่อมา ท่านได้ไปพักอยู่ที่ถ้ำสาริกา ที่นั่นท่านได้ตระหนักว่าตนเคยปรารถนาพุทธภูมิ (เคยตั้งจิตจะเป็นพระพุทธเจ้าในชาติก่อนๆ) ท่านจึงได้ถอนความปรารถนานั้นเสีย
ต่อมาท่านขึ้นไปที่ภาคเหนือจำพรรษาที่วัดเจดีย์หลวงวรวิหาร 1 พรรษาได้รับตำแหน่งเป็นเจ้าอาวาสวัดเจดีย์หลวง (เวลานี้จึงเป็นพระครูวินัยธร และพระอุปัชฌาย์) ท่านได้เป็นพระอุปัชฌาย์ให้หลวงตาปลัดเกตุ เพียงรูปเดียวเท่านั้นเพราะความเกรงใจผู้นิมนต์ซึ่งกำลังป่วยหนัก ต่อมาท่านจึงได้สละตำแหน่ง เพราะเห็นว่าเป็นอุปสรรคต่อการปฏิบัติ ท่านจึงหนีธุดงค์เข้าป่า หลวงปู่มั่นอาศัยอยู่ตามดอยมูเซอ ถ้ำเชียงดาว ถ้ำพวง ฯลฯ แล้วออกไปพำนักตามที่วิเวกต่างๆ ในเขตภาคเหนือหลายแห่ง เพื่อสงเคราะห์สาธุชนในที่นั้นๆ นานถึง 11 ปี
ในปี พ.ศ. 2478 ท่านบรรลุธรรมชั้นสูงสุดที่ ถ้ำดอกคำ ต.น้ำแพร่ อ.พร้าว จ.เชียงใหม่ จากนั้นท่านได้ธุดงค์ไปยังดอยนะโม ใกล้ดอยแม่ปั๋ง ท่านได้พูดกับลูกศิษย์คือ หลวงปู่ขาว อนาลโย ว่า "ผมหมดงานที่จะทำแล้ว ก็อยู่สานกระบุงตะกร้า พอช่วยเหลือพวกท่านและลูกศิษย์ลูกหาได้บ้างเท่านั้น..."
ใน 5-7 พรรษาสุดท้ายของชีวิต ท่านจำพรรษาที่วัดป่าบ้านหนองผือ เวลานั้นจึงเป็นเวลาที่ได้สอนศิษย์เป็นจำนวนมาก ซึ่งต่อมาภายหลังศิษย์ของท่านเหล่านั้นได้กลายเป็นกำลังสำคัญที่ทำให้พระพุทธศาสนาเถรวาทสายพระป่าแผ่ไปไกลในวงกว้าง จนทำให้ได้รับสมัญญานามจากบรรดาศิษย์ทั้งหลายว่า "พระอาจารย์ใหญ่ฝ่ายพระกรรมฐาน" ผู้สมควรเอาเป็นแบบอย่างทุกประการ
การบำเพ็ญบารมีของพระพุทธเจ้าสมบูรณ์ ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้ารู้ว่าความสุขความดับทุกข์นั้นอยู่ที่เรามีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องเเละปฏิบัติถูกต้อง พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสไว้ใน จริยาปิฎก ว่า “ไม่ใช่ว่าลูกทั้งสองเป็นที่เกลียดชังของเรา ไม่ใช่ว่ามัทรี ไม่เป็นที่รักของเรา พระสัพพัญญุตญาณเป็นที่รักของเรายิ่งกว่า เราจึงได้ให้บุตร ธิดา ภรรยา อันเป็นที่รักของเราเป็นทาน”
ความหมายนัยหนึ่งของความรัก คือ การให้ การเสียสละแบ่งปัน ขอบเขตความรักของแต่ละคนมีมากน้อยต่างกัน บางคนรักแต่ตนเอง จนกลายเป็นความเห็นแก่ตัว ไม่สนใจคนรอบข้างว่าจะเป็นอย่างไร บางคนรักพ่อรักแม่ รักทุกคนในครอบครัว รวมไปถึงหมู่ญาติ บางท่านใจกว้างมากไปกว่านั้น รักคนทั้งประเทศทั้งโลกเสมือนเป็นครอบครัวเดียวกัน มีความปรารถนาให้ทุกคนมีความสุขเหมือนๆ กัน
ส่วนพระบรมโพธิสัตว์ท่านมีปัญญามาก มีมหากรุณาไม่มีที่เปรียบ นอกจากรักครอบครัว รักบุตรธิดาหรือภรรยาแล้ว ท่านยังรักสรรพสัตว์ทั้งหลาย มีความปรารถนาจะให้สรรพสัตว์ ได้พ้นทุกข์ มีดวงตาเห็นธรรม เพราะผู้ที่ประพฤติพลาดพลั้ง ถูกอกุศลเข้าสิงจิต จึงกระทำความผิด ได้พลัดหลงไปเกิดเป็นสัตว์นรก เปรต อสุรกายและสัตว์เดรัจฉาน ท่านอยากให้สรรพสัตว์เหล่านั้นได้พ้นจากความทุกข์ทรมาน อีกทั้งอยากให้ผู้ที่กำลังเสวยบุญในเทวโลกและพรหมโลกทั้งหมด ได้พบความสุขอันเป็นอมตะ คือ พระนิพพาน ไม่อยากให้เสียเวลาในการสร้างบารมีอีกต่อไป
ด้วยความรักและเมตตาอันไม่มีประมาณ ทำให้ท่านต้องฝึกฝนตนอย่างยิ่งยวด จนได้รับการกล่าวขานว่า ท่านเป็นพระบรมโพธิสัตว์ ผู้สร้างบารมีเพื่อหวังจะได้ตรัสรู้ธรรม เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในอนาคต แม้พระโพธิสัตว์ทั้งหลายจะรักบุตรภรรยาหรือมารดาบิดา แต่ท่านรักโพธิญาณมากกว่า เพราะตระหนักดีว่า หากภพชาติใดที่ท่านได้ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ท่านย่อมสามารถเป็นกัลยาณมิตรให้กับหมู่ญาติทั้งหลาย รวมทั้งสั่งสอนมนุษย์และเทวดาให้พบกับอมฤตธรรม
พระพุทธเจ้าทั้งปวงเสมอกันด้วยพุทธธรรม เพราะผลแห่งการฝึกฝนอบรมตนอย่างยิ่งยวดของพระบรมโพธิสัตว์นั่นเอง แม้จะมีความแตกต่างกันในส่วนที่เป็นโลกียะ แต่กำลังบุญบารมีที่ได้สั่งสมมา บางพระองค์สร้างบารมีมา ๒๐ อสงไขยกับ ๑๐๐,๐๐๐ มหากัป บางพระองค์ ๔๐ อสงไขยกับ ๑๐๐,๐๐๐ มหากัป บางพระองค์เป็นนักสร้างบารมีประเภทวิริยาธิกะที่รักเพื่อนมนุษย์มาก หวังจะรื้อสัตว์ขนสัตว์ไปสู่ฝั่งนิพพานให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ จึงใช้เวลาสร้างบารมียาวนานถึง ๘๐ อสงไขย ๑๐๐,๐๐๐ มหากัป เพราะฉะนั้น ตระกูลของท่าน การบำเพ็ญทุกรกิริยา พระชนมายุ และประมาณของพระสรีรกายจึงแตกต่างกันตามกำลังบารมี สำหรับโลกุตตรสมบัติอันประเสริฐของพระโพธิสัตว์เจ้าทั้งหลาย เช่น ศีล สมาธิ ปัญญา เวสารัชญาณหรือทศพลญาณ เป็นต้น จะไม่มีความแตกต่างกัน ซึ่งคุณธรรมเหล่านี้เป็นผลที่เกิดจากความเพียร ความรักและความเมตตาปรารถนาดีต่อสรรพสัตว์อย่างไม่มีที่สิ้นสุดนั่นเอง
เมื่อพระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็น “เจ้าชายสิทธัตถะ” ถือว่าเป็นพระชาติสุดท้ายที่จะได้บรรลุความเป็นพระพุทธเจ้าผู้ตรัสรู้ชอบได้ด้วยพระองค์เอง การบำเพ็ญบารมีของพระพุทธเจ้าสมบูรณ์ ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าทรงรู้ว่าความสุขความดับทุกข์นั้นอยู่ที่เรามีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องเเละปฏิบัติถูกต้อง หมู่มวลมนุษย์ทุกคนถ้าเข้าใจเเละปฏิบัติสามารถเข้าถึงความสุขความดับทุกข์ได้ เพราะพระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้เเล้ว ก็ต้องวางโครงสร้างวางหลักการ กระบวนการ เพื่อนำหมู่มวลมนุษย์เข้าสู่ไลน์ คิดว่าจะไปโปรดใปสั่งสอนใคร เพราะการเผยเเพร่นี้ ถ้าเข้าใจเเละเข้าถึงภาคประพฤติภาคปฏิบัติ มันเป็นไปได้ 100% เพราะอันนี้เป็นหลักเหตุหลักผลตามหลักวิทยาศาตร์ เเละสิ่งที่ดีกว่าประเสริฐกว่าวิทยาศาตร์ก็คือ เข้าถึงธรรมะ ไม่มีตัวไม่มีตน ถ้าเราทำตามหลักเหตุผล ตามหลักวิทยาศาตรส์มันก็ยังมีตัวมีตนอยู่ มันยังตกอยู่ในสัญชาตญาณอยู่ เป็นมนุษย์ที่เก่ง เป็นมนุษย์ที่ฉลาด เป็นมนุษย์ที่รวย
พระพุทธเจ้าผู้ทรงเผยเเผ่วางหลักการให้ท่านคนรวย คนจน เข้าถึงความสุข ความดับทุกข์ได้ ไม่มีใครที่จะดับทุกข์ไม่ได้หรอก เพราะความทุกข์มันอยู่ที่ใจ มีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง โครงสร้างของพระพุทธเจ้าละเอียดมาก มีอริยมรรคมีองค์ 8 อย่างเรามีกระดูก มีเส้นเอ็น มีตับไต มีเนื้อและเลือด หุ้มห่อด้วยหนัง ที่ประกอบด้วยร่างกายมนุษย์มีโครงสร้าง อาคารบ้านช่องมันก็มีโครงสร้าง พระพุทธเจ้าวางโครงสร้าง ก็คือระเบียบธรรมวินัย ที่งามเบื้องต้นคือศีล งามในท่ามกลางคือสมาธิ งามในที่สุดคือปัญญา ที่ประกอบด้วยการประพฤติการปฏิบัติที่เป็น เอกายโน มัคโค เมื่อโครงสร้างอย่างนี้มันก็ไปตามโครงสร้าง คนเราถ้าตามอย่างนี้มันจะเป็นอย่างอื่นไม่ได้ เพราะสิ่งนี้มีสิ่งนี้มี ธรรมะของพระพุทธเจ้าจึงเป็นอมตะ ปิดอบายมุขอบายภูมิ ที่พระพุทธเจ้าทรงวางหลักฐาน ทรงวางโครงสร้างใช้เวลา ๔๕ ปี
พระพุทธเจ้าให้เรารู้จักอริยสัจ ๔ รู้ทุกข์ รู้เหตุให้เกิดทุกข์ รู้ความดับทุกข์ รู้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ พื้นฐานของผู้ที่เวียนว่ายตายเกิดคือผู้ที่ยังไม่รู้อริยสัจ 4 การดำเนินชีวิตของเราต้องรู้อริยสัจ 4 เราต้องอาศัยองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทุกๆ คนต้องรู้จักว่า อันนี้เป็นสภาวธรรม ทุกคนต้องมีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง จะได้ไม่ไปตาม เพราะ สิ่งเหล่านั้นไม่เป็นเรา มันเป็นสภาวธรรม เป็นแค่กระบวนการที่ติดต่อต่อเนื่อง ถ้าเรามีปัญญา มีสัมมาทิฏฐิ มันก็จะตัดในปัจจุบัน เพราะปัจจุบันเป็นการตัด มันตัดยังไงล่ะ เมื่อเรามีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้อง เราตัดด้วยอนิจจัง เพราะมันไม่แน่ไม่เที่ยง ตัดด้วยทุกขัง เพราะถ้าเราตามไป อันนี้ต้องทุกข์แน่ เพราะอันนี้เกิดขึ้น อันนี้ตั้งอยู่ เราต้องตัดไป ไปตามมันไม่ได้ เราต้องเอาศีลมาใช้ เอาสมาธิมาใช้ เอาปัญญามาใช้ในปัจจุบัน
เพราะจุดมุ่งหมายของพระพุทธศาสนานี้ ท่านให้เรามุ่งไปพระนิพพาน สิ่งที่เราดีใจ เราเพลิดเพลิน เราต้องการทุกวันนี้มันเป็นอารมณ์ของสวรรค์ อันนี้ยังไม่ใช่ศาสนาพุทธ ศาสนาพุทธมาต่อยอด ต่อยอดจากศาสนาอื่นๆ เพราะว่าอย่างพระพุทธเจ้า แต่ก่อนก็ถือศาสนาพราหมณ์ พ่อแม่บรรพบุรุษ ศาสนาพราหมณ์ก็ไปได้แค่ความสงบ ไปได้แค่พรหมโลก เราต้องตัดกรรมตัดเวรตัดภัย มันอยู่ที่ปัจจุบัน เราต้องตัดอกตัดใจ ตัดกรรมตัดเวรตัดความอาลัยอาวรณ์ในโลกนี้ออกเสียได้ ถ้าเราไม่ตัด มันก็ไปไม่ได้ สติสัมปชัญญะ ต้องเอามาใช้ มาทำงาน เราต้องไปอย่างนี้ ถ้าอย่างนั้นมันไม่มี ภาคปฏิบัติอะไรเลย อย่างคนเรา อย่างพระพุทธเจ้าบอกสอนให้ถูกแล้ว อย่างการพิจารณากายอย่างนี้ คนเราถ้าใจมันมีนิมิตในใจว่า ส่วนนี้มันไม่สะอาดอย่างนี้นะ เขาเรียกว่าจับนิมิตได้ แต่เราพยายามที่จะให้มันเป็นตัวเป็นตน เพราะว่าไม่มีตัวไม่มีตน แต่เราก็ยังดื้อดันให้มีตัวมีตน เพราะอวิชชาความหลง เพราะนิมิตทางธรรมมันไม่เกิด เพราะเราปล่อยวางธรรมะ เหมือนเราอยู่บ้านแขกมา เราก็ตามแขกไปเสียหายหมด ทิ้งบ้านทิ้งเรือนไปอย่างนี้
ถึงต้องพากันกันรู้อริยสัจ ๔ ชัดเจน รู้ทุกข์ รู้เหตุเกิดทุกข์ เราจะได้เอาศีลออกมาทำงาน เอาสมาธิออกมาทำงาน ส่วนใหญ่พวกนี้มันใจอ่อน ถึงสัมมาสมาธิเป็นสิ่งที่สำคัญ เน้นที่ปัจจุบัน ปัจจุบันเราต้องมีความสุขในการเสียสละ มีความสุขในความตั้งมั่น มีความสุขในศีล ในสมาธิ ในพรหมจรรย์ตามลำดับ พรหมจรรย์ระดับ ศีล ๕ ศีล ๘ ระดับศีล ๒๒๗ เป็นระดับอริยกันตศีล (ศีลที่พระเจ้าอริยะพอใจ) เป็นเจตนาที่ออกมาจากใจมันไม่ใช่ศีลธรรมธรรมดา อริยกันตศีล นั้นต้องประกอบไปด้วย อขัณฑัง (ไม่ขาด), อฉิทฺทัง (ไม่ทะลุ), อสพลัง (ไม่ด่าง), อกัมมาสัง (ไม่พร้อย), ภุชิสฺสัง (เป็นไท) เมื่อรักษาใจของตนได้ ศีลที่เป็นปกติทั้งหลายก็จะเต็มเปี่ยมบริบูรณ์ทั้งเบื้องต้น ท่านกลาง และที่สุด เมื่อมีความละอายต่อกุศล ศีลจึงบังเกิด, เมื่อศีลสมบูรณ์ สมาธิจึงเกิด, สมาธิที่มั่งคง จึงเต็มเปี่ยมไปด้วยปัญญา, ปัญญาที่กล้าแกร่งจึงมีพลังในการชำระจิตใจของตนให้ขาวสะอาด
เรามีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจนี้ เป็นอุปกรณ์ตัวผู้รู้ ในชีวิตประจำวันเราเรียนเราศึกษาอย่างนี้ ก็เพื่อเป็นอุปกรณ์เพื่อรู้ ทุกคนต้องพากันสนใจเอาใจใส่เป็นพิเศษ เราจะได้ถึงศาสนา ถึงภาคประพฤติภาคปฏิบัติ เพราะว่าคำว่าศาสนา คือตัวผู้รู้ รู้อริยสัจ 4 ถึงเป็นศาสนาพุทธ ศาสนาพุทธก้าวไกลไปถึงที่สุดคือพระนิพพาน ถ้าเราไม่รู้ก็ทำทั้งผิดทั้งถูกทั้งดีทั้งชั่ว เราก็เป็นได้แต่เพียงคน ปัจจุบันนี้เป็นสิ่งที่สำคัญ เป็นการประพฤติการปฏิบัติเพราะอดีตก็ปฏิบัติไม่ได้ อนาคตก็ปฏิบัติไม่ได้ มันอยู่ที่ปัจจุบัน ปัจจุบันเราต้องตั้งอยู่ในความไม่ประมาท พระพุทธเจ้าจะเสด็จดับขันธปรินิพพาน ปัจฉิมโอวาทครั้งสุดท้ายว่า “สังขารทั้งหลายทั้งปวงมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลายยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิด” เพราะรูปมันก็สวย เสียงมันก็เพราะ อาหารมันก็อร่อย ที่อยู่ที่อาศัยก็สะดวกสบาย อันนี้มันเป็นมนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติหรือว่าความสุขสงบที่เป็นพรหมโลกก็ว่ายังไม่มีทุกข์อะไร แต่พวกนี้ก็ยังเวียนว่ายตายเกิด มันเป็นเพียงถนนผ่าน เราทุกคนต้องเอาพุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานมา มาเสียสละ การประพฤติปฏิบัติอยู่ในปัจจุบันที่ก้าวไป การปฏิบัตินี้ทุกแง่มุมเรียกว่าอริยมรรคมีองค์ 8
ที่ประเทศไทยเราคนส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธเพราะว่าประเทศไทยนี้ตั้งประเทศพร้อมพระพุทธศาสนาเอาหลักการหลักวิชาการของพุทธ คือเอาธรรมเป็นใหญ่เอาธรรมเป็นหลักเอาธรรมเป็นที่ตั้ง แต่เราเป็นพุทธในสำมะโนครัว แต่เรายังไม่เข้าใจ ผู้ที่มาบวชก็ยังไม่เข้าใจ ผู้ปฏิบัติประชาชนก็ยังไม่เข้าใจ ถือว่า 99.9% ยังไม่เข้าใจ เพราะเราสนใจแต่เรื่องทำมาหากิน เรื่องธุรกิจหน้าที่การงาน แล้วก็เพลิดเพลินอยู่กับสิ่งเหล่านั้น ความเป็นจริงแล้วต้องเข้าใจเรื่องธุรกิจหน้าที่การงาน เข้าใจเรื่องจิตเรื่องใจ ทำให้เราได้ปฏิบัติไปพร้อมๆกัน ไม่อย่างนั้นทำให้เราเสียโอกาสเสียเวลาไปมาก ชีวิตของเรามันเลยตกไปสู่อบายมุข อบายภูมิ มันขาดความมีพุทธเจ้าในใจ มีพระธรรมในใจ มีพระอริยสงฆ์ในใจ เราไม่ได้เข้าใจถึงอริยสัจ 4 มาแก้ปัญหา มันเลยไปสร้างปัญหา การปฏิบัตินี้ทุกศาสนาก็ไปทางเดียวกัน แต่คนเห็นแก่ตัว เพราะความหลงมันทำให้เราไม่รู้จักอริยสัจ 4 มันเลยแบ่งพรรคแบ่งพวกแบ่งก๊กแบ่งเหล่าเลย แตกความสมัครสมานสามัคคี เป็นนิติบุคคลไป ครอบครัวเราต้องเอาธรรมะเป็นหลัก ชีวิตของเราถึงจะก้าวไปด้วยสติด้วยปัญญา
ต้องเน้นที่ปัจจุบัน เพราะปัจจุบันเป็นสิ่งที่สำคัญ ศีล สมาธิ ปัญญา ต้องเอามาใช้ในปัจจุบันให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ปฏิบัติ ปริยัติ ปฏิเวธ ต้องเอามาใช้เอามาทำงานในปัจจุบัน เราอย่าเพลิดเพลินเราอย่าประมาท ทุกคนน่ะที่ยังเวียนว่ายตายเกิดก็ชื่อว่ายังเพลิดเพลินยังประมาท คนเรามันเก่งทางโลกก็จริง เก่งการเรียนการศึกษา เก่งทางหลักเหตุหลักผล ทางโลกก็เก่ง การเก่งนั้นมันเก่งเพื่อความเห็นแก่ตัว ยังไม่รู้ทุกข์ ไม่รู้เหตุให้เกิดทุกข์ ไม่รู้ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ ไม่ได้พัฒนาใจพร้อมๆ กัน ความรู้ความเข้าใจก็เป็นโทษเหมือนกัน เราจะเห็นคนทำผิดส่วนใหญ่ก็จะเป็นคนที่มีความรู้มีความสามารถที่กินบ้านกินเมือง ผู้ที่ปกครองคณะสงฆ์ พวกที่ปกครองส่วนราชการ, การเมือง มีแต่คนเก่งๆ ทั้งนั้น แต่มักเก่งไปทางเห็นแก่ตัว ก็เพราะไม่รู้อริยสัจ 4 นะ ถ้ารู้อริยสัจ 4 เขาจะไม่ทำบาป เขาจะมีศีล 5 เอาจะเอาธรรมเป็นหลัก เอาธรรมเป็นใหญ่ เขาจะพัฒนาทั้งเทคโนโลยีพัฒนาทั้งใจไปพร้อมๆ กัน ถ้าเราไม่เอาศีลมาใช้มาทำงาน เราจะไม่มีภาคประพฤติภาคปฏิบัติเลย ถ้าเราไม่เอาสมาธิความตั้งมั่น เราจะไม่มีภาคประพฤติภาคปฏิบัติ ถ้าเราไม่เอาปัญญาเพื่อหยุดการเวียนว่ายตายเกิด ปัญญาที่เห็นภัยในวัฏฏะสงสารที่เสียสละอย่างนี้ เอามาใช้เอามาปฏิบัติ มันไม่ได้เนอะ
ทุกคนต้องมาจัดการกับตัวเอง ต้องมาทำโครงสร้างขึ้นมา ถ้าอย่างนั้น มันไม่ได้หรอก มันไม่มีเหตุมีผล ที่เราจะได้บรรลุธรรม เข้าถึงธรรม เพราะรู้ว่าธุรกิจนี้มันดี เเต่ว่า ไม่มีทุนที่จะทำ ไม่มีเงินที่จะลงทุน นี้ก็รู้ว่าธรรมะดี เเต่ไม่มีการประพฤติการปฏิบัติ เมื่อเรามาคิดดู มันเป็นไปได้ เพราะทุกวันนี้เทคโนโลยีการศึกษาทุกคนต้องมาเสียสละ มากตัญญูกตเวทีต่อพระพุทธเจ้า เข้าสู่ไลน์ของพระพุทธเจ้า เราจะเป็นพระวัดบ้านวัดป่าก็ต้องเข้าสู่ไลน์เดียวกัน ถ้าเราเข้าสู่อริยมรรค เราจะเป็นชาวบ้าน เราก็ทำหน้าที่ของเราให้สมบูรณ์ พรหมจรรย์เบื้องต้นคือ ศีล 5 พรหมจรรย์นักบวช ศีล 10 ศีล 227 ศีลมาในพระวินัยปิฏก 21,000 พระธรรมขันธ์ อย่างนี้เป็นต้น
ทุกคนต้องเสียสละ ถ้าเรามีความสุขในการเสียสละทุกอย่างมันไม่มีปัญหาหรอก ถ้าอย่างนั้นการปกครอง การบริหารมันก็ไปไม่ได้ มันไปไม่ถูกทาง จะเป็นอัตตาธิปไตย ประชาธิปไตย ที่เอาอาสวะเอากิเลส มียึดมั่นถือมั่น หลายคนมันก็ไปไม่ได้ เพราะว่าไม่ใช่ธัมมาธิปไตย ต้องเข้าสู่สัจจะธรรมความเป็นจริง พัฒนาทั้งใจพัฒนาทั้งเทคโนโลยี ต้องไปพร้อมๆ กัน
เราจะติดอยู่ในสิ่งเสพติดที่เรียกว่ากามคุณ รูป เสียง กลิ่น รส ลาภ ยศ สรรเสริญ ตัวเราของเรา เราต้องเสียสละ มาเอาธรรมเป็นหลัก เอาธรรมเป็นใหญ่ ใจของเราจะได้สงบเย็นเพราะกามคุณมันไหม้เรา มันสุมเรา เมื่อไม่ได้ทำตามใจ มันก็เครียดเท่านั้นเอง มันสุดโต่ง สองทาง คือผู้ไปพระนิพพานต้องเข้าใจ เราต้องรู้จักพระนิพพาน
เรารู้จักการไม่ตามใจตัวเอง ไม่ตามอารมณ์ตัวเอง มันถึงเป็นนิพพาน, ไม่ไปทะเลาะกับใครนั้นแหล่ะ คือพระนิพพาน, การปล่อยวางก็ปล่อยในการที่แก้ปัญหาให้กับตัวเอง อย่างนี้คือพระนิพพาน, ไม่ไปจับผิดคนอื่น อย่าไปเอาดีเอาชั่วคนอื่น เขาเรียกว่าพระนิพพาน,
สิ่งที่ไม่เป็นพระนิพพานคือ แตกความสามัคคีกัน ไปทะเลาะกับคนอื่น ไปตำหนิติเตียนคนอื่น อันนี้มันไม่ใช่พระนิพพาน นิพพานคือเราอย่าไปเซ่อๆเบลอๆ ไม่รู้เรื่องพระนิพพานเลย คิดไปเรื่อย ตามอารมณ์ตามความคิด มันเป็นวัฏฏะสงสาร มันไม่ใช่นิพพาน เพราะนิพพานมันไม่ใช่โง่ๆ เซ่อๆ เบลอๆ อย่างนี้ ไม่ใช่หลงอย่างนี้ เราสงสารคนที่เขาหลงในไสยศาสตร์ เครื่องรางของขลัง หมอดู เราต้องย้อนกลับมาดูของเรานี้แหล่ะ เราก็หลงในตัวตน ในอารมณ์ ในความคิด มันก็ไม่ต่างกับคนที่เขาหลงในเครื่องรางของขลังต่างๆ มันก็อันเดียวกัน เราต้องขยับมาแก้ไขตัวเอง เราจะได้รู้ตื่น เบิกบาน จักษุจะได้เกิดแก่เรา ญาณปัญญาวิชชาจะได้เกิดแก่เรา แสงสว่างจะได้เกิดแก่เรา เราอย่าพากันเสียเวลาไปอีก
ทุกคนต้องกลับมาหาตัวเอง มีสติสัมปชัญญะ หายใจเข้าก็รู้ชัดเจน หายใจออกก็รู้ชัดเจน มันใช่ตัวเราที่ไหน มีเเต่อวิชชาความหลง ปั่นหัวเราไม่เป็นท่า ไม่เป็นกระบวนเลย เราต้องมีความเห็นถูกต้อง ตามองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราจะได้เป็นผู้กตัญญูกตเวที เราจะได้มีความสมัครสมานสามัคคีกัน เราจะไม่มีอนันตริยกรรม สังฆเภท ถ้าเราไม่เอาธรรมะ ไม่เอาความยุติธรรมไม่เอาธรรมเป็นหลัก สังฆเภทก็จะเป็นมหาสังฆเภท ยิ่งไปกันใหญ่
คนเราต้องมีโครงสร้างในจิตใจ พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้เเล้วมาบอก โครงสร้างให้ดำเนินชีวิตสู่หนทางอันประเสริฐ เรียกว่าอริยมรรคมีองค์ 8 มันเกี่ยวกับสภาวะความเป็นจริง อย่างเรามีครอบครัว เราต้องคิดเรื่อง DNA ฝ่ายผู้หญิง ฝ่ายผู้ชายต้องได้มาตรฐาน เพราะมันมีโครงสร้าง ลูกเราเกิดมาก็มีโครงสร้างให้เรียนหนังสือ ส่งไปเรียนในเมืองกรุงหรือต่างประเทศ อย่างนี้เรียกว่าโครงสร้าง เเต่นี้เป็นโครงสร้างภายนอก เเต่พระพุทธเจ้าท่านให้เราสร้างโครงสร้างทั้งภายนอกเเละภายในให้มันเป็นสายกลาง ถ้าโครงสร้างเราไม่ดี อาคารมันก็พัง ประเทศไหนที่มีเเผ่นดินไหว ต้องมีโครงสร้างที่ดี ถ้าโครงสร้างชีวิตไม่ดี ชีวิตก็พังเช่นกัน
โครงสร้างต้องเกิดจากการประพฤติการปฏิบัติของเรา เราดูโครงสร้างครอบครัวไหนที่พ่อเเม่วางโครงสร้างไม่ได้ ไม่ได้ทำตามพระพุทธเจ้า ไม่ได้ทำตามพระอรหันต์ ทำตามใจตัวเอง ทำตามอารมณ์ตัวเอง ครอบครัวก็ไม่มีความสุข ไม่ได้เอาความถูกต้องเป็นหลัก เเต่เอาอารมณ์เป็นหลัก มันไปไม่ได้ ต้องเริ่มจากพ่อจากเเม่ ให้ลูกให้หลานเราเติบโต ส่งไม้ผลัดให้เหมือนนักกีฬาลู่วิ่งจากรุ่นพี่สู่รุ่นน้อง เราดูโครงสร้างใครมันก็จะไปอย่างนั้น เพราะสัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม เป็นไปตามการกระทำ เพราะโครงสร้างมันไม่ดี
อย่างพระที่อยู่วัดบ้าน ไม่ว่าพระในอำเภอ พระในจังหวัด พระในเมืองกรุง ถ้าเอาอารมณ์เป็นหลัก ธรรมวินัยไม่เเข็งเเรง เหล็กเส้นไม่ใหญ่โต เหล็กอะไรไม่เเข็งเเรง สเต็งปูนไม่สูง เสาเข็มไม่ลึก มันก็เห็นเหมือนที่เรารู้ๆ อยู่ มันมาจากโครงสร้าง โครงสร้างเราเป็นสถาปนิกยังไม่พอ ต้องเข้าถึงวิศวะ เข้าถึงการประพฤติการปฏิบัติ ต่อให้เรียนมาอย่างสวยหรู ถ้าไม่มีการประพฤติการปฏิบัติก็ยังไม่ได้ ไม่เข้าถึงกฏเเห่งกรรม ยังเป็นเพียงคนรับจ้างเขียนเเบบ ไม่ใช่เจ้าของบ้าน โครงสร้างของเราต้องเป็นทั้งสถาปนิก ทั้งวิศวะกรรม เป็นผู้ที่ทำงานปฏิบัติงาน เมื่อโครงสร้างไม่ดี มันก็เป็นได้เเต่เพียงโจรห่มผ้าเหลือง เพราะพระพุทธเจ้าทำโครงสร้างไว้ พระวินัยทุกข้อ เราก็ไม่ถือพระวินัยของพระพุทธเจ้า ไม่ได้ปฏิบัติอย่างนี้ มันไม่ได้ มันเสียหาย เพราะเราเห็นเเต่ตัวอย่างเเบบอย่างที่ไม่ดี เเบบอย่างที่ไม่ได้ประพฤติไม่ได้ปฏิบัติ สายพันธุ์มันเสียหาย มันต่อไปถึงครอบครัว ไปถึงการบ้านการเมือง เพราะสายพันธุ์เเห่งความเห็นเเก่ตัวมันไม่ดี เราต้องละลายพฤติกรรมที่อยู่ในตัวเรา ทุกคนก็ทำอย่างนี้ๆ ทำพร้อมกันหมดทั้งโลก พร้อมกันได้วันเดียวเลย เพราะการสื่อสารมันถึงกัน
เราทุกคนต้องมีปัญญา เดินไป ปฏิบัติไป ให้เป็นปัจจุบัน ชีวิตของเราก็จะดี อินทรีย์บารมีแก่กล้า ไม่เสียเวลาที่มาบวชมาประพฤติปฏิบัติ เราทุกคนต้องทวนกระแสกิเลส ทวนกระแสอารมณ์ เดินไปตามธรรมะ เราถึงจะเข้าถึงพระพุทธเจ้า เข้าถึงพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า เพราะนี่คือสิ่งที่ประเสริฐที่เราควรจะได้รับ ในฐานะที่เราได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ได้มาบวชมาประพฤติปฏิบัติ การปฏิบัติของเราต้องให้มีทุกหนทุกแห่งทุกอิริยาบถ ต้องมีศีล ๕ ระดับพื้นฐาน การมีศีล ๕ บริสุทธิ์ก็เป็นคุณธรรมเบื้องต้นของพระโสดาบันนั่นแหละ ต้องพัฒนาตนเองให้ฉลาดขึ้น ข้อวัตรข้อปฏิบัติดีขึ้น พัฒนาใจขึ้นไปก็เป็นสกทาคามี ตำแหน่งอันเป็นผลของการประพฤติปฏิบัติเหล่านี้ ก็มาจากการประพฤติการปฏิบัติของเราไม่มีใครสามารถแต่งตั้งให้ได้ ขึ้นอยู่ที่ความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้องคนเราต้องฉลาด และต้องปฏิบัติดีไปพร้อมกันเป็นทางสายกลาง
พระพุทธเจ้าให้เราทุกท่านทุกคนให้พากันเห็นทุกข์เห็นภัยในวัฏสงสาร ให้เห็นเหตุแห่งทุกข์ ให้เห็นความดับทุกข์ ให้ตั้งใจประพฤติปฏิบัติ ไม่มีใครช่วยเหลือเราได้ปฏิบัติให้เราได้ นอกจากเราปฏิบัติเอาเอง เป็นอันว่าเราเป็นผู้มีบุญมีวาสนามีบารมีเป็นคนโชคดี ที่ได้ปฏิบัติตามรอยบาทขององค์พระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ให้แสงสว่างให้ความดับทุกข์ดับโศกของมหาชนทั้งหลาย ท่านเป็นผู้ที่มีเมตตาอย่างไม่มีที่สุดไม่มีประมาณ หวังว่าท่านทั้งหลายจะได้น้อมนำพระธรรมคำสั่งสอนไปเป็นแนวทางปฏิบัติด้วยกันทุกท่านทุกคน…
ด้วยอำนาจกุศลสมภารที่คณะสงฆ์หมู่ใหญ่ คณะศรัทธาสาธุชน ศิษยานุศิษย์ทั้งหลาย ได้พร้อมเพียงกันถวายปฏิบัติบูชาและทำบุญอายุวัฒนมงคล ๘๗ ปี องค์พ่อแม่ครูบาอาจารย์หลวงปู่อุทัย สิริธโร ในคราวครั้งนี้ ขอจงเป็นผลสัมฤทธิ์ให้องค์หลวงปู่มีธาตุขันธ์แข็งแรง เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรให้คณะศิษยานุศิษย์ และพุทธศาสนิกชนทั่วไป สมดังเจตนาตั้งใจของท่านทั้งหลายทุกประการ...