แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ในวันศุกร์ที่ ๑๐ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง ชีวิตใหม่ที่เลือกได้ ตอนที่ ๖๒ เข้าใจสัจธรรม คือ ความความทุกข์ และปฏิบัติเพื่อดับทุกข์อย่างถูกต้อง
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
ความสุขของเราทุกๆ คนน่ะ อยู่ที่เรามีความเห็นถูกต้อง มีความเข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง มีความเชื่อในการรักษาศีล เพราะศีลคือความสุขที่สุด ศีลนี้คือ สิ่งที่เกิดจากสัมมาทิฏฐิ ความเห็นถูกต้อง ความเข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง มนุษย์เรานี้ ต้องหยุดทำตามใจตัวเอง ทำตามอารมณ์ตัวเอง ทำตามความรู้สึกตัวเอง ต้องสงสารตัวเอง ต้องกรุณาตนเอง เพราะการเวียนว่ายตายเกิดนี้เป็นของยาก ของลำบาก ทุกคนต้องรู้จักของดีที่สุด คือศีล คือสัมมาสมาธิ ความตั้งใจมั่นชอบ ทุกคนอย่าไปใจอ่อน เราต้องมีสัมมาสมาธิ เขาเรียกว่ามีขณิกสมาธิ เป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรมในปัจจุบัน
ทุกท่านทุกคนต้องเทคแคร์ตัวเองด้วย ด้วยเอาใจตัวเองเป็นพิเศษ ด้วยยินดีในการรักษาศีล พอใจในการรักษาศีล มีความสุขในการรักษาศีล มีความสุขในสมาธิคือความตั้งมั่นในศีลน่ะ เราจะออกจากวัฏฏะสงสาร เราต้องหายาน ยานก็คือ ศีล ศีลคือเป็นบาทฐานทั้งหลายทั้งปวง ความเอร็ดอร่อย ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เราต้องรู้จัก ว่าเราบริโภค ปัจจัย ๔ ตามหลักเหตุผลตามหลักวิทยาศาสตร์ แล้วเราต้องเสียสละ เพื่อให้เป็นธรรมให้เป็นปัจจุบันธรรม ว่าพระพุทธเจ้าสงสารเรา เป็นห่วงเรา ว่าให้เราไม่ตั้งอยู่ในความเพลิดเพลิน ไม่ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท เราจะพากันเทคแคร์ตัวเอง ต้องตั้งใจตั้งเจตนา ทำติดต่อต่อเนื่อง แล้วก็เทคแคร์คนอื่น สัตว์อื่น เพราะชีวิตของเรานี้จะประเสริฐกว่านี้ได้ เราต้องรู้ว่าขยะ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างมันคือไฟต์ติ้ง ที่จะให้เราทุกคนได้ประพฤติปฏิบัติ เพราะความเป็นพระนั้นไม่ได้อยู่ที่ไหน อยู่ที่ใจเรามีสัมมาทิฏฐิ มีความเห็นถูกต้อง มีความเข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง ในปัจจุบัน คืนวันผ่านไปทุกท่านทุกคนเอากลับมาไม่ได้ คืนวันก็คือสิ่งที่พบได้จาก ทุกอย่างมันคืออนิจจัง ทุกอย่างมันคืออนัตตา ทุกอย่างนั้นมันไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน
เราทุกคนน่ะ ต้องมีความสุขในการประพฤติในการปฏิบัติ เพราะความสุขความดับทุกข์มันจะเป็นปัจจุบันอย่างนี้แหละ ข้าวของ เงินทอง ภาคยศ สรรเสริญ มันเป็นเปลือกเป็นกระพี้ มันไม่ใช่แก่นแท้ของผู้ที่ประเสริฐที่เกิดมาเป็นมนุษย์ วันหนึ่งคืนหนึ่งมีแต่ความสุขความดับทุกข์ มีแต่สัมมาทิฏฐิ ความเห็นถูกต้อง ความเข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง ในปัจจุบัน ทุกท่านทุกคนน่ะ ใครก็ช่วยเราไม่ได้ ใครก็ปฏิบัติให้เราไม่ได้ ทุกคนต้องมีความสุขในการประพฤติในการปฏิบัติ มันปฏิบัติไม่ได้ไม่มีหรอก ที่มันปฏิบัติไม่ได้คือมันเป็นมิจฉาทิฏฐิ มันเข้าใจผิด มันยังเห็นกรงจักรเป็นดอกบัว หรือเป็นความดับทุกข์เป็นทุกข์ไป ทุกท่านทุกคนต้องพากันประพฤติพากันปฏิบัติ เพราะว่าเรารู้เราทำติดต่อต่อเนื่องกันไป เราทุกคนต้องพิจารณา
ทุกข์ คือความไม่สบายกายไม่สบายใจต่างๆ พระพุทธองค์ทรงพบความจริงว่า สรรพสัตว์ทั้งหลายล้วนตกอยู่ในความทุกข์ จะเป็นมหาเศรษฐี เป็นนายกรัฐมนตรี เป็นประธานาธิบดี เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ก็มีทุกข์ทั้งนั้น ต่างแต่เพียงว่าทุกข์มากหรือทุกข์น้อย และมีปัญญาพอที่จะรู้ตัวหรือเปล่าเท่านั้น
ความทุกข์ในอริยสัจนี้แตกต่างจากความทุกข์ในไตรลักษณ์ ความทุกข์ในไตรลักษณ์นั่นหมายถึงสภาพที่ทนอยู่ไม่ได้ แต่ความทุกข์ในอริยสัจนั้นหมายถึงความทุกข์อันเกิดจากความเบียดเบียนต่างๆ นานา คือพระองค์ได้ทรงแยกแยะให้เราเห็นว่า ความทุกข์นี้มีถึง ๑๑ ประเภทใหญ่ๆ ด้วยกัน แบ่งออกเป็น ๒ ลักษณะใหญ่ๆ คือ
๑. สภาวทุกข์ ได้แก่ความทุกข์อันเป็นผลโดยตรงของความเกิด ความแก่ และความตาย ทุกข์ประเภทนี้เราไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ทุกข์ชนิดนี้มี ๓ ประการได้แก่ ชาติ การเกิด ชรา การแก่ มรณะ การตาย เพราะเมื่อเราเกิดมาแล้วก็ต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตายวิธีป้องกันความทุกข์นี้ก็คือ "ไม่เกิด"
ผู้ที่ไม่ได้ศึกษาหลักธรรมในพระพุทธศาสนา อย่างมากที่สุดก็บอกได้เพียงว่า ความแก่ ความเจ็บ ความตาย เป็นทุกข์ ส่วนการเกิดกลับถือว่าเป็นสุขเป็นพรพิเศษที่พระเจ้าทรงประทานมาจากสรวงสวรรค์ แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงทำสมาธิมามาก ทรงรู้แจ้งโลกด้วยดวงปัญญาอันสว่างไสว และชี้ให้เราเห็นว่า การเกิดนั่นแหละเป็นทุกข์ ทุกข์ตั้งแต่ต้องขดอยู่ในท้อง พอจะคลอดก็ถูกมดลูกบีบรีดดันออกมา ศีรษะนี่ถูกผนังช่องคลอดบีบจนกะโหลกเบียดซ้อนเข้าหากัน จากหัวกลมๆ กลายเป็นรูปยาวๆ เจ็บแทบขาดใจ เพราะฉะนั้นทันทีที่คลอดออกมาได้ สิ่งแรกที่เด็กทำคือร้องจ้าสุดเสียง เพราะมันเจ็บจริงๆ และการเกิดนี่เองที่เป็นต้นเหตุ เป็นที่มาของความทุกข์อื่นๆ ทั้งปวง ถ้าเลิกเกิดได้เมื่อไหร่ก็เลิกทุกข์เมื่อนั้น
อีกอย่างหนึ่งที่คนมักเข้าใจไขว้เขวกันก็คือ คิดว่าชราทุกข์จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่ออายุ ๖๐-๗๐ ปี แต่จริงๆ แล้วทันทีที่เราเริ่มเกิด เราก็เริ่มแก่แล้ว ชรา- ทุกข์เริ่มเกิดตั้งแต่ตอนนั้น และค่อยๆ เป็นมากขึ้นเรื่อยๆ เซลล์ในร่างกายเริ่มแก่ตัวไปเรื่อยๆ เรื่องนี้ขอให้เข้าใจกันเสียใหม่ด้วย
๒. ปกิณณกทุกข์ คือทุกข์จร เกิดกับแต่ละคนด้วยระดับที่ต่างกันไปไม่แน่นอน เป็นความทุกข์ที่เกิดจากจิตใจหย่อนสมรรถภาพ ไม่อาจทนต่อเหตุการณ์ภายนอกที่มากระทบตัวเราได้ ผู้มีปัญญารู้จักฝึกควบคุมใจตนเอง ก็จะสามารถบรรเทาจากทุกข์ชนิดนี้ได้ เป็นความทุกข์อันเกิดจากไม่สามารถทนต่อการกระทบของเหตุภายนอกได้ ซึ่งมีอยู่ ๘ อย่างด้วยกันคือ
๑. โสกะ ความเสียใจ ๒. ปริเทวะ อาการคร่ำครวญ
๓. ทุกขะ มีอาการเจ็บทางกายและใจ ๔. โทมนัสสะ อาการเสียใจ น้อยใจ
๕. อุปายาสะ อาการท้อแท้ใจ-กลุ้มใจ ๖. อัปปิเยหิ สัมปโยคะ ความขัดข้องหมองมัว ตรอมใจ จากการประสบสิ่งที่ไม่เป็นที่รัก ๗. ปิเยหิ วิปปโยคะ ความโศกศัลย์โศกเศร้าเมื่อพลัดพรากจากของรัก ๘. ยัมปิจฉัง น ลภติ ความหม่นหมองจากการปรารถนาสิ่งใดแล้วไม่ได้สิ่งนั้น
นี่เป็นผลจากการวิจัยความทุกข์ในทางพระพุทธศาสนาที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบ พระองค์ทรงเป็นเหมือนแพทย์ผู้ชำนาญโรค สามารถแยกแยะอาการของโรคให้เราดูได้อย่างละเอียดชัดเจน “ทุกฺขํ อริยสจฺจํ ปริญฺเญยฺยํ อริยสัจ คือทุกข์ อันเราพึงกำหนดรู้”
"ดูกรภิกษุทั้งหลาย อริยสัจคือทุกข์เป็นไฉน ได้แก่ ความเกิดเป็นทุกข์ ความแก่เป็นทุกข์ ความตายเป็นทุกข์ ความเศร้าโศก ความคร่ำครวญ ความทุกข์กาย ความทุกข์ใจ และความคับแค้นใจเป็นทุกข์ การพบกับอารมณ์ที่ไม่ชอบเป็นทุกข์ การพลัดพรากจากอารมณ์ที่ชอบเป็นทุกข์ และการไม่ได้รับอารมณ์ที่ปรารถนาเป็นทุกข์ โตยสังเขปอุปาทานขันธ์ห้าเป็นทุกข์"
พระพุทธองค์ทรงอธิบายทุกขสัจว่าเป็นความทุกข์ทางกายที่เริ่มต้นจากความเกิด ความแก่ และความตาย พร้อมด้วยความทุกข์ใจที่ไม่ประสบกับสิ่งที่ตนต้องการ เป็นตัน การแสดงทุกข์ในเรื่องนี้มิใช่มุ่งแสดงชีวิตในเชิงลบ แด่ความเข้าใจอุบัติการณ์ของทุกข์ส่งผลให้ผู้ปฏิบัติธรรมพากเพียรปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้น ดังนั้น การแสดงทุกข์จึงเป็นไปในเชิงบวก พระพุทธองค์จึงทรงเปรียบเสมือนแพทย์ผู้บอกโรค เหตุเกิดของโรค ยารักษาโรค และลักษณะการหายจากโรคแก่คนป่วย พระองค์มิใช่แพทย์ผู้บอกเฉพาะโรคแก่ผู้ป่วยแล้วมิได้รักษาให้หายจากโรคนั้น
มนุษย์คือผู้ที่ประเสริฐ เกิดมาเพื่อพระนิพพาน เพื่อมีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติให้ถูกต้อง พระพุทธเจ้าคือผู้ที่เห็นอริยสัจ 4 บำเพ็ญพุทธบารมีตั้ง 20 อสงไขยนับเวลายาวนานตั้งหลายล้านชาติ แล้วนำมาบอกมาสอนพวกเรา ศาสนาพุทธก็คือผู้รู้สภาวธรรมตามความเป็นจริง เรียกว่าอริยสัจ 4 คือ รู้ทุกข์ รู้เหตุให้เกิดทุกข์ รู้ความดับทุกข์ รู้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ รู้สภาพความเป็นจริงถึงเรียกว่าพระพุทธเจ้า พื้นฐานของผู้ที่เวียนว่ายตายเกิดคือผู้ที่ยังไม่รู้อริยสัจ 4 การดำเนินชีวิตของเราต้องรู้อริยสัจ 4 เราต้องอาศัยองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระพุทธเจ้าให้เรารู้จักอริยสัจ ๔ ทุกๆคนต้องรู้จักว่า อันนี้เป็นสภาวธรรม ทุกคนต้องมีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง จะได้ไม่ไปตาม เพราะ สิ่งเหล่านั้นไม่เป็นเรา มันเป็นสภาวธรรม เป็นแค่กระบวนการที่ติดต่อต่อเนื่อง ถ้าเรามีปัญญา มีสัมมาทิฏฐิ มันก็จะตัดในปัจจุบัน เพราะปัจจุบันเป็นการตัด มันตัดยังไงล่ะ เมื่อเรามีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้อง เราตัดด้วยอนิจจัง เพราะมันไม่แน่ไม่เที่ยง ตัดด้วยทุกขัง เพราะถ้าเราตามไป อันนี้ต้องทุกข์แน่ เพราะอันนี้เกิดขึ้น อันนี้ตั้งอยู่ เราต้องตัดไป ไปตามมันไม่ได้ เราต้องเอาศีลมาใช้ เอาสมาธิมาใช้ เอาปัญญามาใช้ในปัจจุบัน
เพราะจุดมุ่งหมายของพระพุทธศาสนานี้ ท่านให้เรามุ่งไปพระนิพพาน สิ่งที่เราดีใจ เราเพลิดเพลิน เราต้องการทุกวันนี้มันเป็นอารมณ์ของสวรรค์ อันนี้ยังไม่ใช่ศาสนาพุทธ ศาสนาพุทธมาต่อยอด ต่อยอดจากศาสนาอื่นๆ เพราะว่าอย่างพระพุทธเจ้า แต่ก่อนก็ถือศาสนาพราหมณ์ พ่อแม่บรรพบุรุษ ศาสนาพราหมณ์ก็ไปได้แค่ความสงบ ไปได้แค่พรหมโลก เราต้องตัดกรรมตัดเวรตัดภัย มันอยู่ที่ปัจจุบัน เราต้องตัดอกตัดใจ ตัดกรรมตัดเวรตัดความอาลัยอาวรณ์ในโลกนี้ออกเสียได้ ถ้าเราไม่ตัด มันก็ไปไม่ได้ สติสัมปชัญญะ ต้องเอามาใช้ มาทำงาน เราต้องไปอย่างนี้ ถ้าอย่างนั้นมันไม่มี ภาคปฏิบัติอะไรเลย อย่างคนเรา อย่างพระพุทธเจ้าบอกสอนให้ถูกแล้ว อย่างการพิจารณากายอย่างนี้ คนเราถ้าใจมันมีนิมิตในใจว่า ส่วนนี้มันไม่สะอาดอย่างนี้นะ เขาเรียกว่าจับนิมิตได้ แต่เราพยายามที่จะให้มันเป็นตัวเป็นตน เพราะว่าไม่มีตัวไม่มีตน แต่เราก็ยังดื้อดันให้มีตัวมีตน เพราะอวิชชาความหลง เพราะนิมิตทางธรรมมันไม่เกิด เพราะเราปล่อยวางธรรมะ เหมือนเราอยู่บ้านแขกมา เราก็ตามแขกไปเสียหายหมด ทิ้งบ้านทิ้งเรือนไปอย่างนี้
ให้รู้อริยสัจ ๔ อย่างแท้จริง ถึงจะรู้อย่างนี้ก็ต้องมีภาคประพฤติภาคปฏิบัติ เพราะรสของกามหรือว่ารสของความยึดมั่นถือมั่นมันเหนียวเพราะว่ามันเป็นสังโยชน์ มันถึงต้องมีศีล มีสมาธิ มันต้องมีภาคประพฤติภาคปฏิบัติ เราสังเกตดูประชาชนนี้จะใจอ่อน ทุกคนจะใจอ่อน นอกจากพระพุทธเจ้า นอกจากพระอรหันต์ ทุกคนน่ะ รักลูก สงสารลูก สงสารญาติพี่น้องวงศ์ตระกูล แม้แต่ตัวเองก็อย่างนี้ เพราะสาเหตุมาจากที่เรายังไม่รู้จักอริยสัจ ๔ ที่แท้จริง เรายังหลงในความสุขในความเป็นคนรวย หลงในความสุขที่เป็นสวรรค์ ยังถือความรวย ยังถือเงินเป็นพระเจ้า พวกเงิน พวกสตางค์ พวกความรวยนี้มันดี แต่ว่าตัวนี้มันต้องอยู่ในความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง เพื่อเราจะรู้อริยสัจ ๔ แล้วเข้าสู่ภาคปฏิบัติชัดเจน เพราะว่าคนรวย หรือว่าเทวดาอย่างนี้ จะไปเกิดเป็นมนุษย์อีก มันไม่ค่อยจะมี เพราะว่าความติดในกาม ติดในตัณหา
เพราะศาสนาในโลกทุกศาสนามันไปถึงได้แค่สวรรค์ อย่างมากก็พรหมโลก เพราะว่ายังไม่รู้อริยสัจ ๔ ที่แท้จริง ดูคนรวยวางแผนทุกอย่างเพื่ออำนวยความสะดวกสบายให้กับตัวเอง เพื่อสนองความยึดมั่นถือมั่น ความอยากความต้องการของตัวเองแล้วก็ในลูกในหลาน มันมีปัญหาปรากฏอยู่ให้เราเห็น เราทุกท่านทุกคน ชีวิตมันมีน้อยมีจำกัด เราต้องเอาธรรมเป็นที่ตั้ง เราต้องละเสียซึ่งตัวซึ่งตน ถ้าอย่างนั้นมันไปไม่ได้ ทำไมมันมีปัญญาเยอะ มันก็ไปนิพพานไม่ได้ มันจะไปได้อย่างไร เพราะว่ามันมีความยึดมั่นถือมั่นอยู่เต็มหัวใจ มันมีกามอยู่เต็มหัวใจ ปฏิบัติจนตายมันก็ไม่ได้ เราต้องรู้จักว่าความสุขความดับทุกข์มันมีหลายขั้นตอน เราต้องเป็นคนรวยอย่างฉลาด ในครอบครัวของเราในตระกูลของเรามันจะได้มีความมั่นคง
เราสังเกตอย่างนี้ พ่อแม่ก็ตามใจลูกตามใจหลาน ลูกหลานตัวเองแทบจะไม่แตะต้องเลย อำนวยความสะดวกสบาย หลงในลูกในหลาน เวลาเค้าเป็นอะไรมันแทบจะตายแทน ถ้ารู้อริยสัจ ๔ ที่แท้จริงเค้าก็ย่อมไม่ทำปาณาติบาต ย่อมไม่โกงกินคอรัปชั่น ย่อมมีความสมัครสมานสามัคคี ไม่มีการแตกแยก แม้พระคุณเจ้าที่บวชมานี้ก็ยังไม่รู้อริยสัจ ๔ นะ อย่างพระบางทีก็ไม่ได้สอนเรื่อง อริยสัจ ๔ หรอก ยังรู้ยังกลัวอีกด้วย อย่างพูดตรงไปตรงมาไปตามพระพุทธเจ้ายังตกใจเลย กลัวประชาชนรู้ธรรมมะ รู้ธรรมวินัยนี้หลอกประชาชนได้ยาก เพราะตัวเองทำไม่ได้ปฏิบัติไม่ได้
ถึงอย่างไร ทุกท่านทุกคนก็ต้องไปพระนิพพานให้ได้เนอะ เพราะการเวียนว่ายตายเกิดมันเป็นสิ่งที่สำคัญ ทุกคนก็ต้องแก้ไข พระพุทธเจ้าก่อนที่จะออกบวช เจ้าชายราหุลเกิดมาใหม่ ก็ยังตัดสินใจลาก่อน เราดูสิพวกลูกคนรวยนี้ก็พร้อมทุกอย่าง แต่มันขาดอย่างเดียว มันขาดเรื่องมีเพศสัมพันธ์ ที่ไปอยู่หอพัก คอนโด ไม่ว่าลูกใคร ทุกคนส่วนใหญ่มันไม่รู้อริยสัจ ๔ มันใจอ่อน รู้ไม่ชัดเจน
ถึงต้องพากันกันรู้อริยสัจ ๔ ชัดเจน รู้ทุกข์ รู้เหตุเกิดทุกข์ เราจะได้เอาศีลออกมาทำงาน เอาสมาธิออกมาทำงาน ส่วนใหญ่พวกนี้มันใจอ่อน ถึงสัมมาสมาธิเป็นสิ่งที่สำคัญ เน้นที่ปัจจุบัน ปัจจุบันเราต้องมีความสุขในการเสียสละ มีความสุขในความตั้งมั่น มีความสุขในศีล ในสมาธิ ในพรหมจรรย์ตามลำดับ พรหมจรรย์ระดับ ศีล ๕ ศีล ๘ ระดับศีล ๒๒๗ เป็นระดับอริยกันตศีล (ศีลที่พระเจ้าอริยะพอใจ) เป็นเจตนาที่ออกมาจากใจมันไม่ใช่ศีลธรรมธรรมดา อริยกันตศีล นั้นต้องประกอบไปด้วย อขัณฑัง (ไม่ขาด), อฉิทฺทัง (ไม่ทะลุ), อสพลัง (ไม่ด่าง), อกัมมาสัง (ไม่พร้อย), ภุชิสฺสัง (เป็นไท) เมื่อรักษาใจของตนได้ ศีลที่เป็นปกติทั้งหลายก็จะเต็มเปี่ยมบริบูรณ์ทั้งเบื้องต้น ท่านกลาง และที่สุด เมื่อมีความละอายต่อกุศล ศีลจึงบังเกิด, เมื่อศีลสมบูรณ์ สมาธิจึงเกิด, สมาธิที่มั่งคง จึงเต็มเปี่ยมไปด้วยปัญญา, ปัญญาที่กล้าแกร่งจึงมีพลังในการชำระจิตใจของตนให้ขาวสะอาด
เรามีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจนี้ เป็นอุปกรณ์ตัวผู้รู้ ในชีวิตประจำวันเราเรียนเราศึกษาอย่างนี้ ก็เพื่อเป็นอุปกรณ์เพื่อรู้ ทุกคนต้องพากันสนใจเอาใจใส่เป็นพิเศษ เราจะได้ถึงศาสนา ถึงภาคประพฤติภาคปฏิบัติ เพราะว่าคำว่าศาสนา คือตัวผู้รู้ รู้อริยสัจ 4 ถึงเป็นศาสนาพุทธ ศาสนาพุทธก้าวไกลไปถึงที่สุดคือพระนิพพาน ถ้าเราไม่รู้ก็ทำทั้งผิดทั้งถูกทั้งดีทั้งชั่ว เราก็เป็นได้แต่เพียงคน ปัจจุบันนี้เป็นสิ่งที่สำคัญ เป็นการประพฤติการปฏิบัติเพราะอดีตก็ปฏิบัติไม่ได้ อนาคตก็ปฏิบัติไม่ได้ มันอยู่ที่ปัจจุบัน ปัจจุบันเราต้องตั้งอยู่ในความไม่ประมาท พระพุทธเจ้าจะเสด็จดับขันพระนิพพาน ปัจฉิมโอวาทครั้งสุดท้ายว่า สังขารทั้งหลายทั้งปวงมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลายยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิด เพราะรูปมันก็สวย เสียงมันก็เพราะ อาหารมันก็อร่อย ที่อยู่ที่อาศัยก็สะดวกสบาย อันนี้มันเป็นมนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติหรือว่าความสุขสงบที่เป็นพรหมโลกก็ว่ายังไม่มีทุกข์อะไร แต่พวกนี้ก็ยังเวียนว่ายตายเกิด มันเป็นเพียงถนนผ่าน เราทุกคนต้องเอาพุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานมา มาเสียสละ การประพฤติปฏิบัติอยู่ในปัจจุบันที่ก้าวไป การปฏิบัตินี้ทุกแง่มุมเรียกว่าอริยมรรคมีองค์ 8
ที่ประเทศไทยเราคนส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธเพราะว่าประเทศไทยนี้ตั้งประเทศพร้อมพระพุทธศาสนาเอาหลักการหลักวิชาการของพุทธ คือเอาธรรมเป็นใหญ่เอาธรรมเป็นหลักเอาธรรมเป็นที่ตั้ง แต่เราเป็นพุทธในสำมะโนครัว แต่เรายังไม่เข้าใจ ผู้ที่มาบวชก็ยังไม่เข้าใจ ผู้ปฏิบัติประชาชนก็ยังไม่เข้าใจ ถือว่า 99.9% ยังไม่เข้าใจ เพราะเราสนใจแต่เรื่องทำมาหากิน เรื่องธุรกิจหน้าที่การงาน แล้วก็เพลิดเพลินอยู่กับสิ่งเหล่านั้น ความเป็นจริงแล้วต้องเข้าใจเรื่องธุรกิจหน้าที่การงาน เข้าใจเรื่องจิตเรื่องใจ ทำให้เราได้ปฏิบัติไปพร้อมๆกัน ไม่อย่างนั้นทำให้เราเสียโอกาสเสียเวลาไปมาก ชีวิตของเรามันเลยตกไปสู่อบายมุข อบายภูมิ มันขาดความมีพุทธเจ้าในใจ มีพระธรรมในใจ มีพระอริยสงฆ์ในใจ เราไม่ได้เข้าใจถึงอริยสัจ 4 มาแก้ปัญหา มันเลยไปสร้างปัญหา การปฏิบัตินี้ทุกศาสนาก็ไปทางเดียวกัน แต่คนเห็นแก่ตัว เพราะความหลงมันทำให้เราไม่รู้จักอริยสัจ 4 มันเลยแบ่งพรรคแบ่งพวกแบ่งก๊กแบ่งเหล่าเลย แตกความสมัครสมานสามัคคี เป็นนิติบุคคลไป ครอบครัวเราต้องเอาธรรมะเป็นหลัก ชีวิตของเราถึงจะก้าวไปด้วยสติด้วยปัญญา
ต้องเน้นที่ปัจจุบัน เพราะปัจจุบันเป็นสิ่งที่สำคัญ ศีล สมาธิ ปัญญา ต้องเอามาใช้ในปัจจุบันให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ปฏิบัติ ปริยัติ ปฏิเวธ ต้องเอามาใช้เอามาทำงานในปัจจุบัน เราอย่าเพลิดเพลินเราอย่าประมาท ทุกคนน่ะที่ยังเวียนว่ายตายเกิดก็ชื่อว่ายังเพลิดเพลินยังประมาท คนเรามันเก่งทางโลกก็จริง เก่งการเรียนการศึกษา เก่งทางหลักเหตุหลักผล ทางโลกก็เก่ง การเก่งนั้นมันเก่งเพื่อความเห็นแก่ตัว ยังไม่รู้ทุกข์ ไม่รู้เหตุให้เกิดทุกข์ ไม่รู้ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ ไม่ได้พัฒนาใจพร้อมๆกัน ความรู้ความเข้าใจก็เป็นโทษเหมือนกัน เราจะเห็นคนทำผิดส่วนใหญ่ก็จะเป็นคนที่มีความรู้มีความสามารถที่กินบ้านกินเมือง พวกที่ปกครองคณะสงฆ์ พวกที่ปกครองส่วนราชการ, การเมือง มีแต่คนเก่งๆ ทั้งนั้น แต่มันเก่งไปทางเห็นแก่ตัว พวกนี้ไม่รู้อริยสัจ 4 นะ ถ้ารู้อริยสัจ 4 เขาจะไม่ทำบาป เขาจะมีศีล 5 เอาจะเอาธรรมเป็นหลัก เอาธรรมเป็นใหญ่ เขาจะพัฒนาทั้งเทคโนโลยีพัฒนาทั้งใจไปพร้อมๆ กัน ถ้าเราไม่เอาศีลมาใช้มาทำงาน เราจะไม่มีภาคประพฤติภาคปฏิบัติเลย ถ้าเราไม่เอาสมาธิความตั้งมั่น เราจะไม่มีภาคประพฤติภาคปฏิบัติ ถ้าเราไม่เอาปัญญาเพื่อหยุดการเวียนว่ายตายเกิด ปัญญาที่เห็นภัยในวัฏฏะสงสารที่เสียสละอย่างนี้เอามาใช้เอามาปฏิบัติ มันไม่ได้เนอะ
ทุกคนอย่าไปใจอ่อน ใจอ่อนไม่ได้ เพราะมันเสียหายทั้งบ้าน เราต้องเข้าสู่ระบบความคิดที่ดี พูดดีๆ ทำดีๆ อย่างนี้แหละ เพื่อพัฒนาตัวเอง เพราะชีวิตของเรามันผ่านไป ผ่านไปแล้วนั้น มันเอากลับมาไม่ได้นะ อย่างนี้เราดูบรรพบุรุษของเราก็หายไปจากไป เราดูตัวเองมันก็เปลี่ยนแปลงมาเยอะ สุดท้ายก็ต้องจากไปใช่ไหม การเวียนว่ายตายเกิด ถ้าเรายังมีความหลงมีอวิชชาอยู่มันก็ยังมีการเวียนว่ายตายเกิด เพราะสิ่งนี้มีสิ่งนั้นมันจึงมี รับรู้เข้าถึงมนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ นิพพานสมบัติตั้งแต่ปัจจุบันนี้แหละ เพราะว่ามันต้องเดินไปทีละก้าว ทานข้าวทีละคำ ทำทีละอย่างตามอริยมรรคมีองค์ ๘ นี้ เราต้องเข้าถึงทั้งภาคประพฤติและภาคปฏิบัติ เพื่อให้เป็นศีลเป็นสมาธิ เป็นปัญญาในปัจจุบัน
เราจะติดอยู่ในสิ่งเสพติดที่เรียกว่ากามคุณ รูป เสียง กลิ่น รส ลาภ ยศ สรรเสริญ ตัวเราของเรา เราต้องเสียสละ มาเอาธรรมเป็นหลัก เอาธรรมเป็นใหญ่ ใจของเราจะได้สงบเย็นเพราะกามคุณมันไหม้เรา มันสุมเรา เมื่อไม่ได้ทำตามใจ มันก็เครียดเท่านั้นเอง มันสุดโต่ง สองทาง คือผู้ไปพระนิพพานต้องเข้าใจ เราต้องรู้จักพระนิพพาน
เรารู้จักการไม่ตามใจตัวเอง ไม่ตามอารมณ์ตัวเอง มันถึงเป็นนิพพาน
ไม่ไปทะเลาะกับใครนั้นแหล่ะ คือพระนิพพาน
การปล่อยวางก็ปล่อยในการที่แก้ปัญหาให้กับตัวเอง อย่างนี้คือพระนิพพาน
ไม่ไปจับผิดคนอื่น อย่าไปเอาดีเอาชั่วคนอื่น เขาเรียกว่าพระนิพพาน
สิ่งที่ไม่เป็นพระนิพพานคือ แตกความสามัคคีกัน ไปทะเลาะกับคนอื่น ไปตำหนิติเตียนคนอื่น อันนี้มันไม่ใช่พระนิพพาน นิพพานคือเราอย่าไปเซ่อๆเบลอๆ ไม่รู้เรื่องพระนิพพานเลย คิดไปเรื่อย ตามอารมณ์ตามความคิด มันเป็นวัฏฏะสงสาร มันไม่ใช่นิพพาน เพราะนิพพานมันไม่ใช่โง่ๆ เซ่อๆ เบลอๆ อย่างนี้ ไม่ใช่หลงอย่างนี้ เราสงสารคนที่เขาหลงในไสยศาสตร์ เครื่องรางของขลัง หมอดู เราต้องย้อนกลับมาดูของเรานี้แหล่ะ เราก็หลงในตัวตน ในอารมณ์ ในความคิด มันก็ไม่ต่างกับคนที่เขาหลงในเครื่องรางของขลังต่างๆ มันก็อันเดียวกัน เราต้องขยับมาแก้ไขตัวเอง เราจะได้รู้ตื่น เบิกบาน จักษุจะได้เกิดแก่เรา ญาณปัญญาวิชชาจะได้เกิดแก่เรา แสงสว่างจะได้เกิดแก่เรา เราอย่าพากันเสียเวลาไปอีก
วันหนึ่งๆ ผ่านไป อัตตาตัวตนมีเยอะมันจะมีประโยชน์อะไร เราจะเอาแบบคนที่เขาไม่ได้ประพฤติปฏิบัติที่เขาแต่งตั้งให้ มันไม่ใช่ เราต้องเอาจากการประพฤติปฏิบัติของเรา ที่ได้เสียสละ อยู่โคนไม้ก็สบาย อยู่เรือนว่างก็สบาย อยู่วัดบ้าน วัดป่าก็สบาย เป็นประชาชนก็สบาย เป็นพระภิกษุก็สบาย เพราะมันสบายอยู่ที่เรามีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง ชีวิตของเราจะสงบ ชีวิตของเราจะเย็น ชีวิตของเราจะได้เป็นพระเป็นสมณะ นี้มันจะเป็นพระได้ยังไงเป็นสมณะได้ยังไง เพราะเราทำตามตัวเอง ทำตามอารมณ์ตัวเอง ตามความรู้สึกอย่างนี้ ยังไปทำตามสิ่งแวดล้อมที่ตามคนโลภคนหลง เราก็ไปหลงกับเขาอีก มันไม่สมที่เขาว่าอาจารย์นู้น อาจารย์นี้ แต่งตั้งให้เป็น อาจารย์หลง อาจารย์อวิชชา อาจารย์โมหะ
แต่ก่อนเราไม่เข้าใจปล่อยให้ชีวิตของเราผ่านไปโดยไร้ประโยชน์เสียเวลา เราตามหาความสุขความดับทุกข์ แต่ว่ามันผิด มันไม่ได้เอาธรรมเป็นหลัก ไม่ได้เอาธรรมเป็นใหญ่ ไม่เอาธรรมเป็นที่ตั้ง การดำเนินชีวิตมันเป็นการทำร้ายตัวเอง ทำร้ายญาติพี่น้องวงศ์ตระกูล ด้วยเราไม่เข้าใจหลักพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าที่ประเสริฐ ชีวิตของเราก็ไม่มีความสุข ไม่มีความอบอุ่น ให้พากันเข้าใจเราจะได้พัฒนาให้มันถูก มันไม่ยากลำบาก มันอยู่ที่เข้าใจตั้งอกตั้งใจประพฤติปฏิบัติเพราะอันนี้เป็นของดี ดีจริง ดีอย่างประเสริฐ ดีอย่างไม่มีโทษ เพื่อความดับทุกข์ในที่สุด
แจกปัญญา แจกศาสนา แจกธรรมวินัย แจกสิ่งที่ถูกต้อง
เพื่อเดินตามรอยพระพุทธเจ้าร้อยเปอร์เซ็นต์
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
โดยทุกท่านสามารถติดตามเพิ่มเติมได้ที่
https://linktr.ee/watsubthawee
Share wisdom, spread Buddhism and its discipline.
Advocate righteousness to follow Lord of Buddha's footsteps 100%
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
You can receive new Dharma updates.
https://linktr.ee/watsubthawee