แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ในวันพฤหัสบดีที่ ๒ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง ชีวิตใหม่ที่เลือกได้ ตอนที่ ๕๔ พระพุทธเจ้าไม่เคยมีงบประมาณในการเผยแผ่ แต่ทรงทำด้วยความเสียสละเพื่อบุคคลอื่นเป็นที่ตั้ง
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
ธรรมะที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ หมู่มวลมนุษย์ทั้งหลายนี้ ถ้าได้ฟัง ถ้าได้ปฏิบัติตามแล้ว เค้าก็เข้าถึงความสุข ความดับทุกข์ด้วยกันหมดทุกคน การเผยแผ่พระพุทธศาสนานี้ถึงไม่มีงบประมาณในการเผยแผ่ เพราะพระพุทธเจ้านี้ไม่รับค่าจ้างรางวัลในการเผยแผ่ เพราะว่าพระพุทธเจ้าผู้เผยแผ่นั้นก็มีความสุข ผู้ได้รับฟัง ได้ปฏิบัติตามก็มีความสุข เป็นธรรมะที่ใช้ได้กับทุกเพศทุกวัย ทั้งเด็ก คนกลาง ผู้ใหญ่ ทั้งคนจน คนรวย มันเป็นความเห็นที่ถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้องในปัจจุบัน ในการดำรงชีวิตที่พระพุทธเจ้าตรัสบอกว่า อริยมรรค คือหนทางแห่งการประพฤติ การปฏิบัติ เรียกว่าอริยมรรคมีองค์ ๘ ที่มีอยู่ในใจของเราทุกๆ คน กุลบุตรลูกหลานสมัยนั้นก็พากันออกบรรพชาอุปสมบท ตั้งแต่พระมหากษัตริย์คฤหบดี พ่อค้า ประชาชน
การที่ทุกๆ คนนี้แก้ไขตัวเอง เข้าถึงเศรฐกิจพอเพียง พัฒนาวิทยาศาสตร์ และก็พัฒนาใจไปพร้อมๆ กัน เป็นผู้มีสติ มีสัมปชัญญะที่สมบูรณ์ หยุดทำตามใจตัวเอง หยุดทำตามอารมณ์ตัวเอง หยุดทำตามความรู้สึก เน้นการประพฤติการปฏิบัติอยู่ที่ปัจจุบัน นี้จึงเป็นสิ่งที่ดับทุกข์ได้ตั้งแต่ในปัจจุบันเลย ตั้งแต่ยังไม่ตาย เมื่อผู้มาบวชปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ปฏิบัติตรง ปฏิบัติเพื่อออกจากทุกข์ ย่อมได้รับผลประโยชน์จากการประพฤติ จากการปฏิบัติ ผู้สั่งสอนประชาชน สมัยพระพุทธเจ้ายังทรงดำรงพระชนม์อยู่ แทบไม่มีใครมาบวชเพื่ออาศัยพระศาสนาหาเลี้ยงชีพ เพราะพระพุทธเจ้าพูดฟังง่าย ฟังเข้าใจ และก็ดับทุกข์ให้รู้ให้เห็นในปัจจุบัน
ความดับทุกข์มนุษย์มันถึงอยู่ที่มีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติให้ถูกต้องที่ปัจจุบัน ไม่มีการรับเงินรับทอง อาหารการฉันก็ ฉันเฉพาะในปัจจุบันในแต่ละวัน ไม่เก็บอะไรไว้ ผู้ที่มาบวชต้องพากันเข้าใจ ถ้าเราไม่ทำอย่างพระพุทธเจ้า ถ้าเราไม่ทำอย่างพระอรหันต์สาวกของพระพุทธเจ้า มันก็ไม่ได้ สมัยครั้งพุทธกาล กับสมัยปัจจุบัน มันก็คือเป็นปัจจุบันเหมือนกัน มรรคผลนิพพานนั้นไม่พ้นสมัย ไม่ล้าสมัย เป็นธรรม เป็นปัจจุบันธรรม การเทศน์ของพระพุทธเจ้าไม่พูดเรื่องร่ำเรื่องรวย เรื่องผลประโยชน์ แต่ให้พากันเน้นมรรคผลนิพพานกัน ทุกๆ คนก็มีความซื่อสัตย์ ซื่อตรง หยุดมี sex ทางกายในทางที่ไม่ดี หยุดมี sex ทางวาจาในสิ่งที่ไม่ดี หยุดมี sex ทางความคิดทางอารมณ์ในสิ่งที่ไม่ดีไม่ถูกต้อง เรียกว่าธรรมะวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่ ถึงค่อยก็มาภายหลัง
นี้ก็ยังอีก ๔ วันจะครบประจำปีวันมาฆบูชา ที่พระพุทธเจ้าได้ทรงให้โอวาทเป็นหลักไว้ คือโอวาทปาฏิโมกข์ ถ้ามนุษย์เราถ้าทำตามระบบพระพุทธเจ้า มนุษย์จะเป็นผู้ที่มีความสุข เป็นผู้ที่ดับทุกข์ได้ที่สุดในโลก เพราะเราได้พัฒนาทั้งวิทยาศาสตร์ เพื่ออำนวยความสะดวกสบายและพัฒนาทั้งใจไปพร้อมๆ กัน ศาสนาพุทธนี่ถึงเป็นสิ่งที่ดีที่สุด เป็นสิ่งไปตามหลักวิทยาศาสตร์ ไม่มีไสยศาสตร์ ไสยศาสตร์ก็แปลว่าความหลง
พระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่ ถึงเริ่มที่พัฒนาจิตใจ เพื่อให้จิตใจเรามีสัมมาสมาธิ จิตใจของเราเข้มแข็ง ไก่มันฟักไข่ใช้เวลา ๓ อาทิตย์มันถึงออกลูกมาเป็นตัว เราประพฤติพรหมจรรย์เราก็ต้องอาศัยธรรมวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่เป็นยานพาหนะ เพื่อนำทางเราออกจากวัฏฏะสงสาร ใครอยู่ในสิกขาบทน้อยใหญ่นั้นถึงเป็นคนละอย่างกับกฏหมายบ้านเมือง เพราะเป็นเรื่องจิตเรื่องใจ เรื่องธรรม เรื่องคุณธรรม เราทุกคนต้องพากันมาหยุดตัวเอง มาหยุดบาป หยุดกรรม หยุดเวร หยุดภัยของตัวเองนะ เพราะตัวของเรา คือตัวของเรา ไม่มีใครมาประพฤติมาปฏิบัติให้เรา ที่เรามามีพ่อ มีแม่ มีพี่ มีน้อง ก็ช่วยเหลืออะไรเราไม่ได้ เราทุกคนต้องพากันปฏิบัติ เราเองช่วยเหลือตนเอง ไฟต์ติ้งกับตัวเอง เราเป็นสามัญชน เป็นปุถุชน เราก็พากันคิดว่า ถ้าพระไม่เก็บ ไม่รับเงิน ไม่รับสตางค์ ไม่เก็บสังฆทาน ไม่สร้างศาสนวัตถุ ศาสนาก็อยู่ไม่ได้ อันนี้เป็นความเข้าใจผิด ยิ่งเราเสียสละอย่างนี้ ทุกคนก็อยากบริการ เพราะการเห็นพระเห็นสมณะนั้นเป็นมงคล การได้พูดได้คุยกับท่านก็เป็นมงคล ต่างจากสมัยทุกวันนี้ ทุกวันนี้เห็นนักบวช ยิ่งไม่เป็นมงคล เพราะว่ามันมีแต่แบรนด์เนม มีแต่เครื่องหมาย ผู้ที่พบเห็นที่ได้สัมผัสนั้น มันทำใจยาก ทำใจไม่ได้
เราเป็นมนุษย์เราจำเป็นต้องมีบ้าน มีสถานที่ สร้างบ้าน สร้างเรือน เพื่อเป็นหลัก เป็นแหล่ง เราจำเป็นที่มีโรงเรียน มีวัด เพราะอันนี้มันเป็นเรื่องทางกาย เป็นเรื่องทางใจ ถ้าผู้บวชกลับมาประพฤติ กลับมาปฏิบัติตัวเอง มันเป็นประโยชน์ตัวเอง ประโยชน์ผู้อื่น ดังที่พระพุทธเจ้าที่ท่านตรัสปัจฉิมโอวาทว่า “สังขารทั้งหลายทั้งปวงนั้นมีความเสื่อมสิ้นเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลายจงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิด” นั่นถูกต้องยิ่งแล้ว เราก็เอาความสุขความดับทุกข์กับการที่ประพฤติปฏิบัติธรรม ประพฤติพรหมจรรย์ เราจะเอาอย่างโน้นจะเอาอย่างนี้ อย่างนี้มันไม่ใช่พรหมจรรย์ หรือการเสียสละ
มนุษย์เราถึงเป็นผู้ประเสริฐ เพราะว่าเราได้ประพฤติได้ปฏิบัติธรรม เรามาประพฤติมาปฏิบัติยิ่งประเสริฐ ปัจจุบันของเรานี้ถึงเป็นสัมมาทิฏฐิ เป็นพรหมจรรย์ เป็นขณิกสมาธิไปเรื่อยๆ ในชีวิตประจำวัน เราก็อยู่กับการทำงานตามอริยมรรคมีองค์ ๘ วันหนึ่งคืนหนึ่งก็ ๒๔ ชม. เวลานอนของเราก็ ๖ ชม. เวลาตื่นก็ ๑๘ ชม ก็คือการปฏิบัติธรรมด้วยการเสียสละ มนุษย์เราถึงเป็นผู้ที่สุขภาพจิตดี ไม่มีโรคซึมเศร้า โรคฟุ้งซ่าน บริโภคทุกอย่างด้วยสติ ด้วยปัญญา เสียสละ พัฒนาตัวเองในปัจจุบัน ผู้ที่เข้าใจในธรรมนี่ก็ยังไม่ได้เป็นระดับพระอรหันต์ เราก็ต้องปฏิบัติไปเรื่อยๆ ความดับทุกข์ของเรามันจะสมบูรณ์ เราอย่าคิดอย่างไม่ฉลาด คิดว่า โอ้...ปฏิบัติเมื่อไหร่จะได้หยุด คิดอย่างนี้มัน มันปฏิบัติเพื่อจะเอา ปฏิบัติเพื่อจะมี ปฏิบัติเพื่อจะเป็น เราจะเอาอะไร เพราะทุกอย่างมันก็ไม่ได้อะไรอยู่แล้ว มันมีแต่ผ่านมาและก็ผ่านไป มีแต่ศีล มีแต่สมาธิ มีแต่ปัญญา มันหมุนไป เพราะสิ่งนี้มี สิ่งต่อไปมันถึงมี ชีวิตของมนุษย์ถึงมีแต่ความสุข มีความดับทุกข์ เรียกว่าที่สุดแห่งความทุกข์ในปัจจุบัน เป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม
ต้องพัฒนาอย่างนี้ ธรรมะก็จะได้เอาออกมาจากใจ ออกจากพระนิพพาน เราจะไม่ต้องมีงบประมาณในการเผยแผ่ ไม่ต้องเอาใบปวารณา เพราะเราเพียงแต่ส่งไม้ผลัดสู่คนรุ่นหลังไป เผ่าพันธุ์ของมนุษย์มันก็จะเจริญงอกงาม ถ้างั้นเราก็เป็นได้แต่เพียงคน เห็นมั้ยติดสุข ติดสบาย เอาแต่ความรู้ เอาแต่ความเข้าใจ เอาแต่เรียน ไม่เอาปฏิบัติไปพร้อมๆ กัน เหมือนสมัยช่วงสุดท้ายของมหาวิทยาลัยนาลันทา มันก็ต้องถูกเผาไป เพราะว่าเค้าไม่เคารพเลื่อมใส ให้เราทำเราปฏิบัติ ใจของเราจะได้สงบ ใจของเราจะเย็น พวกที่บวชมาก็จะได้ไม่คิดแต่เรื่องก่อ เรื่องสร้าง มองหาแต่คนรวย คนมีสตางค์ เพื่อมาบำรุงในการก่อ การสร้าง ในการให้พวกนักบวชที่หลงงมงายในกามได้พากันบริโภค
งานสำหรับนักบวชก็คือพระพุทธเจ้าให้พากันพิจารณาร่างกายสู่พระไตยลักษณ์ แยกออกเป็นชิ้นเป็นส่วนให้มันชัดเจน เพื่อนิมิตทางธรรมมันจะได้เกิดขึ้น เพราะเราทุกวันนี้มันเกิดนิมิตทางโลภ ทางหลงนะ
อย่างประเทศไทยของเราพระไตรปิฎกก็เป็นหลักอยู่แล้ว แต่นี้ก็ยังไม่เพียงพอ ต้องเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ ตัวเองก็ปฏิบัติต่อเนื่อง อย่างทุกวันนี้ประเทศไทยก็ถือว่าสัปปายะ มีวัดเป็นหลักเป็นแหล่ง มันต้องแก้ที่ใจตัวเอง ต้องแก้ที่วาจาตัวเอง แก้ที่การกระทำตัวเอง ต้องอาศัยอย่างนี้นะ เพราะประเทศไทยของเราทุกคน ทุกแห่งก็ถือว่าโชคดีทุกหมู่บ้าน เพราะมีวัดอยู่แล้ว เพราะเป็นศูนย์รวมที่พากันไปอยู่วัดพากันไปปฏิบัติ อยู่วัดก็ต้องมีข้อวัตรข้อปฏิบัติ พัฒนาใจของเราเข้าสู่ศีล ศีลเป็นระบบความคิด มีเซ็กส์ทั้งอารมณ์มีเซ็กส์ทั้งความคิด เราก็หยุด… อย่างพระพุทธเจ้าก็หยุด เดรัจฉานกถา หยุดดูหนัง ฟังเพลง หยุดอ่านนิยาย เจริญอานาปานสติ ท่องพุทโธ พิจารณากรรมฐาน เพราะที่ไหนก็พิจารณาสู่พระไตรลักษณ์ ความวิเวกก็เกิดขึ้นแก่เรา ทุกวันนี้โลกทันสมัย เราก็มีวิธีป้องกันเสีย งป้องกันอะไรได้หมด อากาศร้อนก็ทำแอร์ติดแอร์ มันมีการพัฒนาได้ อยู่ในบ้านในเมือง พระอยู่ในบ้านในเมืองก็ทำได้ อยู่ที่ไหนก็ต้องได้มาตรฐานของพระพุทธเจ้า อย่าบวชเอาแบรนด์เนมใส่ผ้าเหลืองอาศัยทำมาหากิน อย่าหลอกลวงชาวบ้านเขามาก เพราะเราทำตามคนอื่นไม่ได้ ทำได้ท่านเดียวคือพระพุทธเจ้า ถ้าบอกว่าปฏิบัติไม่ได้ ปฏิบัติไม่ได้ก็อย่ามาบวช เพราะบวชอยู่ก็ถือว่าสึก เพราะลาสิกขา แปลว่า ไม่ได้ปฏิบัติตามสิกขา เราจะไปหลอกประชาชนไม่ได้ เป็นพระคือผู้ที่มีศีลผู้ที่ซื่อสัตย์ ไม่ใช่ผู้ที่หลอกพระพุทธเจ้า หลอกประชาชน
เราจะทำอย่างไรกับชีวิตของเรา เพื่อให้มีประโยชน์ต่อตนเองและผู้อื่น..? พระพุทธเจ้าท่านเมตตาบอกสอนเราว่า "สิ่งที่จะมีประโยชน์ต่อตนเองและผู้อื่น คือการไม่ทำบาปทั้งปวงและทำบุญกุศล สร้างความดี สร้างบารมี ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท"
พื้นฐานในการทำความดีได้แก่ การรักษาศีล รักษาพระวินัยทำกิจวัตร ข้อวัตรปฏิบัติ สิ่งนี้ป้องกันเราไม่ให้ทำบาปทั้งปวง ทั้งบาปเล็ก บาปกลาง บาปใหญ่ ศีลจะปิดอบาย เพราะพระพุทธเจ้าวางระบบระเบียบทั้งความคิด ทั้งคำพูด และการกระทำ
เราดูตัวอย่างครั้งพุทธกาล พระอรหันต์ พระอริยเจ้าไม่มีใครผิดศีล ไม่มีใครผิดพระวินัย วินัยเล็กๆ น้อยๆ ปฏิบัติได้อย่างหมดจด นอกจากมี 'พระอลัชชี' ที่อาศัยพระพุทธศาสนา ที่ศรัทธาประชาชนเลื่อมใสพากันแอบแฝงเข้ามาบวช
ดูตัวอย่างหลวงปู่มั่น หลวงปู่เสาร์ หลวงพ่อชา หลวงตามหาบัว เป็นต้น เรื่องศีล เรื่องพระวินัย ท่านปฏิบัติได้ทุกอย่างทุกข้อ... รู้ว่าอันไหนผิด ไม่คิด ไม่พูด ไม่ทำ พระครั้งพุทธกาล หรือหลวงปู่มั่น หลวงพ่อชา หลวงตามหาบัว เป็นต้น ท่านบวช ท่านปฏิบัติเพื่อมุ่งหวัง 'มรรคผลนิพพาน' อย่างเดียว ไม่เอาความสุขในการฉัน ในการพักผ่อน ไม่เอาความสุขในการคลุกคลีเน้นความสงบความวิเวกในการภาวนา
การประพฤติการปฏิบัติตามพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้านั้นต้องอาศัยความสงบวิเวก ต้องมีสติสัมปชัญญะอยู่กับตัวเอง ถึงจะมีหมู่คณะหลายสิบองค์ก็มีความสงบอยู่กับตัวเอง ต้องอาศัย 'สมาธิ' พอสมควร เพื่อจะได้พิจารณาชีวิตจิตใจของตัวเอง
ชีวิตที่ผ่านมานั้นมีอะไรขาดตกบกพร่องบ้าง ที่เราจะต้องแก้ไขมีสิ่งใดบ้างที่เราจะต้องเพิ่มเติม เดินจงกรมบ้าง นั่งสมาธิบ้าง ทำวัตรสวดมนต์บ้าง ทำความสะอาดกุฏิ ห้องน้ำ ห้องสุขา ทำทุกอย่างเพื่อความดี เพื่อคุณธรรม เพื่อเสียสละ เพื่อไม่เอา ไม่มี ไม่เป็น "ธรรมเหล่าใดเป็นไปเพื่อสั่งสมกองกิเลส ธรรมเหล่านั้น ไม่ใช่พระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า"
ทำทุกอย่างเพื่อบารมี เพื่อเสียสละ... แต่ก่อนทำเพื่อจะเอา เอาสิ่งของ เอาความสุข เอาหน้าเอาตา มันมีแต่จะเอา ให้เราทำเพื่อเสียสละ เพื่อปล่อยวาง ไม่มีทิฏฐิมานะ พระพุทธเจ้าท่านถึงไม่ให้เอา ถ้าเราปฏิบัติเพื่อเอานั้น 'ต้องอาบัติ'
อย่างเรารักษาศีล นั่งสมาธิ เดินจงกรม เพื่อให้คนอื่นยอมรับนี้ ก็ผิดศีลแล้ว ทำความสะอาดวัด เพื่อให้เขาเคารพเลื่อมใสนี้ ก็ผิดแล้ว
ถ้าเราไม่ทำวัตรสวดมนต์ เดินจงกรม นั่งสมาธินี้ ก็ผิดแล้ว ถ้าเราไม่กวาดวัด ดูแลเสนาสนะให้สะอาด ก็ผิดอีก พระพุทธเจ้าท่านป้องกันกิเลสทุกแง่ทุกมุม
ฉันข้าวฉันอาหารก็ให้มีสติสัมปชัญญะ เพราะข้าวนั้นพระพุทธเจ้าให้ฉันเป็นยารักษาโรค ไม่ให้เผ็ดเกิน เค็มเกิน หวานเกิน ให้ธาตุขันธ์พอเป็นไปได้ เป็นยารักษาโรค
ท่านไม่ให้ติดเรื่องฉัน... 'ติด' ก็หมายถึงชอบนั่นแหละ 'ติด' ก็คือไปไม่ได้ เหมือนรถติดหล่ม คนเป็นอัมพาต หรือคนตาบอดมันไปไม่ได้
อาหารก็ดี เครื่องนุ่งห่มก็ดี ที่อยู่อาศัยก็ดี พระพุทธเจ้าทรงสอนว่า "เป็นเพียงปัจจัยอาศัยเพื่อให้เราฝึกพัฒนาตัวเอง ทำที่สุดแห่งกองทุกข์ เพื่อพัฒนาตนเองเข้าสู่พระนิพพาน"
ทุกวันนี้ ทางโลกทางสังคมเขาพัฒนาเทคโนโลยีเรื่องความเอร็ดอร่อย รูปสวยๆ เสียงเพราะๆ อำนวยในการใช้ทุกอย่างเพื่อให้จิตใจเราเข้าถึงสวรรค์ตั้งแต่ที่เรายังไม่ตาย เป็นเหตุเป็นปัจจัยให้ทั้งพระทั้งโยมพากันหลง ไม่เห็นความสำคัญในการรักษาศีล การปฏิบัติธรรม การพัฒนาตัวเองไปสู่มรรคผลนิพพาน
จิตใจไปทางโลกน่ะ มันหยาบ มันฟุ้งช่าน หัวใจของเราเลยมุ่งอยู่กับเรื่องอยู่ เรื่องกิน เรื่องลาภ ยศ สรรเสริญ เราเลยพากันเพลินกับเรื่องทำมาหากิน เรื่องความสุข ลืมพัฒนาเรื่องศีล เรื่องสมาธิเรื่องปัญญา พระสงฆ์องค์สามเณร ผู้ปฏิบัติธรรมทั้งหลายพากันเดินทางผิด เดินคนละทาง ต้องหันหลังกลับ เดินตามพระพุทธเจ้า "เราเชื่อตัวเองมากก็มีปัญหามาก เชื่อตัวเองน้อยก็มีปัญหาน้อย"
ความสุข ความสะดวกสบาย ความเอร็ดอร่อยนั้น ไม่มีที่ยั้ง...ถมเท่าไหร่ก็ไม่เต็ม เหมือนไฟลุกอยู่ เอาเชื้อเพลิงใส่เท่าไหร่ก็ไม่ดับมีแต่ทวีคูณ ชีวิตของเราวันหนึ่งคืนหนึ่ง เดี๋ยวก็ตกนรก เดี๋ยวก็ขึ้นสวรรค์ บวกลบแล้ว ตกนรกมากกว่า
พระพุทธเจ้าถึงให้เราเดินสายกลาง ความชอบ ความไม่ชอบก็อย่าไปสน เอาธรรมวินัยเป็นหลัก
ชีวิตของเราก็เหมือนนาฬิกา เดินตามเวลาตลอด ชีวิตของเราก็ต้องเดินตามศีล ตามวินัยตลอด ไม่มีข้อแม่ใดๆ ทั้งสิ้น ถึงเวลาทำอะไรก็ทำ จะกี่วัน กี่เดือน กี่ปี ก็ทำ อย่างนี้ ชื่อว่าเป็นผู้ถือนิสัยของพระพุทธเจ้า ถือปฏิปทาของพระพุทธเจ้า
ผู้ที่เจริญปัญญา ผู้ฉลาด ต้องฝึกปล่อย ฝึกวาง ฝึกเสียสละ อย่าไปติดเรื่องอาหาร เรื่องพักผ่อน เรื่องความสะดวกสบาย มันทำให้เราไม่ฉลาด
สมาธิของเรามันต้องแข็งแรง ไม่ขึ้นกับรูป เสียง กลิ่น รส ลาภ ยศ สรรเสริญ ต้องขึ้นกับธรรมวินัย ข้อวัตรปฏิบัติ ถ้าเราไม่ปฏิบัติอย่างนี้ เราจะไม่มีหลักการ ไม่มีจุดยืน ยิ่งบวชนาน เข้าวัดนาน ก็ยิ่งโง่มาก เพราะไม่ทำตามพระพุทธเจ้า
ถ้าผิดศีล เราก็เห็นแก่ตัว เราไม่เอาจริงเอาจัง ไม่ละตัวตน การบวชของเราก็ถือว่า 'แอบแฝงบวช' ถึงแม้มีศรัทธาในการบวช แต่สมาธิไม่แข็งแรง อ่อนแอ
พระพุทธเจ้าท่านสอนเราให้มีสมาธิแข็งแรง ไม่ให้หลงทางโลกทางวัตถุ ถึงแม้เราจะปลงผม นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ แต่จิตใจของเรามันก็ยังไม่เป็น 'พระ' เพราะใจยังติด ยังหลง ยังมีทิฏฐิมานะมาก ความประพฤติของเรายังไม่ใช่ ไม่ถูก ถ้าเราไม่ตั้งใจปฏิบัติเพื่อ 'มรรคผลนิพพาน' ปฏิปทาเราย่อมย่อหย่อน คำเทศน์คำสอนที่บริสุทธิ์ก็กลายเป็นทางอามิสบูชา มันไม่ใช่ปฏิบัติบูชา "เป็นพระ เป็นสมณะ พระพุทธเจ้าท่านให้ปฏิบัติบูชา ไม่ให้เอาอามิสบูชา ไม่ให้เราบูชาอามิส"
เราบวชหลายพรรษา เราต้องเดินอยู่ข้างหน้าเขา เวลาบิณฑบาต เราทำอะไรก็อยู่ข้างหน้า ถ้าเราเป็นผู้ทุศีล ศีลด่างพร้อย คนเดิมตามหลัง นั่งฉันข้างหลัง ก็ไม่มีความสุข เขาฝืนใจกราบ ฝืนใจไหว้
ให้ทุกคนมาคิดดูว่า..."ชีวิตของเราต้องสร้างประโยชน์ตน คือพระนิพพาน ไม่ใช่มาสร้างอามิส"
จิตใจของคนเราทุกคนมันอยากไปข้างนอก ทุกคนมันอยากไปเที่ยวนั่นเที่ยวนี่ วันหนึ่งๆ กิเลสมันเผา มันอยู่กับสมาธิไม่เป็น ใจไม่ได้กลับมาหาตัวเอง ใจอยู่ข้างนอก พระพุทธเจ้าให้หยุดใจตัวเอง มันอยากคิด อยากพูด อยากทำ ก็ไม่คิด ไม่พูด ไม่ทำ มันอยากไป ก็ไม่ไป เราปล่อยใจมาก บาปก็มาก กิเลสก็ใหญ่โต คุมไม่อยู่...
"วัชพืชเมื่อเล็กๆ มันก็ถอนง่าย ถ้ามันใหญ่หลายโอบน่ะ มันถอนไม่ขึ้นเลย ต้องอาศัย 'ศีล สมาธิ ปัญญา"
ถ้าเราจะเอาแต่หลบซ้าย หลบขวา หลบหน้า หลบหลัง ถ้าเราเป็นหนี้ หนี้เราก็ไม่หาย เมื่อเรายังมีกิเลส หลบไปทางไหนก็ไม่หาย เราลองคิดดู ถ้าเราผัดวันประกันพรุ่ง ก็ยิ่งทำให้เสียเวลา เมื่อเราเป็นผู้ที่บวชมานาน ปฏิปทาของเราไม่มาตรฐานเหมือนพระพุทธเจ้าตั้งไว้ ส่วนตัวก็เสียหาย ส่วนรวมก็เสียหาย
พระพุทธเจ้าถึงให้เราย้อนดูว่า... ชีวิตของเราต้องทำตัวให้มีประโยชน์ต่อตนเอง และมีประโยชน์ต่อคนอื่น
การประพฤติปฏิบัติธรรมมันต้องลงแรง ลงทุน ด้วยความยากลำบาก ถ้าไม่ได้ทำด้วยความลำบากด้วยตนเองชื่อว่าเราไม่ได้ปฏิบัติ "ศาสนาพุทธมีวัดอยู่ทุกๆ หมู่บ้านเป็นส่วนใหญ่ แต่ขาดบุคลากร คือ พระที่ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ"
เราเป็นพระกรรมฐานรุ่นใหม่ เห็นรุ่นเก่าใส่ผ้าเก่าๆ คล้ำๆ ถือบาตรใหญ่ๆ เราก็ทำตามท่านเพียงเล็กน้อย ไม่ได้เอาทั้งหมด "พระกรรมฐาน' ท่านเน้นสวดมนต์ เดินจงกรม นั่งสมาธิ ทำความเพียร" ท่านอยู่กันสงบ ๆ
แต่พระกรรมฐานรุ่นใหม่ เปลี่ยนจากความสงบเป็นความวุ่นวาย มีทั้งโทรศัพท์ อินเทอร์เน็ต เฟซบุ๊ก มีทั้งคอมพิวเตอร์ มีทุกอย่างที่โลกมี ขาดอยู่อย่างเดียวคือ 'กางเกง..'
"เพราะการบวชมุ่งนิพพานน่ะเป็นของยาก"
ญาติโยมก็ได้อาศัยพระสวดมาติกาบังสุกุล ทำบุญบ้าน ทำพิธีต่างๆ พระดีบ้าง... ไม่ดีบ้าง... โยมก็พากันปลง 'ช่างหัวมัน'
ศาสนานั้นไม่เสื่อม วัดวาอารามไม่เสื่อม แต่พวกเรากำลังพากันเสื่อมจากศาสนา
พระพุทธเจ้าให้พวกเราพากันคิดดีๆ ไม่ให้พากันทำสิ่งที่ไม่ใช่คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
พระเรา เขาให้เครดิตสูง พ่อแม่ ผู้เฒ่าผู้แก่ก็กราบเรา ทุกคนต้องกราบเรา เมื่อเขาพากันกราบเรา พระพุทธเจ้าให้เราพากันมาตรวจดูว่า เราสมควรกราบหรือยัง เป็นสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้าหรือยัง...?
ถ้าเรารู้แล้ว... มรรค ๘ ก็รู้แล้ว อะไรก็รู้แล้ว แต่ไม่ยอมทำ ไม่ยอมละ ไม่ยอมปฏิบัติ หัวใจของเรามันมีแต่เปรต มีแต่ยักษ์ แต่มาร มันเข้าไปสิงหมดแล้ว มันใจกล้า หน้าด้าน ไม่ละอายต่อบาป ที่ให้โยมพ่อโยมแม่กราบ ที่ให้ผู้เฒ่าผู้แก่กราบ ให้พระเณรกราบ
"ทุกอย่างมันแก้ได้ เพียงแค่เราถือนิสัยของพระพุทธเจ้า เดินตามพระพุทธเจ้าให้ตรงทาง" แผลในใจจะค่อยหาย ค่อยตื้นขึ้น การเป็นอัมพฤกษ์อัมพาตทางใจจะดีขึ้น แข็งแรงขึ้น วัดนั้นๆ ก็จะเกิดความเจริญ สงบร่มเย็น เหมือนกับพระพุทธเจ้ายังอยู่กับเรา ถ้าเราไม่คิด...ปล่อยไปอย่างนี้แหละ ก็เหมือนกับหมีกินผึ้ง' สมาธิเราน้อย ศีลก็ด่างพร้อย ปัญญาจะคิด...จะละ...ก็นิ่งเฉย มันแก้ไม่ได้
เราอยู่ที่ไหนก็ตั้งใจปฏิบัติ ถ้าอยู่กับเพื่อน ถ้าย่อหย่อนไม่เอาเพื่อนก็ได้ เดี๋ยวจะกอดคอกันตาย จะเอาแต่ปริมาณไม่ได้ ไม่ถูกต้อง
เพราะว่าพระในวัดนั้นไม่มี มีแต่โจร มีแต่มหาโจร มีแต่กลุ่มแต่แก๊ง โจรมันอยู่ที่ไหน..? "โจรมันก็อยู่ในใจของเรา ถ้าไม่พากันพิจารณาดีๆ"
พระพุทธองค์ตรัสถึง ผู้ที่บวชเข้ามาในพระศาสนาอุปมากับท่อนไม้ลอยน้ำ
ขอยกบางส่วนของพระสูตรมาเสนอ โดยเน้นที่ถ้อยคำสำนวนบาลีที่กล่าวถึงผู้ที่บวชเข้ามาในพระศาสนาอุปมากับท่อนไม้ลอยน้ำ ซึ่งเป็นคติที่น่าคิดน่าตรึกตรอง เป็นอนุสติสำหรับบรรพชิต เป็นหลักคิดสำหรับชาวบ้าน
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับแทบฝั่งแม่คงคาในเขตเมืองโกสัมพีพร้อมภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ พระองค์ได้ทอดพระเนตรเห็นท่อนไม้ใหญ่ท่อนหนึ่งอันกระแสน้ำพัดลอยมาริมฝั่งแม่คงคา ครั้นแล้วได้ตรัสถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอเห็นหรือไม่ท่อนไม้ใหญ่โน้นอันกระแสน้ำพัดลอยมาในแม่คงคา ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า เห็นพระเจ้าข้า
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ถ้าท่อนไม้จะไม่เข้ามาใกล้ฝั่งนี้หรือฝั่งโน้น ไม่จมเสียในท่ามกลาง ไม่เกยบก ไม่ถูกมนุษย์หรืออมนุษย์จับเอาไว้ ไม่ถูกน้ำวนดูดเอาไว้ ไม่เน่าภายใน ด้วยประการดังกล่าวมานี้แล ท่อนไม้นั้นจักลอยไหลเลื่อนไปสู่ทะเลได้ ข้อนั้นเพราะเหตุไร? เพราะกระแสน้ำแห่งแม่คงคาลุ่มลาดไหลไปสู่ทะเล ข้อนี้ฉันใด
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ถ้าพวกเธอจะไม่แวะเข้าฝั่งข้างนี้หรือฝั่งข้างโน้น ไม่จมลงในท่ามกลาง ไม่เกยบก ไม่ถูกมนุษย์หรืออมนุษย์จับไว้ ไม่ถูกเกลียวน้ำวนดูดเอาไว้ ไม่เป็นผู้เน่าในไซร้ ด้วยประการดังกล่าวมานี้ พวกเธอจักโน้มน้อมเอียงโอนไปสู่นิพพานได้ ข้อนั้นเพราะเหตุไร? เพราะสัมมาทิฏฐิย่อมโน้มน้อมเอียงโอนไปสู่นิพพาน ก็ฉันนั้นเหมือนกัน
และได้ตรัสว่า ฝั่งนี้ ได้แก่ อายตนะภายในหก คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจฝั่งโน้น ได้แก่ อายตนะภายนอกหก คือ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส และธรรมารมณ์ จมในท่ามกลาง คือ นันทิราคะ ความผูกพันกับสิ่งที่มีชีวิตและสิ่งที่ไม่มีชีวิต เกยบก เป็นชื่อแห่งอัสมิมานะ ความทะนงตน
ถูกมนุษย์จับไป หมายถึง ภิกษุผู้คลุกคลี เพลิดเพลิน โศกเศร้าอยู่กับพวกคฤหัสถ์ เมื่อเขาสุขก็สุขด้วย เมื่อเขาทุกข์ก็ทุกข์ด้วย ถึงการประกอบตนในกิจการอันบังเกิดขึ้นแล้วของเขา นั่นคือ การคลุกคลีกับคฤหัสถ์อย่างไม่เหมาะสม
ถูกอมนุษย์ยึดเอาไว้ หมายถึง ภิกษุผู้ประพฤติพรหมจรรย์ ปรารถนาเป็นเทวดาหรือเทพเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งด้วยศีล ด้วยวัตร ด้วยตบะ หรือด้วยพรหมจรรย์
ถูกกระแสน้ำวนดูด ความเพลิดเพลินในกามคุณห้า
ความเป็นของเน่าในภายใน หมายถึง ภิกษุผู้ทุศีล มีธรรมอันลามก ไม่สะอาด มีความประพฤติน่ารังเกียจ มีการงานปกปิดไว้ ไม่เป็นสมณะ ก็ปฏิญาณว่าเป็นสมณะ ไม่เป็นพรหมจารี ก็ปฏิญาณว่าเป็นพรหมจารี เป็นผู้เน่าในภายใน มีใจชุ่มด้วยกาม เป็นดุจขยะมูลฝอย นั่นคือ การเสแสร้งทำเป็นผู้ทรงศีล ทั้งที่ไม่ใช่ผู้ทรงศีลโดยแท้
พระพุทธเจ้าตรัสว่า ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตนคน อื่นใครเล่าจะเป็นที่พึ่งได้ เมื่อมีตนที่ฝึกฝนดีแล้ว ย่อมได้ที่พึ่งที่ได้โดยยากคือพระนิพพาน พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้ามีชัดเจนอยู่แล้ว เราเอาพระธรรมคำสอนนั่นแหละมาประพฤติปฏิบัติ เน้นลงที่ปัจจุบัน สิ่งภายนอกให้ทุกคนตัดออกให้หมด ทิ้งอดีตอนาคต สิ่งแวดล้อมต่างๆ เราก็ตัดออกไปให้เป็นศูนย์ มาโฟกัสที่ปัจจุบันขณะ เพื่อให้เป็นธรรมะล้วนๆ ปราศจากตัวตน จึงต้องทำอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้ กายจึงจะวิเวกได้ จิตจึงจะวิเวกได้ สงบระงับสังขารการปรุงแต่งทั้งหลายจึงจะเป็นอุปธิวิเวกได้ในที่สุด