แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ในวันเสาร์ที่ ๒๕ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๖๖
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่องชีวิตใหม่ที่เลือกได้ ตอนที่ ๕๐ การถึงกระแสพระนิพพานนั้น ยิ่งกว่าเอกราชทั่วแผ่นดิน ยิ่งกว่าขึ้นสวรรคาลัย ยิ่งกว่าอธิปไตยในโลกทั้งปวง
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
พระนิพพานอยู่ที่ไหน พระนิพพานอยู่ที่เรามีความเห็นถูกต้องมีความเข้าใจถูกต้อง และปฏิบัติถูกต้อง เราทำตามใจตัวเองเราทำตามอารมณ์ตัวเอง เราทำตามความรู้สึกของตัวเอง เขาเรียกว่าคน คน นี้มันทำทั้งดีทั้งชั่ว ทำทั้งผิดทั้งถูก ยังหลงอยู่ มนุษย์คือผู้ที่มีความเห็นถูกต้องมีความเข้าใจถูกต้อง และปฏิบัติถูกต้อง เอาพระพุทธเจ้าเป็นหลัก เอาพระธรรมเป็นหลักเอาพระอริยะสงฆ์เป็นหลัก เรากลับมาหาสติสัมปชัญญะ รู้ตัวทั่วพร้อม หายใจเข้าก็รู้ชัดเจน หายใจออกก็รู้ชัดเจน หายใจเข้าสบาย หายใจออกสบาย ความสุขความดับทุกข์ของเราทุกคนนี้ คืออยู่ที่เรามีความเห็นถูกต้องมีความเข้าใจถูกต้อง และปฏิบัติถูกต้อง มีความสุขที่สุดในโลก ในการหยุดวัฏฏะสงสาร ในการหยุดพลังงานแห่งการเวียนว่ายตายเกิดของเรา
สิ่งที่ดีที่สุดนี้คือ ศีล ศีลนี้คือความเห็นถูกต้องมีความเข้าใจถูกต้อง และปฏิบัติถูกต้อง ทำตามใจตัวเอง ทำตามความรู้สึกตัวเอง ทำตามอารมณ์ตัวเอง มันเจ็บปวดนะ เราต้องกลับมาหาพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าคืออะไร พระพุทธเจ้าคือธรรมะ ธรรมะคือพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้านี้คือ ผู้รู้ ตื่น เบิกบาน เหมือนไก่ฟักไข่ใช้เวลา 3 อาทิตย์ถึงออกลูกเป็นตัว ส่วนเราจะไปพระนิพพาน เราก็เข้าสู่ยาน ยานคือศีล คือสมาธิ คือปัญญา เรียกว่าปัจจุบันเราต้องมีความเห็นถูกต้องมีความเข้าใจถูกต้องและปฏิบัติถูกต้อง
เรามีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ก็เพื่อฉลาด เราจะได้หยุดความเป็นคน พลังงานแห่งการเวียนว่ายตายเกิดมันมากนะ คนเราเนี่ย ทุกอย่างทำไปก็เพื่อจะเอา เพื่อจะมี เพื่อจะเป็น เพื่อจะไม่มี ไม่เป็น เราไม่รู้จักความคิด เราไม่รู้จักความปรุงแต่ง ความปรุงแต่งนี้เราต้องรู้จักนะ เราต้องเลือกเอาแต่สิ่งที่ดี อย่างที่พระพุทธเจ้าว่า ไม่ทำบาปทั้งปวง ทำแต่บุญแต่กุศล แล้วมันจะชัดเจนว่า โอ้ย... ทำไมมันสบายอย่างนี้ๆ เราก็ต้องมีความสุขในการคิดดีๆ คิดไม่ดีมันไม่ได้หรอก เพราะความคิดที่เรียกว่า มีเซ็กทางความคิดมีเซ็กทางอารมณ์ มันอร่อยเหลือเกิน มันอร่อยมากเลย มันหร่อย มันลำ มันแซ็บ ต้องรู้จัก พระพุทธเจ้าท่านได้ให้หมู่มวลมนุษย์ทั้งหลายมีความสุข ความดับทุกข์ไม่ได้อยู่ที่ร่ำรวย เป็นมหาเศรษฐี ความรวยมันก็แก้ปัญญาให้เราไม่ได้ เพราะมันยังเวียนว่ายตายเกิด มันอยู่ที่เรามีความคิดถูกต้อง มีความเข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง ส่วนคนรวยก็อยู่ที่เรามีความคิดถูกต้อง มีความเข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง เห็นไหมลูกของอนาถบิณฑิกเศรษฐี ได้ไปฟังธรรม ทีนี้ได้ บรรลุเป็นพระโสดดาบัน ไม่เอาตังเลย
“ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี” มีบุตรชายโทน คือ นายกาละ กับบุตรสาวอีกสามคน คือ นางมหาสุภัททา นางจุลสุภัททา และนางสุมนาเทวี
บุตรสาวทุกคนใจบุญสุนทานตามอย่างบิดาเลยทีเดียว บิดาจึงมอบให้ดูแลเกี่ยวกับการทำบุญเลี้ยงพระด้วย พระที่รับนิมนต์มาฉันบ้านเศรษฐีประจำ มีจำนวนวันละพันรูป ที่บ้านจึงต้องมีผู้คนตระเตรียมอาหารถวายพระ ยังกับมีงานมหรสพทุกวันก็ว่าได้
มหาสุภัททา ลูกสาวคนโต เป็นแม่งานใหญ่ดูแลสั่งการทุกอย่าง งานดำเนินมาด้วยความเรียบร้อยตลอดมา พอมหาสุภัททาแต่งงานออกเรือนไปแล้ว น้องสาวคนรองคือ จุลสุภัททา ได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่แทน ครั้นจุลสุภัททาแต่งงานไปอยู่กับครอบครัวพ่อแม่สามีแล้ว น้องคนสุดท้องชื่อ สุมมาเทวี รับหน้าที่แทน
มีลูกสาวก็ดีอย่างนี้แหละ แบ่งเบาภาระได้ ตัวท่านเศรษฐีนั้นไม่มีเวลาว่างเลย ไปเป็นที่ปรึกษาในกิจการงานบุญของชาวบ้านตลอดเวลา เพราะท่านเป็นผู้ใกล้ชิดพระศาสนา ใกล้ชิดพระสงฆ์ ใครจะทำบุญเลี้ยงพระ หรือจัดงานบุญอื่นๆ ต้องมาขอคำแนะนำจากท่านอนาถบิณฑิกะตลอด
งานภายในบ้านต้องมอบให้อยู่ในความรับผิดชอบของบุตรสาว แล้วบุตรชายคนโตและคนเดียวของเศรษฐีเล่า ไม่ได้ช่วยอะไรเลยหรือ
ในเบื้องต้นแล้วไม่ได้ช่วยอะไรเลย เป็นบุตรไม่เอาถ่าน เอาแต่เที่ยวเตร่เป็นเพลย์บอยตามประสาลูกมหาเศรษฐี ดีว่าสมัยโน้นไม่มีรถซิ่ง ถ้ามีแกคงซิ่งรถแข่ง ไม่มีโอกาสตายตอนแก่ (รถคว่ำตาย) ก็อาจเป็นได้
ท่านเศรษฐีเองก็ “เจ๊กอั่ก” ที่มีลูกชายไม่เอาไหน แต่ท่านก็ใจเย็น คอยหาวิธีอบรมลูกชายด้วยความอดทน สารพัดเทคนิควิธี ท่านได้คิดค้นออกมาเพื่อจะปรับเปลี่ยนนิสัยของลูกชาย แต่ก็ไม่เป็นผล ในที่สุด ท่านก็คิดได้วิธีหนึ่งขึ้นมาคือ “จ้างลูกไปฟังธรรม”
ท่านเศรษฐีนึกได้ว่า ปกติมนุษย์ที่ยังมีกิเลสอยู่ ไม่มีใครที่ปฏิเสธทรัพย์ ต้องการอยากได้ทรัพย์สมบัติทั้งนั้น เราคงจะต้องใช้ทรัพย์ทำลายความเห็นผิดของลูก คิดอย่างนั้นแล้วจึงเรียก กาละ ลูก เอาอย่างนี้ เดี๋ยวพ่อจะจ้างลูกสัก ๑๐๐ กหาปณะ ให้ลูกไปวัด รักษาอุโบสถศีล ไปแค่นี้แล้วก็กลับมา
กาละถามว่า พ่อจะให้เงินผมจริงหรือ จริงลูก ท่านเศรษฐียืนยันถึง ๓ ครั้ง ว่าเอาไปเลย ๑๐๐ กหาปณะ ถ้าลูกไปวัด ตั้งใจสมาทานอุโบสถศีล นายกาละไปวัดเพราะไม่ได้หวังบุญ แต่หวังเงิน ๑๐๐ กหาปณะ คิดในใจว่า เดี๋ยวเราจะไปเข้าเฝ้าได้ ๑๐๐ กหาปณะ ดีใจเดินอย่างเบิกบานไปวัดเชตวัน เดินไปวัด แล้วไปหาที่รื่นรมย์ หามุมสบายนอน ไม่ได้ฟังธรรม ไม่ได้คิดเรื่องบุญ เรื่องศีล พระบอกให้สมาทานอุโบสถศีลก็เอารับๆ ไปอย่างนั้นเอง ที่จริงต้องการเงินมากกว่าไปแอบนอน ณ มุมใดมุมหนึ่งในวัดพระเชตวัน ถืออุโบสถ พอถึงเช้าก็กลับบ้าน
พอเห็นลูกกลับมาก็บอกว่าให้บริวารไปรับ ไปจัดเตรียมอาหาร มีข้าวต้ม หรือมีอะไรก็เอามาเลี้ยงลูกชาย กลับจากถืออุโบสถศีลแล้ว บริวารก็นำอาหารมาให้นายกาละ นายกาละยกมือ ที่ตกลงกันไม่ใช่ตรงนี้ ถ้ายังไม่ได้ ๑๐๐ กหาปณะก็ยังไม่รับประทานอาหาร ได้รับเงินเสร็จแล้วจึงยอมรับประทานอาหาร
วันรุ่งขึ้นเศรษฐีคิดใหม่ ลูกกาละ วันนี้เอาไป ๑,๐๐๐ กหาปณะ ขอไปนั่งฟังธรรมอยู่ข้างหน้าพระบรมศาสดา แล้วเรียนมาสักข้อหนึ่ง จำให้ได้แล้วกลับมาเล่าให้พ่อฟัง นายกาละรีบไปวัดพระเชตวัน ต้องการแค่เงิน ๑,๐๐๐ กหาปณะ ไปถึงก็นั่งหน้าเลยด้วยใจเบิกบาน แล้วก็ตั้งใจว่าจะจำธรรมะเพียงข้อเดียวพอ ถ้าจำได้แล้วก็กลับเลย
นายกาละฟังธรรมด้วยความตั้งใจว่า เราจะต้องจดจำหัวข้อธรรมที่พระพุทธองค์ทรงแสดงนี้ให้ได้ พระพุทธเจ้าทรงทำให้นายกาละจำไม่ได้อีก เพื่อจะให้นายกาละเปลี่ยนความคิดว่า มาฟังธรรมะเพื่อจะเอาเงิน ๑,๐๐๐ กหาปณะ ก็ทำให้นายกาละตั้งใจฟังธรรมเพิ่มเข้าไปอีก เราต้องจำให้ได้ ธรรมดาสมัยนั้น ใครฟังธรรมด้วยความตั้งใจแล้ว ย่อมได้ชื่อว่า เป็นผู้ฟังธรรมด้วยความเคารพ
การเป็นผู้ฟังธรรมด้วยความเคารพธรรมะ คือ ความรู้แจ้งที่เกิดจากการเห็นแจ้งของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งเป็นข้อปฏิบัติ หรือสิ่งที่เราจะได้เรียนรู้ว่า มีอะไรบ้างเกี่ยวกับความเป็นจริงของชีวิตแล้วจะปฏิบัติอย่างไร เพื่อจะให้บรรลุวัตถุประสงค์ตรงนั้น ถ้าไม่ตั้งใจฟังชื่อว่า ไม่ได้ทำความเคารพในธรรม ผู้ที่ตั้งใจฟังธรรมด้วยความเคารพ ย่อมส่งผลให้บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบัน เป็นต้น
พระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมลุ่มลึกไปตามลำดับ แล้วสูงขึ้นไปเรื่อยๆ แสดงธรรมสูงขึ้นไปจากท้องทะเลไล่ไปถึงชายหาด ถึงพื้นราบ ถึงเชิงเขา ถึงยอดดอย เพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ ฟังเพลิน เพราะว่าอยู่ในหัวข้อเดียวกันไม่จบสักที ฟังเรื่อยๆ สบายอกสบายใจ เลยได้บรรลุเป็นพระโสดาบัน ตอนนี้นายกาละเป็นโสดาบันแล้ว
พอวันรุ่งขึ้น นายกาละได้กลับมาที่บ้านของตนพร้อมด้วยพระบรมศาสดา และเหล่าพระสาวก ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีเห็นบุตรชายของตนก็รู้สึกชอบใจในอาการของบุตรมาก และคิดว่าวันนี้ลูกของเรามีหน้าตาผ่องใสเป็นพิเศษ ส่วนนายกาละกลับมีความคิดว่า ขออย่าให้บิดาของเรามอบเงินให้เราต่อหน้าพระบรมศาสดาเลย เพราะว่าเราอายจังเลย ที่รับจ้างฟังธรรม และขอให้ท่านปกปิดเรื่องที่เราไปฟังธรรม และรักษาอุโบสถเพราะต้องการเงินด้วยเถิด
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงทราบอยู่แล้วว่า นายกาละไปฟังธรรมเพราะถูกบิดาจ้างไป ส่วนท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีได้สั่งบริวารจัดเตรียมข้าวต้มเพื่อเหล่าพระภิกษุสงฆ์ แล้วท่านก็ได้ถวายภัตตาหารแด่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพร้อมด้วยเหล่าพระสาวก จากนั้นท่านเศรษฐีจึงสั่งบริวารจัดเตรียมอาหารให้แก่บุตรของตน นายกาละรับประทานอาหารอย่างสงบเสงี่ยมซึ่งแตกต่างจากวันก่อน ต้องรับเงินก่อนถึงจะรับประทานอาหาร เมื่อพระพุทธองค์และเหล่าพระสาวกฉันภัตตาหารเสร็จแล้ว ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีจึงสั่งให้บริวารนำเงิน ๑,๐๐๐ กหาปณะ มาวางไว้ต่อหน้านายกาละ แล้วกล่าวว่า “ลูกกาละ นี่คือ ๑,๐๐๐ กหาปณะตามที่พ่อได้สัญญาเอาไว้”
นายกาละเห็นบิดาให้ทรัพย์ต่อหน้าพระพุทธเจ้าก็อาย จึงกล่าวว่า “ผมไม่ต้องการเงินหรอก” “รับไปเถอะลูก ก็เราตกลงกันไว้อย่างนั้น”
“โปรดได้วางไว้ตรงนั้นก่อน แล้วโปรดอย่าพูดต่อด้วย พ่อสุดที่รัก”
แต่ท่านเศรษฐีกลับกราบทูลพระพุทธองค์ว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ วันนี้ข้าพระองค์รู้สึกภูมิใจในตัวลูกชายมาก เพราะเขามีท่าทางดูดีเป็นพิเศษกว่าทุกวัน” พระบรมศาสดาทราบอยู่แล้ว แต่ก็ทรงถามเพื่อจะปรารภเหตุให้ได้แสดงธรรม “อะไรหรือท่านเศรษฐี เรื่องอะไรหรือ” เลยเน้นเข้าไปอีก
ในวันก่อนข้าพระองค์ได้บอกบุตรชายว่า “ถ้าเจ้าสมาทานอุโบสถศีลแล้วไปวัด จะให้เงิน ๑๐๐ กหาปณะ พอวันรุ่งขึ้นเขากลับมายังไม่ได้รับเงินก็ไม่ยอมรับประทานอาหาร แต่มาวันนี้ข้าพระองค์ให้เงินแก่บุตร แต่เขากลับไม่ต้องการ”
“ใช่แล้วท่านเศรษฐี บัดนี้บุตรชายของท่านได้บรรลุโสดาปัตติผล ซึ่งประเสริฐกว่าสมบัติของพระเจ้าจักรพรรดิ ประเสริฐกว่าสมบัติใดๆ ในเทวโลก ตลอดจนถึงพรหมโลก” เสร็จแล้วพระองค์ก็ตรัสคาถาสอนธรรมสั้นๆ บทหนึ่งว่า “ปฐพฺยา เอกรชฺเชน สคฺคสฺส คมเนน วา สพฺพโลกาธิปจฺเจน โสตาปตฺติผลํ วรํ ยิ่งกว่าเอกราชทั่วแผ่นดิน ยิ่งกว่าขึ้นสวรรคาลัย ยิ่งกว่าอธิปไตยในโลกทั้งปวง คือพระโสดาปัตติผล”
เรียกว่าในภพทั้ง ๓ สมบัติใดๆ ทั้งหมดไม่ประเสริฐเท่าการบรรลุธรรม เพราะบุคคลที่บรรลุโสดาปัตติผลย่อมเป็นผู้ที่ปิดประตูอบายภูมิได้ แล้วจะเกิดอีกไม่เกิน ๗ ชาติ เป็นผู้มีคติแน่นอน คือ หลุดพ้นจากวัฎฎะ ส่วนความเป็นพระเจ้าจักรพรรดิได้ปกครองทวีปทั้ง ๔ ที่อยู่รอบเขาพระสุเมรุนั่น เมื่อสวรรคตแล้วย่อมไปสู่สุคติ เสวยทิพยสมบัติ แวดล้อมด้วยเหล่านางอัปสร พร้อมบำรุงบำเรอด้วยเบญจกามคุณ แต่ก็ยังวนๆ เวียนๆ อยู่ในวัฏสงสาร ถ้าหากพระเจ้าจักรพรรดิไม่ประกอบด้วยธรรม ๔ ประการแล้ว ย่อมไม่พ้นจากนรก คือ ถ้าทำชั่วก็ยังต้องไปอบาย ย่อมไปเกิดในภูมิแห่งสัตว์เดรัจฉาน เปรต อสุรกาย อบาย ทุคติ วินิบาต พระเจ้าจักรพรรดิถ้าทำชั่วแล้วก็ต้องไปเกิดในอบายภูมิ ๔
ส่วนพระอริยสาวก แม้จะนุ่งห่มผ้าบังสุกุลจีวร ยังชีพด้วยการบิณฑบาตด้วยลำแข้งของตน นุ่งห่มผ้าที่เขาทิ้งแล้ว เอามาซัก เอามาเย็บ เอามาย้อม เอามาอธิษฐานจิต แล้วก็ยังชีพอยู่ด้วยการบิณฑบาตด้วยลำแข้งของตน แต่ท่านประกอบด้วยธรรม ๔ ประการ คือ
๑. มีความเลื่อมใสในพระพุทธเจ้า โดยระลึกถึงพระพุทธคุณ
๒. มีความเลื่อมใสในพระธรรม โดยระลึกถึงพระธรรมคุณ
๓. มีความเลื่อมใสในพระสงฆ์ โดยระลึกถึงพระสังฆคุณ
๔. มีศีลที่ไม่ขาด ไม่ทะลุ ไม่ด่าง ไม่พร้อย
อริยสาวกนั้นจึงเป็นผู้รอดพ้นจากนรก ไม่ไปเกิดในสัตว์เดรัจฉานหรือภูมิแห่งเปรต ไม่ไปเกิดในภูมิแห่งอสุรกาย ทุคติ วินิบาต
พระพุทธเจ้าท่านพูดเรื่องนรกสวรรค์ตลอด จะกล่าวตู่ว่า นรก สวรรค์ไม่มี ไม่ถูกต้อง เพราะฉะนั้นพุทธบริษัท ๔ จะต้องมีความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ เมื่อเรายังไม่เห็นก็ต้องเชื่อพระปัญญาตรัสรู้ธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปก่อน และหลังจากนั้นเราไปพิสูจน์กัน พิสูจน์ด้วยพุทธวิธี
ดังนั้น บุตรชายของท่านผู้เป็นอริยสาวก ประกอบด้วยธรรม ๔ ประการ จึงประเสริฐกว่าราชสมบัติของพระเจ้าจักรพรรดิด้วยประการทั้งปวง คือ พระองค์กำลังจะตรัสบอกกับท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีว่า ที่บุตรชายไม่รับเงิน ๑, ๐๐๐ กหาปณะ เพราะว่าบัดนี้เธอได้เป็นพระอริยบุคคล เป็นพระโสดาบันแล้ว
ในการจบพระธรรมเทศนา ชนเป็นอันมากได้บรรลุพระอริยผลทั้งหลาย มีโสดาปัตติผล เป็นต้น
ก็เป็นอันว่า ท่านเศรษฐีอนาถบิณฑิกะสามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของลูกชายได้สำเร็จ หมดเงินไปเท่าไหร่ไม่ทราบ แต่ก็คุ้ม เพราะหลังจากนั้น นายกาละ ลูกชายโทนของท่านก็เป็นอุบาสกคนสำคัญอีกคนหนึ่ง ผู้เป็นพ่อเองก็ “ตายตาหลับ” ว่าอย่างนั้นเถิด
มีลูกไม่ดีนี่ อย่าว่าแต่จะตายตาไม่หลับเลย ขณะยังไม่ตายนี่แหละ กลุ้มอกกลุ้มใจดุจไฟลน เรื่องของโลกก็อย่างนี้แหละ ไม่มีบุตรชายก็กลุ้ม เพราะค่านิยมถือว่าบุตรชายเป็นผู้สืบสกุล ถึงกับพูดว่า “แต่งงานแล้วไม่มีบุตรสืบสกุล จะตกนรกขุมปุตตะ” พอมีบุตรชายมา บุตรชายไม่เอาไหน เกเรเกตุง ก็ “ตกนรก” อีกเช่นกัน
เพราะเหตุนี้แหละ เมื่อเทวดาองค์หนึ่งมากล่าวภาษิตถวายพระพุทธองค์ว่า “คนมีบุตรย่อมเพลิดเพลินเพราะบุตร” พระองค์ตรัสว่า ไม่ถูกดอก นั่นมันมองโลกแบบโลกียชน ในสายตาของพระอริยเจ้าแล้วท่านเห็นตรงกันข้าม ท่านเห็นว่า “คนมีบุตรย่อมเศร้าโศกเพราะบุตร” ต่างหาก
เราต้องกลับมามีสติมีสัมปชัญญะนะ เราต้องกลับมาหาพระนิพพานบ้านของเรา คือสติสัมปชัญญะ คือพระพุทธเจ้า ทำไมพระพุทธเจ้าประเสริฐแท้ เสียสละเพื่อผู้อื่น คนเรามีแต่จะเอา มีแต่จะเป็น จะนอนหลับได้ไง เราต้องหยุดก่อนวัฏฏะสงสาร ต้องหยุดก่อนพลังงานเวียนว่ายตายเกิด เราหายใจเข้าก็ให้มันรู้ชัดเจน หายใจออกก็ให้มันรู้ชัดเจน หายใจเข้าสบาย หายใจออกสบาย เห็นทุกอย่างมันเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มันมาปรากฏการณ์ให้เราไฟท์ติ้งเฉยๆ เราไม่ได้ไฟท์ติ้งกับใครหรอก เราไฟท์ติ้งกับตัวเอง เราทุกคนเกิดมาเห็นหน้ากันถือว่าโชคดี เราทุกคนต้องรักกัน ไม่มีสิทธิ์ที่จะไปทะเลาะกัน เพราะว่าเราหยุดสังฆเภท จะทะเลาะกันมาหลายปี ก็ช่างหัวมัน เราก็ต้องกลับมามีสติรู้ตัวทั่วพร้อม หายใจเข้าก็รู้ชัดเจน หายใจออกก็รู้ชัดเจน หายใจเข้าสบาย หายใจออกสบาย มีความสุขในการทำงาน เพราะการทำงานคือความสุข
คนเรา ความสุขความดับทุกข์ มันอยู่ที่ปัจจุบัน ที่เรามีความคิดถูกต้อง มีความเข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง เราอย่าไปหลงความสุขทางร่างกาย เอาความสุขพัฒนาทั้งวิทยาศาสตร์พัฒนาทั้งใจไปพร้อมๆ กัน เราอย่ามาหลงขยะกัน มันเป็นบ้าขนาดไหน มาหลงขยะน่ะ ขยะก็หมายถึงตัวตน หลงในตัวตน ตัวตนคือขยะ เรื่องอะไรเราจะไปทะเลาะกับพี่กับน้อง หลวงพ่อว่าทุกคนมันเห็นแก่ตัวมากเกิน ตระกูลใหญ่ๆ ของเมืองไทยก็ทะเลาะกันทั้งนั้นเลย บางทีมาหาหลวงพ่อนี้ ตระกูลมหาเศรษฐี มาไม่พร้อมกันหรอก เพราะมันบาดหมางกัน เพราะเรื่องขยะ พ่อตายบางทีก็ หืมม... เจอกันก็ยังไม่ได้ เพราะมันเป็นสังฆเภท การทำตามใจตัวเอง ทำตามอารมณ์ตัวเอง เขาเรียกว่าระบบครอบครัว ระบบหมู่เฮา มันไม่ใช่ เราต้องเสียสละ คนเราถ้าไม่เสียสละ มันไม่รู้ว่าตัวเองติดนะ หลงประเด็นนะ ขนาดตกบ้านลงมายังบอกว่าเป็น ผู้ใหญ่บ้านเลย แทนที่จะเอาไปโรงพยาบาล
สิ่งที่สำคัญคือการที่เสพติด เสพติดก็คือ หลงในตัวตนเรียกว่า ไสยศาสตร์ ความหลงทุกอย่างคือไสยศาสตร์ ไสยศาสตร์ภายนอกก็คือ หลงในวัตถุมงคล หลงในหมอดูหมอเดา เขาเรียกว่าไสยศาสตร์ ไสยศาสตร์ละเอียดคือหลงในตัวในตนนี้แหละ ให้เข้าใจ
พระศาสนาไม่ใช่นิติบุคคล ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน คือธรรมะ ธรรมะคือศาสนา ศาสนานี้ไม่ใช่โบสถ์ ไม่ใช่วิหาร ไม่ใช่เจดีดย์ คือหมู่มวลมนุษย์ มีความคิดถูกต้อง มีความเข้าใจถูกต้อง ปฏิบัคติถูกต้อง เอาทำเป็นหลักเอาธรรมเป็นใหญ่ เอาธรรมเป็นการดำเนินชีวิต คิดดีๆ พูดดีๆ ทำดีๆ เขาเรียกว่าหยุดสิ่งเสพติด ปัญหาในสังคมเยอะเลยนะ พวกสิ่งเสพติด ยาอี ยาบ้า ยาอะไรอย่างนี้ เสพติดเบอร์หนึ่งก็คือตัวตนเรานี้นะ แทนที่พี่น้องจะรักกัน บาดหมางกันอย่างนี้ เราจะบ้ากันไปถึงไหน เราต้องเข้าใจอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้ มีความสุขนะ ความเป็นพระคือการมีความคิดถูกต้อง มีความเข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง พระโสดาบัน ถึง พระอนาคามี ประชาชนเนี่ยนะ เอาธรรมเป็นหลัก เอาธรรมเป็นใหญ่ เอาธรรมเป็นที่ตั้ง ความเป็นพระก็อยู่ที่เรานี่แหละ เราจะหลงความหลง เรียกว่าไสยศาสตร์ไปเรื่อง คิดว่าจะร่ำจะรวย แต่มันนอนไม่หลับ เราต้องอยู่อย่างนี้นะ เราหน้าสวยก็ยังไม่พอหรอก เราต้องใจสวย ใจนี้ก็คือธรรมะ ธรรมะก็คือใจ ใจคือการไม่ยินดี ยินร้าย รู้จักเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ว่าโอ้ เราเนี่ยทำไมมีพระพุทธเจ้า ทำให้เราดับทุกข์ได้ขนาดนี้ เมื่อก่อนเราก็ ถ้าเขาไม่ชมเราก็เครียด เขาชมก็หลงอีก มันไม่ได้ทางสายกลาง มันไม่ใช่ใจ เราทุกคนต้องกลับมาแก้ไขตัวเอง ไฟท์ติ้งกับตัวเอง ไม่ได้สู้กับใคร เรากินข้าวทุกวันมันก็แก่อย่างนี้แหละ ไปทำคิ้ว ไปทำจมูก เจ็บคางไปหมดแล้ว
เราเกิดมาเป็นคนดี เป็นคนมีบุญเราก็ต้องต่อยอดตัวเอง คนเรามันไม่รู้ตัเองแก่หรอก หลวงพ่อเลยต้องดูคนรุ่นราวคราวเดียวกันว่า เขาแก่เท่าไหร่แล้ว เพราะใจเรา ไม่มีพุทธะ ไม่มีรู้ ตื่น เบิกบาน มันก็หลงไปเรื่อย หลงเท่าไหร่ไม่รู้จักเต็ม บ้านเท่าไหร่ก็ไม่รู้จักบ้า เป็นมหาบ้าก้ยังไม่รู้ เราต้องสู้กับตัวเองนะ สู่กับตัวเองยังไม่ได้ จะไปสู้กับคนอื่นมันบ้าขนาดไหน ศีลนี้คือเปรียบเสมือนขึ้นเครื่องบินนำเราออกจากวัฏฏะสงสาร เพราะคนเราต้องหยุดมีเซ็กทางความคิดมีเซ็กทางอารมณ์น่ะ ต้องรู้ตักตัวเองนะ เพราะแก่ๆ แล้วยังมีเซ็กทางความคิด มีเซ็กทางอารมณ์ น่าสมเพช มันต้องรู้จัก มันต้องทำอย่างนี้ติดต่อต่อเนื่อง มีสติสัมปชัญญะ มันจะได้งามในเบื้องต้น คือ ศีล สมาธิ ปัญญา ใจของเราจะมี สมาธิ เรียกว่า ขณิกสมาธิ ในปัจจุบัน ตอนค่ำตอนเย็น เราอยู่บ้านค่อยเข้าอัปปนาสมาธิ เราต้องไปนิพพาน พระพุทธศาสนาดีที่สุดในโลก ศาสนาทุกศาสนาก็คืออันเดียวกัน แต่สูงที่สุดคือ หยุดเวียนว่ายตายเกิดคือ พระพุทธศาสนา เดี๋ยวนี้น่ะ เราพากันมีปัญญาพร้อมกับโรคประสาทหน่ะ เพราะว่ามันเป็นนักปรัชญา นักจิตวิทยา เพื่อหาตังเฉยๆ เพื่อหาความหลง ไม่ใช่หาตัง มาเพิ่มความหลงหน่ะ เราต้องมาหาธรรมะ เราจะได้ขลัง จะได้ศักดิ์ จะได้สิทธิ์ ถ้าทำตามใจตัวเองมันไม่ขลังไม่ศักดิ์ ไม่สิทธิ์ มันมีแต่แย่ไปเรื่อย ถ้าเราเอาธรรมะเป็นหลักถ้าราเอาธรรมะเป็นใหญ่ เขาเรียกว่าพรหมจรรย์
เราถือว่าเราเกิดมาเพื่อมามี... 'พุทโธ' มีผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ผู้ไม่มีความทุกข์ด้วยประการทั้งปวง เราเป็นคนเป็นมนุษย์ มีพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งน่ะ เราต้องไม่มีความทุกข์ด้วยประการทั้งปวง ในตัวเราต้องมีความสุข มีความดับทุกข์ ต้องมีพระนิพพาน ครอบครัวของเรา กุลบุตรลูกหลานของเรา ต้องมีความสุข มีความอบอุ่น เพราะเราทุกๆ คนนี้สำคัญอยู่ที่ตัวเราเอง
'กรรมใครใครก่อน่ะ' เราทำดี เราปฏิบัติดี ชีวิตของเราก็พร้อมด้วยโภคทรัพย์ พร้อมด้วยอริยทรัพย์ ต้องเน้นมาหาตัวเอง เพราะทุกคนสำคัญอยู่ที่ใจน่ะ มีใจเป็นใหญ่ มีใจเป็นหัวหน้า มีใจเป็นประธาน
โลกนี้สำคัญอยู่ที่ 'ใจสงบ' เรามีความสุข มีความสงบ เราก็ไม่ติดในความสงบ เรามีสุข...เราก็ไม่ติดในความสุข เราสบาย...ก็ไม่ได้ติดในความสบาย ถ้าเราติดเราก็ไปไม่ได้ หมายถึง 'จิตใจ' เราไปไม่ได้ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างมันเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา ทุกขณะของจิต ถ้าติดก็หมายถึงเราหลงเรามีอวิชชา 'อวิชชา' ก็หมายถึง ความมืดบอด
เราฝึกไป ปฏิบัติไป อินทรีย์บารมีของเราก็จะค่อยๆ แก่กล้า เมื่อทุกท่านทุกคนปฏิบัติแล้ว ก็จะรู้ได้เฉพาะตน เราไม่ต้องไปถามใครว่า 'เราหมดกิเลสหรือยัง' ทุกท่านทุกคนก็รู้ด้วยตัวเองน่ะ การประพฤติการปฏิบัตินี้ ไม่มีใครแต่งตั้งกันได้ ทุกท่านทุกคนจะรู้ได้ด้วยตนเอง
ให้ทุกท่านทุกคน... ให้เข้าใจเรื่อง 'ปฏิบัติ' เหมือนพระพุทธเจ้าสอนนี้ เราจะได้เน้นเข้าหาชีวิตจิตใจของตัวเอง จะได้เข้าใจในเรื่องพระศาสนาที่แท้จริง จะได้ไม่พากันหลง จะได้พากันมาแก้ มาปฏิบัติในปฏิปทา เดินตามรอยของพระพุทธเจ้า ให้พากันมาเน้นเรื่อง... 'ความเข้มแข็งทางจิตใจ' ทุกท่านทุกคนส่วนใหญ่ที่ยังเวียนว่ายตายเกิดอยู่นี้ ถือว่าจิตใจยังไม่เข้มแข็งนะ 'ถือว่าจิตใจยังเด็กๆ' จิตใจยังมีความท้อแท้ ยังมีความหวาดหวั่น ยังห่วงหาอาวรณ์อยู่
พระพุทธเจ้าท่านถึงพูดเรื่องการตัดสังโยชน์ ๓ ถึงจะเข้าถึงคุณธรรมของพระโสดาบัน ตัดสังโยชน์ ๕ เป็นคุณธรรมของพระอนาคามี ตัดสังโยชน์ ๑๐ น่ะเป็นคุณธรรมของพระอรหันต์ "ถ้าเราไม่แข็ง ไม่คมจริง ไม่หนักแน่นจริงน่ะ เราไม่สามารถที่จะตัดได้ ละได้"
อริยมรรคมีองค์ ๘ ถึงไปเน้น 'มรรคสุดท้าย' คือ สัมมาสมาธิ... สัมมาสมาธินี้ คือ การอบรมบ่มอินทรีย์ มีทั้งขันติ มีทั้งความเพียร มีทั้งอดทน เพื่ออบรมบ่มอินทรีย์ ทิ้งทางจิตใจหมด เน้นคุณธรรมไม่เอาวัตถุเป็นที่ตั้ง เรียกว่า อามิสต่างๆ นี้ไม่สามารถครอบงำหัวใจเราได้
ต้องหนักแน่น ต้องเข้มแข็ง ต้องตัด ต้องละ ต้องทิ้ง เราจะได้เดินตามรอยของพระพุทธเจ้า และพระอรหันต์ทั้งหลาย เพราะว่า... การเวียนว่ายตายเกิดนี้ ถือว่าเป็นภาระหนักเป็นภาระใหญ่ ถึงจะเอร็ดอร่อยถึงจะสะดวกสบาย ที่มันเป็นรางวัลเพียงเล็กน้อย ที่มันทำให้เราท่องเที่ยวเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏสงสารนี้ เราทุกคนก็มีความจำเป็นที่จะต้องตัด
ทุกท่านทุกคนล้วนได้เกิดมาคนเดียว เวลาจากโลกนี้ ไปก็ไปคนเดียวน่ะ ถือโอกาสถือเวลาว่าชีวิตนี้มาสร้างความดี มาสร้างบารมี มาสร้างคุณธรรม