แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ในวันพฤหัสบดีที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๖๖
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง ชีวิตใหม่ที่เลือกได้ ตอนที่ ๔๘ ทำตามใจตัวเอง ทำตามอารมณ์ตัวเอง นั่นคือไสยศาสตร์ คือความหลง
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
ทุกท่านทุกคนที่เกิดมาเป็นมนุษย์คือผู้ที่ประเสริฐนะ เราต้องพากันมาประพฤติพากันมาปฏิบัติธรรม ไม่ทำตามใจตัวเองไม่ทำตามอารมณ์ตัวเองไม่ทำตามความรู้สึก เข้าสู่กฎแห่งกรรม คือธรรมะวินัย หรือว่าพรหมจรรย์ เข้าสู่กฎหมายบ้านเมืองที่มีความเป็นธรรมมีความยุติธรรม ที่มันไม่มีอบายมุข ไม่มีอบายภูมิ เพราะทุกท่านทุกคนต้องพากันจัดการตัวเอง ปฏิบัติตัวเอง เราจะอยู่ทุกหนทุกแห่ง เราต้องรู้หน้าที่ว่าเราต้องปฏิบัติธรรม คือรู้ทุกข์ รู้เหตุเกิดทุกข์ หรือข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ ที่มันเป็นกฎแห่งกรรมที่ดี แล้วก็หยุดกฎแห่งกรรมที่ไม่ดี
พระพุทธเจ้าสอนเราว่าเพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปมันถึงจะมี ถ้าสิ่งนี้มีเราจะหยุดไม่ให้มันมี เราก็หยุด ไก่มันฟักไข่มันก็ใช้เวลา ๓ อาทิตย์มันถึงจะออกลูกมาเป็นตัว เราจะหยุดวัฏฏะสงสาร เราก็ต้องเข้าสู่ระบบแห่งภาคประพฤติภาคปฏิบัติ เราจะได้จัดการกับตัวเอง โดยให้ทำให้ถูกต้อง โดยการปฏิบัติให้ถูกต้อง ต้องมีความสุขในการประพฤติ มีความสุขในการปฏิบัติ สุขภาพจิตของเราจะได้ดี สุขภาพใจของเราจะได้ดี ทุกอย่างจะได้มีคุณไม่มีโทษ ถ้าเราตามใจตัวเองตามอารมณ์ตัวเองตามความรู้สึกของตัวเองแล้วก็ มันก็เป็นได้แต่เพียงคน จะไปทำตามความหลงทำตามความไม่รู้ไม่ได้ พระพุทธเจ้าถึงบอกว่า ถ้าเราไปทำตามความไม่รู้ มันไม่ได้ พระพุทธเจ้าถึงบอกว่าถ้าเราไปทำตามความคิดทำตามอารมณ์ทำตามความไม่รู้ สำหรับพระก็ต้องอาบัติทุกกฎ สำหรับประชาชนมันก็บาปน่ะ ก็เพราะอย่างนี้แหละ ทุกคนอย่าพากันเสียเวลา ต้องเอาตัวเองเข้าสู่พรหมจรรย์ ต้องเอาตัวเองเข้าสู่ความดับทุกข์ มันต้องหยุด ไม่ทำบาปทั้งปวง ทำแต่บุญทำแต่กุศล ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาท
เพราะเราทำตามหลักเหตุหลักผล ตามหลักวิทยาศาสตร์ เราก็รวยก็เฮงอยู่แล้ว อย่าไปหลงในความเป็นคนรวย อย่าไปหลงกับความเป็นเทวดา อย่าไปหลงในความสงบที่เราจะได้รับผลน่ะ เพราะทุกอย่างมันตั้งอยู่ที่กฎพระไตรลักษณ์ตั้งอยู่ในกฎอนิจจังไม่แน่ไม่เที่ยง ตั้งอยู่ในกฎอนัตตาไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน เราจะหลงไม่ได้ เราจะไปหลงไม่ได้ เราต้องมีพุทธคือผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบาน เราทุกคนต้องมีความสุขในการเสียสละ เราต้องจัดการกับตัวเองต้องปฏิบัติกับตัวเอง มีความสุขในปัจจุบันนะ หยุดมีเซ็กทางความคิดมีเซ็กทางอารมณ์ที่เป็นอวิชชา ที่เป็นความหลงน่ะ เพราะเราจะไปตามอารมณ์ไม่ได้ เราต้องทำตามพระวินัย ทุกคนต้องแก้จิตแก้ใจของตัวเองนะ มันต้องทำอย่างนี้ต้องปฏิบัติอย่างนี้ เราต้องทำให้ถูกต้อง เราจะมีความหลงมีความเห็นแก่ตัวอย่างนี้ไม่ได้ เพราะเราเกิดมาเพื่อมีความเห็นถูกต้อง มีความเข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้องในปัจจุบัน
อานาปานสติ ทุกคนต้องฝึกหายใจเข้า ฝึกหายใจออกให้ชัดเจน ในทุกอิริยาบถหยาบๆ เดินยืน ทำการทำงาน หายใจเข้าให้มันฉะฉาน หายใจออกให้มันฉะฉาน ให้มันชัดเจน เพราะอิริยาบถมันหยาบ เวลาเรานั่งสมาธิใหม่ๆ ก็หายใจเข้าชัดเจน หายใจออกชัดเจน 1 นาที 2 นาที 3 นาที ใจมันก็สงบ เราก็ค่อยรู้ลมเข้ารู้ลมออก รู้เข้าออกยาวสั้น ใจของเราทุกคนต้องอยู่กับสัมมาสมาธิ ในปัจจุบัน เขาเรียกว่า ขณิกสมาธิ ในชีวิตประจำวัน เราต้องหยุดความหลง หรือว่าหยุดเวร ของตัวเอง เอาธรรมะเป็นหลักเอาธรรมะเป็นใหญ่ เรามีโอกาสมีเวลา ตอนค่ำหรือตอนเย็น สำหรับประชาชนก็ค่อยนั่งสมาธิ พักผ่อนสมอง ให้จิตใจเรามีสมาธิระดับอับปนา เข้าฌานระดับสูงไป
พระพุทธเจ้าให้เน้นอริยะมรรคมีองค์ ๘ มีความเห็นถูกต้องมีความเข้าใจถูกต้องปฏิบัติให้ถูกต้อง ทุกอะไรในปัจจุบัน คือการปฏิบัติธรรม การปฏิบัติธรรมคือการทำงาน การทำงานคือการปฏิบัติธรรม ต้องพิจารณาสู่พระไตรลักษณ์ เพราะมันเข้าถึงปัจจุบันธรรม เราจะได้ไม่หลงขยะอีก ความเป็นคนมันน่าเกลียด มันทำทั้งดีทั้งชั่ว ทำทั้งผิดทั้งถูก มันวุ่นวาย คำว่าคน มันแปลว่าวุ่นวายอยู่แล้ว คำว่าคน มันแปลว่าฟุ้งซ่านอยู่แล้ว คนว่าคน มันคืออบายมุขอบายภูมิ เราต้องเป็นมนุษย์ที่มีความเห็นถูกต้อง มีความเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง ต้องมีความสุขในการดำเนินชีวิต เผ่าพันธุ์ของความมนุษย์เราอยู่มุมโลกไหน ก็ต้องทำอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้
ศาสนาทุกศาสนาก็คือธรรมะ คือละความเห็นแก่ตัว ไม่ใช่นิติบุคคลตัวตนเราเขา ไปขลังไปศักดิ์ไปสิทธิ์อะไรหรอก พวกขลังพวกศักดิ์สิทธิ์ก็หมายถึง เราอยู่ในธรรมะวินัย มันก็ขลังมันก็ศักดิ์สิทธิ์ ทำตามใจทำตามอารมณ์ มันไม่ขลังไม่ศักดิ์สิทธิ์ ทำตามใจตัวเอง ทำตามอารมณ์ตัวเอง ทำตามความคิดตัวเอง เขาเรียกว่า ไสยศาสตร์
หลวงพ่อพุทธทาสอธิบายว่า สิ่งที่เรียกว่าไสยศาสตร์นี่มันจำเป็นสำหรับคนปัญญาอ่อน ไสยศาสตร์เป็นศาสนาของคนปัญญาอ่อน คุณอย่าปัญญาอ่อนสิ อย่าเป็นผู้ปัญญาอ่อน ไสยศาสตร์จะหมดอำนาจหมดกำลัง ถ้าคุณยังเป็นปัญญาอ่อนอยู่มันก็ยังต้องการไสยศาสตร์อย่างที่หลีกไม่ได้ช่วยไม่ได้...
มันเป็นต้นตอแห่งปัญหา ของโลกทั้งโลกเลย มันเป็นปัจจัยที่หล่อเลี้ยงอวิชชาไว้มากเหลือเกิน ไสยศาสตร์เป็นปัจจัยหล่อเลี้ยงอวิชชาไว้ให้ยังคงมีกำลังรุนแรงอยู่ตลอดเวลา
ปัญหาทางไสยศาสตร์ โลกมันถูกครอบงำอยู่ด้วยปัญหาอย่างนี้มันจึงลืมตาไม่ขึ้น แม้ว่าจะมีการศึกษา เจริญก้าวหน้าเป็นวิทยาศาสตร์ เป็นบัณฑิตเป็นอะไรกันเต็มที่แล้ว ไอ้ความรู้สึกทางไสยศาสตร์มันก็ยังอยู่ ต่อให้ไปเรียนจากเมืองนอกมีปริญญาเป็นหางมาถึงเมืองไทย ก็ยังไม่ละทิ้งไอ้ไสยศาสตร์ได้ คือ ความกลัวโดยไม่มีเหตุผล ความอยากโดยไม่รู้จักประมาณ ความเชื่อว่ามีสิ่งหนึ่งซึ่งเราไม่รู้ได้ไม่เห็นหน้าได้ไม่รู้จักได้ เป็นสิ่งที่มีอำนาจอยู่เบื้องหลัง แม้จะไปเรียนวิทยาศาสตร์จบปริญญาวิทยาศาสตร์มามันก็ไม่ละทิ้งความรู้สึกอันนี้ได้เพราะมันฝังอยู่ลึก
อาตมารู้จักด็อกเตอร์อังดรัวต์คนหนึ่งจบมาจากประเทศฝรั่งเศส สิ่งแรกที่มาถึงประเทศไทยที่เขาจะทำคือไปรดน้ำมนต์ที่วัดไหนดี เขาบอกว่าช่วยแนะให้ที จะไปรดน้ำมนต์ที่วัดไหนดี กลับมาจากเมืองนอกใหม่ๆ สิ่งที่เขาจะทำ ก็แปลว่าไอ้การศึกษาที่เมืองนอกมันไม่ช่วยแก้ไอ้ความรู้สึกแบบไสยศาสตร์ได้ นักวิทยาศาสตร์มันก็ยังงมงายในด้านจิตใจ แม้มันจะสว่างไสวในด้านวัตถุ มันยังงมงายด้านจิตใจ ฉะนั้นความหวังที่จะได้อะไรจากสิ่งที่มองไม่เห็นตัว หรือความงมงายนั้น มันก็ยังเหลืออยู่เท่าเดิม
ทำไมเราจึงปัญญาอ่อน เพราะว่าไอ้ศรัทธางมงายมันมาแย่งเอาไป แย่งรากฐานเอาไปหมด ศรัทธาที่งมงายมันมาแย่งรากฐานเอาไปหมด รากฐานของปัญญาแล้ว ปัญญามันจึงทรุดลงเป็นปัญญาอ่อน ปัญญาอ่อนอย่างนี้หมายความว่าปัญญาทางจิตทางวิญญาณ ไม่ใช่ปัญญาอ่อนทางวัตถุ เด็กๆ ทุพพลภาพ เด็กหรือสัตว์พิการสมองพิการปัญญาอ่อนอย่างนั้นไม่เกี่ยวกันกับเรื่องนี้
ปัญญาอ่อนในเรื่องนี้หมายถึงว่ามันอ่อนไปด้วยความรู้ ความถูกต้องของพระธรรม มันปัญญาอ่อนอย่างนี้ ไอ้เด็กปัญญาอ่อนที่เก็บไว้ตามโรงพยาบาลนั่นไม่เป็นไร นั่นมันเป็นธรรมชาติ มันเป็นความไม่สมประกอบของไอ้ระบบกาย แต่คนที่มีร่างกายดี กลับมีปัญญาอ่อนเพราะรู้ผิดนี่ คือสิ่งที่เป็นปัญหา ที่ทำให้โลกนี้จมอยู่ในความมืดไม่ลืมตา เราเรียกกันว่าไสยศาสตร์ ปัญญาอ่อนเท่าไร มันก็ยิ่งต้องการไสยศาสตร์มากเท่านั้นแหละ
ใครปัญญาอ่อนเท่าไร เขาจะยิ่งชอบยิ่งต้องการไสยศาสตร์มากเท่านั้นน่าเห็นใจ จะแก้ไขกันอย่างไรมันก็ต้องเพิ่มปัญญา อย่าให้อ่อนให้เป็นปัญญาแข็ง ถ้าถูกด่าว่าปัญญาอ่อนอย่าโกรธเลย ถ้าเขาหาว่าเราปัญญาอ่อนบ้างก็อย่าโกรธเลย เพราะมันอ่อนอยู่จริงๆ รีบทำให้มันกล้าแข็งเสียเถิด
ไสยศาสตร์เขาทำไปด้วยความงมงายความโง่ แต่พุทธศาสตร์ต้องทำไปด้วยสติปัญญา มาช่วยเผยแผ่ไสยศาสตร์เสียมากกว่าที่จะเผยแผ่พุทธศาสตร์ แล้วโลกนี้จะเป็นอย่างไร...
ท่านไม่ค่อยคิดกัน ไม่เคยคิด บางทีจะถือเอาประโยชน์อันนี้ เป็นการกอบโกยประโยชน์ตนไปเสียอีก มันก็หมดหวัง เดี๋ยวนี้ก็จะทำกันแต่ในทางประโยชน์ของกู กลายเป็นถือศาสนา "ตัวกู" กันหมด ทั้งฆราวาสทั้งบรรพชิตก็ไม่มีที่พึ่ง ไสยศาสตร์กลับเพิ่มขึ้น พุทธศาสตร์กลับหดลงๆ แล้วโลกนี้จะเป็นอย่างไร
การสร้างปูชนียวัตถุ ปูชนียสถาน เช่น สร้างพระพุทธรูปใหญ่ๆ สร้างพระเจดีย์ใหญ่ๆ สร้างโบสถ์วิหารใหญ่ๆ อะไรใหญ่ๆ นี่มันกลายเป็นเพิ่มกำลังให้แก่ไสยศาสตร์ ไม่เพิ่มกำลังให้แก่พุทธศาสตร์ เพราะสร้างสิ่งเหล่านั้นขึ้นมา กราบไหว้บูชา ตามหลักเกณฑ์ของไสยศาสตร์ เพื่อให้ได้กราบ ให้ได้ไหว้ ให้ได้บน ให้ได้บาน อธิษฐานแล้วก็มันก็จะได้รวย จะได้ประโยชน์ วิธีนี้เป็นไสยศาสตร์ แล้วจะไปกระทำกับพระพุทธรูป อาตมาบอกอย่างนี้ว่าคุณจะไปกระทำแก่พระพุทธรูป แก่พระเจดีย์แก่พระอะไรก็ตาม ถ้าทำโดยหลักการอย่างนี้มันเป็นไสยศาสตร์ คือโง่ก็ได้ งมงายก็ได้ ไปกราบไปไหว้ไปอ้อนวอน ก็ทำให้เป็นไสยศาสตร์ แม้แต่กระทำต่อพระพุทธรูป ต่อพระเจดีย์ ต่อพระวิหารวัดวาอาราม...
ไสยศาสตร์มันคือความหลง ทำตามใจตัวเอง ทำตามอารมณ์ตัวเอง ถ้าเป็นนักบวชก็ถือว่าเป็นอาบัติ เริ่มต้นก็คืออาบัติทุกกฎ คือมันไม่ดีไม่ถูกต้อง ประชาชนก็ถือว่าบาป เศร้าหมอง เหมือนเราไปจับอะไรเหม็นติดไม้ติดมือ มันเศร้าหมอง มันทำให้มืดมันเป็นทางตัน เขาเรียกว่ามันเป็นตัณหา หาเรื่องหาราวให้ตนเองเป็นทุกข์เฉยๆ มันเพื่อจะไปแก้ไขภายนอก มันไม่ใช่ พระพุทธเจ้าท่านให้เน้นมาแก้ไขที่ตัวเอง ทุกคนต้องแก้ไขตัวเอง อย่าให้รัฐบาลเขาออกกฎหมายบ้านเมือง อย่าให้นักปกครองเขาออกกฎหมายบ้านเมือง พวกนักการเมืองก็ต้องพากันรู้จัก อย่าพากันเป็นนักกินเมือง ทำทุกอย่างเพื่อโลภ เพื่อโกรธ เพื่อหลง นี้ไม่ใช่ เสียหายประเทศ เสียหายส่วนรวม เป็นการจัดการก็คือ ทำงานส่วนรวมก็ต้องเสียสละ มีความสุขในการเสียสละ เราทุกคนจะได้ไม่ระแวงแคลงใจกัน ต้องหยุดความโลภความหลงของตนเอง เราจะไปหลงขยะหลงอะไรไม่ได้
เพราะเราเกิดมามันก็แก่มันก็เจ็บมันก็ตาย พลัดพราก ลูกเราเกิดมามันก็รับเองความหลง รับเอาสิ่งที่มันเป็นมิจฉาทิฏฐินี้ไม่ได้ เกิดมาเพื่อมาสืบทอดมาต่อยอด เราต้องส่งไม้ผลัด เราเป็นโรคใจอ่อนไม่ได้ เพราะโรคใจอ่อนมันไม่มีสัมมาสมาธิ ไม่มีขณิกสมาธิ มันไม่มีอัปปนาสมาธิหรอก มันเสียหาย พวกนักการเมืองทั้งหลาย พวกข้าราชการทั้งหลาย พวกประชาชนจะค้าจะขายอะไรก็รู้ว่าทุกคน ทุกคนกินเพื่ออยู่เพื่อฉลาด เพื่อพัฒนาพรหมจรรย์ของเราอย่างนี้นะ เราอย่าไปหลงในความหรูหราโก้อะไร ใช้อย่างไม่ฉลาด อย่างนี้ไม่ได้
จะเป็นผู้ทรงเกียติในทางพระศาสนา เป็นผู้ทรงเกียติในการดูแลบ้านในการดูแลเมืองดูแลสังคม ทุกคนจะได้พากันมีความสุข มีความสงบ ความร่มเย็น เราต้องไม่ไปหาพระที่ไกลนะ หาพระที่เรานี้แหละ ที่มีความเห็นถูกต้อง มีความเข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้องในปัจจุบัน ประชาชนก็เป็นพระได้ ผู้ที่ไปบวช ที่ปล่อยวางทั้งหมด มันก็ต้องปฏิบัติถูกต้อง อย่ามาหลงขยะ เพราะทุกอย่างมัยนต้องจัดแจงตัวเอง ที่มีความเห็นถูกต้อง มีความเข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง ระบบแห่งความคิด ระบบกิริยามารยาทอะไร มันจัดการให้เราทุกคนสงบอยู่แล้ว ถ้าเราตามใจตัวเอง ตามอารมณ์ตัวเอง มันไม่ได้มันเสียหาย
เราทุกคนน่ะ มีปัญหาเรื่องความทุกข์ทั้งทางกาย ทั้งทางใจทุกๆ คน มีหน้าที่... มีปัญหา... ที่จะต้องแก้ทุกข์ ดับทุกข์ ปัญหาทุกข์ทางกายนั้นเป็นสัจธรรม เป็นความจริงของดิน น้ำ ลม ไฟ เป็นความแก่ เป็นความเจ็บ เป็นความตาย มันเป็นสิ่งที่แก้ไม่ได้อย่างแท้จริง มันเป็นเพียงบรรเทาทุกข์ชั่วขณะ ชั่วเวลา
พระพุทธเจ้าท่านให้เรามาแก้ปัญหา มาแก้ความทุกข์ที่จิตที่ใจของเรา คนเราทุกๆ คนนั้นพระพุทธเจ้าท่านให้แก้ที่ใจ ฝนตกเราก็มาแก้ที่ใจ แดดออกก็มาแก้ที่ใจ ทุกสิ่งทุกอย่างนั้น เราต้องมาแก้ที่ใจของเราหมด ต้องทำใจดี ใจสบาย ทำใจของเราไม่ให้มีทุกข์ ถ้าใจของเราคิด ใจของเราดิ้นรน มันก็ยิ่งทุกข์มาก เราจะไปโทษโน้นโทษนี้ มันไม่ได้
ถ้าเราไม่เกิดมา ปัญหาต่างๆ มันก็ไม่มี ถ้าเราไม่เกิดมา เราก็ไม่ต้องทานอาหาร ไม่ต้องหลับ ไม่ต้องนอน
การที่จะไม่เกิดนั้น ที่จะแก้ไขได้ พระพุทธเจ้าท่านให้เราไม่ตามความอยาก เพราะความอยากของเรานี้ ถมเท่าไรก็ไม่เคยเต็ม กองไฟ ยิ่งโลภ ยิ่งโกรธ ยิ่งหลง ก็ยิ่งทุกข์ พระพุทธเจ้าให้พวกเราพากันมีสมาธิให้มากๆ พยายามอด พยายามทน พยายามฝืน
'สมาธิ' ของเราทุกคนต้องแข็งแรง ไม่ใช่เจอสิ่งต่างๆ นั้น วิ่งตามไปหมด ไม่มีสติ ไม่มีสัมปชัญญะ ไม่มีกำลังเสียเลย
ร่างกายของเราก็มีอิทธิพลต่อเรา ดิน ฟ้า อากาศ เพื่อนฝูง หมู่คณะ สิ่งต่างๆ นั้น มันมีอิทธิพลเหนือใจเรา ถ้าเราไม่มีสมาธิ เราไม่มีสติ ไม่มีสัมปชัญญะ เราทุกคนย่อมตกอยู่ในอิทธิพลทางกาย ทางสิ่งแวดล้อมต่างๆ แน่นอน
พระพุทธเจ้าถึงให้เราทุกคนพากันฝึกสมาธิ มีสติสัมปชัญญะ อยู่กับอานาปานสติ มาอยู่กับการหายใจเข้าสบาย... หายใจออกสบาย... จะได้ไม่หลงประเด็น พยายามตั้งมั่นไว้ ตั้งหลักไว้ ฝึกหายใจเข้า-ออกให้สบายไว้ทุกอิริยาบถ เท่าที่เราคิดได้ ระลึกได้ นอกนั้นก็ให้เรามีสติสัมปชัญญะในการทำงาน และก็มีความสุขในการทำงานด้วย
เราทุกคนนั้นต้องเอาความสุข เอาความดับทุกข์ในการทำงาน ใจของเรามันมีความโลภ มีความหลงน่ะ ทำงานมันก็ไม่มีความสุข กิเลสมันฟุ้งขึ้นมาตลบอบอวลไปหมด เราพยายามข่มใจของเรา ให้มีสติสัมปชัญญะ มีความสุขกับการทำงานให้ได้ วันหนึ่งเวลาตื่นของเรามันตั้งเกือบ ๒๐ ชั่วโมง เวลานอนนิดเดียว ถ้าเราไม่มีสติสัมปชัญญะในการทำงาน ชีวิตของเรามันก็แย่ ไม่มีความสงบ...ความเยือกเย็น การทำงานถือว่าเป็นหน้าที่ เป็นการปฏิบัติธรรม
คนเราน่ะความสุข ความดับทุกข์ มันอยู่ที่ใจสงบ อยู่ที่ใจมีสมาธิ คนเราจะต้องเอาความสงบ ความดับทุกข์ในชีวิตประจำวัน
ชีวิตของเราทุกคนขึ้นอยู่ที่เหตุที่ปัจจัย พระพุทธเจ้าถึงตรัสว่า "เพราะสิ่งนี้มี สิ่งนั้นถึงมี" ระบบทางกายก็มาจากเหตุจากปัจจัย ระบบทางใจก็มาจากเหตุจากปัจจัย
กรรม คือการกระทำของตน ทางกาย ทางวาจา ทางใจ ทุกท่าน ทุกคนจะหลีกหนีไปไม่ได้ ทุกคนย่อมเป็นไปตามการกระทำของเราเอง ทุกท่านทุกคนต้องมีสติสัมปชัญญะ มาแก้ที่ใจของตัวเองให้ได้ ถ้าเราไม่แก้จิตใจของเรา เราก็เป็นคนตกนรกทั้งเป็น เราไม่ตาย เราก็ตกนรก ส่งผลให้เราวิตกกังวล ให้เราเครียด ให้เป็นโรคประสาท ให้เป็นโรคจิต
'กรรม' นั้นมันตกถึงญาติพี่น้อง คอยให้คนอื่นทุกข์กายทุกข์ใจไปด้วย ทุกๆ ท่าน ทุกๆ คนจึงมีความจำเป็น มีความสมควรที่จะต้องปฏิบัติธรรม
การปฏิบัติธรรม ก็คือ การไม่ตามใจตัวเอง ไม่ตามกิเลสตัวเอง เอาศีลเป็นที่ตั้ง 'ศีล' นั้นคือ ความไม่โลภ ไม่หลง
'ศีล' นั้นคือ อุปกรณ์ คือเทคโนโลยีที่จะทำให้เราก้าวไปในทางที่ดีที่ประเสริฐ ทุกคนต้องมีจุดยืน คือ 'ศีล'
การรักษาศีลไม่ใช่การลิดรอนสิทธิ์ของตัวเอง มันเป็นการสร้างศักยภาพให้กับตัวเอง คนเราจะเดินทางมันต้องเดินทางด้วยถนน มันจะได้ถึงจุดหมายปลายทางได้
กิเลสมันเป็นสิ่งที่ไม่จบ... เราจะไปเชื่อตนเองไม่ได้ คนเราถ้าไม่มีศีล ไม่มีธรรม ธรรมะมันก็เกิดขึ้นไม่ได้
'ศีล' นี้เป็นสิ่งที่ประเสริฐ การรักษาศีลนั้นให้เน้นมาที่ใจ ใจเน้นมาที่เจตนา
การรักษาศีล ก็คือการรักษาใจของตัวเอง การรักษาศีล ก็คือ การรักษาเจตนาของตัวเอง เพื่อฝึกตัวเองเข้าหาธรรมะ เข้าหามรรคผลพระนิพพาน
ทุกๆ ท่าน ทุกๆ คนนั้น ส่วนใหญ่ได้ปฏิบัติตามคุณพ่อคุณแม่ ตามสังคม ตามความเคยชินของตัวเอง บางอย่างก็ถูกต้อง บางอย่างก็ผิด
พระพุทธเจ้าถึงให้เราทุกๆ คน ให้เอาศีลเป็นหลัก ต้องมีความสุขในการรักษาศีล มีความสุขในการทำความดี ใจของเราต้องเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี โดยอาศัยศีลเป็นหลัก วาจาของเราก็ต้องปรับปรุงให้ดี
ส่วนใหญ่คนเราก็ตั้งอยู่ในความประมาท ไม่ระมัดระวัง เพราะวาจาคำพูดของเรานี้แหละ มันมีทั้งความสร้างสรรค์ มีทั้งความรัก มีทั้งความเมตตา ความสามัคคี มีทั้งประหัตประหาร เปรียบเสมือนลูกระเบิดพกไว้ในปาก ตั้งหลายร้อย หลายพัน หลายหมื่น เราจะพูดให้มันถึงใจของเราไม่ได้ เราต้องตั้งปณิธานไว้ว่า ชาตินี้จะไม่ทะเลาะกับใคร เราจะไม่โกหกใคร เราจะไม่ว่าไม่ด่า พูดไม่ดีกับใคร ถึงแม้เรื่องนั้นจะเป็นสิ่งที่ถูกแต่มันทำให้ไม่สงบ เราก็สมาทานจะไม่พูด
เราสมาทานตั้งมั่นไว้ว่าเราจะไม่นินทาใคร เราเคยพูดใช้สำนวนไม่ดี ไม่เรียบร้อย เราก็สมาทานพูดให้มันเพราะ...มันดี ให้มันสุภาพเรียบร้อย ถึงใจโกรธเท่าไหร่ เกลียดเท่าไหร่ เราก็จะรักษามารยาทกิริยาไม่ให้มันแสดงออกมา ถ้าเราทำอย่างนั้น ปฏิบัติอย่างนี้ ตัวเราก็มีความสุข ครอบครัวเราก็มีความสุข ไม่มีปัญหาเรื่องการเรื่องงาน ไม่มีปัญหาเรื่องหย่าร้าง ไม่มีปัญหาเรื่องเสพติดต่างๆ เพราะเราเป็นที่พึ่งของตัวเอง และเป็นที่พึ่งของคนอื่น
ทุกคนทุกท่านมาปฏิบัติธรรม ให้เรามาทบทวนคำพูดของตัวเองว่าเราทุกคนนั้นต้องมาทบทวนคำพูด ทบทวนตัวเอง เราจะได้สร้างเหตุสร้างปัจจัยของความดับทุกข์ เราพูดเพราะ พูดดี พูดสุภาพ เราไม่ต้องอายใคร
พระพุทธเจ้าให้เราพูดดี พูดเพราะสม่ำเสมอ ทั้งในครอบครัวในสังคม การพูด การทำงาน การงานของเรา เราจะต้องมีความสุขในการทำงาน ทำงานให้มีความสุข ได้ทั้งงาน ได้ทั้งเงิน ได้ทั้งความสุขทุกอย่าง
มนุษย์เรามันเกิดมาเพราะความเห็นแก่ตัว พระพุทธเจ้าท่านถึงสอนเราให้เราทุกคนมาเสียสละ ทุกคนต้องฝืน ต้องอด ต้องทน อย่าไปกลัวร้อน อย่าไปกลัวหนาว อย่าไปกลัวดำ ทำงานให้มีความสุข เสียสละอย่างดี เสียสละรับผิดชอบทั้งอยู่ที่บ้านและที่ทำงาน
คนขี้เกียจขี้คร้านสมองมันก็ทื่อ สมองมันก็ทึบ คิดอะไรไม่ออก เห็นสิ่งที่ควรจะทำ มันก็มองไม่เห็น สิ่งที่ไม่ควรทำ มันก็มองไม่เห็น
ทุกๆ ท่านทุกคนต้องสมาทานในความขยัน ในความรับผิดชอบ ไม่ใช่ทำงานหนักไม่มีเวลาพักผ่อน คนแบบนั้นเป็นคนไม่ฉลาด เห็นแก่ตัว
ถ้าเราคิดอย่างนั้น ใจของเรามันมีมิจฉาทิฏฐิอยู่ เห็นแก่ตัว พระพุทธเจ้าถึงตรัสว่า "ธรรมเหล่าใดเป็นไปเพื่อเกียจคร้าน นั้นไม่ใช่คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า"
ที่เขาให้เราเรียนหนังสือ ให้ตำแหน่งในการทำงานของเราก็เพื่อจะให้เราเป็นคนขยันรับผิดชอบ เพื่อไม่ให้เราเป็นคนเห็นแก่ตัว ถ้าเราเป็นคนขยันไม่เห็นแก่ตัว เราก็เหมาะที่จะเป็นคุณพ่อคุณแม่ เหมาะที่จะได้รับตำแหน่งที่จะควรเคารพบูชา เราจะได้เป็นที่รักของผู้หลักผู้ใหญ่ ลูกน้องพ้องบริวาร
ทุกท่านทุกคนต้องฝืน ต้องอด ต้องทน อย่าไปสนใจความขี้เกียจขี้คร้าน ฝืนมันตลอด อดมันตลอด ธุดงค์ แปลว่าฝืน แปลว่าอด แปลว่าทน ทุกคนต้องสมัครใจเอง ศรัทธาเอง เพื่อสมาทานสิ่งที่ดีๆ เพื่อเราจะได้ฝน จะได้อด จะได้ทน ถ้าเราไม่ได้ฝืน ไม่ได้อด ไม่ได้ทน นั้นมันเสียเวลา หลายคนคิดว่าการปฏิบัติธรรมมันยากลำบาก มันต้องผืน ต้องอด ต้องทน มันเป็นความเครียด มันทรมานตัวเอง คิดอย่างนั้น... มันคิดไม่ถูก เพราะ คนเราจะดับทุกข์ต้องสร้างเหตุสร้างปัจจัย
ทุกท่านทุกคน พระพุทธเจ้าท่านให้เราเป็นตัวของตัวเอง เอาศีลเป็นที่ตั้ง ที่เราได้เสียสละถือว่าเราจะได้พัฒนาตัวเอง พัฒนาครอบครัวองค์กรและประเทศชาติ เราจะได้สร้างตัวเองเป็น 'ปูชนียบุคคล' เป็นแบบอย่างของกุลบุตรลูกหลาน คุณพ่อคุณแม่ก็จะได้ภูมิใจว่าลูกของท่านเป็นลูกที่ประเสริฐ ท่านจะได้มีความสุขกาย สบายใจ
การปฏิบัติธรรมต้องมีความตั้งมั่นหนักแน่นทุกวันทุกเวลา เสมอต้นเสมอปลาย เหมือนกับลมหายใจเข้าออก คนเราต้องมีลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอ ถึงมีชีวิตอยู่ได้ การปฏิบัติธรรมก็เหมือนกันต้องปฏิบัติสม่ำเสมอคุณธรรมถึงเกิดได้ ไม่ใช่ขยันถึงทำ ไม่ขยันก็ไม่ทำ เพราะธรรมะของพระพุทธเจ้าไม่ใช่สิ่งที่ตามใจ คนเราชอบทำตามใจ ถ้าทำตามใจก็ว่าดี ไม่ได้ตามใจก็ว่าไม่ดี มันมีอยู่เท่านี้เอง
คนเราถ้าเรามีความสุข เราก็มีความดับทุกข์ การนอนเราก็นอนได้ดี เราต้องมีเครื่องอยู่ คือสติ สัมปชัญญะรู้ตัวทั่วพร้อม อยู่กับงาน อยู่กับลมหายใจ อยู่กับสติสัมปชัญญะ อยู่กับศีลสมาธิปัญญา อยู่ในปัจจุบัน ใจของเรามันก็จะเย็นเเล้ว สิ่งต่างๆ ถึงมันจะเเปรปรวนไปทั้งกายทั้งสิ่งเเวดล้อมให้เราได้มาพัฒนาใจของเราเท่านั้นเอง ใช้ชีวิต ใช้สังขารที่ไม่เกิน ๑๐๐ ปี ให้เกิดประโยชน์ ให้เกิดคุณภาพ ในการใช้ทรัพยากร เพื่อมรรคผลนิพพาน เราไม่ต้องถามใครว่าตายเเล้วเกิด หรือ ตายเเล้วสูญ ต้องเข้าถึงปัจจุบันนี้ เข้าถึงมนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ นิพพานสมบัติ ตั้งเเต่ปัจจุบัน