แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ในวันพุธที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๖๖
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
สมณะที่ ๑ - ๔ นั้น ที่พระพุทธเจ้าตรัสบอกว่า ศีล สมาธิ ปัญญา ที่ย่อยออกมาเรียกว่า อริยมรรค มีองค์ 8 มีความเห็นถูกต้องมีความเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้องในปัจจุบัน เพราะความรู้ เราจะเดินทางไกล เราต้องใช้แผนที่ เราต้องใช้รถ ใช้เรือ ใช้เครื่องบิน เราจะหยุดตัวเอง เราก็ต้องมีความเห็นถูกต้อง มีความเข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง แล้วสมาทาน พร้อมปฏิบัติ ศีล สมาธิ ปัญญา ถึงเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
พระศาสนาถึงไม่ใช่นิติบุคคล ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน คือธรรมะวินัย สิกขาบทน้อยใหญ่นี้ ไม่ใช่เรื่องกฎหมายบ้านเมือง เป็นเรื่องมีความเห็นถูกต้องมีความเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง คนเราก็ต้องอาศัยภาคประพฤติภาคปฏิบัติ ถ้าไม่ประพฤติปฏิบัติก็ไปไม่ได้ ถึงจะจบ ป.ธ.9 หรือ ด็อกเตอร์ก็ไปไม่ได้ ถึงต้องมีการสมาทาน ความตั้งใจ ที่พระพุทะเจ้าบอกว่า ถ้าไม่เอาธรรมเอาวินัย 100 % ตามอริยมรรคมีองค์ 8 มันไม่ได้ มันไปไม่ได้ มันจะเข้าสู่กายวิเวก จิตวิเวก และ อุปธิวิเวกไม่ได้ เพราะเราทุกคนมันใจอ่อน มันเป็นโรคใจอ่อน ถึงต้องมีความตั้งมั่นในพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าไม่ใช่นิติบุคคล พระพุทธเจ้าเป็นธรรมะ แล้วก็ไม่อ่อนแอ ไม่ลูบคลำในศีลในข้อวัตร ข้อปฏิบัติ
อย่างคนเราจะหยุดอะไรสักอย่างมันต้องเข้าสู่ภาคประพฤติ ภาคปฏิบัติ อย่างเราจะหยุดเหล้าหยุดเบียร์ หยุดคิด มันต้องอาศัยทั้งสมาทาน อาศัยทั้งใจ อาศัยเวลา พระพุทธเจ้าถึงบอกว่า อย่างเร็ว 7 วัน อย่างกลาง 7 เดือน อย่างนานก็ไม่เกิน 7 ปี เขาจะทำความดีอะไรถึงให้สมาทานศีล ศีลนี้มันเป็นข้อวัตรข้อปฏิบัติ จะทำอะไรก็ต้องมีความตั้งมั่น เรียกว่าสมาธิ ขณิกสมาธิ จะทำอะไรก็ต้องประกอบด้วยปัญญา แต่ถ้าเราทำโดยไม่ประกอบด้วยปัญญา อย่างพระก็ต้องอาบัติทุกกฏ คือว่ามันไม่ถูกต้อง เพราะเขาถึงให้พากันมาบรรพชา อุปสมบท มาตั้งใจ ผู้ที่เป็นประชาชนอยู่ทางบ้านก็เน้นที่ ศีล 5 เน้นที่เจตนา เพื่อให้เกิดสัมมาสมาธิ หรือ ขณิกสมาธิ ในปัจจุบัน ถ้างั้นมันไม่ได้ เขาติดเหล้าติดเบียร์มันก็เลิกได้หมด มันก็ไม่ได้ถ้าไม่สมาทาน ทำไมพระเราหลายแสนรูป ในประเทศไทยที่ไปไม่ได้ ก็เพราะไม่ได้สมาทาน
การปฏิบัติมันต้องตั้งใจ มันต้องสมาทาน เหมือนกับเราจะเดินทางไกลอย่างนี้ เราต้องรถ ขึ้นเครื่องบิน หรือจะข้ามทะเล ก็ต้องขึ้นเรือยนต์ เพื่อเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ ถ้าเราไม่สมาทาน เราไม่ตั้งใจ มันไม่ได้ เราต้องเข้าสู่ไลน์ของพระพุทธเจ้า เข้าสู่ธรรมวินัย การปฏิบัติธรรมะ ไม่ใช่ของยาก ที่ตามใจตัวเอง ที่ตามอารมณ์ตัวเอง ที่เราอยากตามใจตัวเอง อยากตามอารมณ์ตัวเอง มันเลยยากเฉยๆ เราต้องปรับตัวเองเข้าหาธรรม เข้าหาพระวินัยเข้าหาเวลา เพราะว่ากาลเวลาคือการที่ฝึกตัวเอง การปฏิบัติตัวเอง ต้องทำติดต่อต่อกัน ให้ทุกท่านทุกคนรู้ว่าเวลามันเป็นของมีค่า มีราคา
เราจะปฏิบัติที่วัด ที่บ้าน ที่ทำงานก็ได้ ทุกคนปฏิบัติได้หมด การปฏิบัติธรรมกับการทำงานต้องไปพร้อมกัน เรียกว่า อริยมรรคมีองค์ ๘ ทุกคนต้องมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ เราต้องเข้าใจการปฏิบัติธรรมคือการเสียสละ เราไม่เอาที่เราเวียนว่ายตายเกิดในวัฏกะสงสาร เพราะเราจะเอา เรามีความสุขเช่นในการเรียนหนังสือ มีความสุขในการทำงาน มีความสุขในการขยันรับผิดชอบ เรื่องสตางค์ ความรู้มันเป็นของมันเอง ทุกท่านต้องมีสติมีสัมปชัญญะ รู้ตัวทั่วพร้อม หายใจเข้าต้องชัดเจน หายใจออกต้องชัดเจน ทุกคนต้องตั้งมั่นในพระรัตนตรัยเพื่อมาเปลี่ยนเเปลงจากที่มันคว่ำ มันหงายขึ้น มันมืดจะได้สว่าง เราต้องเอาพระพุทธเจ้าเป็นหลัก เรียกว่า พระรัตนตรัย คือ พระพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญบารมีจึงได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า เอาพระอริยสงฆ์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เราทุกคนต้องพากันประพฤติปฏิบัติเอง เริ่มต้นจากความคิดก่อน เราไปตามใจตัวเองตามอารมณ์ตัวเอง ตามความอยากความหลงไม่ได้ ต้องเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติทางจิตใจ เราหยุดมี sex ทางกาย หยุดมี sex ทางวาจา หยุดมี sex ทางจิตใจ เพื่อที่จะได้ประพฤติปฏิบัติ
เราจะพากันอยู่ลอยๆโดยบริโภคความสุขในเรื่องการอยู่การกินการนอน เรื่องอาหาร เรื่องความอยู่สุขอยู่สบาย มันไม่ได้ เพราะนี้เป็นเรื่องบรรเทาทุกข์เฉยๆ มันไม่ใช่การดับทุกข์ที่เเท้จริง มันเป็นเรื่องทางกาย ทางจิตใจเราจะมาหลงในสิ่งเหล่านี้ไม่ได้ เราต้องมีสติมีสัมปชัญญะรู้ตัวทั่วพร้อม หายใจเข้าต้องรู้ชัดเจน หายใจออกต้องรู้ชัดเจน
อย่างเราอยู่วัดปรับตัวเข้าหาพระวินัย ตั้งเเต่ระบบความคิดคำพูดการกระทำ ข้อวัตรกิจวัตร เราถึงจะจัดการกับตัวเอง เลิกจากศาลา เรากลับกุฏิ ฝึกนั่งสมาธิที่กุฏิของเรา หายใจเข้าก็รู้ชัดเจน หายใจออกก็รู้ชัดเจน หายใจเข้าสบาย ออกสบาย เราไม่ต้องเอาอะไร ฝึกมีสติมีสัมปชัญญะ คนเรามันตามอารมณ์ตามความคิดไปใจมันไม่สงบ ใจมันเป็นสัมภเวสี การประพฤติการปฏิบัติให้มันเน้นที่ปัจจุบัน เห็นความสุข เห็นอนิจจัง ว่าทุกอย่างมันผ่านมา เเล้วก็ผ่านไปไม่มีอะไรเเน่ ไม่มีอะไรเที่ยงพิจารณาร่างกายของเราสู่พระไตรลักษณ์ เพราะร่างกายของเราเอามาใช้เเค่ชั่วคราว พระใหม่ก็พากันประพฤติปฏิบัติทางใจพากันปฏิบัติเต็มที่ สมาทาน พระเก่าก็พากันประพฤติปฏิบัติเต็มที่ โยมที่พากันมาอยู่วัด พากันประพฤติปฏิบัติเต็มที่ เเล้วผู้ที่อยู่ทางบ้านก็พากันประพฤติปฏิบัติเต็มที่ ทุกคนรู้ว่ามันดีอยู่ เเต่ว่ามันก็ไม่อยากปฏิบัติ อย่าไปเชื่อความคิด อย่าไปเชื่ออารมณ์
เราอย่าไปคิดว่าการปฏิบัติมันเป็นการทำให้ตัวเองยากลำบาก อันนี้มันเป็นความเห็นเเก่ตัว การรักษาศีลคิดว่ายากลำบาก มันเป็นความเห็นเเก่ตัว เราไม่อยากมีปัญหาอะไร ปัญหาต่างๆมันดี เพื่อให้เราทำใจ รูปสวยๆมันดีให้เราทำใจ เสียงเพราะๆ ให้เราทำใจ ทุกอย่าง ในชีวิตประจำวันให้เราทำใจ ทำใจเสียสละปล่อยวาง ทิ้งสู่พระไตรลัษณ์ว่าอันนี้มันไม่เเน่ มันไม่เที่ยง เราต้องเสียสละ เราต้องปล่อยมัน เราต้องวาง บางคนไม่อยากเหนื่อยอย่างนี้ มันก็ไม่ได้ทำใจ ถ้าเราคิดอย่างนั้น ไม่อยากหิว ไม่อยากร้อน มันก็ไม่ดี ไม่ได้ทำใจ เพราะสิ่งเหล่านี้ คือธรรมะ เราจะได้พัฒนาใจ
การปฏิบัติธรรมต้องก้าวไปอย่างนี้ ให้ทุกคนเปลี่ยนแปลงตัวเอง กิริยามารยาทต้องปรับปรุงใหม่หมด เพราะนี่คือคุณธรรมของคนดี ของผู้ปฏิบัติดี เราทุกคนอยู่ในสิ่งแวดล้อมของคน มันมีทิฏฐิมานะ มีอัตตาตัวตนมาก เราจึงต้องมาเสียสละตัวกูของกูไปอย่างนี้ ทุกคนต้องมาเป็นผู้นำ นำตัวเองออกจากทุกข์ ออกจากเหตุให้เกิดทุกข์ มาประพฤติปฏิบัติเพื่อให้ถึงความดับทุกข์ ต้องนำตัวเอง ต้องเป็นผู้นำของตัวเอง
ตัวเองมันคืออะไร? โดย...หลวงพ่อพุทธทาสภิกขุ
ตัวเองนี่คือสิ่งที่มันรู้จักได้ยากที่สุด ทำไมมันจึงเป็นอย่างนั้น ก็เพราะว่าตัวเองมันต้องรู้จักตัวเอง แล้วตัวเองมันจะรู้จักตัวเองได้อย่างไร...มันเหมือนกับคนบ้าที่รู้จักตัวเองซึ่งกำลังบ้า มันจึงรู้จักยากที่สุด
รู้จักตัวเองนี่รู้จักได้ยากที่สุดกว่ารู้จักสิ่งใดๆ ตัวเองที่คนโง่ๆ ก็มักจะพูดว่า กูรู้จักมึงดี กูรู้จักตัวกูดี มันรู้จักผิดๆ ทั้งนั้น...
เราจึงได้เห็นคนจำนวนมากนี่ทำผิดๆ แล้วใครสอนก็ไม่เชื่อ กลับดื้อเสียอีก เขาแนะนำในทางที่ถูกต้อง มันก็ไม่เชื่อ มันก็ยิ่งดื้อดึงเอาเสียอีก นี่เพราะว่ามันไม่รู้จักตัวเอง ที่มันรู้อยู่นั้น หรือที่มันอวดว่ารู้อยู่นั้น มันไม่ถูกทั้งนั้นแหละ ถ้าว่ารู้จักตัวเองอย่างถูกต้องแล้ว จะทำอะไรๆ ถูกต้อง ก็เป็นไปราบรื่น
สรุปความว่า ไอ้ตัวกู ตัวฉัน ตัวอะไรที่รู้สึกนั้น นี้เป็นตัวที่ลวงที่หลอกลวง คือ รู้ไม่จริง รู้สึกไม่จริง ถ้ายังมีความรู้สึกว่าตัวตน ตัวกู ตัวเรา ตัวเขา อยู่เมื่อไหร่ ก็ยังเรียกว่ายังโง่อยู่เพียงนั้น เพราะมันไม่อาจจะมีตัวตนได้ ตัวตนที่แท้จริงมีไม่ได้ นอกจากตัวๆ เดียวเท่านั้น คือ ตัวธรรมะ ตัวสัจจะที่เป็นความจริงของธรรมชาติ นี่แหละตัวธรรมะ ไอ้ตัวนี่แหละจริง ไอ้ส่วนตัวตนตัวกูตัวเราตัวฉันตัวเขา ที่จิตมันรู้สึกคิดนึกได้ด้วยอำนาจของอวิชชานั้นไม่เป็นตัวจริง ไม่ใช่ตัวจริง มันเป็นตัวโง่ มันเป็นตัวมายา
เมื่อมันเป็นตัวที่ไม่จริงแล้วจะให้มันรู้จักตัวเองได้อย่างไรกัน มันเหลือวิสัย ที่จะให้ตัวที่ปรุงขึ้นมาจากอวิชชานี้รู้จักตัวมันเอง มันเป็นไปไม่ได้ นี่คำว่า ตัวเอง จึงเป็นคำประหลาด แทนที่ทุกคนจะรู้จัก มันกลายเป็นไม่รู้จัก มันไปรู้จักอันอื่นเสียมากกว่า ความคิดเกิดขึ้นอย่างนี้แล้ว ก็เขียนเป็นคำกลอนไว้ว่า
สิ่งที่รู้จัก ยากที่สุด กว่าสิ่งใด ไม่มีสิ่ง ไหนไหน ได้ยากเท่า
สิ่งนั้นคือ ตัวเอง หรือตัวเรา ที่คนเขลา หลงว่ากู รู้จักดี
ที่พระดื้อ เณรดื้อ และเด็กดื้อ ไม่มีรื้อ มีสร่าง อย่างหมุนจี๋
เพราะความรู้ เรื่องตัวกู มันไม่มี หรือมีอย่าง ไม่มี ที่ถูกตรง
อันตัวกู ของกู ที่รู้สึก เป็นตัวลวง เหลือลึก ให้คนหลง
ส่วนตัวธรรม เป็นตัวจริง ที่ยิ่งยง หมดความหลง รู้ตัวธรรม ล้ำเลิศตน ฯ
เราต้องเดินตามพระพุทธเจ้า เอาธรรมเป็นใหญ่ มีความเชื่อมั่นในธรรมวินัย ในพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า เพราะทุกคนเก่ง ทุกคนฉลาด มีความสามารถ ทุกคนถ้าปฏิบัติตามพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า จะมีแต่ความสุขไม่ปวดหัว ทุกคนต้องแข่งขันกับตัวเอง สู้กับตัวเอง ไม่ต้องไปสู้กับใคร เพราะความเคยชินของเราทุกคนมันมีมากโดยเฉพาะความเห็นแก่ตัวเนี่ย ทุกท่านทุกคนต้องฉลาด ถ้าเราฉลาดก็ต้องเป็นผู้ปฏิบัติ ถ้าเราฉลาด แต่ไม่เป็นผู้ตั้งมั่นในธรรม ก็ทำร้ายตัวเองทำร้ายผู้อื่นสัตว์อื่นอย่างนี้แหละ เพราะเราต้องทำอย่างนี้ เราจึงจะได้เป็นผู้ที่มาบวชมาบรรพชาอุปสมบทในพระพุทธศาสนาอย่างแท้จริง ถ้าเราไปทำใจตัวเอง ตามอารมณ์ตัวเองอย่างนี้ คิดว่าตัวเองฉลาดอย่างนั้นมันไม่ใช่หรอก
ศีลนั้นสำคัญที่เจตนา การจะได้ชื่อว่าเป็นผู้รักษาศีลจึงต้องเริ่มต้นที่ความตั้งใจ และ “ความตั้งใจงดเว้นจากความชั่ว” นี่เอง คือความหมายของคำว่า เวรมณี หรือ วิรัติ วิรัติจึงเป็นสิ่งที่บ่งชี้ถึงการมีศีล บุคคลใดก็ตามจะได้ชื่อว่าเป็นผู้มีศีล รักษาศีลก็ต่อเมื่อมีวิรัติอย่างหนึ่งอย่างใดดังต่อไปนี้
๑) สัมปัตตวิรัติ คือ ความตั้งใจงดเว้นจากบาปเมื่อเกิดเรื่องขึ้นเฉพาะหน้า แม้ว่าเดิมที่นั้นไม่ได้สมาทานศีลไว้ แต่เมื่อไปพบเหตุการณ์ที่ชวนให้ล่วงละเมิดศีล ก็คำนึงถึงชาติ ตระกูล การศึกษาหรือความดีต่างๆ เป็นต้น จึงทำให้เกิดความตั้งใจที่จะงดเว้นจากบาปเวรขึ้นในขณะนั้นนั่นเอง
๒) สมาทานวิรัติ คือ ความตั้งใจงดเว้นจากบาปเพราะได้สมาทานศีลไว้แล้ว หมายความว่าเราได้ตั้งใจไว้ก่อนว่าจะรักษาศีล ครั้นไปพบเหตุการณ์ที่ชวนให้ล่วงละเมิดศีล ก็ไม่ยอมให้ศีลขาด
๓) สมุจเฉทวิรัติ คือ การงดเว้นจากบาปได้อย่างเด็ดขาด เป็นวิรัติของพระอริยเจ้าซึ่งละกิเลส คือ ความโลภ โกรธ หลง ได้แล้ว เมื่อใจท่านปราศจากกิเลสที่เป็นเหตุให้ทำความชั่ว จึงไม่มีการผิดศีลอย่างแน่นอน เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า เสตุฆาตวิรัติ
เรามีความตั้งใตต้องสมาทาน สมาทานให้เป็นสมุจเฉทวิรัติไปเลย ว่าอันนี้ไม่ดี อันนี้ไม่คิด อันนี้ไม่พูด อันนี้ไม่ทำ อันนี้ต้องคิด อันนี้ต้องรีบพูด อันนี้ต้องรีบทำ เราต้องเสียสละอย่างนี้ ต้องทำติดต่อต่อเนื่องเหมือนไก่ฟักไข่สามอาทิตย์ ตามหลักการเเล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวให้ข้าราชการลาบวชในพรรษา ให้ขอลาบวชได้ ๑๒๐ วัน ๔ เดือน ต้องทำติดต่อต่อเนื่อง เเล้วอย่ามาถือนิสัยของตัวเอง ต้องถือนิสัยของพระพุทธเจ้า มันจะได้ปฏิบัติง่ายๆ ปฏิบัติซื่อๆ อย่างนี้ หยุดซิกเเซก เราก็จะพลิกล็อคจากมืดเป็นสว่างได้ ต้องเเข่งขันกันทำความดี ดูเเล้วหลายคนยังทำอะไรยังเก้อเขินอยู่ เพราะว่ายังมีทิฏฐิมานะตัวตนเยอะ ยังเป็นคนมีสักกายทิฏฐิอยู่มาก เป็นคนขี้เกียจอยู่เยอะ เรามาบวช 2 เดือน 3 เดือนต้องเอาตัวเองให้เปลี่ยนเเปลงไปเลย มันจะได้มีความถาวร ความมั่นคงในความดี คนนิสัยขี้เกียจ นิสัยเห็นเเก่ตัวมันเข้าข้างตัวเองนะ เราก็อย่าไปเชื่อตัวเอง เชื่อตัวเองเราถึงเวียนว่ายตายเกิด
ทุกชีวิตที่เกิดมานี้ไม่ว่าจะเป็นคนหรือเป็นสัตว์ที่เวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏสงสาร พระพุทธเจ้าถึงให้เรามีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง เราจะได้ประพฤติปฏิบัติของเราให้ถูกที่ เราเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารคือเรายังเป็นผู้มีอวิชชา ผู้ที่ไม่มีอวิชชาก็คือพระอรหันต์ เราต้องปฏิบัติกับจิตใจของเราให้ถูกต้องเพราะที่เราเวียนว่ายตายเกิด เพราะความไม่รู้ความไม่เข้าใจ ให้ทุกคนทุกท่านพากันเข้าใจ ว่าทุกคนเกิดมาที่ยังมีอวิชชา มันมีจิตแต่จิตนั้นยังประกอบด้วยความหลงอยู่ เราเป็นผู้ที่ประเสริฐเกิดมาเพื่อที่ประพฤติปฏิบัติตัวเองให้บรรลุถึงมรรคผลพระนิพพาน เราทำตามใจตัวเองทำตามอารมณ์ทำตามความรู้สึกตัวเอง เราก็เป็นได้แต่เพียงคน เราทำตามสัญชาตญาณเราต้องพัฒนา เพราะว่าทุกอย่างมันไม่เที่ยง ไม่แน่ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน เราต้องพากันประพฤติปฏิบัติในปัจจุบัน โดยเอาธรรมะเป็นหลักเอาธรรมะเป็นใหญ่ ตั้งอยู่ในความถูกต้อง ความปฏิบัติทุกท่านมีอยู่ในปัจจุบัน อดีตทุกคนปฏิบัติไม่ได้ อนาคตทุกคนก็ปฏิบัติไม่ได้ ทุกคนต้องกลับมาอยู่ที่ปัจจุบัน
ที่ผ่านมามันทำให้เราเป็นว่ายตายเกิด ไม่รู้กี่ร้อยกี่พันกี่หมื่นกี่ล้านชาติ ปัจจุบันเป็นสิ่งที่สำคัญที่ทุกคนจะต้องประพฤติปฏิบัติ ทุกคนต้องพากันประพฤติปฏิบัติเพื่อจะได้ทันท่วงที พระพุทธเจ้าก่อนท่านจะเสด็จดับขันธปรินิพพานท่านสอนไม่ให้เราประมาทไม่ให้เพลิดเพลิน เพราะว่าทางที่เราจะได้ไปนั้นมันมีหลายภพหลายกลุ่มหลายชาติ ให้ถือว่าเรามีภาระมีหน้าที่ที่จะต้องประพฤติปฏิบัติ เดินทางด้วยสติด้วยปัญญา เรารู้เราเข้าใจแล้วเราก็ต้องประพฤติปฏิบัติ ให้ทุกท่านทุกคนมีสติสัมปชัญญะให้สมบูรณ์ ด้วยความตั้งใจด้วยเจตนา เพราะรูปมันก็ไม่เที่ยง เวทนามันก็ไม่เที่ยงอะไรมันก็ไม่เที่ยง ทุกอย่างมันไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน มันตามเราไปไม่ได้ เราต้องรู้จักใจของเรา เราต้องปฏิบัติเพราะความทุกข์ความดับทุกข์ มันอยู่ในตัวของเราในปัจจุบันนี้แหละ เราเป็นผู้ที่ประเสริฐเกิดมาได้พบพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า เราต้องเดินตามพระพุทธเจ้า เพราะว่าพระพุทธเจ้านั้นคือธรรมะที่มีความเห็นถูกต้อง เขาจะต้องปฏิบัติถูกต้อง สละคืนแล้วซึ่งตัวซึ่งตนถึงเรียกว่าพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าคือธรรมะ ธรรมะก็คือพระพุทธเจ้า ก็คือที่เราไม่ทำตามใจตัวเองไม่ทำตามอารมณ์ตัวเองไม่ทำตามความรู้สึกตัวเอง พระพุทธเจ้าคือผู้ที่ตั้งมั่นในธรรม
ศาสนาพุทธไม่ใช่โบสถ์ไม่ใช่วิหารไม่ใช่วัด อยู่ที่ใจทุกคนที่มีความเห็นถูกต้องต้องปฏิบัติถูกต้องในปัจจุบัน เราจะเป็นพระเป็นนักบวชเป็นประชาชนเราก็ประพฤติปฏิบัติได้หมด เรามันเจ็บปวดขนาดไหน มันเกิดแก่เจ็บตายทำให้เรามีหนี้มีสินทำให้เราต้องไปสู่อบายภูมิ เพราะการดำรงชีวิตเรามันเป็นอบายมุข เพราะความเห็นแก่ตัวเราต้องพากันรู้จักจิต เราต้องให้จิตของเรามีปัญญาอย่าไปหลง ต้องใจเข้มแข็ง เอาตัวเองมาประพฤติปฏิบัติในปัจจุบัน เพราะว่าเราก็สงสารตัวเองสงสารคนอื่นทั่วไปหมด มันเป็นความพินาศความฉิบหายที่เราไม่เห็นถูกต้องไม่เข้าใจถูกต้อง เรายังไม่เข้าใจความดับทุกข์ที่แท้จริง เราเอาเพียงสวรรค์เพียงความสุขความสะดวกความสบาย เราดูตัวอย่างประเทศที่เจริญแล้ว เอาแต่วัตถุหรือเอาแต่อารมณ์ต่างๆ เป็นแค่สวรรค์ เราปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ สวรรค์เราก็ต้องผ่านอยู่แล้ว เราต้องใจเข้มแข็ง เพราะเทวดาจะเกิดมาเป็นมนุษย์มันไม่ได้ เพราะใจมันตกต่ำ มันหลงประเด็น
เราถึงรู้จักอาการของจิตใจ แต่ไม่รู้จักตัวเองหรอก ปล่อยให้ตัวเองคิดไป ไม่มีระเบียบในการคิด ว่า อันนี้คิดไม่ได้ อันนี้ตามอารมณ์ไม่ได้ อันนี้คนคิดอย่างนี้มันไม่มีระเบียบในการคิด มันเหมือนเด็กไม่รู้จักไฟ มันไม่รู้จักไฟ ไปจับมันก็ร้อน เขาเรียกว่าไม่รู้จักทุกข์ ไม่รู้จักเหตุให้เกิดทุกข์ ไม่รู้จักข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ เราทุกคนมาใช้สังขารร่างกายนี้ส่วนใหญ่ไม่เกินร้อยปีก็ต้องจากโลกนี้ไป เราจะได้พัฒนาเผ่าพันธุ์มนุษย์ เราจะพัฒนาทางเทคโนโลยีที่ไม่เป็นบาป พัฒนาทั้งใจหรือว่าจิตของเรานี้ไป ชีวิตของเราต้องดีต้องสง่างาม
เพราะคนเราไม่ตายมันต้องเป็นอย่างนี้ๆ น่ะ เราจะไปเร้าใจของเราทำไม เร้าอารมณ์ของเราทำไม เราทำไปปฏิบัติไป เดินไปทีละก้าว ทานข้าวไปทีละคำ นำตัวเองออกจากวัฏสงสาร ทำไปอย่างนี้ๆ จากพ่อไปสู่ลูก จากลูกไปสู่หลานเหลน โลกมันก็จะน่าอยู่ ไม่ใช่พากันตกนรก เปรียบเสมือนคนมีหูก็อันตราย มีตาก็อันตราย พระพุทธเจ้าถึงสอนชฎิลสามพี่น้องว่า ตาก็เป็นไฟ หูก็เป็นไฟ จมูกลิ้นกายใจก็เป็นไฟ ไฟที่ไหม้ในภายนอก แม้จะรุนแรงแค่ไหน ก็ไม่อันตรายเท่ากับไฟภายใน ความรัก ความหึงหวง ความผูกพัน (ราคะ) ความหงุดหงิด วู่วามง่าย ความโกรธ ผูกใจเจ็บ อาฆาตพยาบาท (โกรธ) และความหลงงมงาย ขาดสติ (โมหะ) จัดเป็นไฟภายใน ไฟชนิดนี้แหละที่อันตรายและเป็นไฟไหม้ฟางที่ค่อยๆ เผาใจเราโดยไม่รู้ตัว
พระพุทธเจ้าทรงข้ามพ้นจากทุกข์ในวัฏฏะแล้ว ตรัสไว้ในพระไตรปิฎก ขุททกนิกาย อิติวุตตกะ ติกนิบาต ว่า
“ดูก่อน! ภิกษุทั้งหลาย ไฟ ๓ กองนี้ ได้แก่ ไฟราคะ ๑ ไฟโทสะ ๑ ไฟโมะ ๑ ดูก่อน! ภิกษุทั้งหลาย ไฟ ๓ กองนี้แล ย่อมเผาผลาญสัตว์ทั้งหลาย”
“ไฟคือราคะ ย่อมเผาผลาญสัตว์ทั้งหลายผู้กำหนัดแล้วหมกมุ่นอยู่แล้วในกามทั้งหลาย ยังติดใจ ยินดีในรสกาม”
แต่ไฟคือโทสะ ย่อมเผาผลาญนรชนทั้งหลาย ผู้อาฆาตพยาบาทซึ่งชอบฆ่าสัตว์ ชอบรังแกข่มเหงทรมาน
ส่วนไฟคือโมหะ ย่อมเผานรชนทั้งหลาย ผู้หลงงมงายหลงยึดถือตัวตนเราเขา อันขัดกับอริยสัจจธรรม
ไฟทั้ง ๓ กองนี้แล! ย่อมเผาหมู่สัตว์ผู้ไม่รู้สึกว่าเป็นไฟ ผู้หลงใหลหมกมุ่นยินดียิ่งในร่างกายของตน สัตว์เหล่านั้นพอกพูนนรก กำเนิดสัตว์เดรัจฉาน อสุรกาย และเปรตวิสัยอยู่ (ทำผู้ที่เกิดในอบายทั้ง ๔ ให้มีปริมาณมากขึ้น) จึงไม่อาจพ้นจากบ่วงแห่งมาร (กิเลสมาร) ไปได้”
ส่วนชนทั้งหลายผู้หมั่นอบรมตนในศาสนธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทั้งกลางวันและกลางคืน หมั่นเจริญอสุภสัญญาเป็นนิตย์ ย่อมทำไฟคือราคะให้ดับลงได้
ชนทั้งหลายที่มีคุณธรรมสูง ย่อมดับไฟคือโทสะลงได้ ด้วยเมตตา และย่อมดับไฟคือโมหะ ด้วยปัญญา อันเป็นเครื่องทำลายกิเลสได้เด็ดขาด
ชนผู้มีปัญญารักษาตนเหล่านั้น ไม่เกียจคร้านทั้งกลางวันและกลางคืน ดับไฟทั้ง ๓ กองนั้นได้แล้ว ชื่อว่าดับกิเลสได้สิ้นเชิง ล่วงพ้นทุกข์ได้ทั้งสิ้น
ในชีวิตของเรานั้นนะ ถ้าเราเดินตามพระพุทธเจ้า เราจะมีความสุขมีปัญญา มีปัญญามีความสุข วันหนึ่งคืนหนึ่งเราจะมีความสุขทั้งวันทั้งคืน ทุกอย่างนั้นมีแต่คุณมีแต่ประโยชน์ ไม่มีโทษ เพราะว่ามันเป็นขบวนการ เป็นกระแส เป็นมรรคเป็นผลที่เราเดินสู่มรรคผลพระนิพพาน อดีตที่ผ่านมาแล้วนั้นเราจะไปแก้ไขไม่ได้ เปรียบเสมือนของที่เสียแล้วมันใช้การใช้งานไม่ได้แล้ว ชีวิตของเราทุกๆ คนต้องก้าวไปข้างหน้าในปัจจุบันเวลา เราจะได้เข้าถึงมนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ นิพพานสมบัติ ตั้งแต่ยังไม่ตาย การปฏิบัติธรรมะน่ะ พระพุทธเจ้าให้เราถึงมนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ นิพพานสมบัติ ตั้งแต่ยังไม่ตาย ไม่ต้องรอคอยชาติหน้า
พระพุทธเจ้าสอนให้เราเข้าถึงมนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ นิพพานสมบัติตั้งแต่ยังไม่ตาย เช่น บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี พระอรหันต์ ต้องเป็นตั้งแต่ยังไม่ตาย เราคิดดูดีๆ นะ เมื่อเรายังมีชีวิตอยู่เราตกนรกทั้งเป็น เมื่อตายไปแล้วโน้น เราถึงจะได้ไปสวรรค์ไปพระนิพพานนั้นมันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ พระพุทธเจ้าท่านถึงให้เรามีความสุขใจสบายใจทั้งวันทั้งคืนเลย ให้เรามีความเห็นอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้ การดำเนินชีวิตของเราถึงจะมีความสุข ถึงจะไม่เป็นโรคจิตโรคประสาท
พระพุทธเจ้าทรงรู้จักทุกข์ รู้เหตุให้เกิดทุกข์ รู้ความดับทุกข์ และทรงรู้ข้อปฏิบัติเพื่อให้ถึงความดับทุกข์ ไม่ให้เราทำตามใจตัวเอง ตามอารมณ์ตัวเอง ตามความรู้สึกตัวเอง เพราะคนเรามันสร้างวัฏสงสาร ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ คิดว่าตามใจตัวเองตามอารมณ์ตัวเองตามความรู้สึกของตัวเอง มันจะเป็นความสุข ที่ไหนได้มันเป็นความทุกข์ มันเป็นสัญชาตญาณที่มันมีอยู่ พระพุทธเจ้าได้มาบอกมาสอน เราทุกคนต้องมาจากตัวเอง หยุดเวียนว่ายตายเกิด ต้องพากันทำหมันตัวเอง ความคิดความปรุงแต่ง ที่มันส่งผลออกมาเป็นความประพฤติ เป็นจริตต่างๆ เป็นเพราะมาจากเราไม่รู้จักอารมณ์ แล้วก็ไปตามความปรุงแต่งต่างๆ ที่คนเราร้องไห้ก็เพราะดีใจเสียใจ เพราะความคิด อันนี้มันเป็นเรื่องความรู้สึก เรื่องสัญชาตญาณ ความคิดความปรุงแต่งจึงมีอิทธิพลต่อเราทุกคน พระพุทธเจ้าทรงรู้วงจรของสิ่งนี้ จึงได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ได้มาบอกมาสอนเราด้วยวิธีง่ายๆ แต่ทุกท่านทุกคนต้องพากันประพฤติปฏิบัติ ต้องหยุดตัวเอง
จะไปคิดว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา มันเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่ มันทำให้เราต้องเรียนว่ายตายเกิด ไม่ใช่เรื่องธรรมดานะ อะไรที่เป็นตัวทำให้เราเกิด ก็คือการที่เราเอาตัวตนเป็นใหญ่ เราจึงต้องมารู้จักกลไกรู้จักวงจร รู้จักต้นสายปลายเหตุ ที่คนทั้งโลกพากันทุกข์ ไม่มีปัญหาก็พากันสร้างปัญหา ไม่ว่าจะเป็นคนเป็นสัตว์ แม้จะเป็นเทวดาก็มีความทุกข์ เป็นพรหมก็ยังมีความทุกข์ เราทุกคนเป็นผู้โชคดีได้ปฏิบัติตามพระพุทธเจ้า เพราะเราจะไปหาแก้ภายนอกมันแก้ไม่ได้หรอก เพราะปัญหามันอยู่ที่เรา
การที่แก้ปัญหาของเราทุกคน ถึงต้องแก้ที่ตัวเราเอง ไม่ได้ไปแก้ปัญหาที่คนอื่น ทุกท่านทุกคนต้องพากันทำอย่างนี้ ปัญหาของตนเองถึงจะคลี่คลายและหมดปัญหาไปในที่สุด เราทุกคนต้องทำอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้ ถ้าไปทำอย่างอื่นเรียกว่าไม่ถูกต้อง เราทำอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้ ใจของเราก็จะเข้าสู่กายวิเวก คือกายที่สงบวิเวกอันมาจากใจที่มีความเห็นถูกต้อง ที่ไม่คิดไม่พูดไม่ทำ จึงนำเราสู่กายวิเวก พัฒนาสู่จิตวิเวก และอุปธิวิเวกในที่สุด