แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ในวันพุธที่ ๒๑ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง ชีวิตของผู้สงบ ตอนที่ ๙๔ ผัสสะที่มากระทบ มีทั้งคุณและมีทั้งโทษ ให้รู้เท่าทันในปัจจุบัน
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
พระพุทธเจ้าได้บอกเรา การดำเนินชีวิต ให้เราหยุดหยุดตัวตน หยุดตัวเรา หยุดของเรา หยุดตัวกูของกู ให้เอาธรรมะเป็นหลัก ธรรมะคือคำสั่งสอน พระวินัยเป็นคำห้ามกับคำสั่ง เพื่อเราทุกคนจะได้เข้าสู่ภาคประพฤติปฏิบัติ ความรู้ของเราทุกคนนั้น เป็นแต่เพียงปัญญา การที่เราไปบอกไปสอนคนอื่นนั้น เรียกว่าจิตวิทยา ทุกท่านทุกคนต้องพากันประพฤติปฏิบัติ เราไม่มีเหตุไม่มีผล เมื่อไม่มีเหตุมันย่อมไม่มีผล เราอยากบรรลุธรรมมันก็ไม่ได้บรรลุธรรม เพราะว่าไม่มีเหตุ
เรื่องผัสสะนี่เป็นสิ่งที่สำคัญ เรื่องอารมณ์ มันมีทั้งคุณและมีทั้งโทษ ที่เราเวียนว่ายตายเกิด มันเป็นโทษไม่ได้เป็นคุณ พระพุทธเจ้าท่านให้ถือนิสัย ถือพระวินัยของพระพุทธเจ้าใช้เวลาติดต่อเนื่อง เหมือนลมหายใจของเราทุกๆ คน ต้องมีเจตนามีความตั้งใจ ถ้าไม่อย่างนั้นมันเป็นไปไม่ได้ ที่พวกเราทั้งหลายจะได้บรรลุธรรม ถึงแม้เราจะพากันมาบวชกี่ปีกี่เดือนกี่ชาติ มันก็เป็นไปไม่ได้ ที่เราจะได้บรรลุธรรม ถ้าเราไม่ได้เอาตัวเรามาประพฤติมาปฏิบัติ พระพุทธเจ้าให้เราเห็นโทษเห็นภัยในวัฏฏะสงสาร เพราะว่าวัฏสงสารนี้ไม่น่ายินดีไม่น่าเพลิดเพลิน
พระพุทธเจ้าให้พวกเราทั้งหลายพากันละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาป เหมือนอากงอาม่าเมื่อสมัย 100-200 ปีก่อน ที่มาจากเมืองจีน อากงอาม่าเป็นคนจน ได้พากันเห็นภัยเห็นโทษ ความทุกข์ยาก ความลำบาก ความยากจน จึงได้พากันขยันอดทนรับผิดชอบทั้งวันทั้งคืน ถ้าไม่ทำอย่างนั้นปฏิบัติอย่างนั้น ความจนก็ไม่มีทางที่จะหมดไป ฉันใดก็ฉันนั้น พวกเราทั้งหลายก็ต้องเห็นโทษเห็นภัยในวัฏสงสารในการเวียนว่ายตายเกิด
พระพุทธศาสนาเป็นสิ่งที่ดีที่สุดของเมืองไทยของเราทุกๆ คน ทุกท่านทุกคนมีของดีแต่ไม่รู้จักของดีที่แท้จริง ยังไปหลงว่ามนุษย์เป็นคนรวยน่ะ คือของดี มีลาภ มียศ มีข้าวของ เงินทอง ของอำนวยความสะดวกต่างๆ นึกว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ดีที่สุดของความเป็นมนุษย์ของเราที่ได้เกิดมา ของดีในพระพุทธศาสนามันยิ่งกว่านั้นอีก เป็นมนุษย์รวย เป็นมนุษย์ที่มีอะไรเพรียบพร้อมหมดทุกอย่าง พระพุทธเจ้าก็ให้พวกเราทุกคนมีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง เป็นสัมมาสมาธิ ทุกท่านทุกคนนะต้องใจเข้มแข็ง ต้องพากันมาเสียสละสิ่งที่มันชอบใจสิ่งที่มันยินดีออกจากใจ เพื่อใจของเราจะได้เข้าถึงธรรมะ เพื่อเป็นปัจจุบันธรรมในปัจจุบันไปเรื่อยๆ เรารู้จักทุกข์ เหตุเกิดทุกข์ รู้ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ เราเป็นคนขยัน ประหยัด ซื่อสัตย์ กตัญญูกตเวที ไม่มีอบายมุขไม่ขี้เกียจขี้คร้าน มีความสุขในการทำงาน เพราะว่าเราเห็นโทษในความยากจน เราใช้หลักเหตุ ผลมันเลยปรากฏ เลยมีอยู่มีกินเหลือกินเหลือใช้ ทุกท่านต้องเข้มแข็ง ที่พระพุทธเจ้าสอนนี้คือสัมมาสมาธิความตั้งใจมั่นชอบ
ความสุขความสะดวกความสบาย นี้มันเป็นโรคโควิด แต่โควิดทางจิตใจของเราคือความหลง มันไม่ใช่เฉพาะติดเชื้อในชาตินี้ แต่มันติดไปหลายภพหลายชาติ เรียกว่าข้ามภพข้ามชาติ มันเป็นพลังงานวิชา เป็นพลังแห่งความหลง มันนำสัตว์โลกให้เวียนว่ายตายเกิดเป็นวงกลมอย่างไม่มีที่จบ ไม่มีที่สิ้น พระพุทธเจ้าท่านให้เรารู้ผัสสะ เมื่อรู้ผัสสะแล้วเราจะได้บอกตัวเองว่า อันนี้เราต้องพากันมาเสียสละออกจากใจ เอาการงานเอากรรมฐานมาภาวนาพิจารณาว่าอันนี้คืออนิจจัง ว่ามันไม่แน่ไม่เที่ยง ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน ผัสสะมันเกิดขึ้นมันเป็น Fighting ที่เราจะได้ชิงแชมป์ในการประพฤติในการปฏิบัติในชีวิตประจำวันของเรา เราทุกคนต้องมีความเห็นว่า ขอบใจผัสสะที่เปิดโอกาสให้เราได้พัฒนาใจ เพื่อจะได้ประพฤติปฏิบัติในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าอะไรเกิดขึ้น ไม่ว่าอะไรตั้งอยู่ เราก็ทิ้งสู่พระไตรลักษณ์ คือความไม่แน่ไม่เที่ยงไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน มันอาศัยผัสสะเฉยๆอากาศร้อน อากาศหนาว สุขทุกข์ นินทาสรรเสริญ มันเป็นผัสสะที่จะให้เราพัฒนาใจของเรา
ให้ทุกท่านทุกคนพากันเข้าใจนะ นี่คือการประพฤติปฏิบัติของเรา ถ้าไม่อย่างนั้นเราจะปล่อยเวลาผ่านไป โดยที่เราไม่ได้ประพฤติปฏิบัติธรรม มีแต่ทำตามใจตัวเอง ทำตามอารมณ์ตัวเอง ทำตามความรู้สึกตัวเอง เราต้องทำอย่างนี้ ทุกท่านทุกคนพิจารณาดูดีๆ เราเกิดมาเพราะความหลง เราไปทำตามความหลง มันจะถูกต้องเหรอ เราตาบอดอยู่แล้วยิ่งไปทำลายตาเราอีก เราอัมพฤกษ์อัมพาต ยังไปซ้ำเติมให้ตัวเองเป็นอัมพฤกษ์อัมพาตอย่างนี้ มันก็ยิ่งเสียหาย ทุกท่านทุกคนต้องพากันมาหยุดมีเซ็กส์ทางความคิด มีเซ็กส์ทางอารมณ์
กฎหมายบ้านเมืองมันรักษากายเรา แต่พระธรรมพระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่ มันเป็นการรักษาใจของเรา ทุกท่านต้องเห็นคุณในพระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่เป็นสิ่งที่ดีมากเป็นสิ่งที่ประเสริฐมากมันจะหยุด หยุดให้เรามีเซ็กส์ทางความคิด มีเซ็กส์ทางอารมณ์ ทุกท่านทุกคนพระพุทธเจ้าบอกว่า อย่ามีความโง่อย่าไปแก้ไขคนอื่น ทุกท่านทุกคนต้องพากันมาแก้ไขตัวเองด้วยภาคประพฤติภาคปฏิบัติ ให้มีฉันทะมีความพอใจในการประพฤติปฏิบัติ ทุกท่านทุกคนต้องพากันมาเสียสละซึ่งตัวซึ่งตน พระพุทธเจ้าบอกว่าให้ทำตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าที่ท่านตรัสไว้ดีแล้ว ถ้าผู้ใดทำตามปฏิบัติตามไม่เกิน ๕ ปี ท่านผู้นั้นก็จะได้เป็นพระอรหันต์ขีณาสพ เราปฏิบัติติดต่อเนื่อง เราเดินไปข้างหน้าอย่างเดียว มีความสุขในการปฏิบัติ พระพุทธเจ้าถามเราทุกคนว่า พวกเราจะพากันมาเอาอะไร เพราะว่าทุกอย่างนั้นมันไม่ได้อะไรสักอย่างอยู่แล้ว ทุกอย่างนั้นย่อมผ่านไปผ่านมาเท่านั้นเอง พระพุทธเจ้าถึงบอกเราให้พากันทำที่สุดแห่งความทุกข์ ความสงบระงับสังขารทั้งหลายทั้งปวง เป็นความดับทุกข์อย่างยิ่ง เราจะไปพูดว่าเป็นความสุขอย่างยิ่ง มันไม่ถูก มันคือความดับทุกข์อย่างยิ่ง เพราะถ้าเราเอาสุข ทุกข์มันก็มี มันก็ปรุงแต่งพอๆ กัน ถ้าเราปฏิบัติเราไม่เอา เราเสียสละ มันก็ดับทุกข์ไปเรื่อยๆ เรามาลองคิดดูสิ ที่เราเป็นทุกข์ เป็นโรคจิตโรคประสาท เป็นโรคซึมเศร้า เพราะว่าเราจะเป็นคนเอา ถ้าเรามีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง เรียกว่ามีปัญญาพากันมาเสียสละ
เพราะคนเราทุกคนมันขี้เกียจขี้คร้านไม่อยากเสียสละ เราตามจิตตามใจของตัวเอง เพื่อแสวงหาความสุดยอดของความสุข แสวงหาจุดไคลแม็กซ์ที่สูงสุด อย่างนี้มันเป็นความรุนแรงเป็นความหลง พระพุทธเจ้าท่านให้เราหยุดเพราะเราไม่ได้เป็นเจ้าพ่อ เจ้าแม่ เจ้าอารมณ์ พระนิพพานเป็นสิ่งที่มีอยู่ ถ้าเราเสียสละซึ่งทิฐิมานะอัตตาตัวตน ทุกท่านทุกคนก็จะได้สัมผัสที่ใจของบุคคลนั้นเอง นิพพานนั้นไม่ใช่ดับสูญ ไม่ใช่สิ่งที่เราจะไปปรุงแต่งได้ ผู้ที่เสียสละเท่านั้น ถึงจะได้สัมผัสพระนิพพานเอง เราดูตัวอย่างแบบอย่างพระอานนท์ รู้พระสูตร รู้พระวินัยทุกอย่าง แล้วตั้งใจว่าจะเอาพระนิพพานทำยังไงก็ไม่ได้เพราะเรามีความอยาก เพราะว่าพระนิพพานนั้นคือสิ่งที่เรามีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง เป็นพรหมจรรย์ เป็นความบริสุทธิ์ มันไม่มีตัวผู้จะเอา มันมีแต่ความดับทุกข์ มีแต่ความเย็น และสมบูรณ์ด้วยความอบอุ่น มันเป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม
พระพุทธเจ้าท่านจึงให้มีสัมมาทิฏฐิ มีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้องและปฏิบัติให้ถูกต้อง จับนิมิตทางธรรมให้ชัดเจน สภาวะธรรมนั้นตามความเป็นจริงนั้น เรามีความแก่มีความเจ็บมีความตายมีความพลัดพรากเป็นธรรมดา ให้ระลึกถึงอย่างนี้ติดต่อเนื่อง เราจะได้ไม่พากันหลง อย่างคนเรา ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง มันห่อหุ้มให้เรามองไม่เห็นสัจธรรมความจริง ยิ่งสมัยนี้วิทยาศาสตร์ที่เจริญเรายิ่งมีการพัฒนาเทคโนโลยีทำให้เรามองไม่เห็น ครูบาอาจารย์หลวงพ่อถึงบอกว่าให้นักปฏิบัติทั้งหลาย มองดูคนอื่นให้เป็นโครงกระดูก ทะลุหนังเข้าไปถึงโครงกระดูก อย่าให้เป็นผู้หญิงผู้ชาย ให้เห็นเป็นโครงกระดูก กลับมามองตัวเองก็ให้ใจเห็นเป็นโครงกระดูก เราต้องทำอย่างนี้ติดต่อเนื่องเป็นหลายวันหลายเดือนหลายปี เพื่อนิมิตทางธรรมมันจะเกิดขึ้น ทุกท่านทุกคนให้เข้าใจหลักการภาวนาให้ทำอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้
ศีลทุกข้อพระวินัยทุกข้อ สิกขาบทน้อยใหญ่ ที่พระพุทธเจ้าตรัสและสั่งสอน มันเป็นเรื่องจิตเรื่องใจ เรื่องที่จะพัฒนาใจ มันไม่ใช่กฎหมายบ้านเมือง มันเป็นกฎแห่งกรรมที่จะหยุดภพหยุดชาติ ให้เราหยุดเหมือนที่เราต้มเราแกงหม้อใหญ่ๆ แล้วยกลง แล้วปล่อยให้มันเย็น การทำอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้ถึงเรียกว่า ศีล เรียกว่า สัมมาสมาธิ เราต้องบอกตัวเองหยุดตัวเอง นี่คือทุกข์ นี่คือเหตุเกิดทุกข์ ข้อปฏิบัติของเราคือเราต้องหยุดมีความสุข ถ้าเราไม่หยุดมันก็คืออย่างเก่ามันก็คือคนเก่า ศาสนานี้เขาถึงเรียกว่ามรรค มรรคคือทางเดิน ที่พระพุทธเจ้าบอกว่า มีโสดาปัตติมรรค สกทาคามีมรรค อนาคามีมรรค อรหันตมรรค เมื่อเรามีข้อวัตรข้อปฏิบัติอย่างนี้ เราถึงมีผล เราทุกท่านทุกคนต้องพากันปฏิบัติอย่างนี้ ผู้ที่มาบวชได้มาอบรมบ่มอินทรีย์อย่างเต็มที่ รู้ว่าอันไหนมันไม่ถูกต้องก็อย่าไปคิด อย่าไปพูด อย่าไปทำ เพราะศาสนามันคือเรื่องจิตเรื่องใจ เราอย่าไปว่าปฏิบัติไม่ได้ ถ้าปฏิบัติไม่ได้พ่อแม่ครูบาอาจารย์ก็บอกว่าอย่าพากันมาบวช ถ้ามาบวชแล้วต้องตั้งใจให้เต็มที่ เพราะเราทุกคนต้องเข้าสู่การชิงแชมป์ นี่มันเป็น fighting ของเราทุกคนที่ต้องสู้กับตัวเอง
อวิชชาความหลงมันมีทั้งรสหวานรสมัน รสหอม ผู้มีปัญญาเหมือนหางอึ่งมีปัญญาน้อยมันพากันหลง มันถึงพากันกล้าคิด กล้าพูด กล้าทำ มันมาจากความอวิชชา ความหลง ทุกท่านทุกคนอย่าพากันลูบคลำในศีลในข้อวัตรปฏิบัติ อย่าพากันขอโอกาสขอเวลาไปเรื่อย ทุกท่านต้องภาวนาให้ติดต่อเนื่อง พระพุทธเจ้าถึงไม่ให้พวกเราคลุกคลีพูดคุยกันมาก เพราะสิ่งต่างๆ เหล่านี้ มันเป็นทางเดินของสัตว์เดรัจฉาน การคลุกคลีเพลิดเพลินในรูปเสียงกลิ่นรสลาภยศสรรเสริญ มันเป็นสิ่งของที่สัตว์โลกผู้ยังเวียนว่ายตายเกิด
ทุกท่านทุกคนไม่ได้ต่อสู้กับใคร ต่อสู้กับอวิชชาความหลง การปฏิบัติก็คือหยุดทำตาม แล้วมันก็จะสงบและใจเย็น เราปฏิบัติต่อเนื่อง เหมือนเราปลูกต้นไม้เราดูแลให้น้ำให้ปุ๋ยมันไปเรื่อยๆ อย่างมีความสุข เราเอาปัจจุบันไปเรื่อยๆเราอย่าไปปรุงแต่งให้มันท้อใจ ความคิดความปรุงแต่งมันจะทำให้เราท้อใจ ทำให้เราดีใจเสียใจ มันก็แค่อารมณ์ มันก็แค่ความเวียนว่ายตายเกิด ตอนนี้เรานี้ดีมาก มีความแก่ มีความเจ็บ มีความตาย มีความพลัดพราก เพื่อให้เราทุกท่านทุกคนพากันฝึกใจ ปฏิบัติติดต่อเนื่อง มันจะไม่เป็นโรคบ้า โรคประสาทเหรอ มันไม่เป็น เพราะว่าเราปฏิบัติไม่ได้เอาอะไร ปฏิบัติเพื่อเสียสละ ถ้าเราจะเอาอะไรมันถึงเป็น เพราะการปฏิบัติของเรามันเป็นธรรม เป็นปัจจุบันธรรม ธรรมะของพระพุทธเจ้าเป็นสิ่งที่ทันสมัย เป็นปัจจุบันตลอด ทางวิทยาศาสตร์ที่เราค้นคว้าขึ้นมาใหม่ๆ อีกไม่กี่ปีมันก็ล้าสมัย ให้ทุกท่านทุกคนพากันเข้าใจ พวกที่ไม่เข้าใจก็พากันยินดีแต่ในความรวย ยินดีในรูปเสียงกลิ่นรสลาภยศสรรเสริญ พวกเพลงพวกคอนเสิร์ต ยินดีในเหล้าในเบียร์ เหมือนพวกปัญญาชนทั้งหลาย
ให้ทุกท่านทุกคนพากันเข้าใจและพากันปฏิบัติ เราทุกท่านทุกคนจะได้ไม่พากันมาหลงขยะ สิ่งไหนมันดับทุกข์ไม่ได้อย่างแท้จริงมันหยุดภพหยุดชาติไม่ได้ เพราะมันเป็นขยะ มันไม่เกิดประโยชน์ต่อตนเองอย่างสูงสุด ทุกๆ คนถ้าเราเสียสละเราก็เก่งพอๆ กัน ผู้ที่เสียสละคือผู้ปฏิบัติธรรม ให้เราเข้าใจความเป็นพระ ความเป็นพระนี้พระพุทธเจ้านับตั้งแต่พระโสดาบันไปจนถึงพระอรหันต์ ผู้ที่เป็นนักบวชหรือผู้ที่เป็นฆราวาสก็เป็นพระได้พอๆ กันขึ้นอยู่ที่ว่าใครมีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้องทุกท่านทุกคนต้องหยุดพลังงานแห่งการเวียนว่ายตายเกิดของตัวเอง
ศาสนาพุทธในประเทศไทย ถ้าเราคิดให้ดีคิดอย่างลึกซึ้ง คิดถึงความเป็นธรรมความยุติธรรม มันยังไม่ได้ถึงศาสนาพุทธเลย มันถึงได้แค่พวกมีปัญญาเฉยๆ ที่เรียนหนังสือจากตำรับตำราที่เรียนจากครูบาอาจารย์มันเป็นผู้มีปัญญาทั้งหลาย แล้วเอาความรู้ที่มีปัญญาทั้งหลายไปบอกไปสอนผู้ที่ไม่ได้เรียน คำบอกคำสอนนี้ก็เท่ากับนักจิตวิทยา มันไม่ใช่ทางพระพุทธศาสนา ทำไมถึงว่าอย่างนั้น เพราะว่าท่านทิ้งพระธรรมพระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่ ท่านไม่ได้เป็นพระเลย เป็นคนเห็นแก่ตัว ทุกท่านทุกคนถึงทิ้งพระธรรมพระวินัยไม่ได้ พระธรรมพระวินัยเป็นสิ่งที่ประเสริฐมากไม่มีอะไรประเสริฐกว่านี้ ที่ว่าทุกสิ่งทุกอย่างมีค่ามหาศาลในโลกนี้ ก็ไม่สู้พระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าที่พระองค์ท่านบำเพ็ญพระบารมีมาหลายล้านชาติได้ตรัสรู้แล้วมาบอกมาสอนประชาชน ให้ทุกท่านทุกคนพัฒนาเหตุตามหลักวิทยาศาสตร์ และพัฒนาใจตามหลักพระธรรมวินัย ทุกท่านทุกคนถึงจะเข้าถึงความสุขความดับทุกข์
ความตั้งมั่นก็เรียกสัมมาสมาธิ ไม่ใช่อย่างอื่น เพราะคนมีบุญเก่ามีกรรมเก่า มันจะเป็นอย่างนั้น มีความตั้งมั่น อย่างหลวงปู่มั่น บำเพ็ญบารมีมาเป็นพระพุทธเจ้า แต่เป็นพระพุทธเจ้ามันยาก เลยเป็นพระอรหันต์ดีกว่า เลยมีลูกศิษย์ลูกหาเยอะ หลายๆ องค์ก็เป็นอย่างนั้น เราต้องเข้าใจว่าเราเป็นคนมีบุญมาก บางทีมันเจอของอร่อยมันติด เพราะ covid มันนั่งใกล้กันมันจะติด พระพุทธเจ้าบอกว่าพระองค์หนึ่งไม่ดีเป็นพระทุศีลมาอยู่กับพระดีๆ หลายร้อยองค์ เลยทำให้พระพุทธเจ้าเสีย พระพุทธเจ้าไม่แสดงโอวาทปาฏิโมกข์เพื่อจะสอนพระ เพราะว่าคนที่ไม่เอามรรคผลนิพพานจะทำให้พวกท่านเสีย ตอนค่ำก็ไม่แสดงเที่ยงคืนก็ไม่แสดง จะสว่างแล้วก็ไม่แสดง ก็เลยถามพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าบอกว่ามีคนที่ไม่เอามรรคผลนิพพานมาอยู่ แสดงว่าพระพุทธเจ้าต้องการให้พวกที่มานั่งอยู่ตรงนี้เอามรรคผลนิพพานกันหมด
หลวงพ่อว่า อันไหนไม่ดีอย่าไปคิด อย่าไปพูด อย่าไปทำ ไม่อย่างนั้นจะเป็นการลูบคลำในศีลในข้อวัตรปฏิบัติ เราต้องมีความสุขในการรักษาศีล ศีล นั่นคือเครื่องบินที่บรรทุกเราเพื่อเข้าสู่มรรคผลนิพพาน สมาธิคือความตั้งมั่น อันไหนไม่ดีไม่พูดไม่ทำ การปฏิบัติของเราในชีวิตประจำวันเรียกว่า Fighting ไฟท์นี้เราต้องน็อคเอาท์อย่างเดียวในชีวิตประจำวัน เราจะใจอ่อนไม่ได้
ส่วนใหญ่จะเป็นพวกใจอ่อน เพราะมันติดในของอร่อย ของแซ่บของรำ ของหรอยอะไรต่างๆ เราต้องเข้าใจ เราต้องมีความสุขในการทำงาน ในการปฏิบัติธรรม โยมปฏิบัติอยู่ที่บ้านโยมนั่นแหละ บ้านโยมก็วิเวกดี เพราะต้องเอาชีวิตประจำวันเป็นการปฏิบัติธรรม เราต้องมีแต่เจตนาดีๆ ว่าอันไหนไม่ดีไม่คิด อันไหนไม่ดีไม่พูด อันไหนไม่ดีไม่ทำ การปฏิบัติต้องติดต่อเนื่อง เราทำงานก็ต้องมีความสุขในการทำงาน ให้ใจอยู่กับเนื้อกับตัว หลวงพ่อพูดว่าความสุขเฉยๆ ถ้าจะพูดให้ถูกต้องคือความดับทุกข์ ถ้าไปพูดว่าความสุขแล้วมันจะหลงอีก เพราะว่าไวรัสต่างๆ มันชอบของหวาน เราต้องเข้าใจ เจริญอนิจจังว่าไม่แน่ไม่เที่ยง เจริญอนัตตาว่าไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน เราไปยึดมั่นถือมั่นมันก็เป็นทุกข์ เพราะเราต้องอาศัยวิทยาศาสตร์อาศัยเทคโนโลยีเครื่องอำนวยความสะดวกต่างๆ แต่เราก็ต้องเสียสละ เราต้องมีภูมิต้านทานสูงด้วย ว่าอันนี้อนิจจังมันไม่แน่ไม่เที่ยง อนัตตามันไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน เราก็ต้องอาศัยเทคโนโลยีตามหลักเหตุผลตามหลักวิทยาศาสตร์ แต่เราก็อย่าไปติด เพราะสิ่งเหล่านี้มันเป็นอนิจจัง ทุกขัง เป็นอนัตตา
เราต้องไม่มีความทุกข์ทางใจ ถ้าเรามีความทุกข์ทางใจแสดงว่าเรามีตัวมีตน ถ้าเรารู้จักความคิดและรู้จักอารมณ์ เราจะไม่มีความทุกข์ทางใจ ความหนาวมันมาให้เราได้ทำใจ หนาวก็เอาผ้ามาห่ม เราไม่มีสิทธิ์ที่จะมีความทุกข์ทางจิตใจ อากาศร้อนก็หาแอร์หาพัดลมมาแก้ร้อน เราไม่ต้องมีความทุกข์ทางจิตใจ ทุกอย่างเราต้องแก้ที่ใจเรา คนเราถ้าไปแก้ที่ปลายเหตุ มันไม่ได้ เราเป็นโรคเบาหวานอย่างนี้ เราไปแก้ที่ปลายเหตุไม่ได้ เราต้องแก้ที่ใจของเรา เราต้องลดเรื่องกิน เราเป็นโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ เราก็พยายามแก้ที่ใจของเรา ในเรื่องกิน แก้ใจของเราไม่ให้คิดมาก ไม่ให้ปรุงแต่งมาก คนเราไม่อยากแก่ ไม่อยากเจ็บ ไม่อยากตาย ไม่อยากพลัดพลาด มันก็เป็นคนบ้าทั้งนั้น เรานั่งอยู่แล้วอยากให้มันช้ามันเร็วมันก็เป็นคนบ้า ทุกอย่างมันต้องมาแก้ที่เรา เรานั่งรถไปกรุงเทพฯอย่างนี้ ทำไมใช้เวลาหลายชั่วโมง เราคิดอย่างนี้เขาเรียกว่าคนบ้า เรานั่งอยู่บางทีก็คิดในใจของเรา อยากให้มันสงบ เราคิดอย่างนี้มันจะสงบได้ยังไง เพราะเราไปคิดมัน ถ้าเราไม่คิดมันถึงจะสงบ เราต้องรู้จักเราต้องเจริญปัญญาอย่างนี้
ถ้าเราเสียสละอย่างนี้ทุกคนก็รักเรา ถ้าเรามีศีลดีๆ คนมีศีลดีๆ เขาเรียกว่าคนมีระเบียบวินัย คนมีศีลดีๆ คือ อันไหนไม่ดีไม่คิด อันไหนไม่ดีไม่พูด อันไหนไม่ดีไม่ทำอย่างนี้ ถึงเวลาทำอันนู้น ถึงเวลาทำอันนี้ อย่างนี้เขาเรียกว่าคนมีศีลดี ถ้าคนสติไม่ดี สมาธิก็ไม่ดี เพราะเราคอนโทรลตัวเองไม่ได้ เหมือนหลวงพ่อบวชมา 53 ปี หลวงพ่อก็ไม่คิดอย่างนั้นไม่พูดอย่างนี้ ไม่ทำอย่างนี้ก็อยู่อย่างนี้ อย่างหลวงพ่อฉันกับข้าวเจ ไปไหนก็ฉันเจ ถ้าไม่มีเจ หลวงพ่อก็ไม่ฉันอะไร ตายก็ช่างหัวมัน ถ้าหลวงพ่ออ่อนแออย่างนี้ หลวงพ่อก็เป็นคนไม่มีศีล คนเราต้องเสียสละทำอย่างนี้ เขาเรียกว่าเสียสละ เราทำอย่างนี้เราก็มีความสุข เพราะเรามาหยุดตัวเอง เมื่อหยุดแล้วก็จะหายเหนื่อย มันเราเอาหม้อใหญ่ๆ ทำแกงที่อร่อยที่สุดในโลกเราก็ต้องยกลงให้มันเย็น เราก็ไม่ต้องไปใจร้อน มันก็จะเย็นของมันเอง เราก็ไม่ต้องคิดอะไร เพราะคิดแล้วจะเป็นคนบ้า เราก็ทำอย่างนี้แก้ที่ตัวเราอย่างนี้ หลายวันเราก็จะเย็นเอง เหมือนพระที่ถือวินัยดีๆ อย่างเคร่งครัดหลายวันหลายเดือนใจมันก็จะเย็น ไม่คิดไม่พูดไม่ทำใจมันก็จะเย็น
เมื่อเราเจริญกรรมฐานอย่างนี้ พระพุทธเจ้าถามพระอานนท์ว่าคิดถึงความตายวันละกี่ครั้ง ท่านบอกวันละพันครั้ง พระพุทธเจ้าบอกมันน้อยเกิน พระพุทธเจ้านึกถึงความตายทุกลมหายใจ พระพุทธองค์ได้ตรัสสรรเสริญ มรณัสสติว่า “มรณัสสติ อันบุคคลทำให้มากแล้ว ย่อมมีผลใหญ่หยั่งลงสู่พระนิพพานเป็นที่สุด” และพระพุทธองค์ได้เคยตรัสกับพระอานนท์ว่า “ตถาคตนึกถึงความตายอยู่ทุกลมหายใจเข้าออก”
สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลสังฆปริณายก ได้นิพนธ์ไว้ในหนังสือ วีธีสร้างบุญบารมี ว่ามรณัสสติกรรมฐานนั้น โดยปกติเป็นกรรมฐานของผู้ที่มีพุทธจริต คือ คนที่ฉลาด การใคร่ครวญถึงความตายเป็นการพิจารณาถึงความเป็นจริงที่ว่าไม่ว่าตนและสัตว์ทั้งหลาย เมื่อมีเกิดขึ้นแล้ว ย่อมเจริญวัยเป็นหนุ่มสาว เฒ่าแก่แล้วก็ตายไปในที่สุด ไม่อาจล่วงพ้นไปได้ทุกผู้คน ไม่ว่าจะเป็นคนยาก ดี มี จน เด็ก หนุ่ม สาว เฒ่าแก่ สูง ต่ำ เหลื่อมล้ำกันด้วยฐานันดรศักดิ์อย่างใด ในที่สุดก็ทันกันและเสมอกันด้วยความตาย ผู้ที่คิดถึงความตายนั้น เป็นผู้ที่ไม่ประมาทในชีวิต ไม่มัวเมาในชีวิต เพราะเมื่อคิดถึงแล้วย่อมเร่งกระทำความดีและบุญกุศล เกรงกลัวต่อบาปกรรมที่จะติดตามไปในภพชาติหน้า ผู้ที่ประมาทมัวเมาต่อทรัพย์สมบัติยศศักดิ์ตำแหน่งหน้าที่นั้นเป็นผู้ที่หลง เหมือนกับคนที่หูหนวกและตาบอด ซึ่งโบราณกล่าวตำหนิไว้ว่า “หลงลำเนาเขาป่ากู่หาพอได้ยิน หลงยศอำนาจย่อมหูหนวกและตาบอด” และกล่าวไว้อีกว่า “หลงยศลืมตาย หลงกายลืมแก่” และความจริงก็มีให้เห็นอยู่ทุกวันนี้ที่บางท่านใกล้จะเข้าโลงแล้ว ก็ยังหลงและมัวเมาในอำนาจวาสนา ตำแหน่งหน้าที่ จนลืมไปว่าอีกไม่นานตนก็จะต้องทิ้งต้องจากสิ่งเหล่านี้ไป แล้วทุกสิ่งทุกอย่างที่ตนได้หลงมัวเมาเฝ้าแสวงหาหวงแหนเกาะแน่นอยู่นั้น ก็จะต้องสลายไปพร้อมกับความตายของตน สูญเปล่าไม่ได้ตามติดกับตนไปด้วยเลยแล้วไม่นานผู้คนที่อยู่เบื้องหลังก็ลืมเลือนตนไปเสียสิ้น ดูเหมือนกับวันเวลาทั้งหลายที่ตนได้ต่อสู้เหนื่อยยากขวนขวายจนได้สิ่งดังกล่าวมานั้น ต้องโมฆะสูญเปล่าไปโดยหาสาระประโยชน์อันใดมิได้เลย
มรณัสสติมิใช่ความยินดีในความตาย ดังที่กล่าวมาแล้วว่า มรณัสสติ เป็นการหมั่นระลึกถึงความตาย เป็นการพัฒนาจิตให้รู้โลกตามที่เป็นจริง และเตรียมตัวเตรียมใจให้พร้อมเมื่อวันเวลานั้นมาถึง ท่านอาจารย์พุทธทาสภิกขุได้บรรยายไว้ในหนังสือปัจฉิมอาพาธว่า การเรียนรู้ชีวิตใกล้ตาย ทำให้มีปัญญาที่สมบูรณ์ขึ้น เราจะศึกษาความเจ็บ ความตาย ความทุกข์ให้มันชัดเจน ไม่สบายทุกทีก็ฉลาดขึ้นทุกทีเหมือนกัน นอกจากนี้ท่านยังได้ให้ข้อเตือนใจว่า การตายเป็นหน้าที่ของสังขารอย่างไม่มีทางเปลี่ยนแปลงแก้ไข นอกจากการต้อนรับให้ถูกวิธี
การเจริญมรณัสสติ จึงมิใช่เรื่องการเชิญชวนให้ยินดีในความตาย แต่เป็นการทำความเข้าใจในกฏของธรรมชาติ ซึ่งจะต้องเปลี่ยนแปลงและเป็นไปเช่นนั้นเอง ในมหาสุกูลทายิสูตร มัชฉิมปัณณาสก์ มัชฉิมนิกาย พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ว่า “กายของเรานี้แล มีรูปประกอบด้วยมหาภูติ 4 (ดิน น้ำ ลม ไฟ) เกิดแต่บิดามารดา มีอันทำลายและแตกกระจายเป็นธรรมดา และวิญญาณของเรานี้ ก็อาศัยอยู่ในกายนี้ เนื่องอยู่ในกายนี้ เปรียบเหมือนแก้วไพฑูรย์อันงาม มีด้ายขาว เหลือง แดง เขียว หรือนวล ร้อยอยู่ในนั้น....”
แม้มรณัสสติหรือการระลึกถึงความตาย จะเป็นการเรียนรู้ความจริงของธรรมชาติและจะช่วยให้ดำรงชีวิตอยู่ด้วยความไม่ประมาท แต่คนส่วนหนึ่งก็ยังกลัวความตายอยู่มาก และไม่อยากแม้แต่จะคิดถึงเรื่องเหล่านี้ บางคนหลีกเลี่ยงที่จะไปร่วมในงานสวดศพ แต่ยินดีที่จะไปงานฉลองวันเกิด แท้จริงแล้วการเกิด ก็คือ จุดเริ่มต้นที่จะตามมาด้วยความเจ็บ ความแก่ และความตาย ดังที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ว่า ความตายมาจากความเกิด ถ้าไม่อยากตาย ก็ต้องอย่าเกิด คือไม่มีภพ ไม่มีชาติ
ที่ว่า ไม่มีภพ ไม่มีชาติ คือ ไม่มีอุปาทานไม่มีความยึดมั่นถือมั่นนั่นเอง ท่านอาจารย์ ชา สุภทฺโท ได้บรรยายไว้ในหนังสือ กบเฒ่านั่งเฝ้ากอบัวว่า อุปาทานเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ ถ้าอุปาทานนั้นเราปล่อยไม่ได้เราอยากสงบ มันก็ไม่สงบ ท่านได้กล่าวถึงพุทธโอวาทของพระพุทธองค์ว่า ตายนี้มาจากความเกิด ถ้าไม่อยากตาย ก็อย่าเกิดซิ แต่นี่อยากเกิดอีก แต่ว่าไม่อยากตาย พูดกับกิเลสตัณหานี้มันยาก มันก็ลำบาก มันถึงมีการปล่อยวางได้ยากมีการปล่อยวางไม่ได้ดังนี้
สิ่งที่จะเกิดธรรมะเราต้องระลึกติดต่อกันหลายๆ วันหลายๆ เดือนหลายๆ ปี การเจริญสติปัฏฐาน 4 เขาถึงว่า 7 วัน 7 เดือน 7 ปี เขาต้องฝึกให้ใจเย็น การปฏิบัติของเราต้องอยู่เงียบๆ เดินจงกรมทั้งวัน นั่งสมาธิทั้งวัน หรือเดินจงกรมบ้าง นั่งสมาธิบ้างสลับกัน ให้มีสติสัมปชัญญะ มีความดับทุกข์
คนที่เป็นประชาชนก็ต้องทำงานอย่างนู้นบ้างอย่างนี้บ้าง แต่ใจก็ต้องอยู่กับเนื้อกับตัว ความคิดความปรุงแต่งมันเป็นตัวตนมันจะโผล่ขึ้นมา เราก็บอกมัน อันนี้รู้จักกันอย่าโผล่หน้ามา เราก็ต้องเป็นคนที่ต่อยหนักและต่อยเร็วอีกด้วย การปฏิบัติของเราต้องติดต่อเนื่อง มันเป็นไปไม่ได้ที่จะได้บรรลุธรรม ที่ปล่อยให้ตัวเองคิดไปเรื่อยๆ อย่างนี้ไม่ได้ เพราะว่ารายรับมันเยอะ แต่อันนี้มันรายจ่ายมันมาก หลวงพ่อมาคิดดู ถ้าคิดจนหัวระเบิดมันก็ไม่มีใครบรรลุหรอก เพราะว่ามันตามใจตัวเอง เกิดมาก็ตาบอด ยังมาเพิ่มมาหาบอดอีก เราต้องมีความสุข เพราะว่าธรรมะของพระพุทธเจ้าก็สัปปายะอยู่แล้ว สถานที่ก็สัปปายะ อาหารก็มีเยอะอยู่แล้ว ไม่ต้องไปคิดอะไรหรอก เพราะว่าทุกอย่างมันดีหมดแล้ว เราต้องแก้ไขตัวเอง ต่างคนก็ต่างแก้ไขตัวเอง เราก็ช่วยเหลือตัวเอง เพราะหลวงพ่อก็ไปหายใจให้เราไม่ได้ เราไม่ต้องไปหายุ่งแต่คนอื่น คนนั้นไม่เรียบร้อยคนนี้ไม่เรียบร้อย คนอื่นก็ไม่รู้เรื่อง จนตัวเองเป็นโรคประสาท คนนั้นเขาเป็นโรคประสาทอยู่แล้วจะไปเพิ่มโรคประสาทให้เขาอีกมันไม่ได้
เราก็ให้มีความสุข เพราะอยู่ที่นี่ก็ไม่มีค่าใช้จ่ายอะไร พยายามพัฒนาให้ตัวเองเข้าถึงความดับทุกข์ ให้เข้าใจนะ คนเราถ้าเราไปคิด มันก็ไม่สงบอยู่แล้วอยากให้มันสงบ มันก็ไม่สงบ เพราะว่าเรามัวแต่ไปคิด เราต้องรู้จักใจของเรา เหมือนพระพุทธเจ้ารู้จักใจตัวเอง พระพุทธเจ้าบอกว่าเรารู้จักเจ้าเสียแล้ว ต้องทำอย่างนี้ทำใจให้มีความสุข ให้เข้าใจหลักปฏิบัติ เราก็มีความสุขของเรา
เราอย่าไปตามความคิดไปเรื่อย ตามความคิดไปมันก็ไม่ได้เป็นศาสนาพุทธ มันเป็นศาสนาคิด ศาสนาคิดออกมาแล้วเรียกว่าศาสนาปรุงแต่ง เราต้องคิดให้เกิดปัญญา คิดให้เกิดปัญญาว่าเราต้องแก้ไขตัวเอง ไม่ใช่มีธรรมะเพียงแค่เป็นสิ่งพื้นฐาน เราต้องพัฒนาใจของเรา ถ้าเราไม่พัฒนาใจ ไปยินดีในคอนเสิร์ต ไปยินดีในพวกเหล้าพวกเบียร์ พวกมีเซ็กส์มีเพศสัมพันธ์ บูชาวัตถุบูชาเงินเป็นพระเจ้า เราต้องพัฒนาใจของเรา เราไม่ต้องเป็นคนรวยอย่างโง่ๆ ต้องมีความสุข เราต้องฝึกเป็นคนขยัน ทำความสะอาดดีๆ ถ้าพัฒนาใจไปพร้อมๆ กัน รู้จักทำใจสงบมันก็จะดี ต้องทำงานให้มีสติเย็นไม่คิดอะไร
ครูบาอาจารย์ขออนุโมทนากับทุกท่านทุกคน ที่พวกท่านพากันมาตั้งอกตั้งใจประพฤติปฏิบัติ ปฏิบัติอย่างเก่าถือว่ายังใช้ไม่ได้ ต้องเอาพระธรรมวินัย 100% ด้วยความตั้งใจมันจะเป็นเหตุเป็นปัจจัย ให้ทุกท่านทั้งหลายเป็นพระอริยเจ้า วัฏสงสารนี้ไม่ใช่สิ่งที่หน้าเพลิดเพลินนะ เป็นสิ่งที่น่าสะพรึงกลัว เราถึงคราวถึงเวลาแล้ว ที่ต้องพากันมาเสียสละ เราจะมาเป็นโรคใจอ่อนอย่างนี้ไม่ได้ ทุกท่านทุกคนต้องมีสัมมาทิฏฐิ มีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง มีความสุขในการประพฤติปฏิบัติด้วยกันทุกท่านทุกคน ณ โอกาสนี้...