แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ในวันพฤหัสบดีที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๖๖
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง ชีวิตใหม่ที่เลือกได้ ตอนที่ ๔๓ เรารักสุขเกลียดทุกข์อย่างไร คนอื่นสัตว์อื่นก็รักสุขเกลียดทุกข์อย่างนั้น จึงต้องหมั่นเจริญเมตตามาก ๆ
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
เราทำตามใจตัวเอง ทำตามอารมณ์ตัวเอง ทำตามความรู้สึกน่ะ มันไม่ได้ ต้องเอาธรรมะเป็นหลัก เอาธรรมะเป็นที่ตั้ง เอาธรรมะเป็นการดำเนินชีวิต เราหยุดความเป็นคนหน่ะ เพราะเราทุกคนนั้นมีความหลงเป็นมิจฉาทิฐิ คือไม่รู้ทุกข์ ไม่รู้เหตุให้เกิดทุกข์ ไม่รู้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ เราต้องอาศัยยาน อาศัยพาหนะ ของพระพุทธเจ้า ยานพาหนะของพระพุทธเจ้าก็คือศีล คือสมาธิ คือปัญญา
การปฏิบัติธรรมนั้นถือว่าเป็นเรื่องง่าย เพราะแก้ไขตัวเอง ไม่ได้แก้ไขบุคคลอื่น เราเป็นมิจฉาทิฐิ เราเป็นคนหน่ะ เรามีแต่จะไปแก้ไขคนอื่น แก้ไขสิ่งภายนอก มันเลยสร้างปัญหาไปเรื่อยๆ เราจะเดินทางไปประเทศยุโรปอย่างนี้ ไปประเทศทางยุโรป มันต้องข้ามภูเขา มันต้องข้ามทะเล ข้ามมหาสมุทร เราจะเดินไปมันคงไม่ได้ เราต้องอาศัยเครื่องบิน เราถึงจะข้ามภูเขา ข้ามทะเล ข้ามมหาสมุทร ฉันใด เราจะหยุดทุกข์ หยุดวัฏฏะสงสารนั้นน่ะ เราต้องอาศัยธรรมะ อาศัยศีลอาศัยข้อวัตรปฏิบัติ ที่พระพุทธเจ้าได้บำเพ็ญพุทธบารมีมาบอกมาสอนน่ะ มนุษย์เราถึงต้องพากันมาพัฒนาเหตุ พัฒนาสิ่งที่ถูกต้อง ที่เรียกว่าวิทยาศาสตร์ ผลมันถึงจะเกิด เราต้องมีความสุขแต่ก่อนเรามันมืดไม่รู้อะไรเลย โชคดีที่มีพระพุทธเจ้า เรียกว่ามีธรรมะเป็นสัปปายะ แล้วเราก็เป็นมนุษย์ ได้อัตภาพร่างกายที่ประเสริฐ เราก็พัฒนาหยุดความเป็นคนน่ะ ทุกคนต้องพากันรู้ตัวเองนะ ว่าตัวเองมีความคิดเห็นผิด มีความเข้าใจผิด ปฏิบัติผิด ถ้าไม่มีความคิดเห็นผิด มีความเข้าใจผิด ปฏิบัติผิด ย่อมไม่มีการฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม โกหกหลอกลวงหรอก ดื่มเครื่องดองของเมา
เรากลับมาย้อนดูตัวเอง ว่าตัวเองมีความเห็นผิด เข้าใจผิด อะไรอยู่ต่อหน้ามันกินได้ มันก็กินหมด ตั้งแต่ มองเห็นระดับช้าง ระดับปลาวาฬ มันพากันกินหมดเลย อะไรไม่อร่อยก็พากันหาเครื่องเทศเครื่องปรุงแต่งมาทำให้มันอร่อย มันหลงนะ มันไม่คิดนะว่า คนอื่นเขาจะทุกข์ยากลำบาก ทำปาณาติบาต บี้ทั้งปลวก ทั้งมด ทั้งยุง มนุษย์เรานี้ถึงจำเป็นต้องมีอาหารก็จริง แต่มนุษย์พัฒนาได้ พัฒนาที่เบียดเบียนน้อยที่สุด ร่างกายของเราต้องทานอาหาร มนุษย์เราก็สามารถพัฒนาได้ ทานอาหารที่มันบาปน้อยที่สุด อันนี้มันบาปรุนแรงเกิน บาปมากเกิน เรามาคิดดูสิว่า อย่างพวกเสือพวกสัตว์ที่ทานพวกเนื้อเป็นอาหาร ที่จริงมันไม่ต้องทานพวกเนื้อเป็นอาหาร ทานพวกที่เป็นผักก็ยังอยู่ได้ ลองดูตัวอย่าง อย่างหมีนี้นะ หมีมันเป็นสัตว์ที่ทานผักผลไม้ แล้วก็ทานพวกเนื้อ ถ้ามันไม่มีอะไร มันก็ทานพวกผักพวกผลไม้ ใบไม้ใบหญ้า มันก็อยู่ได้ มันอยู่ที่ทำตามกัน ความเห็นแก่ตัวของเราเนี่ยมันทำให้เราไม่รู้จักทุกข์ ไม่รู้เหตุเกิดทุกข์ ไม่รู้จักข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ มันตามความคิดตามอารมณ์ไปเรื่อยน่ะ
ในพระไตรปิฏก มีพุทธภาษิตอยู่บทหนึ่งว่า "สัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของตัว มีกรรม เป็นตัวให้กำเนิด มีกรรมเป็นตัวเกี่ยวข้อง มีกรรมเป็น ที่พึ่ง สัตว์ทั้งหลาย ทำกรรมใดไว้ ดีหรือชั่วก็ตาม จักได้ผลกรรมนั้นแน่นอน..."
สื่อให้เห็นชัดเจนว่า ศาสนาพุทธสอนเรื่องกรรมเก่า และให้ยอมรับผลของกรรม หรือผลของการกระทำ เช่น ถ้าเราไม่อาบน้ำ เราย่อมสกปรก มีกลิ่นตัว นี่เป็นเรื่องของกรรมล้วนๆ ไม่มีใครหลีกหนีผลกรรมหรือผลการกระทำได้ ไม่มีข้อยกเว้น แม้แต่ตัวพระพุทธเจ้าเอง
พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ด้วยพระองค์เองในคัมภีร์อปทานตอนที่ว่าด้วย ปุพพกัมปิโลติ พุทธาปทาน ข้อ ๓๙๒ ถึงกรรมเก่าที่พระองค์ทรงกระทำมาแล้วในอดีต ๑๔ ข้อ ทั้งฝ่ายกุศลและฝ่ายอกุศลนี้ ก็เพื่อเป็นตัวอย่างว่า พระองค์เมื่อยังเป็นปุถุชน ก็ได้ทำดีและทำชั่วมาแล้วเช่นเดียวกับพวกเรา
ตัวอย่างผลกรรมจากการละเมิดศีลข้อที่ ๑
จากพระไตรปิฎก พระพุทธเจ้าได้ตรัสเล่าถึงกรรมเก่าที่มาให้ผลแก่พระองค์ กรรมเก่าที่ตรัสเล่านั้นเป็นกรรมเก่าที่ทำไว้ในอดีตชาติ เมื่อครั้งยังเป็นปุถุชน แล้วมาให้ผลในชาติปัจจุบันถึงแม้ว่าพระองค์จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า แล้วก็ยังไม่พ้นไปจากผลของกรรมเก่านั้น ซึ่งจะนำมากล่าวเป็นบางส่วนที่เกี่ยวข้องกับการผิดศีลข้อที่ ๑ ดังนี้
กรรมเก่าจากการเคยนำทหารออกศึก พระองค์ตรัสเล่าว่า ในชาติหนึ่งในอดีต พระองค์เกิดเป็นแม่ทัพนำทหารออกรบฆ่า ข้าศึกตายเป็นจำนวนมากด้วยหอก ตายจากชาตินั้น บาปกรรมส่งผลให้ไปเกิดอยู่ในนรกนานแสนนาน เสวยทุกขเวทนาอย่างแสนสาหัส
แม้เกิดมาในชาติสุดท้าย หลังจากที่พระเทวทัตทำให้พระองค์ทรงห้อพระโลหิตแล้ว เสด็จไปให้หมอชีวกรักษา หมอชีวกได้รักษาโดยปรุงยาอย่างแรงกล้าเพื่อสมานแผลแล้ว ปิดแผล แล้วเข้าไปทำธุระในเมือง แต่กลับมาไม่ทันเอายาออก ประตูเมืองปิดก่อน ทำให้พระองค์เกิดความเร่าร้อนในสรีระตลอด ซึ่งต่อมาได้รับสั่งให้พระอานนท์นำยาที่ปิดแผลนั้นออกในตอนค่ำนั่นเอง
ฆ่าน้องชายต่างมารดา ในชาติหนึ่งในอดีต พระองค์เกิดเป็นลูกเศรษฐี บิดาของพระองค์มีภรรยาหลายคน ภรรยาคนหนึ่งมีลูกชาย พระองค์เกรงว่าทรัพยสมบัติส่วนหนึ่งจะถูกแบ่งไปให้แก่น้องชายต่างมารดานั้น จึงลวงน้องชายไปฆ่าที่ซอกเขาแล้วเอาหินทับไว้ บาปกรรมส่งผลให้ไปเกิดยู่ในนรกนานปี เกิดมาในชาตินี้แม้จะได้ตรัสรู้เป็น พระพุทธเจ้าแล้วเศษกรรมที่ยังหลงเหลืออยู่ก็ส่งผลให้พระองค์ถูกพระเทวทัต กลิ้งหินกระทบพระบาทจนห้อพระโลหิต
กรรมเก่าจากการเคยชอบใจเมื่อเห็นคนฆ่าปลา (ข้อนี้แสดงให้เห็นว่า เพียงแค่ดีใจ ที่เห็นคนทำบาป แค่นั้นกรรมก็ตกกับเราแล้ว) พระองค์ตรัสเล่าว่า ในชาติหนึ่งในอดีต พระองค์เกิดเป็นลูกชาวประมง อาศัยอยู่ในหมู่บ้านชาวประมง เห็นชาวประมงฆ่าปลาแล้วเกิดความสนุกยินดีสนุกสนาน
มาเกิดในชาตินี้ แม้จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว บาปกรรมก็ยังส่งผลให้พระองค์รู้สึกปวดพระเศียรเมื่อคราวที่พวกเจ้าศากยะพระประยูรญาติของพระองค์ ถูกพระเจ้าวิฑูฑภะกษัตริย์แห่งแคว้นโกศลยกทัพบุกสังหาร
แกล้งโคไม่ให้ดื่มน้ำ ชาติหนึ่งในอดีต พระองค์เกิดเป็นคนเลี้ยงโค ต้อนโคไปเลี้ยง เห็นแม่โคแวะดื่มน้ำข้างทาง เกรงจะชักช้าจึงไล่โคไม่ให้ดื่มน้า ด้วยการแกล้งเอาไม้กวนน้าให้ขุ่นบาปกรรมในชาตินั้นส่งผล ให้พระองค์กระหายน้าแล้วไม่ได้เสวยสมปรารถนาทันที เมื่อคราวใกล้จะเสด็จ ดับขันธ์ปรินิพพาน
เป็นหมอยารักษาคนไข้ตาย ในชาติหนึ่งในอดีต พระองค์เกิดเป็นหมอยารับรักษาลูกชายเศรษฐี โดยวิธีให้ถ่ายยา จนลูกชายเศรษฐีตาย บาปกรรมส่งผลให้ไปเกิดอยู่ในนรก เกิดในชาตินี้แม้จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว เศษกรรมที่ยังหลงเหลืออยู่ ก็ส่งผลให้พระองค์เกิดพระโรคปักขันทิกาพาธ (โรคท้องร่วง) หลังจากเสวยสุกรมัททวะก่อนเสด็จดับขันธปรินิพพาน
ไม่มีใครหนีพ้นผลของกรรม แม้พระมหาโมคคัลลานะ สำเร็จเป็นพระอรหันต์ที่มีฤทธิ์เดช ก็ยังถูกทุบจนร่างกายแหลกเหลว เพราะชาติก่อนเคยทุบตีพ่อแม่ไว้ ฉะนั้น ทุกๆ ครั้งที่จะเริ่มทำกรรม ทางกาย วาจา และใจ ขอให้สร้างเป็นบุญ สร้างเป็นกุศลอย่างเดียว เพราะบุญเท่านั้น เป็นที่พึ่งของสัตว์ทั้งหลาย
และหากเจ็บปวดมากแค่ไหนกับผลกรรมที่ได้รับในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นความล้มเหลวทางการงาน การหาเงิน ความรัก เรื่องเพื่อน หรือเรื่องอะไรก็ตาม ให้ใช้ขันติ เพื่อสะกดความเดือดเนื้อร้อนใจให้หยุดเป็นความแข็งแกร่ง และให้ใช้โอกาสนี้เรียกปัญญามาเพื่อมองเห็นความจริง ที่รู้ว่าโลกมีสภาพอย่างนี้ ทำให้แม้ว่าจะอยู่ในสภาวะเลวร้ายแค่ไหน จิตใจก็กลับสงบ
เมื่อวางจิตเป็นกลางได้แล้ว ก็ให้รู้ว่ากรรมเก่านั้นสักแต่ว่ารับ ไม่ยินดี ยินร้าย และจะไม่ทำกรรมใดๆ ใหม่อีก ด้วยการรักษาศีลห้า และปิดกั้นอกุศลทุกทางที่จะเกิด ไม่ใช่เพื่อใคร แต่เพื่อตัวเราเอง ใครจะสำคัญยิ่งไปกว่าตน
ถึงแม้ว่าเราจะพัฒนาเทคโนโลยี พัฒนาวิทยาศาสตร์ ได้รับความสดวกความสบาย เราก็ยังแก้ปัญหาไม่ได้นะ เพราะเรายังเป็นมิจฉาทิฐิอยู่ ราไม่รู้จักทุกข์ ไม่รู้เหตุเกิดทุกข์ ไม่รู้จักข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ เพราะปรับวัตถุเข้าหาใจ มันไม่ไหวนะ ต้องปรับใจเข้าหาวัตถุ ถ้างั้นมนุษย์เรานี้มีปัญหา เพราะเรามีความคิดเห็นผิดมีความเข้าใจผิด ปฏิบัติผิด มันพัฒนาแต่เทคโนโลยี พัฒนาวิทยาศาสตร์ เพื่อมาเมาตัวเอง ไม่ได้พัฒนาใจไปพร้อมๆ กัน มันใจอ่อน อย่างศีล ๕ ผู้ที่อยากเป็นพระอริยเจ้าทั้งหลาย ไม่อยากพากันรักษาศีล ๘ กัน เพราะการอดข้าว ตอนบ่ายตอนกลางค่ำกลางคืนมันเหนื่อย มันใจอ่อน พระพุทธเจ้าถึงสอนให้เราจิตใจเข็มแข็ง!! ๗ วัน ๘ วัน นี้ก็ให้เรารักษาศีล ๘ ศีลอุโบสถ เพื่อจะได้เอาความสุขกับการเบรคตัวเอง หยุดตัวเอง หยุดการปรุงแต่งตัวเอง เพื่อให้จิตใจเข้าถึงอัปปนาสมาธิ เพื่อใจจะได้สงบ ใจจะได้หยุด ใจของเราจะได้ไม่ฟุ้งตามสิ่งภายนอกไป ใจของเราจะได้อยู่กับเนื้อกับตัว จะได้อยู่กับปัจจุบันธรรม
พวกที่ใจอ่อนทั้งหลายพากันรู้นะ พวกที่มาอยู่วัดทั้งหลาย บางคนเขาก็ยังไม่แก่เกิน ไม่ป่วยเกิน แต่ก็ใจอ่อน ไม่สามารถที่จะรักษาศีล ๘ ได้ เพราะเราเป็นโรคใจอ่อน เราไม่รู้จักคุณค่าของพระนิพพาน ต้องใจเข็มแข็ง ต้องรู้จักความคิดความปรุงแต่ง ต้องรู้จักหยุดความคิด ความปรุงแต่ง รู้จักพักผ่อน รถที่มันวิ่งให้รถมันได้หยุดบ้าง รู้จักพักผ่อนความปรุงแต่ง ให้มันได้สงบเย็นบ้าง ให้รู้จักสมาธิมันคือการหยุดการไม่ปรุงแต่ง เราต้องอาศัยการปฏิบัติ การฝึก เพื่อให้เราได้อัปปนาสมาธิ เราต้องฝึกนะ ถ้าไม่ฝึก พวกท่านทั้งหลายจะมาเป็นพวกที่ใจอ่อนอยู่ในวัด โดยที่ไม่พากันฝึกไม่ได้นะ ต้องตั้งใจฝึกสมาธิกัน เพราะการประพฤตการปฏิบัติ
เราต้องขอบใจทุกสิ่งทุกอย่างสิ ความเหน็ด ความเหนื่อยน่ะดี ที่ให้เราได้ฝึกใจ เราดูตัวอย่างบุคคลที่ไม่สีลัพพตปรามาส ดูตัวอย่าง อย่างหลวงปู่มั่น หลวงปู่ชา หลวงตามหาบัว หลวงพ่อพุทธทาสเนี่ย ใจท่านเข้มแข็งท่านจะ ไม่ใจอ่อน อย่างหลวงปู่คำพาเนี่ยใจท่านเข้มแข็ง ถ้าท่านไม่ฉันน้ำปานะ ไม่มีอะไร ใจท่านใจเข้มแข็ง ท่านมีฐานสมาธิแข็งแรงเป็นพื้นฐาน ท่านไม่ลูบคลำในศีล ในข้อวัตรข้อปฏิบัติ ทุกท่านทุกคนต้องพากันจัดการตัวเองนะ เพราะไม่มีใครมาจัดการให้เรานะ เราต้องมีความสุขในการประพฤติในการปฏิบัติ เพราะเวลาของเรามันสั้นเข้ามาทุกทีนะ ไม่ใช่ให้เราขอโอกาสไปเรื่อยๆ ทุกคนต้องทำได้ ต้องปฏิบัติได้ ต้องเอาใจใส่เทคแคร์ตัวเองนะ คนเราน่ะ จะไปทะนุถนอมจะไปเทคแคร์แต่อวิชชา แต่ความหลง แต่ตัวแต่ตน เราต้องรู้จักเราอยู่กับความเป็นมนุษย์ เราก็ยังไม่รู้จักความเป็นมนุษย์ คือความประเสริฐ เราจะเป็นได้แต่เพียงคนเนี่ย มันไม่ได้ ถ้างั้นเราจะพากันเป็นมนุษย์พากันเป็นพระอริยะเจ้ากันได้อย่างไร เพราะเราไม่รู้หนทางที่เราจะไป ปัจจุบันนี้ทุกท่านทุกคนต้องพากันประพฤติต้องพากันปฏิบัติ ถ้าเราเอาตัวตนเป็นหลักเป็นใหญ่ไม่ได้ มันต้องเสียสละ ละคืนซึ่งตัวซึ่งตน ต้องมีความสุขในการประพฤติในการปฏิบัติ การปฏิบัติถึงมันยากถือว่าเป็นของดีนะ ถึงจะลำบากถือว่าเป็นของดีนะ คนเรานี้ไม่หยุดก็คือ องคุลีมาล ตอนที่ยังไม่รู้ว่าตัวเองหลงนะ เมื่อพระพุทธเจ้าบอกว่า องคุลีมาล หยุดก่อน หยุดก่อน เพราะว่าพระพุทธเจ้าหยุดแล้ว หยุดทำบาปทำกรรมทำเวร
คนเราเนี่ยมันจะหน้าด้าน หน้ามึน จะดื้อด้านไปถึงไหน ตัวเองเนี่ยมันดื้อด้านนะ มันเห็นแก่ตัวนะ มันไม่ฟังพระพุทธเจ้า ทุกๆท่านทุกคนต้องตั้งใจ เอาใจใส่พิเศษ มันต้องฟังพระพุทธเจ้า ต้องเชื่อมั่นในพระพุทธเจ้า เราอย่าพากันมาทำตามใจตัวเอง ทำตามอารมณ์ตัวเอง ทำตามความรู้สึกน่ะ นี้คือเราลูบคลำในข้อวัตรในข้อปฏิบัติ มันมาเสียเวลานาที ในการดำรงชีวิต ต้องพากันรู้จัก ไม่มีหรอกที่จะปฏิบัติไม่ได้ ปฏิบัติไม่ได้ ก็เพราะว่าเราไม่ตามพระพุทธเจ้า เราเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง เราลูบคลำในข้อวัตรข้อปฏิบัติน่ะ เราทุกคนต้องจัดการกับตัวเอง เราดูตัวอย่างอย่างพวกตะวันตก เขาก็พากันพัฒนากันตั้งแต่วัตถุ หลงวัตถุ เขาเป็นตั้งแต่มนุษย์รวย มนุษย์ฉลาด มนุษย์แย่งขยะกัน ถึงว่ายังไม่ใช่ทางสายกลางนะ พัฒนาแต่วัตถุ ไม่ได้พัฒนาใจ เราต้องจัดการ ถ้างั้นเราจะว่าเราเป็นมนุษย์ได้อย่างไง
พวกที่มาบวช มาบวชเอาอะไร มาบวชเอาข้าวต้มขนม หรือมาบวชเพื่ออาศัยพระศาสนา มาบวชก็เพื่อมาหยุดตัวเอง เพื่อแก้ไขตัวเอง เพื่อมีความสุขในการประพฤติในการปฏิบัติ ถ้าไม่งั้นมันก็เอาเปรียบคนอื่น เพราะว่าเราไม่ได้เป็นพระธรรมไม่ได้เป็นพระวินัย ไม่ได้มุ่งมรรคผล พระนิพพาน เราก็เป็นโจรอยู่ดีๆ ไม่ใช่พระธรรมไม่ใช่พระวินัย ให้พากันเข้าใจ จะได้พากันแก้ไข จะได้พากันประพฤติ พากันปฏิบัติ ผู้ที่ไม่มาบวช เมื่อทุกท่านทุกคนพากันปฏิบัติ ทุกท่านก็จะ โอ้… พระที่แท้จริงนี้ มันอยู่ที่เรามีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องในปัจจุบัน มันเป็นอย่างนี้เอง มันไม่ใช่เรื่องอย่างอื่น ไม่ใช่เรื่องของตัวเอง ยิ่งเราพัฒนาวิทยาศาสตร์ มนุษย์เรามันก็ย่อมทำบาปน้อย เพราะว่าการพัฒนา อย่างผักอย่างนี้เขาก็พัฒนาก้าวไปไกล อย่างผลไม้เขาก็พัฒนา ทุกอย่างก็พัฒนาไปด้วยวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี ใจเราก็พัฒนาไปเหมือนกันนะ ไม่งั้นไม่ได้ มันไม่ถูก ถ้างั้นเราจะมีชาติไว้ทำไมหล่ะ ชาติก็คือ ชาติที่ประเสริฐที่เราเกิดมาเป็นมนุษย์ ไม่งั้นเราก็เป็นได้แต่เพียงคนสิ เราจะมีศาสนาก็คือพัฒนาใจไปพร้อมๆ กัน ละอย่างไงหล่ะ เราก็ต้องทำอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้ มนุษย์เราถึงจะได้เข้าถึงความประเสริฐ เราจะได้ส่งไม้ผลัดให้ลูกให้หลานเรา เมื่อพ่อแม่ปู่ย่าตายาย มันหลงขนาดนี้ ลูกมันจะหลงไปขนาดไหน
ให้ทุกท่านทุกคนพากันเข้าใจนะ การปฏิบัตินี้เป็นของมีค่า มีราคา มีประโยชน์ เราจะได้พากันประพฤติ พากันปฏิบัติ ทุกคนทำได้ปฏิบัติได้ อย่าไปหลงสิ่งภายนอก เอาสิ่งภายนอกเป็นปัจจัยทั้ง 4 หรือจะ 5 6 7 8 9 10 หรือจะเป็น 100 เป็นพันๆ ก็ไม่มีปัญหาหน่ะ พร้อมทั้งพัฒนาใจไปพร้อมๆกันนะ เราจะอยู่ให้มันแก่ไปเรื่อยๆ ให้เขาเผาไปได้อย่างไง เราเผาพ่อ เผาแม่ เผาปู่ย่าตายายไปก็พอแล้ว เราจะไม่ได้เวียนว่ายตายเกิดมาให้ใครเขาเผาอีก ทุกคนให้เน้นตรงให้เขาเผาเราเป็นครั้งสุดท้ายแห่งชีวิต พระพุทธเจ้าสอนเราอย่างนี้นะ อย่างพระพุทธเจ้าบอกว่า เรารู้จักเจ้าเสียแล้ว เธอจะทำบ้านเรือนให้เราไม่ได้อีกต่อไป การเกิดครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย ต้องเน้นอย่างนี้!!! อย่าไปคิดว่าค่อยเป็นค่อยไป ขอโอกาสไปเรื่อย มันเป็นคนบ้ายังไม่พอหรอ ถึงอยู่อย่างนี้เราก็เป็นมหาบ้าอยู่แล้ว
'ความทุกข์' มันเป็นผลกรรมของทุกคนที่เกิดมา ถ้าเราโกรธ เราปฏิฆะ ถ้าเราทำร้ายเขาทางกาย ทางวาจา ก็ยิ่งไปเพิ่มความทุกข์ให้เขาอีก ต้องฝึกสงสารเขา ฝึกให้อภัยเขา ถ้าเราฝึกเจริญเมตตาบ่อยๆ
พระพุทธเจ้าตรัสว่า... เราจะไม่มีความโกรธ ไม่มีความพยาบาท พระพุทธเจ้าท่านให้เราภาวนาให้เข้าถึงจิตถึงใจ เพื่อเราจะได้เป็นคนไม่มีความโกรธ ไม่มีปฏิฆะ ยิ่งเราเป็นคนเก่ง เป็นคนฉลาด เป็นคุณพ่อคุณแม่ ความโกรธของเรามันยิ่งมีมาก ถ้าเราไม่เจริญเมตตามากๆ ใจของเราก็ไม่สามารถที่จะเย็นได้ สงบได้ พระพุทธเจ้าท่านให้เราเจริญเมตตาอย่างนี้มากๆ ถ้ามันช่วยเหลือเขาไม่ได้ ท่านก็ให้ เราอุเบกขา ทำใจไม่ให้มีทุกข์ ทำใจให้สบาย ฝึกปล่อยฝึกวาง ให้ถือว่ามันเรื่องสุดวิสัย ช่วยเหลือไม่ได้ ให้กลับมาช่วยเหลือตัวเอง คือทำใจให้สบาย ทำใจไม่ให้มีทุกข์ ทำใจอุเบกขา ทำใจไม่ให้ปรุงแต่ง ให้เราปลงให้เราปล่อย ให้เราวาง ให้ถือคติว่า "สัตวํโลกย่อมเป็นไปตามกรรม" ตามวิถีทางที่เขาได้ประพฤติปฏิบัติไว้
ให้เราเมตตาตัวเอง สงสารตัวเองในการเวียนว่ายตายเกิดน่ะ เพราะว่าการเกิดนี้ถึงจะรวย ถึงจะมียศตำแหน่ง มันก็ย่อมมีความแก่ ความตาย ความพลัดพราก นำตัวเองรักษาศีล ๕ นำตัวเองไหว้พระสวดมนต์ ทำใจของเราให้มันสงบ ให้มันเย็น เอาความสุข...ความดับทุกข์ ด้วยการทำใจให้สงบ เราเอาความสุข...ความดับทุกข์ทางวัตถุนั้น มันสู้การทำใจให้สงบ... การปล่อยการวางไม่ได้ ทุกท่านต้องฝึกทำใจให้สงบ ฝึกปล่อยฝึกวาง
ความสุข ความดับทุกข์ทางวัตถุนั้นมันมีเท่าไหร่ก็ไม่พอ มันเป็นความเห็นแก่ตัวที่พาเราสร้างบาปสร้างกรรม ผิดศีลผิดธรรม มันไม่อยากทำ...ก็ทำ เพราะถูกกิเลสความหลงมันครอบงำ จิตใจของเราไม่มีกำลังพอ สติสัมปชัญญะมันยังไม่พอ ความสมดุลของออกชิเจนในสมองมันถูกความหลงครอบงำ เป็นเหตุเป็นปัจจัยให้ระบบสมองของเรา มันพุ่งกระจุยกระจายด้วยความโลภ ความโกรธ ความหลง ความเชื่อมั่นในตัวเองมันมีน้อย เพราะเราไปหลงวัตถุ หลงตัวหลงตน
พระพุทธเจ้าท่านให้เราเป็นผู้เสียสละ ทำงานก็ไม่หวังประโยชน์ ไม่หวังผลตอบแทน ทำงานเพื่อที่เสียสละ ทำงานเพื่อที่จะเป็นผู้ให้น่ะ ถ้าเราทำอย่างนี้ ประพฤติอย่างนี้ สติสัมปชัญญะของเราจะกลับมา เราก็จะได้ทั้งเงิน ได้ทั้งงาน ได้ทั้งเพื่อนผู้หลักผู้ใหญ่ โดยที่เราเมตตาตัวเองที่ได้เสียสละ...ไม่มี...ไม่เป็น แม้แต่ผู้ปฏิบัติธรรม ถ้าปฏิบัติเพื่อเอาอะไรแล้วมันเครียด มุ่งแต่ผลประโยชน์
เราทุกๆ คน ต้องเมตตาตัวเองด้วยการไม่ทำตามความอยาก ความบริสุทธิ์มันเป็นประกัสสร สิ่งที่ไม่ชอบ สิ่งที่ชอบมันจรมาชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น พระพุทธเจ้าไม่ให้เราหลงประเด็น ให้เราตั้งมั่นในความดี คือตัวศีล คือตัวเมตตา สงสารตัวเองด้วยการทำงานที่ดี สงสารสัตว์อื่นด้วยการไม่เบียดเบียน ไม่เอาเปรียบ เพราะทุกคนก็เป็นญาติพี่น้องของเราทั้งนั้น อย่างน้อยก็เป็นญาติทางการเกิด แก่ เจ็บ ตาย ฝึกเห็นอกเห็นใจผู้อื่น อะไรเกิดขึ้นก็ดีหมด
คือมันดีอย่างไร? 'ดี' ก็คือเราได้มาแก้ไขที่จิตที่ใจของเรา เราจะได้แก้ไขการไม่พูดร้าย การไม่สำรวมระวังในตัวเอง เรากลับมามองดูตัวเองมากๆ ว่าเรามีพิษมีภัยอะไรบ้าง...? เป็นคนเอาแต่ใจตัวเอง ไม่เสียสละ ขี้เกียจขี้คร้าน มีคำพูดไม่ดี ไม่เพราะ ไม่สุภาพ ให้เราพิจารณาตัวเองในความบกพร่อง แล้วก็ลงมือประพฤติปฏิบัติย้ำไปที่ใจของเราอีก เราจะได้เมตตาตัวเอง ครอบครัวเราจะได้มีความสุข เขาจะได้เอาแบบอย่างความดี
"ทิฏฐิมานะมันมีมาก มันถือฟอร์ม"
พระพุทธเจ้าให้เราดูตัวเอง เพื่อเราจะได้ลดทิฏฐิมานะ เอาสิ่งที่ไม่ดีของเราออก ออกจากกาย ออกจากวาจา ออกจากใจของเรา
ทุกๆ ท่าน ทุกๆ คนนั้นเป็นผู้หญิง เป็นผู้ชายด้วยความสมมุติ เป็นตำแหน่ง เป็นหน้าที่แค่เพียงสมมุติ สัจธรรมความจริงไม่มีอะไรมันว่างเปล่าจากความเป็นตัวตน ที่ใจของเรามันมืดมันบอด ที่มันมีคนหนุ่ม คนสาว คนแก่ "จิตใจของเรามันเลยมีแต่นิมิต ใจของเรามันมีแต่ความยืดมั่นถือมั่น" พระพุทธเจ้าท่านไม่มีนิมิต ทุกสิ่งทุกอย่างมันก็หายไป เหมือนกับเรานั่งอยู่แล้วก็หายไป
ความถี่ระยิบของการมีตัวตนมันทำให้เราไม่โปร่งไม่ใส เราไม่เข้าใจธรรมะ ไม่เข้าใจธรรมชาติ เพราะอิริยาบถทั้งหลายมาปิดบัง เพราะความเร็วของวาระจิตนั้นมันมาปิดบัง เหมือนฝนตกทีละหยดเป็นสายน้ำ เหมือนกับสิ่งต่าง มารวมตัวกัน พระพุทธเจ้าท่านตรัสให้ทุกคนรู้จักจิตของเราจะได้หนักแน่นเข้มแข็ง จิตของเราจะได้ไม่มีทุกข์ เราทำไปอย่างนี้แหละ ปฏิบัติไปอย่างนี้แหละ เราอย่าไปคิดว่าต้องทำมาหากิน เกี่ยวข้องกับพ่อแม่พี่น้องเพื่อนพ้องบริวาร การปฏิบัติธรรมมันเป็นของควบคู่กัน
ที่เราจะเมตตาคนอื่น เพื่อให้เราเข้าถึงความดับทุกข์ไปเรื่อยๆ ที่เราปฏิบัติใหม่ มันปฏิบัติไม่เป็น มันก็ยากลำบาก เหมือนกับเราเด็กๆ เราก็อาศัยคุณพ่อคุณแม่เราถึงได้รู้ เราก็ต้องอาศัยพระพุทธเจ้าที่ท่านวางหลักเกณฑ์ไว้ เมื่อเราใหญ่ขึ้นโตขึ้นเราก็ช่วยเหลือตัวเองได้ เราปฏิบัติไปเรื่อยน่ะ อย่างวิศวกรก็ชำนาญในด้านวิศวกร คุณหมอก็ชำนาญในด้านคุณหมอ เกษตรกรก็ชำนาญในด้านเกษตรกร คนเราไม่ได้เป็นตั้งแต่เกิดน่ะ เราก็ต้องฝึกเอาทนเอา ความยากลำบากจะนำเราไปในทางที่ดี คนเรามันก็ต้องลำบากก่อนนะ
การฝึกอะไร...ก็ไม่เท่ากับการฝึกตนปฏิบัติตน มันเป็นหน้าที่ของเราทุกคนน่ะ...ที่เกิดมา ไม่ยกเว้นใครทั้งนั้น ถ้าเราไม่ปฏิบัติ ไม่ตั้งใจ ไม่เอาใจใส่นั้น....มันไม่ได้ ใจของเรามันอ่อนนะ ใจของเรามันไม่เข้มแข็ง ต้องอด ต้องทน ต้องทวนกระแส เราข้ามฝั่งที่น้ำมันแรง มันเชี่ยว เราต้องตั้งใจเต็มร้อย ยิ่งมันเหนื่อย ยิ่งยากลำบาก เราก็ต้องยิ่งชอบมัน เพราะมันทำให้เราได้ฝึกตัวเอง ถ้ามันไม่ลำบาก เราก็ไม่ได้ฝึกปล่อยตนเองไม่มีประโยชน์ ไม่มีสาระอะไร
เราพยายามมองดูพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ที่ดีๆ เป็นตัวอย่าง เราอย่าไปมองดูตัวอย่างที่อ่อนแอ หรือจะเป็นมหาชน ประชาธิปไตย มันไม่ใช่ธรรมาธิปไตย มันจะทำให้เราล้มเหลว เราต้องมองที่ปัจจุบันนี้ วาระนี้ เราต้องตั้งมั่นด้วยความดีความถูกต้อง
สิ่งที่อมตะ ก็คือ สิ่งที่ไม่มีตัวไม่มีตน ถ้าใจของเรามีตัวมีตน มันมีปัญหาทั้งนั้น ความทุกข์นี่มันมีมาก มันมีหลาย เราต้องทิ้งมันไป วางมันไป เพื่อให้ใจของเรามันสงบ ให้ใจของเรามันเย็น จิตใจของเรา จะได้ไม่เครียด เราเป็นคนดีคนฉลาดเท่าไหร่มันยิ่งวิตกกังวล ตัวเราเอง นี่แหละยิ่งสร้างความวิตกกังวลให้กับตัวเอง ยิ่งกว่าคนไม่มีการศึกษา ความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด มันไม่รอดเพราะมันมีตัวมีตน
ทุกคนน่ะ อยากจะเป็นพระอริยเจ้า อยากจะไม่เวียนว่ายตายเกิด แต่ทำอะไรทำไปด้วยความยึดมั่นถือมั่น ทำไปไม่ได้ปล่อยวาง ไม่ได้เสียสละ เพราะเราจะเอา มันไม่ถูก เราต้องเสียสละ เราพากันทำงานเพื่อเอา เราพากันเรียนหนังสือก็เพื่อเอา ท่านว่า "มันผิดหลักธรรมชาติ" ความสุขความดับทุกข์มันจะมาจากไหนได้? ความสุขความดับทุกข์มันก็มาจากวัตถุ ไม่ได้มาจากสติจากจิตใจ ที่มีสติปัญญา
พระพุทธเจ้าท่านให้เราทำดีๆ ทำถูกต้องตามโลกสมมุติ เพื่อเราจะได้เสียสละ เค้าสมมุติตำแหน่งหน้าที่การงานเพื่อจะให้เราเสียสละ เพื่อให้เราไม่มีตัวมีตน ถ้าเราไม่เสียสละตัวเราก็ยุ่ง...คนอื่นก็ยุ่ง มันมุ่งแต่การเห็นแก่ตัว พ่อก็เอาแต่ใจ แม่ก็เอาแต่ใจ ลูกก็เอาแต่ใจ พระพุทธเจ้าท่านไม่ให้เราเอาแต่ใจ ท่านให้เราเอาธรรม ต้องเสียสละให้ได้ ต้องเอาศีลเอากฎหมายให้ได้ เพราะเราจะได้เข้าถึงความไม่เห็นแก่ตัว
คนมีศีลนั้น หอมอยู่เสมอ หอมทั้งตามลมและทวนลม หอมทั้งในเวลามีชีวิตอยู่ และละโลกนี้ไปแล้ว เป็นที่ชื่นชมรักใคร่ของคนทั่วไปในเวลาที่มีชีวิต เป็นที่เสียดายอาลัยรัก และกล่าวขวัญสรรเสริญ ถึงในเวลาที่ตายไป ทั้งนี้เพราะตลอดเวลาที่มีชีวิต คนมีศีลไม่มีพิษมีภัยต่อผู้ใด มีกิริยาวาจาละมุนละไม น่ารัก ไม่ฆ่าตี ข่มเหง เบียดเบียน ทำร้ายใคร ทั้งด้วยกายและวาจา ประกอบด้วยความเมตตากรุณาแก่สัตว์ทั้งปวงอยู่เป็นนิจ ด้วยเหตุนั้น ศีลเป็นอาภรณ์คือเครื่องประดับอันประเสริฐ (สีลํ อาภรณํ เสฏฺฐํ) เพชรนิลจินดาและอาภรณ์อันมีค่า มิใช่เครื่องประดับอันประเสริฐ เพราะไม่อาจทำกาย วาจา ใจ ของผู้ประดับให้งดงามได้ คนมีศีลเป็นเครื่องประดับ จึงงดงามทุกเมื่อ