แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ในวันเสาร์ที่ ๑๑ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๖๖
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง ชีวิตใหม่ที่เลือกได้ ตอนที่ ๓๒ ทุกสิ่งทุกอย่างมีเหตุมีผลเป็นปฏิจจสมุปบาท เมื่อได้เห็นอย่างแจ่มแจ้ง จึงจะเห็นพระพุทธเจ้าองค์จริง
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
วันนี้ คณะสงฆ์หมู่ใหญ่ พร้อมด้วยคณะศรัทธาสาธุชน ข้าราชการ พ่อค้า ประชาชน ได้พร้อมเพียงกันบำเพ็ญกุศลพิเศษเป็นทักษิณานุปทานกิจอุทิศถวาย หลวงปู่พระเทพมงคลวัชราจารย์ หลวงปู่เหลือง ฉันทาคโม อดีตเจ้าอาวาสวัดกระดึงทอง อำเภอบ้านด่าน จังหวัดบุรีรัมย์ ที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัดบุรีรัมย์ (ธรรมยุต) ละสังขารด้วยอาการสงบ เมื่อเวลา ๐๒.๔๕ น. ที่โรงพยาบาลศูนย์บุรีรัมย์ ตรงกับวันอังคารที่ ๑๐ มกราคม ๒๕๖๖ สิริอายุ ๙๕ ปี ๗๖ พรรษา หลวงปู่เหลือง เป็นพระมหาเถระผู้รัตตัญญู เป็นพระมหาเถระที่ดีมาก ดีพิเศษ ดีจริงๆ ตั้งมั่นในพระธรรมวินัยอย่างเคร่งครัด หลวงปู่เหลือง บวชเณรที่วัดสุทธจินดา จ.นครราชสีมา ก่อนจะอุปสมบทเป็นพระในปี ๒๔๙๐ ที่วัดป่าศรัทธารวม แล้วไปจำวัดที่วัดกระดึงทอง ในปี ๒๕๐๑ จนถึงปัจจุบัน หลวงปู่เหลือง เป็นศิษย์อาวุโสรูปหนึ่งของหลวงปู่ดูลย์ อตุโล วัดบูรพาราม จ.สุรินทร์ หลวงปู่ฝั้น อาจาโร วัดถ้ำขาม จ.สกลนคร และพระอริยเวที (เขียน ฐิตสีโล) วัดรังสีปาลิวัน จ.กาฬสินธุ์ และเจริญรอยตามครูบาอาจารย์ คือ การแน่วแน่กับการปฏิบัติภาวนาไม่เสื่อมคลาย อยู่อย่างสมถะ เรียบง่าย แทบไม่มีใครจำสมณะศักดิ์ของท่านได้ เรียกกันแต่ว่า หลวงปู่เหลือง วัดกระดึงทอง โดยท่านดำรงธาตุขันและวิถีชีวิตในโลกสมมุตินี้ อย่างสมถะและเรียบง่ายมากที่สุด จึงได้รับสมญานามว่าเป็น "พระอรหันต์เจ้าผู้ติดดิน"
ชีวิตขององค์ท่านเป็นชีวิตที่งดงามด้วยคุณธรรมในเบื้องต้น คือศีลาจารวัตร สง่างามด้วยคุณธรรมในท่ามกลาง คือสมาธิ และงามพร้อมด้วยคุณธรรมในที่สุดคือปัญญา ชีวิตขององค์ท่านจึงเป็นชีวิตแบบอย่าง เป็นชีวิตที่ประเสริฐหาผู้เสมอเหมือนได้ยาก
ทุกท่านที่เกิดมา ร่างกายเป็นมนุษย์ แต่จิตใจนั้นเป็นคน เพราะการเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏนี้ มันเป็นพลังงานของอวิชชาของความหลง จึงพากันเป็นได้แต่เพียงคน ทำไม่ถูก 100 % ทำทั้งดีทั้งชั่ว ถึงเรียกว่าคน เมื่อมีพระพุทธเจ้ามาอุบัติในโลกได้ตรัสรู้ จึงได้มาบอกมาสอน เพื่อให้ทุกท่านทุกคนหยุดเวียนว่ายตายเกิด เพราะการเวียนว่ายตายเกิด มันต้องมีภาระอย่างนี้แหละ เมื่อเกิดมาต้องมีภาระในสังขารในร่างกาย มีความแก่มีความเจ็บมีความตาย พลัดพรากจากกันไปตามอายุขัย ทุกๆ คนน่ะ ส่วนใหญ่อายุขัย ก็จะไม่เกิน ๑๐๐ ปี พระพุทธเจ้าได้มาตรัสรู้มาบอกมาสอน ให้เอาร่างกายเอามาทำความดี เพื่อเราจะได้หยุดเป็นคน เข้าสู่ความเป็นมนุษย์ จึงให้พากันเข้าใจ ตามภาษาบาลีเรียกว่า สัมมาทิฏฐิ มีความเห็นถูกต้อง มีความเข้าใจถูกต้อง และเข้าสู่การประพฤติการปฏิบัติ สิ่งนี้เรียกว่าศีล ศีลนี้คือยานที่จะนำเราออกจากวัฏฏะสงสาร ออกจากสังสารวัฏ เปรียบเสมือนรถ รถยนต์ นำเราไปสู่จุดหมายปลายทาง เปรียบเสมือนเครื่องบินนำเราไปสู่จุดหมายปลายทาง เปรียบเสมือนเรือที่นำเราข้ามทะเลมหาสมุทรสู่จุดหมายปลายทาง
ความตั้งใจมั่นชอบ เรียกว่าสัมมาสมาธิ คือความตั้งใจมั่นชอบ จิตใจต้องตั้งมั่น เพราะในชีวิตประจำวันย่อมมีผัสสะอยู่ตลอดเวลา คนไม่มีผัสสะไม่มีอารมณ์ก็คือคนที่ตาย ความตั้งมั่นจึงเป็นสิ่งที่สำคัญ เราต้องสมาทานต้องตั้งมั่น เพราะสิ่งต่างๆ ในชีวิตประจำวันคือไฟท์ติ้ง คือการประพฤติการปฏิบัติ ให้ทุกท่านทุกคนรู้ว่า ความตั้งมั่นนี้เป็นสิ่งที่สำคัญ เพราะเราทุกคนน่ะ ต้องมีความเห็นถูกต้อง มีความเข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง อย่าไปใจอ่อน เพราะทุกสิ่งทุกอย่างนั้น คือกฎแห่งกรรม คือกฎของพระไตรลักษณ์ ไม่แน่ไม่เที่ยง ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน
ทุกท่านต้องใจเข้มแข็ง ต้องเสียสละ เราพบเพื่อจากไป สัมมาสมาธิเป็นสิ่งที่สำคัญ โรคใจอ่อน โรคความหลง มันเป็นไวรัสที่ยิ่งใหญ่ ใหญ่ยิ่ง ยิ่งกว่าโควิด 19 ที่กำลังเป็นอยู่ในปัจจุบัน โควิดในปัจจุบันนี้ มันทำให้ตายเพียงครั้งเดียวน่ะ แต่ไวรัสโควิด ที่เราหลงเพราะอวิชชา ย่อมนำพาให้มนุษย์เวียนว่ายตายเกิดตั้งหลายภพหลายชาติ ความยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นตัวเป็นตน นี่แหละคือโควิด ที่นำเราเวียนว่ายตายเกิด รูปสวยๆ รูปหล่อๆ เสียงเพราะๆ กลิ่นหอมๆ อาหารที่เอร็ดอร่อย ความสะดวกความสบาย นี่แหละคือไวรัสทางจิตทางใจ ให้ทุกท่านทุกคนรู้ทุกข์ รู้เหตุเกิดทุกข์ รู้ความดับทุกข์ รู้ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ เราผู้เป็นมนุษย์เราต้องบริโภคทุกสิ่งทุกอย่างด้วยสติด้วยปัญญา มนุษย์เราพากันพัฒนาเทคโนโลยี มีความสะดวกความสบาย เป็นอย่างดี เป็นระดับพรีเมี่ยม พระพุทธเจ้าถึงให้เรามีสัมมาสมาธิ อย่าไปหลงอย่าไปใจอ่อน ต้องมีปัญญา พร้อมกับมีสัมมาสมาธิ เป็นความตั้งมั่น ให้พากันเสียสละ ทุกท่านทุกคนต้องพากันเสียสละ ถ้าไม่เสียสละนั้น ท่านจะไปไม่ได้ เป็นได้แต่เพียงคน เป็นได้แต่มนุษย์ขยะที่ไม่มีประโยชน์
ให้ทุกท่านทุกคนน่ะ ขอบใจสิ่งต่างๆ ที่ให้เราเกิดผัสสะเกิดอารมณ์ ในการประพฤติในการปฏิบัติ นี่คือไฟท์นี่คือการปฏิบัติของเราทุกคนน่ะ นี้คือกระบวนการแห่งการเวียนว่ายตายเกิด นี้คือการหยุดกระบวนการเวียนว่ายตายเกิด ที่พระพุทธเจ้าตรัสถึงการเกิดของปฏิจจสมุปบาท คือบาทฐานแห่งการเวียนว่ายตายเกิด นี้คือการหยุดบาทฐานแห่งการเวียนว่ายตายเกิด ทุกท่านทุกคนต้องผ่านไฟท์ของตัวเองในปัจจุบัน ปัจจุบันนี้คือสมาธิ อิริยาบถทั้ง ๔ เราต้องมีพื้นฐานสัมมาสมาธิ สมาธิเราต้องตั้งอยู่ใน ขณิกสมาธิ ในการเดินการเหินการนั่งการนอน ต้องมีสมาธิกับปัญญา สัมมาทิฏฐิ ในชีวิตประจำวัน เพื่อเราจะได้หยุดเวียนว่ายตายเกิด ตัดกระแสปฏิจจสมุปบาท ศีลสมาธิปัญญา จะได้ก้าวไปพร้อมๆ กันในชีวิตประจำวัน ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า ไม่ทำบาปทั้งปวง ทำแต่บุญแต่กุศลให้ถึงพร้อม ชำระจิตให้ผ่องใส ด้วยความไม่ประมาท นี่้เป็นไฟท์ติ้งที่มีความสุขนะ ที่เราพากันประพฤติพากันปฏิบัติ ลบอดีตออกไปให้เป็นเลข 0 ปัจจุบันคือไฟท์ในการประพฤติในการปฏิบัติ เพื่อจะมีแต่สติ มีแต่สมาธิ มีแต่ปัญญา
ชีวิตประจำวันของเราทุกคนน่ะ วันหนึ่งมี ๒๔ ชม. เวลานอนเวลาพักผ่อนมี ๖-๘ ชม. เวลาตื่นอยู่นี้ เป็นเวลาทำงานพร้อมกับปฏิบัติธรรมไปพร้อมๆ กัน ถ้าเราประพฤติปฏิบัติอย่างนี้น่ะ สมองของเราก็จะได้ใช้แต่สิ่งที่จำเป็น สมองเราจะไม่เอาไปใช้แบบที่สับสนวุ่นวาย ที่เรียกว่าคนเนี่ย มันวุ่นวายจริงๆ เวลาเช้า เวลาเย็น สำหรับชาวพุทธของเราควรจะพักผ่อนสมอง ด้วยสัมมาสมาธิ คือหยุดพักผ่อนสมองเลยนะ ให้ใจของบเราอยู่ในระดับอัปปนา คือหยุดพักสมองเลยหรือจะมากกว่าอัปปนาก็ได้ เพื่อจะได้ซ่อมแซมสมอง เพื่อเราจะได้หยุดปรุงแต่ง ที่บาลีมีว่า เตสํ วูปสโม สุโข การสงบระงับสังขารการปรุงแต่งทั้งหลายทั้งปวง เป็นความสุขความดับทุกข์อย่างยิ่ง ระดับการนอนระดับพักผ่อนของพระอรหันต์ถึงเป็นการพักผ่อน ไม่มีความฝัน ระดับคนระดับสามัญชนนี่ ก็พากับฝันกันสนั่นหวั่นไหว การฝึกสมาธิ การปฏิบัติสมาธิ คือการพักผ่อนสมอง เราจะพักผ่อนสมองได้อย่างไร พระพุทธเจ้าให้เราเจริญอานาปานสติ หายใจเข้าก็รู้ชัดเจน หายใจออกก็รู้ชัดเจน หายใจเข้าให้สบาย หายใจออกก็ให้สบาย พระพุทธเจ้าให้เราทุกคนพากันเจริญอานาปานสติ ตั้งแต่ระดับขณิกอานาปานสติ ระดับอุปจารอานาปานสติ แล้วหยุดความปรุงแต่งพักผ่อนอยู่กับอัปปนาสมาธิ อย่างนี้เป็นต้น พระพุทธเจ้ามีอานาปานสติเป็นวิหารธรรม ทุกอิริยาบถ ยืน เดิน นั่ง นอน พระพุทธเจ้าทรงอยู่ด้วยอานาปานสติ พระอรหันต์ขีณาสพก็อยู่ด้วยอานาปานสติ สามัญชนผู้ที่จะพัฒนาตนเองให้เป็นพระอริยะเจ้าน่ะ ก็อยู่กับอานาปานสติ อานาปานสติถึงเป็นได้ทั้งสมถะ คือความสงบ เป็นได้ทั้งปัญญา เรียกว่า วิปัสสนา อานาปานสติทุกๆ อิริยาบถนี่ จะตัดเรื่องอดีตที่ผ่านมาให้เราเป็นปัจจุบันธรรม จะได้ตัดอนาคตเป็นความฟุ้งซ่าน ทะยานอยาก ความเพ้อฝัน ความงมงายให้สงบเย็นลง ให้เป็นปัจจุบันธรรม
ในปัจจุบันขณะนี้ พระพุทธเจ้าให้เราอยู่กับธรรมะอยู่กับพระวินัย ที่มีอานาปานสตินี้ เป็นสิ่งที่กำกับ ที่เรียกว่าสัมมาสมาธิ เราจะได้หยุดความเป็นคน หยุดความฟุ้งซ่าน มันจะได้ตัดเรื่องกามเล็กๆ น้อยๆ กามใหญ่ๆ ที่มันเป็น เปรต ยักษ์ มาร อสุรกาย สัตว์นรก สัตว์เดรัจฉาน ที่มันเป็นไวรัสยิ่งใหญ่ครองใจของเราลงไปได้ อานาปานสตินี้ช่วยเราได้นะ พระกรรมฐานสายหลวงปู่มั่น ถึงได้ให้ท่องพุทโธ เพื่อให้กำกับอานาปานสติ ทุกคนต้องมีความสุขในการทำงาน เพื่อหยุดเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะสงสาร ทุกท่านอย่าได้พากันหลงอย่าได้ไปเพลิดเพลินตั้งอยู่ในความประมาท เพื่อเราจะได้หยุดมีเพศสัมพันธุ์ทางความคิดทางอารมณ์น่ะ เราต้องตัดด้วยอานาปานสติ อานาปานสติเป็นได้ทั้งความสงบเป็นทั้งปัญญา มีสมถะมีวิปัสสนาอยู่ในตัวอยู่แล้ว
เราทุกท่านทุกคนต้องมีความเห็นถูกต้อง มีความเข้าใจถูกต้อง แล้วปฏิบัติถูกต้อง แต่ก่อนเราเรียนหนังสือก็เพื่อจะเอา เราทำงานก็เพื่อจะเอา อันนี้เป็นความเห็นผิดความเข้าใจผิด พระพุทธเจ้าให้เรามีความเห็นถูกต้อง มีความเข้าใจถูกต้อง แล้วปฏิบัติถูกต้อง มีความสุขในการเรียนหนังสือ ในการทำงาน ในการเสียสละ สุขภาพจิตของเราจะได้ดี สุขภาพใจของเราจะได้ดี เราทำถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง ผลมันก็คือ เราจะเป็นคนรวย เราจะเป็นคนมีปัญญา เราจะได้เป็นคนเก่งเป็นคนฉลาด แล้วจะได้พัฒนาทั้งกาย พัฒนาทั้งใจไปพร้อมๆ กัน เพื่อพัฒนาตนเองเพื่อเป็นมนุษย์ ผู้ที่มีจิตใจสูงส่ง ท่านเจ้าคุณพุทธทาสบอกว่า เป็นมนุษย์ได้เพราะใจสูง…
ความรู้ความเข้าใจที่เราเรียนมา เราต้องเอามาประพฤติเอามาปฏิบัติ เพื่อจะเป็นกระบวนการปฏิจจสมุปบาท ถ้าเราจะหยุด เพื่อไม่ให้สิ่งนั้นมี สิ่งต่อไปจะไม่มี เราต้องเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ เพราะคนในเมืองไทยเรานี้หรือหลายๆ ประเทศ ยังไม่เข้าถึงพระพุทธศาสนา ยังไม่เข้าถึงภาคประพฤติภาคปฏิบัติ เป็นผู้มีปัญญาแต่ยังไม่ใช่ผู้ประพฤติผู้ปฏิบัติ พระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่ คือยานพาหนะที่จะพาเราออกจากวัฏฏะสงสาร พระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่มันเป็นเรื่องจิตเรื่องใจ เป็นเรื่องหยุดวัฏฏะสงสาร ให้ทุกท่านทุกคนพากันเข้าใจนะ ถ้าไม่ทำอย่างนี้ ถือว่าไม่ได้ประพฤติไม่ได้ปฏิบัตินะ ไก่มันฟักไข่ใช้เวลา ๓ อาทิตย์ ถึงจะออกมาเป็นตัว เราปฏิบัติเพื่อมรรคผลพระนิพพาน เพื่อหยุดวัฏฏะสงสาร เราก็เข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ คือพระวินัย เรียกว่าถือนิสัยของพระพุทธเจ้า เราต้องทำติดต่อต่อเนื่องกันไม่ให้ขาดสาย เหมือนสายน้ำอย่าให้เหมือนหยดน้ำ ต้องเป็นสายน้ำติดต่อต่อเนื่อง มีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ ที่เป็นไฟท์ติ้งในการประพฤติในการปฏิบัติของตัวเอง นี่ดีมาก ประเสริฐมาก ยอดเยี่ยมมาก
ลูกศิษย์หลวงปู่มั่นที่พากันได้เป็นพระอรหันต์ ท่านเอาธรรมะเอาพระวินัย ติดต่อต่อเนื่องกัน หลายเดือน หลายปี ถึงได้มีพระอรหันต์เกิดขึ้นหลายรูป เพราะการประพฤติเพราะการปฏิบัติอย่างนี้เอง ทุกท่านทุกคนพากันประพฤติพากันปฏิบัตินะ เพื่อเราจะได้เข้าถึงพระพุทธศาสนาพร้อมทั้ง อรรถะ พร้อมทั้ง พยัญชนะ ในการประพฤติในการปฏิบัติ
ทุกท่านทุกคนนั้นไม่ได้ต่อสู้กับใครนะ ต่อสู้กับอวิชชาต่อสู้กับความหลงของตัวเองนี่แหละ เราจะไปเชื่อใจของตัวเองไม่ได้ เพราะใจของตัวเองยังเป็นสามัญชนเป็นปุถุชน ต้องเอาสิกขาบทน้อยใหญ่มาประพฤติมาปฏิบัติ ถึงจะเป็นพรหมจรรย์ เราต้องเอาธรรมเอาพระวินัย 100 % เพราะวัฏฏสงสารนี้ไม่น่าเพลิดเพลิน ทุกท่านทุกคนต้องมีความสุขในการประพฤติในการปฏิบัติ นี่คือไฟท์ที่ดีที่สุด ที่เรายังมีลมหายใจ ที่เราได้ประพฤติได้ปฏิบัติ การปฏิบัติไม่กำหนดกาล ไม่กำหนดเวลา ไม่กำหนดสถานที่ เป็นการประพฤติการปฏิบัติทุกหนทุกแห่งของเราทุกคน ความสุขความดับทุกข์นั้น อยู่ที่เราเราทุกท่านทุกคนต้องมีความเห็นถูกต้อง มีความเข้าใจถูกต้อง แล้วปฏิบัติให้ถูกต้องในปัจจุบัน อยู่ทุกหนทุกแห่ง ทั้งหมู่บ้าน ในย่านนิคมในเมืองหลวง เราต้องไฟท์ติ้งในการประพฤติในการปฏิบัติของเราทุกๆ คน
ทุกท่านทุกคนว่างจากสิ่งที่มีอยู่ ว่างจากสิ่งที่มีตัวมีตน ว่างจาก รูปเสียง กลิ่นรส ลาภยศ สรรเสริญ ศีลสมาธิปัญญา มันจะจัดการสิ่งเหล่านี้เอง เราต้องเอาทุกสิ่งทุกอย่างน้อมเข้าสู่พระไตรลักษณ์ เพราะรูปไม่เที่ยง เวทนาไม่เที่ยง สัญญาไม่เที่ยงสังขารไม่เที่ยง วิญญาณไม่เที่ยง สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นเป็นอนัตตา สิ่งใดเป็นอนัตตา พึงเห็นสิ่งนั้นด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงอย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา เมื่อเห็นด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงอย่างนี้ จิตย่อมคลายกำหนัด ย่อมหลุดพ้นจากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่ถือมั่น
ถ้าเราไม่น้อมสู่พระไตรลักษณ์ สำหรับพระก็ต้องอาบัติทุกกฎ ถ้าใจเราตามไปก็ต้องอาบัติถุลลัจจัย ถ้ากายตามไป ก็ต้องสังฆาทิเสส จนถึงปาราชิก ทุกท่านทุกคนต้องพากันสร้างใจเป็นพระธรรมเป็นพระวินัยนะ เป็นมรรคเป็นผลเป็นพระนิพพานนะ อย่าพากันหลงงมงาย พากันไปสร้างแต่พระภายนอก พระอิฐ พระปูน ทองเหลือง ทองแดง ทองคำ อันนั้นเป็นรูปพุทธปฏิมากร เป็นรูปของพระพุทธเจ้า ทุกท่านทุกคนต้องสร้างพระในตัว คือพระธรรมพระวินัย ที่เป็นศาสดาองค์จริง ถ้าไม่สร้างพระธรรมพระวินัยในใจ ให้เป็นภาคประพฤติในการปฏิบัติ ตัวเราเองจะกลายเป็นโจร เรามาคิดดูมาพิจารณาดู วัดต่างๆ ถ้าทิ้งพระธรรมทิ้งพระวินัย สิกขาบทน้อยใหญ่ นั่นหน่ะคือแหล่งซ่องสุมของโจรนี้เอง
วัดนี้คือข้อวัตรคือข้อปฏิบัติ ของทุกๆ คน พระพุทธเจ้าให้พากันเข้าใจอย่างนี้ สถานที่เราอยู่ เป็นอาราม เป็นโบสถ์ เป็นวิหาร เป็นเจดีย์ ที่ให้เราได้อยู่ได้อาศัย แต่ถ้าไม่มีข้อวัตรไม่มีการปฏิบัติ เราไม่ได้สมาทาน ไม่ได้ตั้งจิตตั้งใจเสียสละซึ่งตัวซึ่งตน ก็หาได้เป็นวัดไม่ คำว่า “พระ” นั้น ให้ทุกคนพากันเข้าใจนะ พระนั้นคือพระธรรมพระวินัย พระนับตั้งแต่พระโสดาบันจนไปถึงพระอรหันต์น่ะ เขาถึงเรียกว่าพระ ผู้ที่ปลงผมห่มผ้ากาสาวพัสตร์ หาใช่ว่าเป็นพระไม่ เป็นเพียงแบรนด์เนมให้บุคลากรพัฒนาตนเองให้เป็นพระธรรมพระวินัย ให้เป็นพระ จึงต้องเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ จัดการตัวเอง ถ้าอย่างนั้นจะไม่มีความสุข มีความดับทุกข์
ทุกท่านทุกคน ที่พึ่งของเราคือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่พึ่งของเราคือพระธรรมพระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่ พึ่งการที่เราคิดดีๆ พูดดีๆ กิริยามารยาทดีๆ ขยันรับผิดชอบดีๆ เพราะทุกท่านทุกคนน่ะ ต้องประพฤติต้องปฏิบัติเอง ผู้ที่ไม่เข้าใจน่ะ ก็จะพึ่งแต่ภายนอก พึ่งพ่อพึ่งแม่ พึ่งครูบาอาจารย์ พึ่งรัฐบาล พึ่งอะไรสารพัดพึ่ง ไม่ได้พึ่งตัวเองเลย จึงต้องพึ่งความเห็นถูกต้องความเข้าใจถูกต้องแล้วปฏิบัติถูกต้อง ความสุขความดับทุกข์มันอยู่อย่างนี้นะ ชีวิตของเราถึงจะได้สงบเย็นเป็นพระนิพพาน
ผู้ที่เป็นประชาชนที่ยังไม่ได้ไปบวชเป็นพระ ก็เป็นพระได้เหมือนๆ กัน ได้ตั้งแต่พระโสดาบันไปจะถึงพระอนาคามี พระก็หมายถึงพระอริยเจ้า หมายถึงพระธรรมพระวินัย ที่เรียกพระ มาจากศีล ศีล ๕ ศีล ๘ ศีล ๑๐ ศีล ๒๒๗ ศีลรวมในพระวินัยปิฏก ๒๑,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ ประชาชนก็ต้องพากันตั้งมั่นในพระรัตนตรัย ทำธุรกิจหน้าที่การงาน พร้อมกับประพฤติปฏิบัติธรรมไปในตัว พากันมีศีล ๕ ศีล ๕ จะพัฒนาเราเป็นพระอริยเจ้า ตั้งแต่พระโสดาบันจนไปถึงพระอนาคามี วันปกติก็พากันรักษาศีล ๕ วันพระก็พากันรักษาศีล ๘ ผู้ที่แก่มากหรือผู้ที่ป่วยก็พากันรักษาศีล ๕ พากันมีความสุขในการมีศีล ๕ มีความสุขในการทำงาน ต้องหยุดอบายมุขอบายภูมิของตนเอง เหมือนที่ได้กล่าวมาแล้วที่บรรยายมาแล้ว จะได้รวยอย่างฉลาดๆ มีรถ มีเรือ มีเครื่องบิน มีอะไรที่อำนวยความสะดวกสบายอย่างมีสติมีปัญญา
ทุกท่านทุกคนต้องพากันมาแก้ที่ตนเอง ถ้าเราไม่มีความสุขในการทำงานละก็ สุขภาพจิตของเราก็เสีย ถ้าเราไม่มีความสุขในการเสียสละสิ่งที่มันเป็นอดีตออกไป ใจเราก็เสีย ทุกท่านทุกคนสิ่งที่ผ่านมาก็แล้วไป เราก็ต้องตั้งใจ เพราะอายุขัยของเราอีกไม่นาน ทุกคนก็ต้องจากโลกนี้ไป ไม่ได้เอาอะไรไป เพราะว่าส่วนใหญ่นั้น การเรียนการศึกษาก็เพื่อจะไปแก้คนอื่น การทำการทำงาน ก็พยายามจะแก้ไขภายนอก พระพุทธเจ้าสอนเราให้แก้ทั้งภายนอกแก้ทั้งจิตใจไปพร้อมๆ กัน เพื่อเราจะมีอยู่มีกินมีใช้ พร้อมทั้งไม่หลงไม่เพลิดเพลิน ไม่ได้ตั้งอยู่ในความประมาท พวกกินเหล้ากินเบียร์เล่นการพนัน ต้องพากันหยุด เราแก้ที่ตังเองเต็มที่นะ เราจะไปโทษใคร เพราะเราเกิดมา ส่วนใหญ่ก็พากันไปโทษคนอื่น โทษให้ลูกให้หลาน ให้พ่อให้แม่ ให้รัฐบาลอะไร ไม่ได้โทษตัวเอง เพราะว่าตัวเองมีความหลงมีความเพลิดเพลิน ถึงได้พากันเกิดมา
ความสุขความดับทุกข์อยู่กับเราในปัจจุบัน คืออานาปานสติ คือหายใจเข้าสบาย หายใจออกสบาย หายใจเข้ามีความสุข หายใจออกมีความสุข หายใจเข้าให้มันสบาย อย่าปล่อยใจฟุ้งซ่านกับสิ่งแวดล้อม กับอารมณ์ ชุลมุนไปหมด เราโกรธเราเกลียดเราชอบใคร เราต้องเสียสละหมดน่ะ เพราะการแบกของมันหนักนะ การยึดการถือมันก็หนัก ต้องปลงลงวางลง ต้องพากันละธาตุละขันธ์ทางจิตทางใจ กายมันต้องละ ใจมันต้องละ เราถึงจะมีความสุขในปัจจุบัน เวรย่อมหยุดด้วยความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้อง ปล่อยวาง คนที่มีความทุกข์ คือคนที่ยึดมั่นถือมั่นเปรียบเสมือนคนท้องผูก เหมือนคนปัสสาวะไม่ออก อุจจาระไม่ออกน่ะ มันมีความทุกข์น่ะ เราต้องดีท็อกซ์มันออกไปปล่อยมันออกไป กายใจจึงจะสบาย
ในโลกปัจจุบัน เทคโนโลยีเขาพัฒนากันไปไกล แต่ว่าหัวใจคนนี้ไม่ได้พัฒนา พยายามที่จะแก้ไขแต่ภายนอก พระพุทธเจ้าท่านให้เราแก้ไขภายใน แก้ไขจิตใจของเรา เอาความกลัวในสิ่งที่ไม่ควรกลัวออกจากใจของเรา
พระพุทธเจ้าท่านให้เรารู้จักตัวเองนะ เราไม่ต้องกลัวมันอีกแล้ว เราทำดีๆ เราพูดดีๆ เราคิดดีๆ ชีวิตของเรามันก้าวไปด้วยการกระทำ เราจะไปกลัวมันทำไม วิตกมันทำไม ถึงเวลานอนก็ให้เรานอนให้มีความสุข ตื่นขึ้นเราก็จะได้มีเรี่ยวแรง มีศักยภาพทั้งทางกาย ทั้งทางจิตใจ ธรรมะที่ทำให้ใจเรามีกำลัง ได้แก่ ความพอใจในการทำความดี พอใจในการเสียสละ พอใจในการละความเห็นแก่ตัว มีความสุขมาก มีความเบิกบานมากในการทำความดี มีความเพียร มีความบากบั่น มีความพยายามไม่ท้อแท้ ถือเอาอุปสรรคนั้นเป็นการสร้างความดี ให้ถือคติว่า ถ้าไม่มีความยากลำบาก มันก็ไม่ได้สร้างบารมีนะ
ความเพียรต้องทำติดต่อ ต่อเนื่อง เพียรทั้งทางกาย วาจา ทั้งจิตทั้งใจ ความเพียรเท่านั้นที่จะนำเราออกจากทุกข์ เพราะเราใคร่ครวญดูแล้ว ถูกต้องแล้ว ว่าสิ่งเหล่านี้แหละเป็นสิ่งดับทุกข์ให้เราได้แน่นอน นอกเหนือจากนั้นไม่มี ต้องมีความตั้งใจ ที่เราผิดพลาดในชีวิตเพราะเราไม่เอาจริงเอาจัง ทีนี้เราพร้อมแล้วที่จะเอาจริงเอาจัง เราใคร่ครวญดูแล้ว ถูกต้องแล้ว ทุกอย่างมันต้องได้มาจากกระทำของเราเอง ถ้าเราคิดอย่างนี้ เราตั้งใจอย่างนี้แหละ จิตใจของเรามันมีพลังนะ เราต้องสร้างเหตุปัจจัยอย่างนี้แหละ ว่ากันเป็นวินาทีๆ ไปหลายวินาทีเป็นนาที หลายนาทีเป็นชั่วโมง หลายชั่วโมงเป็นหนึ่งวัน “ความดีเท่านั้นที่จะทำให้เราได้ดี”
พระนิพพานอันเป็นหมายปลายทางสูงสุดของพระพุทธศาสนาก็เช่นเดียวกัน ไม่ได้แบ่งแยกเชื้อชาติ ศาสนา หรือนิกายใดๆ จะเป็นคามวาสี อรัญญวาสี วัดบ้านวัดป่า ก็ต้องเคารพรักในพระธรรมวินัยของพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์เดียวกันนี้ เพราะความจริงๆ ลึกๆ นั้น พระพุทธศาสนาไม่ได้มีสายเหนือ สายใต้ ไม่มีเถรวาทหินยาน มหายาน วัชรยาน ไม่มีมหานิกาย ไม่มีธรรมยุต เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นเพียงสมมุติ มีแต่สายพระพุทธเจ้าสายเดียวเท่านั้น เพราะว่าผู้ใดลงมือปฏิบัติตามเส้นทางอันประเสริฐมีองค์ ๘ ก็ดับทุกข์ พ้นทุกข์ ถึงพระนิพพานด้วยกันทุกคน
หลวงปู่เหลือง กล่าวว่า พระพุทธองค์มิได้สอนให้เชื่อพระองค์เพียงอย่างเดียว หากแต่ให้ชื่อว่า “จิต คือ พุทธะ” ถ้าเราดำเนินตามที่พระองค์ทรงสอน จิตของเราก็เป็นพุทธะอย่างพระพุทธองค์ได้ ถ้าจะให้ถึงซึ่งพุทธะก็เหมือนกับเอาแก่ของต้นไม้ใหญ่ ถ้าจะเอาแก่นต้องใช้ขวานถากเปลือก ถากกระพี้ออก จิตคนเรานั้นเป็นพุทธะอยู่แล้ว หากแต่เราปล่อยให้กิเลสตัณหาห่อหุ้มจนจิตไม่ประภัสสร
“จิตประภัสสรก็หมายถึงจิตเดิม ซึ่งเปรียบเสมือนเพชร ลักษณะแวววาวสุกใสอยู่แล้วตามธรรมชาติ แต่ที่มันเศร้าหมองจนเรามองไม่เห็นความประภัสสรของมัน เพราะมีสิ่งอื่นมาห่อหุ้ม ทำให้รัศมีเปล่งออกมาไม่ได้ อย่างไฟฉายของเรา พอเปิดสวิตช์ขึ้น มันก็สว่างเป็นลำพุ่งออกไปพอปิดสวิตช์มันก็มืด ไม่เห็นดวงไฟ ทั้งที่ความจริงจิตมันประภัสสรอยู่แล้วแต่คนเราทุกวันนี้ ก็เอากิเลส ความโกรธ ความหลงที่เปรียบเหมือนดินทรายเขม่าไฟต่างๆ ไปห่อหุ้มปิดบังมันเสียเอง มันเลยมืดบอดอยู่อย่างนั้น...เราอยากจะเห็นตามพระองค์บ้างก็ต้องลงทุนลงแรงเอาสิ่งที่หุ้มห่อออก แล้วจึงจัดสีให้มันเปล่งแสงประภัสสรขึ้น เอาอะไรมาขัดสีล่ะ ก็เอาสมาธินั่นแหละมาขัดสี...”
“สิ่งต่างๆ ในโลกนี้มันก็อยู่ที่จิตนี้เอง ความรู้สึกของเราอยู่ที่ไหน จิตใจก็อยู่ที่นั้น หลวงปู่มั่นท่านก็เคยพูดว่า อยู่ที่ใจของเจ้า โลกนี้ไม่มีใจก็ไม่มีความหมาย โลกกับธรรมมันอิงกันอยู่ ก็อยู่อย่างไม่ขัดโลกขัดธรรมเขา รูปนาม ถ้าแยกออกก็เป็นอภิธรรมทั้งหมด
รูปกับนามเป็นจุดแรกของปัญหา เรื่องราวต่างๆ ที่เราไม่รู้ก็เพราะไม่ได้ค้นคว้ากำหนด ท่านว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้มันเป็นวัฏฏะ หมุนเวียนตั้งแต่จุดเล็กไปถึงจุดใหญ่ เหมือนกับความมืดกับความแจ้ง มันต้องอยู่ที่เดียวกัน แต่คนละช่วง มันเกิดพร้อมกันไม่ได้
ความจริงรูปนามมันมีอยู่แล้ว ถ้าปลงความเชื่อว่า คำสอนต่างๆ ล้วนมีอยู่แล้ว ถ้าไม่มี ท่านก็ไม่มีอะไรจะพูด เมื่อไม่มีอะไรจะพูดมันก็หยุดเป็นวิมุตติไป ถ้าเอามาพูดถึงมันก็เป็นสมมติไป ธรรมะจริงๆ จะพูดหรือไม่พูดมันมีอยู่แล้ว...”
หวังว่าทุกท่านทุกคน จะได้นำเอาพระธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาประพฤติมาปฏิบัติมาแก้ไขตัวเองให้ได้ เพราะก่อนพระพุทธเจ้าจะเสด็จดับขันธปรินิพพาน มิได้ทรงให้ผู้ใดผู้หนึ่งเป็นศาสดาแทน ทรงให้พระธรรมวินัยเป็นศาสดาแทน ด้วยพระพุทธดำรัสที่ว่า “ โย โว อานันทะ ธัมโม จะ วินะโย จะ เทสิโต ปัญญัตโต โส โว มะมัจจะเยนะ สัตถา = ดูก่อนอานนท์ ธรรมและวินัยใด ที่เราได้แสดงแล้วบัญญัติแล้วแก่เธอทั้งหลาย ธรรมและวินัยนั้นจะเป็นศาสดาของพวกเธอโดยการล่วงไปแห่งเรา”
ดังนั้น พวกเราต้องคอยสำรวจตนเองอย่างสม่ำเสมอ เอาพระธรรมวินัยเป็นหลัก เป็นใหญ่ เป็นที่ตั้ง เรียกว่าเป็น ธรรมาธิปไตย ไม่ประพฤติย่อหย่อนอ่อนแอ ไม่ลูบคลำในศีล ในข้อวัตรปฏิบัติ ด้วยประการฉะนี้ เราจะเบาสบาย คลายทุกข์ คลายกังวล ไม่มีความสุขใดยิ่งไปการปล่อยวาง และการสำรวมตนอยู่ในพระธรรมวินัย และดำเนินไปตามทางแห่งอริยมรรคมีองค์ ๘ เพราะอริยมรรคประกอบด้วยองค์แปดเป็นทางอันประเสริฐ สามารถให้บุคคลผู้เดินไปตามทางนี้ ถึงซึ่งความสุขสงบเย็นเต็มที่ เป็นทางเดินไปสู่อมตะ ถ้าภิกษุหรือใครๆ ก็ตาม พึงอยู่โดยชอบ ปฏิบัติดำเนินตามมรรคาอันประเสริฐประกอบด้วยองค์แปดนี้อยู่ โลกนี้จะไม่พึงว่างจากพระอรหันต์
พระพุทธเจ้าทรงเป็นห่วงเรา ก่อนที่จะทรงทิ้งร่างวางธาตุขันธ์ดับลมหายใจสุดท้าย เสด็จสู่มหาปรินิพพาน ได้ประทานพระพุทธโอวาทสั่งเสียครั้งสุดท้ายว่า “หนฺททานิ ภิกฺขเว อามนฺตยามิ โว วยธมฺมา สงฺขารา อปฺปมาเทน สมฺปาเทถ” แปลว่า “ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้เป็นวาระสุดท้ายแห่งเรา เราขอเตือนเธอทั้งหลายว่า สังขารทั้งหลายมีความเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา เธอทั้งหลายจงยังประโยชน์ตนและประโยชน์ของผู้อื่น ให้ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาทเถิด”
ลมหายใจของพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าได้หมดลงแล้ว พวกเราทั้งหลายต้องมาสืบต่อลมหายใจของพระบรมศาสดา สืบต่อลมหายใจแห่งพระพุทธศาสนา สืบต่อลมหายใจแห่งพระธรรมวินัย สืบต่อลมหายใจแห่งคุณธรรมทั้งหลาย คือ ฌาน วิปัสสนา มรรคผล พระนิพพาน ชีวิตของเราจึงจะเป็นชีวิตที่ไม่สูญเปล่า ให้สมกับได้เป็นมนุษย์ผู้ที่ประเสริฐเกิดมาเพื่อพระนิพพานอย่างแท้จริง ท้ายที่สุดนี้ ขอฝากคติธรรมไว้บทหนึ่งว่า ชีวิตคนย่อมแปรผัน...
อิมินา กตปุญเญน ด้วยอำนาจกุศลสมภารที่คณะสงฆ์หมู่ใหญ่ ข้าราชการทุกภาคส่วน คณะศรัทธาสาธุชน ศิษยานุศิษย์ทั้งหลาย ได้พร้อมเพียงกันบำเพ็ญกุศลพิเศษเป็นทักษิณานุปทานกิจอุทิศถวาย หลวงปู่พระเทพมงคลวัชราจารย์ หลวงปู่เหลือง ฉันทาคโม อดีตเจ้าอาวาสวัดกระดึงทอง อำเภอบ้านด่าน จังหวัดบุรีรัมย์ ที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัดบุรีรัมย์ (ธรรมยุต) ในคราวครั้งนี้ ขอจงเป็นผลสัมฤทธิ์ผลิตวิบากสุขสมบัติ เพิ่มบารมีธรรมยิ่งๆ ขึ้นไปในสัมปรายภพ สมดังเจตนาปรารภของท่านทั้งหลายทุกประการ... ขอตั้งจิตอธิษฐานใจ...