แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ในวันพุธที่ ๒๕ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๖๖
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง ชีวิตใหม่ที่เลือกได้ ตอนที่ ๒๖ นิพพานไม่ได้อยู่ไกล อยู่ในปัจจุบันนี้เอง เป็นนิพพานน้อยๆ จนกว่าจะสมบูรณ์
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
ให้ทุกท่านทุกคนพากันเข้าใจ เข้าใจยังไม่พอ ต้องพากันประพฤติพากันปฏิบัติ การดำเนินชีวิตนี้เป็นเรื่องของเรา ไม่มีใครประพฤติไม่มีใครปฏิบัติได้ พระพุทธเจ้าที่ท่านจะเสด็จดับขันธ์สู่พระนิพพาน ท่านได้ตรัสโอวาทครั้งสุดท้ายว่า สังขารทั้งหลายทั้งปวงมีความเสื่อมสิ้นเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลายจงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิด อันนี้เป็นคำพูดที่สำคัญ ที่เราทุกคนเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะสงสารก็เพราะว่า “ไม่รู้ ไม่เข้าใจ” รู้เเต่พากันประมาท เหมือนภิกษุใบลานเปล่า รู้มากสอนคนอื่นเป็นพระอรหันต์หลายร้อยหลายพัน เเต่เพลิดเพลินในการสอนคนอื่นบอกคนอื่น ตั้งอยู่ในความประมาท คิดว่า เราเป็นคนรู้ ปฏิบัติเอาเมื่อไหร่ก็ได้
เราเกิดมา จากพ่อจากเเม่ ที่เป็นสามัญชน เป็นผู้ที่ยังไม่ได้เป็นพระอริยเจ้า ย่อมอยู่ในท่ามกลางสิ่งเเวดล้อม ที่ทำให้เราไม่มีสัมมาทิฏฐิ ให้ทุกท่านทุกคนพากันเข้าใจ เรารู้เราเห็นทางตา ได้ฟังทางหู ได้เกี่ยวข้องได้สัมผัส ย่อมเป็นสาเหตุให้ เราทุกคนเกิดความหลง เพราะเค้าได้พากันทำทั้งโลกทั้งบ้าน จนสิ่งเหล่านั้นเป็นประชาธิปไตย เราเลยเห็นสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องธรรมดา เห็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง เป็นเรื่องธรรมดา เราได้เกิดมา เราได้รับเอาข้อมูลเต็มๆ เหมือนเราไปรับเอาเชื้อโควิด อย่างร้อยเปอร์เซ็น
มนุษย์เราคือผู้ที่ประเสริฐ เราทุกคนต้องพัฒนาใจ พัฒนาวัตถุ พัฒนาเทคโนโลยีไปตามหลักเหตุผล ไปตามหลักวิทยาศาสตร์ พัฒนาใจเพื่อให้เกิดปัญญา เพื่อที่เราจะต้องพัฒนาทั้งกาย ทั้งใจไปพร้อมๆ กัน ในชีวิตประจำวัน ทุกๆ ท่าน ต้องเห็นความสำคัญในการประพฤติการปฏิบัติ เราจะไปประมาท จะไปเพลิดเพลินไม่ได้ การประพฤติการปฏิบัติ พระพุทธเจ้าให้เราเน้นที่ปัจจุบัน เน้นลงที่ใจ ตั้งใจสมาทาน มีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ เราจะไปต่างประเทศ เราก็ต้องไปนั่งเครื่องบิน อย่างประเทศไทยของเราก็ต้องไปนั่งเครื่องบินที่สนามบินสุวรรณภูมิ สนามบินดอนเมือง การที่เราไปนั่งเครื่องบินที่สนามบิน เรียกว่า เราประพฤติปฏิบัติศีล เรามีความตั้งมั่นในการเดินทาง เรียกว่า สมาธิ เราเสียสละสิ่งที่เป็นอดีตออกไปให้มันเป็นเลข 0 เรียกว่า ปัญญา
การที่พัฒนาอนาคต ก็คือการพัฒนาปัจจุบันนี้เเหละ เพราะสิ่งนี้ สิ่งนั้นมันถึงมี มันจะเลื่อนของมันไปเอง พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้บอกว่าตายเเล้วเกิด หรือ ตายเเล้วสูญ ถ้าเราทำอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้ มันจะตัดภาระที่เราคิดว่า ตายเเล้วเกิดเเละตายเเล้วสูญ เพราะมันดับไม่เหลือเเห่งวิจิกิจฉาความลังเลสงสัยเเล้วในปัจจุบัน นี้คือการทำที่สุดเเห่งกองทุกข์ของเราทุกๆคน
ก่อนพุทธกาล มนุษย์ทั้งหลายต่างพยายามแสวงหาที่สุดโลก ว่าไปสุดที่ตรงไหน เหมือนอย่างนักวิทยาศาสตร์ในปัจจุบัน ที่ต้องการรู้ว่าจักรวาลกว้างใหญ่เพียงใด จึงได้สร้างยานอวกาศไปสำรวจนอกโลก พยายามไปให้ไกลที่สุด ว่านอกจากกาแล็กซี่ของเราแล้วยังมีที่อื่นอีกหรือไม่ ก็พบไปเรื่อยๆ ว่ายังมีอีกไม่สิ้นสุด ส่วนคนในสมัยก่อน แม้ไม่มียานอวกาศ แต่มีสิ่งที่มหัศจรรย์ยิ่งกว่านั้น คือ อาศัยการฝึกสมาธิ ฝึกจิตให้ชำนาญจนเป็นวสี แล้วเข้าลหุสัญญา ทำกายเบาเท่ากับใจ ก็สามารถเหาะไปยังสถานที่ต่างๆ ได้ ไปถึงโลกอื่นได้ ไปด้วยกายเนื้อนี้ อาศัยฌานสมาบัติเป็นบาท การไปโดยวิธีนี้มีความรวดเร็วมากกว่ายานอวกาศหลายเท่า แล้วยังไปได้ไกลและเร็วไม่มีประมาณอีกด้วย ทั้งไปได้เร็วและไกล แต่ถึงกระนั้น ก็ยังไม่สามารถพบคำตอบที่สุดของโลกได้
ในสมัยก่อนพุทธกาล มีมาณพหนุ่มคนหนึ่งชื่อโรหิตัสสะ อยากจะรู้ความเป็นจริงของโลก ว่าที่สุดของโลก หรือที่สุดของจักรวาลอยู่ที่ใด เมื่อเรียนจบศิลปวิทยาทั้ง ๑๘ สาขาแล้ว ก็พยายามศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง โดยออกบวชเป็นฤๅษี ตั้งใจฝึกสมาธิอย่างจริงจัง จนสามารถทำฌานสมาบัติให้เกิดได้ เป็นฤๅษีที่มีฤทธิ์มีเดช สามารถเหาะเหินเดินอากาศไปได้ตามความปรารถนา เวลาจะไปแสวงหาอาหารและผลไม้ ท่านก็จะเหาะไปยังป่าหิมพานต์ หรือไม่ก็เหาะข้ามไปยังอุตตรกุรุทวีป แล้วกลับมาบำเพ็ญภาวนาต่อในมนุษยโลก
ท่านฝึกทำสมาธิจนใช้งานได้แคล่วคล่อง นึกอยากไปไหนก็ไปได้ทันที เมื่อมีฤทธานุภาพมากแล้ว จึงตั้งใจว่าจะเดินทางไปให้สุดโลก ได้เข้าฌานสมาบัติ แล้วเหาะไปเรื่อยๆ โดยไม่หยุดพักในระหว่างทาง มีปีติสุขอยู่ในฌานเป็นภักษาหาร ไม่เหนื่อย ไม่เมื่อย ไม่ต้องเสียเวลานอนหลับพักผ่อน ท่านใช้เวลาเดินทางอยู่อย่างนั้น เป็นเวลานานถึง ๑๐๐ ปี จากจักรวาลหนึ่งไปยังอีกจักรวาลหนึ่ง ถึงแสนโกฏิจักรวาล อนันตจักรวาล ก็ยังไปไม่สุด
ลูกธนูที่นายขมังธนูยิงออกจากแล่ง ว่ามีความเร็วปานใด ท่านยังมีความเร็วยิ่งกว่านั้นเป็นแสนเป็นล้านเท่า แต่ถึงกระนั้นก็ไม่สามารถไปให้สุดจักรวาลได้ ต้องหมดอายุขัยลงในระหว่างทางนั่นเอง เมื่อสิ้นชีวิตแล้วก็ได้ไปบังเกิดในโลกสวรรค์ เป็นโรหิตัสสเทพบุตร ผู้มีรัศมีกายสว่างไสว
เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นในโลก โรหิตัสสเทพบุตรได้ออกจากวิมาน มาถวายบังคมพระพุทธองค์ ซึ่งกำลังประทับอยู่ที่เชตวันมหาวิหาร ได้ทูลถามปัญหาที่ค้างคาใจมานานว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ มีสถานที่ใดที่ไม่มีการเกิด การแก่ การเจ็บ และการตายบ้างไหมหนอ ข้าพระองค์ได้เดินทางตลอดชีวิตเมื่อเป็นมหาฤๅษี แต่ต้องตายเสียในระหว่างทาง ยังไม่สามารถเดินทางให้พ้นจากโลก พ้นจากภพได้เลย แล้วจะมีมนุษย์ที่สามารถไปให้ถึงที่สุดโลกได้หรือไม่ พระเจ้าข้า”
พระพุทธองค์ตรัสว่า “ท่านเทพบุตร ที่สุดโลกนั้น บุคคลไม่อาจไปได้ด้วยการเดินทางไกล หากตถาคตยังไม่บรรลุถึงที่สุดของโลกแล้ว ก็จะไม่กล่าวถึงการกระทำที่สุดทุกข์ ก็แต่บัดนี้ ตถาคตบัญญัติโลก เหตุให้เกิดโลก การดับของโลก และทางที่ให้ถึงความดับโลก ว่ามีอยู่ในเรือนกายยาววา หนาคืบ กว้างศอก ที่มีใจครองนี้” (อปิจาหํ อาวุโส อิมสฺมึเยว พฺยามมตฺเต กเฬวเร สสญฺญมฺหิ สมนเก โลกญฺจ ปญฺญาเปมิ โลกสมุทยญฺจ โลกนิโรธญฺจ โลกนิโรธคามินิญฺจ ปฏิปทนฺติ ฯ
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสต่อไปว่า “แต่ไหนแต่ไรมา ยังไม่มีใครบรรลุถึงที่สุดโลกด้วยการเดินทาง และเพราะยังบรรลุถึงที่สุดโลกไม่ได้ จึงไม่พ้นไปจากทุกข์ เหตุนั้นแล คนมีปัญญาดี รู้แจ้งโลก ถึงที่สุดโลกแล้ว อยู่จบพรหมจรรย์แล้ว รู้ที่สุดโลกแล้ว เป็นผู้สงบแล้ว จึงไม่หวังโลกนี้และโลกอื่น”
พระพุทธองค์ทรงตรัสรู้โลก ถึงที่สุดแห่งโลกด้วยพระญาณ แต่ฤาษีโรหิตัสสะใช้เวลาตลอดชีวิต ๑๐๐ ปี เพื่อค้นหาคําตอบ ชีวิตของฤาษีโรหิตัสสะ จึงเป็นชีวิตที่รองรับพระพุทธญาณของพระพุทธองค์ได้อย่างชัดเจน
เราทุกท่านทุกคนอย่าพากันอยู่ไปลอยๆ อานาปานสตินั้นเป็นสิ่งที่เราจะต้องใช้กับเราทุกคนในชีวิตประจำวัน ทุกเมื่อ ทุกอิริยาบถ หายใจเข้าก็รู้ชัดเจน หายใจออกก็รู้ชัดเจน หายใจเข้าก็ให้มันสบาย ออกสบาย เราจะได้ ตัดเรื่องอดีต ตัดเรื่องอนาคต ใจของเราจะได้อยู่กับเนื้อ จะได้อยู่กับตัว จะได้มีความสุข ในการเสียสละ ในการทำงาน การทำงานกับการปฏิบัติธรรมต้องเป็นอันนึงอันเดียวกัน จะเเยกกันไม่ได้ นิพพานไม่ได้อยู่ไกล อยู่ในปัจจุบันนี้เอง เป็นนิพพานน้อยๆ จนกว่ามันจะสมบูรณ์
ถ้าเราทำอะไรต่างๆ เพื่อจะเอาจะมีจะเป็น หรือเพื่อไม่เอาไม่มีไม่เป็น อาการจิตอย่างนี้เค้าเรียกว่า ร่างกายเรายังไม่ตาย ใจเราเค้าเป็นเปรตเป็นผีเป็นยักษ์เป็นมารเป็นอสูรกาย การมีเซ็กซ์ทางร่างกาย นานๆ ครั้ง เเต่เราทุกคนที่มันมีปัญหาใหญ๋ที่มันเวียนว่ายตายเกิด เพราะมันมีเซ็กซ์ทางจิตใจที่เรายินดียินร้าย ที่เรารักเราชอบเราเกลียด เรียกว่า มีเซ็กซ์ทางจิตใจ อันนี้ คือ อวิชชา คือ ความหลง คือ ความยึดมั่นถือมั่นในตัวในตน
เราต้องรู้จักอารมณ์ ถ้าไม่มีอารมณ์ไม่มีความคิด นิพพานก็ไม่มี สิ่งต่างๆ ในชีวิตประจำวัน เค้าเอาพระนิพพานมาให้เรา ให้เราพากันรู้จัก เราอยากเพียงเอาความสุข ในเรื่องกินเรื่องนอน การพักผ่อน ท่องเที่ยว อันนี้มันความสุข เพื่อบรรเทาทุกข์เป็นความสุขชั่วครั้งชั่วคราว ไม่มีความบีบคั้นรุนเเรงมากเกิน ให้พากันเข้าใจ ใจของเราต้องมีปัญญา มีวิปัสสนา เพราะสิ่งต่างๆ ความสุข ความดับทุกข์พวกนี้มันตั้งอยู่ในความไม่เที่ยง ไม่เเน่ อยู่ในความไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน
ให้ทุกท่านทุกคนพากันรู้จัก ในวาระจิตต่างๆ ในการกระทำทุกๆ อย่าง เราอย่าไปมองข้าม ในความคิด ในการกระทำ ในคำพูด ทุกอย่างมันสำคัญหมด สิ่งเล็กๆ น้อยๆ สิ่งใหญ่มันสำคัญหมด เรามีตาเราก็เห็นอยู่เเล้ว เรามีหูได้ฟังเราก็รู้อยู่เเล้ว ที่ๆ เราเห็นอย่างนี้ ที่ประชาชนพากันผิดพลาด กว่าจะรู้ว่าตัวเอง ตกต่ำสู่อบายภูมิ มันเเก้ไขบางอย่างก็ไม่ได้ บางอย่างก็เเทบจะเเก้ไขไม่ได้ เราจะเป็นคนเจ้าอารมณ์ เป็นพระเจ้าอารมณ์ไม่ได้ เราต้องเป็นพระธรรมเป็นพระวินัย ต้องไม่มีนิติบุคคล ดูตัวอย่าง อย่างพระของหลวงพ่อหลายๆ รูป นึกว่าไม่สำคัญอะไร ไปปล่อยกายวาจาใจไปตามอารมณ์มันผิดพลาดเสียหาย ไปประมาทไป นึกว่าไม่สำคัญ เเต่กรรมเป็นสิ่งที่มีจริง นรกมันเป็นสิ่งที่มีจริง สวรรค์เป็นสิ่งที่มีจริง เเต่ปัจจุบัน ถ้าเราไม่มีสติสัมปชัญญะรู้ตัวทั่วพร้อม เราย่อมยินดีในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ ในธรรมอารมณ์ พระพุทธเจ้าท่านไม่ให้ทุกคนเพลิดเพลิน ไม่ให้ทุกคนประมาท ต้องจัดการกับตัวเองให้ดีๆ เต็มที่ในปัจจุบัน เห็นพระเป็นอย่างโน่น เห็นประชาชนเป็นอย่างนี้ ก็น่าสงสาร สิ่งที่ไม่น่าเกิด ก็ให้มันเกิด เพราะความประมาท ความเพลิดเพลิน ไม่เห็นความสำคัญ ในการมีศีล มีสมาธิ ในการเจริญปัญญาวิปัสสนา เรียกว่า ไม่ได้ปฏิบัติอริยสัจสี่ให้ถูกต้อง
ทุกท่านทุกคนต้องพากันมีสติสัมปชัญญะ ต้องพากันเสียสละ เราไม่เสียสละเนี่ยเเหละ มันสักกายทิฏฐิ มันหลงงมงาย ในตัวในตน ชีวิตของเราถ้าเราตามพระพุทธเจ้า ชีวิตของเราจะสงบ จะเย็นยิ่งกว่าเเอร์คอนดิชั่น มันจะมีความสุข ความดับทุกข์ ให้ทุกท่านทุกคนพากันเข้าใจ
เหมือนกล่าวไปเมื่อวานนี้ว่า คนเป็นล้านๆ หรือ หลายล้าน มีความเข้าใจว่า มีเงินน่ะดี ถูกต้อง มีเงินน่ะดี เเต่เราต้องมีปัญญา การได้เงินมา ต้องได้เงินมาอย่างพระอริยเจ้า ได้มาจากการเสียสละละตัวละตน เมื่อเราเสียสละอย่างนี้น่ะ ไอ้พวกเงินพวกสตางค์ มันก็มาของมันเอง โดยใจของเราไม่ต้องเป็นเปรตเป็นผีเป็นยักษ์เป็นมารเป็นอสูรกาย เราจะได้มีเงินอย่างถูกต้อง โดยถูกต้อง เเต่การมีเงินมีทรัพย์สมบัติ มันช่วยเราได้ในชีวิตประจำวัน เเละก็ช่วยเราได้ถึงเพียงแค่เชิงตะกอน ที่เค้าเอาเราไปเผา เเล้วเอาเงินเรานั้นส่งให้ลูกให้หลาน ถ้าเรารวยอย่างไม่ถูกต้อง เงินนั้นมันจะส่งเราถึงนิพพานไม่ได้ คนทั้งโลกถืงว่ายังมีปัญญาน้อยอยู่ พระพุทธเจ้าท่านบำเพ็ญพุทธบารมีท่านมองได้ไกล ต้องพัฒนาใจ
เราทุกคนจะเคารพตัวเองได้ ไม่ใช่ว่าตัวเองมีเงินมาก ที่เคารพตัวเองได้ ก็เพราะตัวเองมีศีลมีธรรม ตัวเองไม่หลง ไม่ประมาท ลูกหลานมันจะเคารพนับถือเรา ก็เพราะเรามีศีลมีธรรมมีคุณธรรม ถ้าไม่อย่างนั้น เค้าไม่ได้เคารพเราหรอก เค้าสงสารเรา เราเป็นผู้มีอุปการคุณ ให้เข้าใจ เราจะได้หาความสุขความดับทุกข์ ในอริยมรรคมีองค์ ๘ ในชีวิตประจำวันของเรา เราอยู่ที่บ้านอยู่ที่ทำงาน อยู่ที่ไหน เราก็ปฏิบัติใจของเรา ปฏิบัติวาจาของเรา ปฏิบัติปัญญาของเรา ค้นคว้าในการเสียสละ เราจะได้ส่งไม้ผลัดส่งคุณธรรมให้ลูกหลานของเรา เราให้เเต่วัตถุข้าวของเงินทอง เราไม่ได้เป็นเเบบอย่างให้ลูกให้หลานเลย ตระกูลของเรามันเสื่อม ตระกูลของเรามันตั้งอยู่ไม่ได้ ความมั่นคงของตระกูลเรา ถ้าไม่เอาศีลเอาธรรม ไม่เอาพระนิพพาน มันตั้งอยู่ไม่ได้ไม่กี่ชั่วโคตรหรอก
เราจะเป็นใครอยู่ที่ไหน อย่างพระ ถ้าเราเอาพระธรรม เอาพระวินัย เอาพระนิพพาน ทุกคนยอมรับเราได้ ทุกคนไหว้เราได้ ไม่ว่าพ่อ ไม่ว่าเเม่ ไม่ว่าคฤหบดีเศรษฐี เค้ามีความสุขที่จะไหว้เรา ถ้าเราสละเสียซึ่งตัวซึ่งตน มีเเต่พระธรรม มีเเต่พระวินัย ผู้ที่เป็นพระเจ้า เป็นพระสงฆ์ เป็นเณรพากันเข้าใจอย่างนี้ ผู้ที่มีความผิดพลาด ก็พากันตั้งต้นใหม่ เหมือนกับพระบวชใหม่เนี่ยเเหละ พระบวชเก่าบวชใหม่มันก็ต้องปฏิบัติในปัจจุบันนี้เเหละ เพราะว่ามันไม่มีเก่า ไม่มีใหม่อะไร มันมีเเต่ปัจจุบันนี้นะ ทุกท่านทุกคนต้องใจสงบใจเย็น อย่าไปวิ่งตามอารมณ์ อย่าไปวิ่งตามความคิด เราทำอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้ใจของเราก็จะสงบ ใจของเรามันก็จะเย็น เราอย่าไปคิดว่า การประพฤติปฏิบัติธรรมเนี่ย ปฏิบัติถึงไหนมันถึงจะหยุดได้ คิดอย่างนั้น คิดมาก็ผิดเเล้ว เราต้องรู้จักความคิด รู้จักอารมณ์ เราจะให้ความเห็นเเก่ตัวเป็นเจ้าเรือน เราอย่าไปหลงในวิปัสสนูปกิเลส อย่าเอาความสุขเเบบโง่ๆ อย่าเอาความว่างจะพระธรรม จากพระวินัย อย่าเอาความว่างจากมรรคผลพระนิพพาน
สิ่งที่ดีที่สุดของเราทุกคน หรือว่าสิ่งที่ดีที่สุดของมนุษย์คือการหยุดการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะสงสาร เราจะหยุดเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะสงสารได้ เราต้องรู้จักทุกข์ เหตุเกิดทุกข์ รู้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ คือเราต้องหยุดให้อาหารอวิชชา ความหลง เราต้องรู้จักสิ่งที่สำคัญที่สุดอยู่ที่ปัจจุบัน เพราะอันนี้มันคือไฟท์หยุดวัฏฏะสงสารของเรา ไฟท์หยุดโรค โรคเวียนว่ายตายเกิด ปัจจุบันเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด เราต้องรู้จักว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดคือการประพฤติปฏิบัติของเรา ให้ทุกคนเข้าใจอย่างนี้
เราจะวิ่งตามอารมณ์ ตามความคิด ตามผัสสะนี้ เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ให้ทุกคนถือว่าเราโชคดี ความสุข ความดับทุกข์ ของมนุษย์จริงๆ นะ ทุกท่านทุกคนต้องเห็นความสำคัญ เราจะปล่อยโอกาสให้ผ่านไปด้วยความเพลิดเพลิน ความประมาท ความหลง ไม่ได้นะ กาลเวลานั้นเอากลับคืนมาไม่ได้ถึงเราจะอร่อยในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในลาภ ในยศ ในสรรเสริญ เราก็ต้องรู้จักว่าอันนี้คือทุกข์ เหตุเกิดทุกข์ เราจะได้เป็นคนบริโภคทุกอย่างด้วยสติ ด้วยปัญญา
เราเอาอริยมรรคมีองค์ ๘ มาประพฤติปฏิบัติกับเราทุกๆ คน ทุกคนหน่ะไม่มีใครปฏิบัติให้เราได้แทนเราได้ เน้นเข้าหาศีล เน้นเข้าหาใจเพราะคนเราไม่ได้ต่อสู้กับใคร เราต้องต่อสู้กับตัวเอง การทำอย่างนี้ ปฏิบัติอย่างนี้มันเป็นความสุขจริงๆ นะ เป็นความดับทุกข์จริงๆ ถ้าเราไม่เสียสละ มันไม่ได้ เราจะดื้อด้าน ดื้อดึงอย่างนี้ไม่ได้ หมู่คนทั้งหลายที่ยังไม่ได้เป็นมนุษย์ พากันเพลิดเพลินในสิ่งต่างๆ เหมือนที่เรารู้เราเห็นกัน ถือเพียงวิทยาศาสตร์ ทางรูป เสียง กลิ่น รส ลาภ ยศ สรรเสริญ เป็นหลัก มันยังเป็นมนุษย์ที่ยังไม่ฉลาดเพียงพอ เราต้องสละทุกสิ่งทุกอย่าง เพราะว่าคนเราถ้าได้เสียสละมันมีความสุขนะ ที่มันมีความทุกข์เพราะว่ามันเป็นมิจฉาทิฏฐิ มีความเห็นผิด เพราะแต่ก่อนเราทำงานทุกอย่างเพื่อความสุข แต่อันนี้ไม่ใช่ เราทำเพื่อเสียสละ เพื่อพรหมจรรย์ อย่างนี้ความสุขก็จะเกิดขึ้นแก่มวลมนุษย์ ทุกชาติ ทุกศาสนา ต้องไปอย่างนี้ เราก็จะมีความสุข อบอุ่น ทุกอย่างนั้นมันผ่านมาผ่านไป เราจะไปเอาอะไร มันไม่ได้อะไรหรอก เพราะมันเป็นความหลงเฉยๆ มันไปเมาอารมณ์ เมาความสุดยอดของความหลงเฉยๆ เมาจนกลายเป็น climax คนเราหน่ะเรื่องหยุดทางใจ มันจะได้เข้าสู่ความวิเวก มันจะเอาแค่ความสุขจากการดูหนัง ฟังเพลง เพลิดเพลินไปวันๆ มันไม่ได้ เพราะว่าปัจจุบันนี้เป็นสิ่งที่ดีที่สุด มันจะหลงอะไรไปมากกว่านี้ มันไม่น่าจะหลง ถึงอร่อยเท่าไหร่มันต้องปล่อย ต้องวางได้แล้ว
พระพุทธศาสนาเป็นสิ่งที่ดีที่สุดเป็นพระธรรมวินัยที่นำออกจากวัฏฏะสงสารได้ทุกๆ คนที่ท่านผู้นั้นปฏิบัติตาม ชาวพุทธทุกๆ คนน่ะต้องเอาพระธรรมเอาพระวินัยเป็นเครื่องดำเนินชีวิต ทั้งพระภิกษุ ภิกษุณี สามเณร สามเณรี อุบาสก อุบาสิกา ต้องดำรงชีวิตด้วยการเอาพระธรรมเอาพระวินัยเป็นหลัก เป็นทางแห่งการดำเนินชีวิต คำว่า “พระ” ก็ได้แก่พระธรรม พระวินัย
“พระ” คือผู้ที่ไม่มีทิฏฐิมานะ อัตตาตัวตน
“พระ” คือผู้เห็นภัยในวัฏฏะสงสาร
“พระ” คือผู้ที่เดินตามทางสายกลาง คือพระธรรม พระวินัย ละสัญชาตญาณ
สัญชาตญาณก็ได้แก่ ความรู้สึกที่เราติดความสุข ความสะดวก ความสบาย รักสุข เกลียดทุกข์ กลัวความยากลำบาก ระแวงภัย มีความยินดีในการสืบพันธุ์ สิ่งเหล่านี้คือ “สัญชาตญาณ” ได้แก่อบายภูมิ คือ ภูมิของเปรต ของยักษ์ ของมาร ของสัตว์เดรัจฉาน เป็นภูมิของผู้ที่ปฏิบัติตามสัญชาตญาณ คนเราทุกๆ คนน่ะ ถ้าเรามีความโลภ ร่างกายของเราเป็นมนุษย์แต่จิตใจของเราเป็นเปรตทันที ถ้าเรามีความโกรธ ร่างกายของเราเป็นมนุษย์แต่จิตใจของเราเป็นยักษ์เป็นมาร ถ้าเรามีความหลง ร่างกายเป็นมนุษย์ แต่จิตใจของเราเป็นสัตว์เดรัจฉาน
พระพุทธเจ้าท่านบำเพ็ญพุทธบารมี ๒๐ อสงไขย แสนมหากัปป์ ได้ตรัสรู้อรหันตสัมมาสัมโพธิญาณ เป็นครูผู้สอนของเทวดาและมนุษย์ ท่านมีพระมหากรุณาที่บริสุทธิ์ ได้ประกาศพระธรรมคือคำสอน พระวินัยคือคำสั่ง ในโลกนี้ไม่มีใครที่จะนำเราออกจากความทุกข์ได้ มีเพียงองค์เดียวคือ “พระพุทธเจ้า” นอกจากนั้นไม่มี เราทุกคนจึงต้องมาถือนิสัยของพระพุทธเจ้า ถือนิสัยพระพุทธเจ้าได้แก่การปฏิบัติตามพระธรรมพระวินัยโดยไม่มีข้อแม้ใดๆ ทั้งสิ้นน่ะ นี้คือสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสว่าเป็นทางสายกลาง
ชาวพุทธในปัจจุบันนี้น่ะ นับถือพระพุทธศาสนา แต่ปฏิบัติตามพระธรรมวินัยกันไม่ค่อยได้ คิดเป็นเปอร์เซ็นต์ ไม่ได้ถึงสามสิบเปอร์เซ็นต์ในการประพฤติปฏิบัติธรรมวินัยในพระพุทธศาสนา พระก็เหมือนกัน โยมก็เหมือนกัน... พระก็ทิ้งธรรมวินัยไปมาก โยมก็ทิ้งพระธรรม ทิ้งศีล ทิ้งภาวนากันไปมาก พระก็ไปเอาทางวัตถุเอาทางโลก โยมก็ไปเอาทางวัตถุเอาทางโลก พากันทิ้งศีล ทิ้งธรรม ทิ้งคุณธรรม ทิ้งสิ่งที่ประเสริฐที่มนุษย์ที่เกิดมาควรได้รับ
ร่างกายของเราทุกๆ คนที่เกิดมาส่วนใหญ่ก็ไม่เกินร้อยปี ถ้าเกินไปบ้างก็มีเป็นส่วนน้อย ร่างกายของเราทุกๆ คนนี้เป็นวัตถุที่ไม่ถาวร มีความแก่เจ็บตาย พระพุทธเจ้าท่านให้เราเอาร่างกายนี้มาทำคุณประโยชน์ คือเดินตามทางสายกลาง คือ พระธรรม พระวินัย
ปัจจัยทั้ง ๔ คือ อาหาร เครื่องนุ่งห่ม บ้าน ที่อยู่ที่อาศัย ยานพาหนะที่อำนวยความสะดวกสบาย ยารักษาโรค เป็นสิ่งที่บรรเทาทุกข์พอไม่ให้บีบคั้นร่างกายให้มากเกินไป อาหารที่เราฉันเราทานน่ะคือยารักษาโรค เครื่องนุ่งห่ม สิ่งอำนวยความสะดวกสบายนั้นน่ะเป็นสิ่งที่บรรเทาทุกข์ ให้ทุกท่านทุกคนพากันเข้าใจ สาระสำคัญของชีวิตคือการประพฤติการปฏิบัติธรรม การปฏิบัติธรรมนั้นน่ะอาศัยอุปกรณ์ประพฤติปฏิบัติคือศีล คือข้อวัตรปฏิบัติ กิจวัตรในชีวิตประจำวัน การดำรงชีวิตของเรานั้นต้องไม่มีความโลภ ความโกรธ ความหลง ถ้าเราเข้าใจน่ะทุกสิ่ง ทุกอย่างนั้นคือการปฏิบัติธรรม เราคิดนี้ก็เป็นเรื่องประพฤติปฏิบัติธรรม เราพูดนี้ก็คือเรื่องประพฤติปฏิบัติธรรม เราทานอาหารก็คือเรื่องการปฏิบัติธรรม เราทำงานก็คือการปฏิบัติธรรม
เราทุกคนต้องบอกตัวเองได้แล้วว่า เราสมควรที่จะประพฤติปฏิบัติธรรม ถ้าไม่อย่างนั้นเราก็ไม่รู้ว่าจะเกิดมาทำไม กินข้าวก็เสียข้าว ดื่มน้ำก็เสียน้ำ แล้วไม่ได้ประโยชน์อะไร พระพุทธเจ้าไม่ให้เราประคับประคองความโลภ ความโกรธ ความหลงอยู่อย่างนี้ ประคับประคองสรรหาความโลภ ความโกรธ ความหลงมาให้ตัวเอง อย่างนี้ไม่ใช่เป็นความฉลาดนะ มันไอคิวมาก แต่ไม่มีอีคิว ถือว่ายังใช้ไม่ได้ เพราะที่ตามใจตัวเอง ตามอารมณ์ตัวเอง สนองความโลภ ความโกรธ ความหลง เราต้องพากันเข้าสู่ระบบธรรมวินัย ถือว่าเราเกิดมาเพื่อมรรค เพื่อผล เพื่อพระนิพพาน กุลบุตรลูกหลานที่พากันมาบวชน่ะ ครูบาอาจารย์พระพุทธเจ้าให้เราพากันตั้งใจประพฤติปฏิบัติให้เต็มที่ อย่างเรามองดูหลวงปู่มั่น มองดูหลวงพ่อชา หลวงตามหาบัวอย่างนี้เป็นต้น แต่เราพากันมองดูเฉยๆ เราไม่พากันประพฤติพากันปฏิบัติ เวลาท่านนิพพานไปแล้วนี้เหมือนกับวัดนั้นเป็นวัดร้างไปเลย เพราะเราพากันมองดูเฉยๆ เราไม่ได้พากันประพฤติปฏิบัติตาม
ธรรมชาติพริกมันก็ต้องเผ็ดเหมือนกันหมดทุกเม็ดนะ น้ำตาลมันต้องหวานทุกก้อนทุกเม็ด ไฟมันก็ต้องร้อนเหมือนกันหมด ทุกคนต้องมีจิตสำนึก เราต้องพัฒนาศักยภาพของเราทุกคนให้มันได้เป็นสแตนดาร์ด ให้เป็นมาตรฐาน ทุกคนมีบุญมีวาสนาเหมือนกันหมด ที่มันไม่มีบุญไม่มีวาสนาเพราะเราพากันเข้าใจผิด ไม่พากันประพฤติปฏิบัติ
เพราะธรรมคือสิ่งเดียวกันน่ะ ถ้าใครปฏิบัติก็เหมือนกันหมด อย่างเราเป็นพระอย่างนี้ เราก็ต้องหายใจเหมือนกับประชาชน พักผ่อนเหมือนประชาชน พัฒนาทั้งไอคิว อีคิวเหมือนกันหมด ผู้ที่ปฏิบัติตามอริยมรรคมีองค์แปด คือผู้ที่นำตัวเองและนำผู้อื่น ถ้าใครไม่ปฏิบัติก็เรียกว่า "ทาส" ทาสรับใช้ความโลภ ความโกรธ ความหลง ตั้งอยู่ในโมหะบารมี โทสะบารมี โลภะบารมี
เราสร้างวัดสร้างวา สร้างไปทำไม? เราสร้างวัดสร้างวาก็เพื่อที่อยู่อาศัย เพื่อเราจะได้สร้างอริยมรรคมีองค์แปดให้เกิดขึ้นที่กายวาจาใจของเรา เราสร้างบ้านสร้างเรือนก็เพื่อจะได้สร้างอริยมรรค เราจะเอาแต่เปลือก เราไม่เอาแก่น ไม่เอาสาระนั้นไม่ได้ ไม่ถูกต้อง เราเป็นพระ ก็พากันปฏิบัติให้เต็มที่ เราเป็นประชาชนก็ปฏิบัติให้เต็มที่ อย่าไปแยกธรรมะออกจากหน้าที่การงาน เอาธรรมะกับการงานเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ที่พึ่งอันประเสริฐของเราคือพึ่งธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า ได้แก่อริยมรรคมีองค์แปด ที่อื่นนั้นเราพึ่งไม่ได้หรอกนะ ที่พึ่งของเราที่แท้จริงน่ะคือธรรมวินัย ให้พากันเข้าใจให้ชัดเจน