แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ในวันอังคารที่ ๒๔ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๖๖
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง ชีวิตใหม่ที่เลือกได้ ตอนที่ ๒๕ อย่าถือศาสนาเพียงแค่แบรนด์เนม ต้องเข้าสู่ภาคปฏิบัติ เพื่อขัดเกลากาย วาจา ใจ
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
คำว่า “พระ” คือ พระธรรมพระวินัย ไม่ใช่นิติบุคคล เอานิติบุคคลคือ มาอุปชาอุปสมบท เพื่อซึ่งนิติบุคคลตัวตน มาปฏิบัติตามพระธรรมตามพระวินัย สิกขาบทน้อยใหญ่ ศาสนาพุทธคู่กับเมืองไทย สมัยโบราณก็เกือบ 100 % ปัจจุบันนี้ก็มีหลายศาสนามาร่วมรวมกัน หลาย % ผู้ที่นับถือศาสนาพุทธนี้ก็ลดน้อยลง การถือพุทธในสมัยปัจจุบันนี้ก็ถือตั้งแต่แบรนด์เนม ถือตั้งแต่สำมะโนครัวเป็นส่วนใหญ่ ส่วนใหญ่ยังไม่เข้าใจคำว่าพระพุทธศาสนา และพากันทรงไว้ซึ่งแบรนด์เนมของชาวพุทธ แล้วพากันปลงผม ห่มจีวร รักษาแบรนด์เนมไว้ แต่ภาคประพฤติภาคปฏิบัตินั้น ทิ้งไปเกือบ 100% แล้ว ไม่พากันประพฤติพากันปฏิบัติ ได้มีความเสียหายเกิดขึ้นแก่ประเทศไทย นับเวลาเป็นหลาย 100 ปี นาน น๊าน... ถึงจะมีผู้มีบุญมาเกิด ได้มาเอาพระธรรมพระวินัย ได้มีพระอริยเจ้าเกิดขึ้น
ให้ทุกท่านทุกคนพากันเข้าใจ พากันรู้จักคำว่าพระศาสนา ศาสนาทุกศาสนา ก็คือธรรมะ ธรรมะก็คือศาสนา ไม่ว่าศาสนาพุทธ คริสต์ อิสลาม พราหมณ์ ฮินดู ซิกข์ ก็คือพระศาสนา ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนหน่ะ แต่คนส่วนใหญ่ก็ไม่เข้าใจศาสนา เมื่อไม่เข้าใจ ก็ทำให้เสียหาย นึกว่าศาสนาเป็นเหมือนกฎหมายบ้านเมือง อย่างนี้เลยพากันถือแต่แบรนด์เนม ศาสนานั้นเป็นเรื่องจิตเรื่องใจ ถึงจะเอากายมาประพฤติ เอากายมาปฏิบัติ แต่มันเป็นเรื่องจิตเรื่องใจ ใจนั้นไม่มีตัวไม่มีตน ถึงต้องบัญญัติให้กายนี้เข้าสู่ภาคปฏิบัติ ก็ต้องถือแบรนด์เนม ต้องปรับตัวเองเข้าหาธรรมะ เข้าหาเวลา พระศาสนานี้ก็เป็นเรื่องจิตเรื่องใจ หยุดทำบาปทั้งปวง ใจมันไม่มีตัวไม่มีตน เริ่มให้ใจหยุด ใจหยุด ใจไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่ประพฤติผิดในกาม เป็นคนซื่อสัตย์ เป็นคนพูดออกจากความจริง ไม่กินเหล้ากินเบียร์ นี้ก็ต้องเอาทางกาย ทางกายนี้เป็นฐานทั้งการประพฤติการปฏิบัติ คนเราถ้าสุขภาพกายไม่ดี นี้ก็ไม่มีฐานประพฤติฐานปฏิบัติ
มนุษย์เราส่วนใหญ่อายุขัยของเราก็ไม่เกิน 100 ปี มันก็ไม่มีใครถึง 200 ปี หรอก นอกจากมีอภินิหารพิเศษ ผู้ที่เราดำรงชีวิตอยู่นี้ ถ้ายังไม่มีความเห็นที่ถูกต้อง ไม่มีความเข้าใจที่ถูกต้อง ปฏิบัติยังไม่ถูกต้อง ร่างกายมนุษย์ทั้งหลายนี้ ก็เป็นได้แต่เพียงคน เราจะต้องเอาธรรมะเป็นหลัก เอาธรรมะเป็นใหญ่ เอาธรรมะเป็นการดำเนินชีวิต เราจะได้เข้าสู่ความเป็นมนุษย์ เลือกเฟ้นปฏิบัติในสิ่งที่ดีๆ จะไม่ทำสะเปะ สะปะ เป็นได้แต่เพียงคน เพราะคนทั้งหลายยังตกอยู่ในอบายมุข อบายภูมิ จิตใจนั้นยังเป็นเปรต ยังเป็นยักษ์ เป็นอสูรกาย เป็นสัตว์นรก เราก็เข้าใจ
เราจะข้ามวัฏฏะสงสาร หยุดเวียนว่ายตายเกิด เราก็ต้องเข้าสู่ธรรมะ เข้าสู่พระวินัย หรือเรียกชื่อว่า ศีล เราจะได้ปฏิบัติ ต้องเข้าใจ แล้วก็ต้องสมาทาน เราถึงจะไม่เป็นคนมีปัญญาแต่ก็ไม่ปฏิบัติ มีปัญญาแล้วเราต้องประพฤติ ต้องปฏิบัติ มันถึงประกอบทั้งความรู้เข้าใจทั้งการประพฤติการปฏิบัติ ศาสนาในเมืองไทยเราส่วนใหญ่นี้ถือว่าเสียหาย ให้เราพากันเข้าใจ เมื่อมันเสียหายอย่างนี้ ทำไม่ถูกอย่างนี้ มันก็เสียหาย เสียส่วนรวมทรัพย์กร ของโลก ไม่ใช่ของชาตินะ ระดับโลกแล้ว พวกที่โกนหัวเฉยๆ ห่มผ้าเหลืองเฉยๆ เนี่ย แต่ไม่เอาธรรมไม่เอาพระวินัย นี่เขาเรียกว่า แบรนด์เนม คนที่จะแก้ไขกันหมดทั้งประเทศหมดทั้งโลก ถ้างั้นเราจะมีศาสนาไว้ทำไม มีประโยชน์อะไร มันไม่มีประโยชน์!! เราต้องพากันประพฤติพากันปฏิบัติ ถึงแม้เราจะมีมหาเถรสมาคมมีอะไรต่างๆ มันก็เพียงรักษาไว้เพียงแต่แบรนด์เนมเฉยๆ ไม่ใช่ศาสนาพุทธ มันแบรนด์เนมเทียม มีแต่รูปแบบ ไม่ได้เข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ มันเลยบอกว่าสมัยนี้พระนิพพานหมดสมัยแล้ว มันก็แน่นอน เกินร้อยเปอร์เซนต์ เกินพัน - เกินหมื่น - เกิดแสน - เกินล้าน เปอร์เซนต์หน่ะ เพราะเราไม่ได้เข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ มรรคผลนิพพานนั้นไม่หมดสมัยไม่ล้าสมัย มันอยู่ทันกาลทันเวลาอย่างนี้แหละ
ถ้าคนเราคิดดี มันก็ดี คนเราพูดดี มันก็ดี ขยันรับผิดชอบดี มันก็ดี มีความสุขในการประพฤติในการปฏิบัติ มีความสุขในการทำงาน ด้วยไม่ทำบาปทั้งปวง ทำกุศล มันก็ไปของมันเรื่อยๆ น่ะ มนุษย์เราก็จะมีควมสุข เพราะมนุษย์เราเดี๋ยวนี้ก็ก้าวมาไกล พัฒนาเทคโนโลยี ถึงมีรถ มีเรือ มีเครื่องบิน มีคอมพิวเตอร์ มีอะไรสดวกสบาย แต่มนุษย์เราไม่พัฒนาใจไปพร้อมๆ กัน มนุษย์นี้ก็จะเป็นผู้ที่ทำลายโลก ถือว่ายังไม่ได้เป็นมนุษย์หรอกถือว่าได้เป็นแต่เพียงคน ที่พูดอยู่นี้ ไม่ใช่ลบหลู่พวกการปกครอง ไม่ได้ลบหลู่ที่วัดวาอารามต่างๆ ไม่ใช่ นี่พูดตามหลักเหตุผลตามหลักวิทยาศาสตร์ เพราะมันสมควรที่จะพากันแก้ไขนะ
การดำรงพระศาสนานี่ มันก็ไม่ใช่พระศาสนานะ แต่มันจะเป็นการดำรง บำรุงโจรนะ เลี้ยงโจร เลี้ยงมหาโจรไว้ ปล้นความเป็นมนุษย์ ปล้นชาติ ชาติที่เป็นมนุษย์นี้ มันจะกลายเป็นชาติโจร ทุกคนทำได้ปฏิบัติได้ เพราะมันสมควรประพฤติปฏิบัติ อย่าปฏิเสธว่าทำไม่ได้ ทำไม่ได้ ถ้าทำไม่ได้ก็อย่าพากันมาบวช มาบวชก็ต้องทำให้ได้ อย่าเอาเปรียบประชาชน ประชาชนเคารพกราบไหว้ มันไม่ได้ มันเสียหาย ทุกคนต้องพากันประพฤติพากันปฏิบัติ เริ่มต้นจากจิตใจนะ คือมันจะบวช บวชทั้งกาย บวชทั้งใจ ไม่มีเซ็กทางอารมณ์ ไม่มีเซ็กทางความคิด เราต้องทำอย่างนี้ ปฏิบัติอย่างนี้ เราต้องรู้จักศาสนา ศาสนานี้ไม่ใช่โบสถ์ ไม่ใช่วิหาร คือธรรมะวินัย สิกขาบทน้อยใหญ่ ที่เราต้องเอามาแก้ไขตนเอง ไม่ใช่ไปแก้ไขคนอื่น คนอื่นเขาให้ข้าว ให้ที่อยู่ที่นอนแล้ว จะเอาอะไรอีก พระพุทธเจ้าท่านไม่เอาอะไรเลย ฉันอาหารวันหนึ่งเพียงหนเดียว ไม่เก็บอะไรไว้เลย มีความสุขในการละตัวละตน เราทำอย่างนี้แหละ มันถึงจะไม่มีเงินทอนวัด เงินทอนบ้าน เงินทอนข้าราชการอะไรต่างๆ นี้ มันจะไม่มีโจร มหาโจรเต็มบ้านเต็มเมือง
เราต้องพากันสำนึกสำเหนียกนะ ถ้าเราไม่ประพฤติพากันปฏิบัติ มันแก้ไขไม่ได้ มันแก้ตัวเอง คนอื่นก็แก้เขา มันก็ง่าย ไม่กี่นาทีก็พากันแก้ได้แล้ว เราทุกท่านทุกคนต้องมีความสุขในการประพฤติในการปฏิบัติอย่างนี้ เพราะการปฏิบัติธรรมก็คือการทำงาน การทำงานก็คือการปฏิบัติธรรม ความขี้เกียจขี้คร้านไม่เสียสละอย่างนี้ มันไม่ได้ เราจะคิดโง่ๆ ไปว่า โอ้..ปฏิบัติเมื่อไหร่จะหยุด โอ้..อย่างนี้มันเห็นแก่ตัว มันหลง คนเราต้องเสียสละจนหมดลมหายใจ เราต้องมีความสุขในการเสียสละอย่างนี้ ปฏิบัติอย่างนี้แหละ การปฏิบัติของเราอยู่ทุกหนทุกแห่ง ประชาชนผู้รักษาศีล 5 ก็มีความสุขในการทำงาน วันหนึ่งมีเวลา 24 ชม. เวลานอนก็ 6 ชม. เวลาตื่นก็คือเวลามีความสุขในการทำงานขยันรับผิดชอบอดทน เราจะไปเอาความสุขความหลง ไปเอางมงาย ไปเอาไสยศาสตร์ ที่ยึดมั่นถือมั่นในตัวในตนมันไม่ได้ ต้องเสียสละไป เราเป็นประชาชนเป็นคฤหัสถ์ก็เป็นพระอริยเจ้าได้ ตั้งแต่พระโสดาบัน จนไปถึงพระอนาคามี ที่อยู่ในการประพฤติในการปฏิบัติในชีวิตประจำวันของเรา
การปฏิบัติของเรามันต้องมีสัมมาสมาธิ หรือว่าระดับขณิกสมาธิ ในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าพระไม่ว่าประชาชน เวลาเรานั่งสมาธิถึงขึ้นระดับท็อป สมอง มันก็เลยอัปปันนาขึ้นไปอย่างนี้นะ เราจะได้ประพฤติได้ปฏิบัติสมองเราถึงจะได้ไม่เป็นอัลไซเมอร์ ปัจจุบันเราจะได้ประพฤติได้ปฏิบัติได้สมบูรณ์ พระพุทธเจ้าได้พาเราประพฤติพาเราปฏิบัติอย่างนี้นะ พระอรหันต์สาวกพาเราประพฤติพาเราปฏิบัติอย่างนี้ เราต้องพากันประพฤติพากันปฏิบัติ ประเทศไทยเราดี ในหลวงมหาภูมิพล ให้เราลาบวชได้ 4 เดือน เพื่อฝึกเพื่อจิตใจ เพื่อจะเป็นทรัพยากรของประเทศ เอาธรรมเป็นหลักเอาธรรมเป็นใหญ่ ไม่เอาโจรเป็นหลัก ไม่เอาโจรเป็นใหญ่ เราต้องเข้าใจ เราจะไปหลงแค่แบรนด์เนม บวชมาแห่รอบโบสถ์ บวชมาแล้วมาห่มผ้าเหลือง ให้เขาถวายเพลให้เขาถวายอะไร ไปหาซื้อของตลาด มันไม่ถูก
เราต้องพากันประพฤติพากันปฏิบัติ ทุกคนปฏิบัติได้ ทุกวันนี้ดีมาก การสื่อสารก็ทั่วถึงกัน พวกที่เป็นพระภิกษุหลอกลวงประชาชนเล่นขายบุญ ขายสวรรค์ ขายของคลัง พากันเงียบๆ พากันสงบ อย่าพากันคึกคนอง พากันแก้ไขตัวเองอย่าไปซ้ำเติมตัวเอง ด้วยการคิดผิดทำผิดปฏิบัติผิด มันอย่าไปคิดว่า โอ๋… เทศน์อย่างนี้เพื่อฝูงมันจะอยู่ได้อย่างไง เพื่อนโจรให้มันหายไป ใจมันคิดอย่างนี้ ใจมันเป็นโจรนะ พระนี้ก็คือพระศาสนา คือหยุดระบบของโจร ผู้ที่ทำผิดทั้งหลายทั้งปวง คิดผิด อะไรผิดอย่างนี้ เอาตัวตนเป็นหลัก เขาเรียกว่าระบบของโจร นี่เราต้องรู้จัก วัดแต่ละวัดมันจะได้ไม่หนักวัด วัดนี่คือข้อวัตรข้อปฏิบัติของผู้มุ่งมรรคผลพระนิพพานอย่างนี้นะ ให้ทุกท่านทุกคนพากันกราบตัวเองได้ ว่าตัวเองได้ เราต้องจัดการตัวเองให้ได้ ถ้าใครเป็นปาราชิก ถึงใครไม่รู้น่ะ แต่ตัวเองรู้อยู่นะ ใครอาบัติสังฆาทิเสส ถึงใครไม่รู้ แต่ตัวเองรู้ พวกนี้ก็สมควรจะแก้ไขตัวเอง อาบัติสังฆาทิเสสเยียวยาได้ ผู้ที่เป็นปราชิกน่ะ ถึงคนอื่นไม่รู้ แต่บวชไปก็ไม่ได้ มรรค ไม่ได้ผลหรอก เป็นคนไม่ละอายต่อบาป พวกๆ นี้เขานึกว่า เราเป็นครูบาอาจารย์ทำให้เสีย สึกออกไปเพื่อให้เป็นคฤหัสถ์ที่ดีดีกว่า อย่าเป็นปาราชิกมืดเกือบทุกวัดไปเลย อย่างนี้ไม่เอานะ เราไม่ต้องหากินทางหลอกลวง เราก็พากันเข้าใจ สึกออกไปไม่ตายหรอก เราก็หายใจพอๆ เก่า เราต้องมีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง พากันบำรุงพระศาสนา จะได้ดีขึ้น
สมัยหนึ่ง พระศาสดาเสด็จจาริกไปในโกศลชนบท (บางทีท่านเรียกแคว้นว่า ชนบท) ทอดพระเนตรเห็นต้นไม้ มีโพรงต้นใหญ่ในระหว่างทางถูกเพลิงไหม้ลุกโพลงโชติช่วง มีพระประสงค์จะแสดงธรรม เปรียบด้วยกองเพลิง จึงแวะลงประทับ ณ โคนไม้ต้นหนึ่ง เหยียดพระหัตถ์เบื้องขวาออก ชี้ไปทางต้นไม้ที่ไฟกำลังไหม้โชติช่วงอยู่ แล้วถามภิกษุทั้งหลายว่า “ภิกษุทั้งหลายเธอเห็นต้นไม้ ที่ไฟกำลังไหม้นั้นอยู่หรือไม่?”
เมื่อภิกษุทั้งหลายทูลตอบว่า “เห็นพระเจ้าข้า” แล้ว
พระบรมศาสดาจึงตรัสให้ ภิกษุทั้งหลายสังเวชใจ พระผู้มีพระภาคตตรัสกับภิกษุทั้งหลายว่า การที่บุคคลผู้ทุศีล มีธรรมลามก มีความประพฤติสกปรก น่ารังเกียจ ปกปิดกรรมชั่ว มิใช่สมณะ แต่ปฏิญาณว่าเป็นสมณะ มิใช่ผู้ประพฤติพรหมจรรย์แต่ปฏิญาณว่าประพฤติพรหมจรรย์ เน่าใน มีความกำหนัดกล้า
- เข้าไปนั่งกอดนอนกอดกองไฟใหญ่ที่กำลังลุกโชติช่วงอยู่ ยังดีกว่าการไปนั่งหรือนอนกอดสตรีผู้มีฝ่ามือฝ่าเท้าอ่อนนุ่ม
- ถูกเชือกหนังพันแข้งทั้งสองข้าง แล้วชักไปชักมา เชือกหนังบาดผิว บาดหนัง บาดเนื้อ ตัดเส้นเอ็น ตัดกระดูกแล้ว หยุดอยู่จดเยื่อในกระดูก ยังดีกว่าการยินดีการกราบไหว้
- ถูกหอกคมชโลมน้ำมันพุ่งใส่กลางอก ยังดีกว่าการยินดีอัญชลีกรรม
- ถูกแผ่นเหล็กแดงนาบกายตัว ยังดีกว่าการบริโภคจีวรที่เขาถวายด้วยศรัทธา
- ถูกกรอกก้อนเหล็กแดงเข้าในปาก จนไหม้ริมฝีปาก ปาก ลิ้น คอ อก ไหม้เรื่อยไปถึงไส้ใหญ่ไส้น้อย แล้วออกทางทวารเบื้องต่ำ ยังดีกว่าการบริโภคบิณฑบาตที่เขาถวายด้วยศรัทธา
- นั่งทับนอนทับบนเตียงเหล็กหรือตั่งเหล็กแดงไฟกำลังลุกโชติช่วง ยังดีกว่าการบริโภคเตียงตั่งที่เขาถวายด้วยศรัทธา
- ถูกจับโยนลงในหม้อเหล็กแดงไฟกำลังลุก ถูกไฟเผาเดือดในหม้อเหล็ก ยังดีกว่าการบริโภควิหารที่เขาถวายด้วยศรัทธา
เพราะผู้นั้นพึงตายหรือถึงทุกข์ปางตายโดยการทรมานเป็นเหตุ แต่ผู้นั้นเมื่อตายไป จะไม่เข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก
การที่ผู้ทุศีล มีธรรมลามก มีความประพฤติสกปรก น่ารังเกียจ ปกปิดกรรมชั่ว มิใช่สมณะ แต่ปฏิญาณว่าเป็นสมณะ มิใช่ผู้ประพฤติพรหมจรรย์แต่ปฏิญาณว่าประพฤติพรหมจรรย์ เน่าใน มีความกำหนัดกล้า นอนกอดสตรีผู้มีฝ่ามือฝ่าเท้าอ่อนนุ่ม ยินดีการกราบไหว้ การอัญชลีกรรม การบริโภคจีวร บิณฑบาต เตียงตั่ง วิหารที่เขาถวายด้วยศรัทธา ย่อมเป็นไปเพื่อความฉิบหายมิใช่ประโยชน์ เพื่อทุกข์สิ้นกาลนาน แก่บุคคลผู้ทุศีลนั้น และบุคคลผู้ทุศีลนั้นเมื่อตายไปย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก
เพราะเหตุนั้นแหละ ภิกษุพึงศึกษาอย่างนี้ว่า เราทั้งหลายพึงบริโภคจีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และคิลานปัจจัยเภสัชบริขาร ของชนเหล่าใด ปัจจัยของชนเหล่านั้นจักมีผลมาก มีอานิสงส์มาก และการบรรพชาทั้งหลายจักไม่เป็นหมัน มีผล มีกำไร ภิกษุนั้นเมื่อพิจารณาเห็นประโยชน์ตน เห็นประโยชน์ผู้อื่น หรือเห็นประโยชน์ทั้งสอง ก็ควรที่จะให้ประโยชน์นั้นให้สำเร็จด้วยความไม่ประมาท
เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสไวยากรณภาษิตนี้จบลงแล้ว โลหิตร้อนพุ่งออกจากปากภิกษุ ๖๐ รูป ภิกษุ ๖๐ รูป กราบทูลว่าทำได้ยากและลาสิกขา สึกมาเป็นคฤหัสถ์ อีก ๖๐ รูป จิตหลุดพ้นจากอาสวะ เพราะไม่ถือมั่น
พวกที่มีศีลบริสุทธิ์พิจารณาเห็นต้นเป็นผู้หมดมลทินในเรื่องศีลเกิดปีติปราโมชได้บรรลุอรหัตตผล
พวกภิกษุที่ต้องอาบัติปาราชิก เกิดความร้อนใจร้อนกาย จนมีโลหิตไหลออกจากปาก
พวกภิกษุที่ประพฤติตน ย่ำยีสิกขาบทเล็กน้อยก็พากันร้อนใจ เห็นว่าการประพฤติพรหมจรรย์ให้บริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิงในธรรมวินัยนี้ เป็นของยากยิ่ง จึงชวนกันสึก
เทศนากัณฑ์นี้ของพระบรมศาสดา มีผลแก่ภิกษุทั้ง ๓ พวก
มีคำถามว่า เทศนาที่เป็นประโยชน์แก่ภิกษุผู้บรรลุอรหัตตผลนั้น เข้าใจได้ง่าย แต่สำเร็จประโยชน์ แก่ภิกษุอีก ๒ พวกอย่างไร?
ตอบว่า หากภิกษุที่ต้องอาบัติปาราชิก แล้วมิได้ฟังพระธรรมเทศนานี้ก็จะพึงประมาทไม่ละเพศแห่งภิกษุ อยู่ไปๆ บาปก็พอกพูนมากขึ้นทุกวัน เธอจะต้องจมลงในอบายภูมิถ่ายเดียว แต่เมื่อได้ฟังพระธรรมเทศนานี้ แล้วเกิดความสังเวชสลดใจ ละเพศภิกษุไปเป็นอุบาสกบ้าง ลดภูมิของตนลงมาเป็นสามเณรบ้าง บำเพ็ญศีล ประกอบการขวนขวาย ในโยนิโสมนสิการ (การทำไว้ในใจโดยแยบคาย) บางพวกได้เป็นโสดาบัน บางพวกได้เป็นสกทาคามี บางพวกได้เป็นอนาคามี บางพวกได้เกิดในหมู่เทพ
ส่วนภิกษุที่ย่ำยี่สิกขาบทเล็กๆ น้อยๆ ก็เหมือนกันเมื่อลาสิกขา แล้วบำเพ็ญอุบาสกธรรม ตั้งอยู่ในไตรสรณคมน์และเบญจศีล บางพวกได้เป็นโสดาบัน บางพวกได้เป็นสกทาคามี บางพวกได้เป็นอนาคามี บางพวกบังเกิดในหมู่เทพ
เทศนาอัคคิขันโธปมสูตร มีประโยชน์แก่ภิกษุทุกจำพวกอย่างนี้
ปฏิปทาความหนักแน่นมั่นคงเป็นสิ่งที่สำคัญ ที่เรามีความเห็นผิด เข้าใจผิด นึกว่าการปล่อยวาง ปล่อยวางศีล ปล่อยข้อวัตรข้อปฏิบัติ ปล่อยวางธรรมะวินัย ไม่เคร่งครัดในธรรมะวินัยจนเกินไป อย่างนี้มันมันเป็นความเห็นผิด เข้าใจผิด ปฏิบัติผิด ความหนักแน่นความมั่นคงจึงเป็นสิ่งที่สำคัญ เน้นที่ปัจจุบัน ส่วนใหญ่เราทุกคนจะไม่มีความหนักแน่นไม่มีความมั่นคง เหมือนที่กล่าวว่า ในคนร้อยคนหาคนกล้าได้หนึ่งคน ในคนพันคนหาคนเป็นบัณฑิตได้หนึ่งคน ในคนแสนคนหาคนพูดจริงได้เพียงหนึ่งคน ส่วนคนที่เสียสละได้ทุกสิ่งทุกอย่างนั้นไม่รู้ว่าจะมีหรือไม่ คือไม่ทราบจะคำนวณเอาจากคนจำนวนเท่าใดจึงจะเฟ้นได้หนึ่งคน มีคนเป็นล้านๆ คนจะหาความหนักแน่นมั่นคงนี่ก็หาไม่ได้หาไม่มี เพราะว่าทุกคนไม่มีสัมมาสมาธิใจมันอ่อน การปฏิบัติธรรมของเราต้องปฏิบัติปะติดปะต่อกัน อานาปานสติของเราต้องติดต่อต่อเนื่องกัน
ผู้ที่มาอยู่วัดนี้ต้องพากันฝึกอานาปานสติทุกๆ อิริยาบถ ต้องฝึกกัน อยู่เงียบๆ ฝึกอานาปานสติทุกๆ อิริยาบถ พระพุทธเจ้าท่านถึงไม่ให้มีงานภายนอกสำหรับนักบวช ถ้าไม่อย่างนั้นการติดต่อเราไม่ได้ต่อเนื่อง เราจะไม่ได้เจริญอานาปานสติ เราจะไม่ได้เจริญสมถะกรรมฐาน เราจะไม่ได้เจริญภาวนา วิปัสสนากรรมฐาน ที่แต่ก่อนเราไม่เข้าใจ ปล่อยให้เราคิดไปทั่ว ใจของเราน่ะบวชก็เหมือนไม่ได้บวช ใจของเราถือศาสนาพุทธก็เหมือนไม่ได้ถือ ทุกคนต้องเอาใจใส่เป็นพิเศษ ต้องเน้นเรื่องความหนักแน่น การเจริญปัญญา ฝึกพิจารณาพระกรรมฐาน เกสา โลมา นะขา ทันตา ตะโจ สู่พระไตรลักษณ์ ต้องภาวนา
เพราะว่าไม่มีความอดทน ถ้าไม่มีความอดทนมันก็ต้องกระอักเลือด มันก็ต้องลาสิกขา การลาสิกขาไม่ได้หมายความว่าลาสึกไปนะ ถึงจะบวชโกนหัวอยู่อย่างนี้ถ้าไม่ได้ปฏิบัติ ละทิ้งสิกขาบทเล็กๆน้อยๆ อย่างนี้ก็ถือว่าลาสิกขา เพราะไม่มีความอดไม่มีความทน ยังมีทิฏฐิมานะอัตตาตัวตน คำว่าลาสิกขาไม่ได้หมายความว่าเอาผ้าเหลืองออกอย่างเดียวนะ พระคุณเจ้าทั้งหลายเป็นผู้ลาสิกขาเยอะนะ แต่คนน่ะ ไม่มีตาคือปัญญาก็คิดว่าแค่พูดว่า สิกขัง ปัจจักขามิ คิหีติ มัง ธาเรถะ นั่นคือการลาสิกขา ความจริงไม่ต้องไปว่าหรอก ถ้าเราไม่มีความอดทนไม่ปฏิบัติตามสิกขาบทน้อยใหญ่ ชื่อว่าเราลาสิกขาแล้ว เพราะการปฏิบัติธรรมนั้น การประพฤติพรหมจรรย์นั้น ไม่เหมือนกับกฎหมายบ้านเมืองแต่อยู่ที่พระธรรมพระวินัย
แต่ก่อนโง่ไปนานนึกว่าสึกต้องพูดว่า สิกขัง ปัจจักขามิ ถ้าเราตามใจตัวเองตามอารมณ์ตัวเอง อยากคิดอะไรก็คิดไปเลย อยากคิดถึงสาวก็คิดไปเลย คิดอยากกินก๋วยเตี๋ยวก็คิดไปเลย คิดอยากไปเที่ยวนู่นเที่ยวนี่ก็คิดไปเลย อย่างนี้ มันไม่อดไม่ทน อย่างนี้มันไม่รู้จักทุกข์ อย่างนี้มันก็เท่ากับลาสิกขาแล้วใช่ไหม ถึงไม่เท่าก็คือลาสิกขานั่นแหละ เรามาเห็นภัยในวัฏสงสารเราเป็นคนหัวดื้อไม่อ่อนน้อมเข้าหาธรรม เราก็เป็นคนว่ายากสอนยาก เป็นคนไม่ละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาป
ความอดทนนี่นะ เป็นที่เริ่มต้นในการที่จะเปลี่ยนแปลง ความอดทนนี่เป็นศีลเป็นทั้งสมาธิเป็นทั้งปัญญาที่จะมารวมกันเป็นหนึ่งเดียว บางคนก็หัวดี แต่ก็ไม่มีความอดทนก็ไปไม่ได้ หัวดีฉลาดข้ามอารมณ์ไม่ได้ ส่วนใหญ่เราทุกคนก็จะพากันมักง่าย ไม่มีความอดทน เมื่อไม่มีความอดทนศีลก็ไม่มี สมาธิก็ไม่มี ปัญญาก็ไม่มี ที่เราทุกคนเสียคนก็เพราะไม่มีความอดทน ไม่อดทนในการรักษาศีลไม่อดทนในการทำสมาธิ ไม่อดทนในการทำความเพียร ไม่อดทนในการเจริญปัญญามันก็ไปไม่ได้ เรื่องการประพฤติการปฏิบัติ มันเป็นเรื่องปัจจุบันไม่ใช่เรื่องอดีตอนาคต ปัจจุบันเราต้องมีความสุข ในการประพฤติการปฏิบัติ
การทำปัจจุบันให้ดีก็คือกรรมเก่าในนาทีข้างหน้า ทุกๆ คนต้องเห็นประโยชน์เห็นคุณค่าของความอดทน ชีวิตที่ล้มเหลวก็คือชีวิตที่ไม่อดทน เป็นชีวิตที่ไม่แข็งแรง เพราะปัจจุบันมันต้องแข็งแรง ต้นไม้ที่เราปลูกหน้าฝนก็ต้องเผชิญกับฝนอย่างเต็มที่ หน้าแล้งก็ต้องเผชิญกับความแห้งแล้งอย่างเต็มที่ หน้าหนาวก็ต้องเผชิญกับความหนาวอย่างเต็มที่ ถ้าไม่มีความอดทนต้นไม้ก็ตายถ้าเราผ่านหน้าฝนหน้าแล้งหน้าหนาวได้ซัก ๑ ปี ชีวิตของต้นไม้นั้นก็ย่อมดีขึ้น คนเราก็เหมือนกัน ต้องมีภาคประพฤติภาคปฏิบัติ กว่าจะผ่านอนุบาลได้ก็ยาก กว่าจะผ่านประถมได้ก็ลำบาก กว่าจะผ่านมัธยมได้ก็แย่ กว่าจะผ่านอุดมศึกษาได้ก็ยากยิ่ง เพราะว่าที่จะผ่านได้ก็ต้องอดทน เห็นคุณค่าเห็นประโยชน์ในการประพฤติในการปฏิบัติ ชีวิตของเราไม่มีใครมาประพฤติมาปฏิบัติให้เรา
ที่เราหนักอกหนักใจเพราะเรายังไม่รู้จัก ที่ว่างานหนักหรือว่าอะไรต่างๆ มันอยู่ที่เราไม่รู้จักคุณค่า ที่ว่าหนัก มันเป็นความหลงมันเป็นความยึดมั่นของเรา ถ้าเราคิดกลับกันว่าอันนี้เป็นโชคดีของเรา ที่จะได้ฝึกใจและไม่เสียเวลาในการฝึก เพราะหนทางนี้มันเป็นหนทางที่เราจะต้องผ่านต้องฝึก ยิ่งตามความคิดไปยิ่งตามอารมณ์ก็ยิ่งผิดพลาดเสียหาย เป็นโรคจิตโรคประสาทไปเรื่อย
สู้เราเดินตามพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าท่านบอกทางเราถูกต้องแล้ว แต่มันต้องอาศัยความอดทนความตั้งมั่น ถ้าเราไม่มีความอดทนตามใจตามตัวเอง เขาเรียกว่าเราเป็นคนทิฏฐิมานะมาก เป็นคนหัวดื้อ เป็นคนหัวรั้น เอาแต่ใจตัวเอง เป็นผู้ที่ว่ายากสอนยาก เราจะไปว่ายากสอนยากทำไมหล่ะ เพราะว่ามันไม่ถูกต้อง ไปว่ายากสอนยากทำไม เราอย่าไปคิดว่าปฏิบัติไม่ได้ เราต้องปฏิบัติได้ ไวรัสกับยารักษามันก็ต้องสู้กัน ยารักษาไวรัสในวัฏฏะสงสาร มันคือความอดทน ให้ทุกท่านทุกคนรู้จักว่าเราตามใจตัวเองเราจะเอาแต่ความรวยเอาแต่ความสุขเอาแต่สวรรค์ เพราะความรวยสวรรค์รู้จักเราต้องจิตใจเข้มแข็งเพราะอันนี้มันเป็นแค่ทางผ่านแค่เดินผ่านเฉยๆ เราต้องจิตใจเข็มแข็งต้องอดทนเพราะทุกอย่างมันมีทั้งคุณทั้งโทษ พวกบ้าน พวกรถ ลาภ ยศ สรรเสริญ มันก็ดีมันอำนวยความสะดวก แต่มนุษย์เราต้องมีปัญญามากกว่านั้น เราจะไปติดได้อย่างไร เพราะร่างกายนี้ก็ยังไม่ใช่ของเรา ทานอาหาร พักผ่อน ก็ยังแก่ไปเรื่อยๆ ทุกวัน ทุกคนติดเพลินในการท่องเที่ยวในวัฏฏะสงสาร การท่องเที่ยวในวัฏฏะสงสารคือความเพลิดเพลิน เป็นสิ่งที่ทำให้เราเดินช้า
ทุกท่านทุกคนต้องพากันอดทนให้อยู่กับเนื้อกับตัวอยู่กับปัจจุบันอยู่กับอานาปานสติ เราพากันหลงอารมณ์ หลงอะไรไปเรื่อย ความหลงพาเราเวียนว่ายตายเกิด มันก็อยากจะไปดูคนอื่น อยากไปฟังแต่คนอื่น อยากไปแก้ไขคนอื่น เราไปแก้ปัญหาข้างนอกมันไม่ถูก ต้องแก้ปัญหาในตัวเราที่ไม่มีความอดทน พระวินัยทุกข้อทุกสิกขาบทมีมาในพระปาฏิโมกข์ ๒๒๗ ข้อ มีมาในพระไตรปิฏก ๒๑,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ เพื่อให้เราทุกคนหยุดตัวเอง เพื่อไม่ให้ตัวเองมีทิฏฐิมานะ การหยุดนี่ถึงเป็นสิ่งที่หยุดปัญหาเราต้องเห็นคุณค่าของความอดทน ปัจจุบันเราต้องมีความสุขให้ได้ เพราะชีวิตของเราที่จะเป็นสุข เพราะความสุขที่เป็นสัมมาทิฏฐิที่ประกอบด้วยศีล สมาธิ ปัญญาในปัจจุบันมันถึงจะพัฒนาตัวเองได้ เราต้องเน้นที่ปัจจุบัน มันจะเป็นฐานที่ก้าวไป