แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ในวันพุธที่ ๑๘ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๖๖
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง ชีวิตใหม่ที่เลือกได้ ตอนที่ ๒๒ การปฏิบัติธรรมนั้นไม่ได้อยู่ที่รูปแบบ แต่อยู่ที่การวางใจให้ถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
การประพฤติการปฏิบัติ พระพุทธเจ้าให้เราปฏิบัติที่ปัจจุบัน เพราะอดีตก็ปฏิบัติไม่ได้ อนาคตก็ปฏิบัติไม่ได้ ปัจจุบันคือการปฏิบัติของเรา ถ้าเราไม่ปฏิบัติในปัจจุบัน ชื่อว่าเราไม่มีการปฏิบัติ ปัจจุบันเราจะให้ผ่านไปโดยไม่ประพฤติไม่ปฏิบัติ ไม่ได้ ถ้าเราปฏิบัติอย่างนี้ ชีวิตของเรามันถึงจะไม่พลาดโอกาส ให้ทุกท่านทุกคนพากันเข้าใจนะ ไม่อย่างนั้นเราจะไม่มีการประพฤติการปฏิบัติ ทุกคนต้องปรับใจเข้าหาธรรมะ เข้าหาเวลา ที่ผ่านๆ มาน่ะ เราปล่อยให้ผ่านไป เพราะเราไม่รู้จักการประพฤติการปฏิบัติ
อานาปานสตินะ ทุกคนต้องฝึก ฝึกหายใจเข้าสบาย หายใจออกสบาย เราทำอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้ทุกๆ อิริยาบถ คิดยังไงเราก็ต้องรู้ รู้แล้วเราก็อย่าไปตามความคิด เราจะได้ถนอมสมองของเรา เอาไว้ใช้งานในสิ่งที่จำเป็น เราอย่าไปวุ่นวายตามความคิด เพราะคนไม่ตายก็ย่อมคิดนู่นคิดนี่ ใจเราให้มีพื้นฐานอยู่ระดับขณิกะสมาธิหรืออุปจาระสมาธิเป็นต้น ให้เรามีความสุข ให้เรามีสติ ในธุรกิจหน้าที่การงานของเราในปัจจุบัน เราจะปล่อยให้ใจของเราคิดไปเรื่อยไม่ได้ เพราะใจของเราทุกคนนั้น ส่วนใหญ่ยังเป็นสามัญชนอยู่ ยังไม่ใช่พระอริยเจ้า เราก็รู้จักความคิด
เรามาบวชเป็นพระอยู่ที่วัด ก็อ่านหนังสือธรรมะ อ่านหนังสือพระวินัย หรืออ่านพระไตรปิฎก เพราะวัดทุกวัดส่วนใหญ่จะมีหนังสือธรรมะมีพระไตรปิฎก เราอ่านหนังสือธรรมะ เพื่อจะได้รู้ธรรม รู้พระวินัย รู้แผนที่ในการเดินทาง แผนที่ในการประพฤติในการปฏิบัติ เราไม่สมควรที่จะไปอ่านหนังสือทางโลก ไปเล่นโทรศัพท์ ไป LINE โทรศัพท์ เพราะใจของเราจะไปรับเอาสิ่งภายนอกเข้ามาใส่สมอง ในชีวิตประจำวันนะ ใจของเราก็จะคิดในเรื่องเก่าๆ ให้เรารู้จัก เพราะว่าเราเป็นพระน่ะ เราจะคิดไปทางโลก ในเรื่องการบ้านการเมือง มันไม่ได้ เพราะเรามาบวชก็เพื่อที่จะมาหยุดตนเอง ถ้าเราไม่ฝึกอย่างนี้ ไม่ปฏิบัติอย่างนี้ ถึงแม้เราจะมาบวช ก็เท่ากับเราไม่ได้บวช ทำให้เราเสียเวลา พระเราจะไปคิดอย่างนั้นไม่ได้นะ ใจของเราจะไม่สงบใจจะไม่วิเวก
เราพากันฝึกนั่งสมาธิกันบ้าง เราจะนั่งบนเก้าอี้หรือนั่งขัดสมาธิ นั่งอะไรก็ได้อยู่ที่กุฏิเราอยู่ที่พักเรา นั่งหายใจเข้าก็ให้สบายหายใจออกก็สบาย หายใจเข้าให้มีความสงบ หายใจออกให้มีความสงบ เพราะว่าลมหายใจนี้เป็นเครื่องอยู่ พระพุทธเจ้าก็อยู่กับลมหายใจ พระอรหันต์ก็อยู่กับลมหายใจ ผู้กำลังประพฤติกำลังปฏิบัติเพื่อมุ่งมรรคผลพระนิพพานก็อยู่กับลมหายใจ ให้มีความสุขกับลมหายใจเข้า ลมหายใจออกอย่างนี้ เราเดินก็เดินจงกรม พระเราก็เดินจงกรม เดินกลับไปกลับมา ตามลานวัดตามถนนที่เราอยู่พักอาศัย เดินก็ให้มีสติสัมปชัญญะกับการเดิน เดินกลับไปกลับมาให้เราได้ออกกำลังกาย เดินก็ให้มีสติสัมปชัญกับการเดิน เดินกลับไปกลับมาให้เราได้ออกกำลังกาย ให้เราได้มีความสุขในอิริยาบถที่เราเดิน เพื่อเราจะได้อยู่กับเนื้อกับตัว ใจของเราจะได้ไม่ฟุ้งซ่าน อย่าไปเผลอคิดนะ เพราะความคิดก็เป็นของอร่อยนะ ถ้าได้คิดแล้ว มันก็จะคิดไปเรื่อย ถ้าเรารู้ตัว เรากลับมาหายใจเข้าให้รู้ชัดเจน หายใจออกให้รู้ชัดเจน เราเดินกลับไปกลับมาอย่างนี้
เป็นพระเนี่ย ต้องกวาดลานวัด ถูกุฏิ ล้างห้องน้ำ ทำความสะอาด เพื่อที่อยู่ที่อาศัยของเราจะได้สะอาด ใจของเราจะได้สะอาด เพื่อเราจะได้หางานทำ เพื่อใจจะได้อยู่กับเนื้อกับตัว ถ้ามันว่างงานเกิน ไม่ได้ทำงาน ใจมันจะฟุ้งซ่าน คนเรานี้ต้องมีงานทำนะ ประชาชนเค้ามีงานทำ ถ้าเค้าไม่มีงานทำ เค้าว่างงานเกิน เค้าก็เป็นโรคฟุ่งซ่าน เป็นโรคจิตโรคประสาท พระเราก็ทำงานเหมือนกัน ทำความสะอาดกุฏิ รอบกุฏิ ห้องน้ำห้องสุขาต้องให้สะอาด ถึงแม้สถานที่จะสะอาดดีแล้ว แต่เราก็ฝึกใจของเรา เพื่อใจของเราจะได้อยู่กับการ อยู่กับงาน ใจของเราจะไม่ได้ฟุ้งซ่าน เรากวาด สติเราอยู่กับกวาด มันก็มีความสงบ คนเราน่ะถ้าใจมันอยู่กับปัจจุบัน มันมีความสงบนะ มันมีความสุขนะ เราทำงานต้องใจอยู่กับเนื้อกับตัว ใจอยู่กับปัจจุบัน เราจะทำอะไรให้ใจอยู่กับเนื้อกับตัวอยู่กับปัจจุบัน อย่าให้ใจของเราฟุ้งซ่าน
วันหนึ่งคืนหนึ่งนั้นมี 24 ชม. เวลานอนของพระพุทธเจ้า หรือว่าบรรทม 4 ชม. เพราะว่าพระพุทธเจ้าท่านมีความสุขมาก เพราะท่านวางธาตุ วางขันธ์ วางอะไรหมด อยู่กับการเสียสละ ท่านมีความสุข ท่านบรรทมเพียง 4 ชม. พระอรหันต์ทั้งหลายที่เป็นสาวกนอนวันหนึ่งก็ไม่เกิน 6 ชม.หรือเพราะท่านมีความสุขในอริยาบททั้ง4 เพราะสติสัมปรัชชะท่านสมบูรณ์ ท่านปล่อยวางภาระ ปล่อยวางขันธ์ ท่านอยู่กับปัจจุบัน อยู่กับการเสียสละ เรายังไม่ได้เป็นพระอริยเจ้า ยังไม่ได้เป็นพระอรหันต์ก็ เราก็ไม่ควรที่จะนอนเกิน 8 ชม. หรอก เลย 8 ชม. ไปก็เป็นพวกเด็กน้อย พวกนักเรียน
หลวงพ่อชาเล่าว่า... ท่านเคยไปปฏิบัติธรรมกับหลวงปู่กินรี
หลวงพ่อชาตั้งใจปฏิบัติมาก เดินจงกรม และ นั่งสมาธิทั้งวัน แต่ก็อดแปลกใจไม่ได้ว่า หลวงปู่กินรีวันๆ ไม่ค่อยเดินจงกรม ไม่ค่อยนั่งสมาธิเลย ทำโน่นทำนี่ เกือบตลอดเวลา แล้วท่านจะเห็นอะไร แต่หลังจากที่ได้อยู่ปฏิบัติกับหลวงปู่นานๆ และได้ฟังธรรมอันลุ่มลึกจากท่าน
หลวงพ่อชาก็รู้ว่า เป็นความเขลาของท่านเองที่คิดเช่นนั้น ท่านพูดถึงบทเรียนที่ท่านได้ จากประสบการณ์ครั้งนั้นว่า “เรามันคิดผิด หลวงปู่ท่านรู้อะไรๆ มากกว่าเราเสียอีก คำเตือนของท่านสั้นๆ และไม่ค่อยมีให้ฟังบ่อยนัก เป็นสิ่งที่ลุ่มลึก แฝงไว้ด้วยปัญญาอันแยบคาย ความคิดของครูบาอาจารย์กว้างไกลเกินปัญญาเราเป็นไหนๆ
-ตัวแท้ของการปฏิบัติ คือ ความพากเพียร กำจัดอาสวกิเลสภายในใจไม่ใช่ถือเอากิริยาอาการภายนอกของครูบาอาจารย์เป็นเกณฑ์”
ท่านมาได้ตระหนักชัดอีกครั้งว่า...- การปฏิบัติธรรมนั้นไม่ได้อยู่ที่รูปแบบ
- แต่อยู่ที่การวางใจให้ถูกต้อง - ไม่ว่าทำอะไร...ก็สามารถเป็นการภาวนาได้
คราวหนึ่งท่านนั่งปะชุนจีวรที่ขาดวิ่น ใจนั้นนึกถึงการภาวนาอยู่ตลอดเวลา อยากรีบปะชุนให้เสร็จเร็วๆ เพื่อจะได้ไปภาวนาต่อ ขณะนั้นเองหลวงปู่กินรีเดินผ่านมา สังเกตเห็นอาการของพระหนุ่ม จึงพูดขึ้นมาว่า “ท่านชา จะรีบร้อนไปทำไมเล่า” “ผมอยากให้เสร็จเร็วๆ ครับหลวงปู่”
“เสร็จแล้วท่านจะทำอะไรล่ะ” “จะไปทำอันนั้นอีก”
“ถ้าเสร็จอันนั้นแล้ว ท่านจะทำอะไรอีกล่ะ” “ผมก็จะทำอย่างอื่นอีก”
“เมื่อทำอย่างอื่นเสร็จแล้ว ท่านจะไปทำอะไรอีกเล่า”
เมื่อเห็นว่า ใจของหลวงพ่อชา ไม่ได้อยู่กับงานที่กำลังทำ แต่คิดถึงงานชิ้นอื่นๆ ที่อยู่ข้างหน้า และรีบร้อนจะทำให้เสร็จไวๆ ทั้งหมดนี้ ก็เพื่อไปภาวนาต่อ หลวงปู่กินรีจึงเตือนว่า...“ท่านชา ท่านรู้ไหม นั่งเย็บผ้าผืนนี้ก็ภาวนาได้ ท่านดูจิตตัวเองสิว่าเป็นอย่างไร แล้วก็แก้ไขมัน ท่านจะรีบร้อนไปทำไมเล่า ทำอย่างนี้เสียหายหมด ความอยากมันเกิดขึ้นท่วมหัว ท่านยังไม่รู้เรื่องของตนอีก”
คำพูดของหลวงปู่กินรี กระตุกใจของหลวงพ่อชาอย่างแรง ทำให้ท่านได้สติ และ เกิดความเข้าใจชัดเจนว่า... - ไม่ว่าอยู่ที่ไหน ทำอะไร ก็ภาวนาได้ทั้งนั้น ขอให้หมั่นดูใจของตนอย่างต่อเนื่อง จนเกิดความรู้สึกตัวทั่วพร้อม -นี้เป็นบทเรียนที่ประทับใจท่านมาก และถือเป็นหลักปฏิบัติของท่านตลอดมา
เมื่อท่านไปตั้งสำนักปฏิบัติธรรมที่หนองป่าพง จึงทำให้มีกิจกรรมหลายๆ อย่าง และมีเรื่องเล่าว่า ตอนนั้นหลวงพ่อชาอายุมากแล้ว มีเด็กหนุ่มมาถามท่านว่า...ทำไมพระจึงไม่นั่งสมาธิ
พอหลวงพ่อชาได้ฟังน้ำเสียงแล้วรู้ว่า ไม่ได้ถามเพราะต้องการคำตอบที่แท้จริง ท่านจึงตอบว่า “นั่งอย่างเดียวมันถ่ายไม่ออกว่ะ จะนั่งอย่างเดียวก็ไม่ได้ มันต้องปฏิบัติ กับการทำงานด้วย” และท่านก็บอกว่า... การปฏิบัติธรรมมันต้องมาดูกายและใจ ไม่ว่าทำอะไร ต้องให้รู้ทันกายและใจ ทำงานก่อสร้างก็เป็นการปฏิบัติธรรมได้ อันนี้สำคัญมาก
เดี๋ยวนี้นักปฏิบัติธรรมจำนวนมากคิดอย่างเดียวว่า เวลาปฏิบัติธรรมจะต้องเข้าวัด จะต้องหลบลี้หนี้หน้าผู้คน โดยไม่คิดว่า...กายอยู่ที่ไหนก็ปฏิบัติธรรมได้ อยู่บนท้องถนน รถติดก็กำหนดลมหายใจไปด้วย หรือ เวลาเจอไฟแดง หงุดหงิดขึ้นมา...ก็ปฏิบัติธรรมได้
ถามว่าเวลารถติด ทำไมถึงหงุดหงิด นั่นก็เพราะใจมันไปอยู่ที่จุดหมายปลายทางแล้ว ใจมันอยู่ข้างหน้าแล้ว... ใจไม่อยู่กับปัจจุบัน จึงกลัวไปไม่ทัน กลัวไม่ทันประชุม เป็นต้น
ดังนั้น ให้พาใจกลับมาอยู่กับปัจจุบัน จะตามลมหายใจด้วยก็ได้ การปฏิบัติธรรมก็คือ ติดไฟแดงทำอย่างไรจะไม่หงุดหงิด ทำอย่างไรเวลาถูกต่อว่าจะไม่หงุดหงิด เวลาเสียเงินจะไม่โมโห เวลาเงินหายก็หายแต่เงิน แต่ใจไม่หาย ถ้าทำได้อย่างนี้ ก็เรียกว่า...ปฏิบัติธรรมแล้ว!
ทุกๆ ท่านทุกคนต้องบังคับตนเองนะ เรื่องความคิดก็ต้องบังคับตนเองนะ เหมือนเค้าขับรถยนต์ เค้าต้องบังคับตัวเองรถถึงจะไม่ลงถนน ถึงจะไม่หลุดโค้ง ความสุขความดับทุกข์ของเราทุกๆ คน มันไม่ได้อยู่ไกลหรอก มันไม่ได้อยู่ที่ชาติหน้านู้นหรอก มันอยู่ที่ปัจจุบัน ที่เรามีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง มันไม่ได้อยู่ที่รวย อยู่ที่จนหรอก อยู่ที่เรามีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง เราทุกคนเป็นคนขี้เกียจขี้คร้าน มันต้องพากันภาวนา พากันปฏิบัติ เราจะเอาความรู้สึกเราไม่ได้ เพราะความรู้สึกของพระอรหันต์ก็อย่างหนึ่ง ความรู้สึกพระอนาคามีก็อย่างหนึ่ง ความรู้สึกพระสกิทาคามีก็อย่างหนึ่ง ความรู้สึกพระโสดาบันก็อย่างหนึ่ง ความรู้สึกปุถุชนก็อย่างหนึ่ง เราต้องปรับตัวเองเข้าหาการเสียสละซึ่งตัวซึ่งตน เอาธรรมะเป็นหลัก เอาธรรมะเป็นใหญ่ เราอย่าไปสนใจความรู้สึกของใจ ความเหน็ด ความเหนื่อย ความชอบ ความไม่ชอบ ต้องเป็นผู้เสียสละ เพื่อละความยึดมั่นถือมั่น วางธาตุ วางขันธ์ เสียสละ เพราะทุกอย่างนั้น มันเป็นอนิจจัง มันเป็นอนัตตา หาใช่ตัว ใช่ตนไม่
เราต้องฝึกใจของเราเพื่อให้มันหยุดจากสิ่งต่างๆ ที่มันเรียกว่า เดรัจฉานกถา คือสิ่งภายนอก เค้าเรียกว่า เดรัจฉานกถา คือ การพูดคุยเรื่องเหลวไหล ไร้สาระ หรือเรื่องใดๆ ที่พาให้จิตใจของผู้พูดและผู้ฟังตกต่ำจากคุณความดี ทำให้จิตใจห่อเหี่ยวหมดกำลังใจหรือทำให้จิตใจฟุ้งซ่านเลื่อนลอย เช่น พูดชื่นชมความยิ่งใหญ่ของกษัตริย์ พูดเรื่องโจร เรื่องข้าราชการ เรื่องการเมือง เรื่องกองทัพ เรื่องยุทธวิธีการรบ เรื่องญาติ เรื่องยานพาหนะต่าง ๆเรื่องบ้าน เรื่องนิคมหรือชุมชน เรื่องความเป็นไปในเมืองใหญ่และชนบทเรื่องสตรี เรื่องแฟชั่น เรื่องบุรุษ เรื่องเพลง เรื่องหนังละคร เรื่องดารา เรื่องเบ็ดเตล็ดทั่วๆ ไป เป็นต้น จึงต้องพากันหยุด ให้มาอยู่กับสติ ให้มาอยู่กับสัมปชัญญะล้วนๆ เพราะทุกอย่างนั้นมันเป็นสิ่งที่สงบ ที่เย็นอยู่แล้ว ที่มันวุ่นวายเพราะอวิชชา เพราะความหลง
เราต้องปฏิบัติเป็นขาขึ้น ขาขึ้นคือทำอะไรให้ไปก่อนเวลา อย่าไปเสมอเวลา ต้องไปก่อน เรียกว่าปฏิบัติขาขึ้น ปฏิบัติขาลงนี้ไปไม่ทันเวลา ต้องกระตือรือร้น ทุกท่านทุกคนต้องพากันสู้กับตัวเอง ไม่ต้องไปสู้กับคนอื่น การรักษาศีล การทำข้อวัตรข้อปฏิบัตินี้ก็คือเราทุกคน มาหยุดตัวเอง เพื่อมาเอาธรรมเป็นหลัก เอาธรรมเป็นใหญ่ เอาธรรมเป็นที่ตั้ง ประชาชนคนทั้งหลายนั้น เค้าไม่รู้จักศาสนานะ นึกว่าโบสถ์ นึกว่าวิหาร นึกว่าเจดีย์ หรือว่าโกนหัวห่มผ้าเหลืองเป็นศาสนา อันนี้มันเป็นรูปแบบศาสนาเฉยๆ ศาสนานั้นคือ ความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง คือธรรมะ คือพระวินัย เรียกว่าศาสนา เราจะเอาพระในเมืองไทย หรือว่าจะเอาพระต่างประเทศเป็นหลักไม่ได้ ต้องเอาพระพุทธเจ้าอย่างเดียว เอาธรรมวินัยอย่างเดียว ไม่ต้องไปสนใจอะไรหรอก เพราะอันนั้นไม่ใช่ของแท้ ของต่างๆ มันเป็นของแบรนด์เนมเฉยๆ
ทุกท่านทุกคนต้องอาศัยการประพฤติ การปฏิบัติของตัวเอง ไม่ต้องอาศัยพ่อ อาศัยแม่ อาศัยครูบาอาจารย์ไม่ต้องอาศัยใคร ต้องอาศัยการประพฤติการปฏิบัติของตัวเอง คือการคิดดีๆ พูดดีๆ ทำอะไรดีๆ ทุกอย่างต้องมาประพฤติปฏิบัติเอง ทำเหมือนพระในปัจจุบันนี้ไม่ได้ ไม่ถูกต้อง มาบวชมาปฏิบัติก็มาอาศัยข้าว อาศัยอาหาร อาศัยที่อยู่ที่นอน อาศัยอะไรประชาชน เต็ม 100% อย่างนี้ก็ไม่ถูก พระพุทธเจ้าท่านถึงให้ยินดีในการอยู่ตามโคนไม้ ตามเรือนว่าง ต้องอาศัยธรรมะ อาศัยพระวินัย อาศัยคิดดีๆ พูดดีๆ ทำดีๆ ประชาชนเค้าเลื่อมใสไปบิณฑบาตก็เอาแต่พอฉัน ฉันเสร็จแล้วก็ไม่ต้องไปเก็บอะไรไว้ ไม่ต้องไปเก็บสังฆทานไว้ ไม่ต้องไปเก็บเงิน เก็บสตางค์ ต้องเป็นผู้เสียสละ เป็นผู้ที่ละธาตุ ละขันธ์ ละตัว ละตน ต้องอาศัยการคิดดีๆ พูดดีๆ ทำดีๆ ตนแลเป็นที่พึ่งของตน ทำอย่างนี้ถึงจะถูกต้อง
ถ้าไม่อย่างนั้น ไปอาศัยแต่ประชาชน เมื่อปฏิปทาเราไม่ดี ประชาชนเค้าก็ไม่เลื่อมใสและ ถึงพากันไป หาวิธีการเพื่อระดมทุนสร้างวัตถุมงคลเพื่อจำหน่าย เพื่อจะได้มาซึ่งเงินตรา วัสดุข้าวของ อันนั้นไม่ถูก มันไม่ใช่นโยบายของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้ให้บวชมาเพื่อมาเอาโบสถ์ มาเอาวิหาร มาเอาเจดีย์ มาเอาเงินเอาสตางค์ เอาอะไรอย่างนี้ อันนั้นไม่ใช่พระศาสนานะ อันนั้นเป็นความโง่ของผู้ที่ไม่รู้จักพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าผู้ประเสรฐ ถ้ารู้จักก็ไม่พากันทำอย่างนั้นหรอก เพราะทุกคนต้องพึ่งความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง ถ้าเราทำไม่ถูกพวกที่มาที่หลัง เค้าก็นึกว่า พากันทำอย่างนั้นๆ เป็นศาสนนา ทั้งวิธีพุทธ ทั้งวิธีพราหมณ์ ทั้งวิธีผี เต็มไปหมด ชุลมุนไปหมด พระพุทธเจ้าเห็นเราท่านสลดสังเวชนะ
ถ้าเราปฏิบัติดีปฏิบัติชอบตามพระธรรมคำสั่งสอนขอพระพุทธเจ้าแล้ว ความขลังความศักดิ์สิทธิ์ก็จะเกิดมีขึ้นมาเอง มันเป็นผลพลอยได้ สำหรับพระภิกษุสามเณรเราเข้ามาในสายตรงแล้วไม่น่าจะไปยุ่งเกี่ยวในสิ่งเหล่านี้ ถ้าเรามายุ่งเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ แสดงว่าเราไม่เอามรรคผลนิพพานแล้ว เราจะเอาทางข้าวของเงินทอง ที่ทำตัวเป็นผู้ขลังศักดิ์สิทธิ์บางทีมันไม่ขลังจริงหลอกลวงชาวบ้าน พูดไปหลับตาเคร่งๆ ขรึมๆ ไป เคี้ยวหมากไป ทำเป็นกำหนดวาระจิตทำให้เขาเลื่อมใส ทำอย่างนี้พระเณรที่มาบวชภายหลังจะเข้าใจว่าสิ่งเหล่านี้เป็นพระพุทธศาสนา ญาติโยมที่ยังไม่เข้าถึงพระรัตนตรัย เห็นพระขลังๆ เคร่งๆ ขรึมๆ ก็หมอบคลานเข้ามาเป็นแถวๆ การที่เราปั้นรูปพระ ทำรูปเหรียญครูบาอาจารย์ รูปพระสมเด็จพระพุทธเจ้านี้เป็นสิ่งที่ถูกต้องไม่ผิด เพื่อจะแจกให้ญาติโยมได้ไว้ไปบูชาหรือติดตัวเพื่อระลึกถึงพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ เพื่อจะได้สร้างคุณงามความดี ถ้าเราเอาไปจำหน่ายเอาไปขาย ตั้งราคาองค์นั้นราคาเท่านี้องค์นี้ราคาเท่านั้นชื่อว่ามันผิดทางแล้ว มันเป็นการค้าขายเป็นพาณิชย์ไป มันไม่ใช่ความเสียสละจริง ไม่ใช่เมตตาจริง ไม่ใช่พระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว.
พระพุทธเจ้าตรัสว่า "พระจันทร์และพระอาทิตย์ไม่ได้ร้อนแรงและรุ่งเรืองด้วยรัศมีเพราะโทษมลทิน ๔ ประการ คือ หมอก ควัน ธุลี และอสุรินทราหู กำบังฉันใด ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ จะไม่มีตบะรุ่งเรืองด้วยศีล เพราะโทษมลทิน ๔ ประการปิดบังไว้ คือ ดื่มสุราเมรัย เสพเมถุนธรรม ยินดีรับเงินและทองอันเป็นเหมือนภิกษุนั้นยินดีบริโภคซึ่งกามคุณ และภิกษุเลี้ยงชีพในทางมิชอบด้วย เวชชกรรม กุลทูสกะ (ประจบเอาใจคฤหัสถ์ด้วยอาการอันผิดวินัย) อเนสนา (การหาลี้ยงชีพในทางที่ไม่สมควรภิกษุ) และวิญญัติ (ขอสิ่งของต่อคฤหัสถ์ผู้ที่ไม่ญาติ ผู้ไม่ใช่คนปวารณา) พร้อมด้วยกล่าวอวดอุตตริมนุษย์ธรรม อันไม่มีจริง"
เราต้องรับฟังความจริงจากพระพุทธเจ้า ที่พระพุทธเจ้าสอนน่ะ เพราะเราจะได้ถือนิสัยถือพระวินัยของพระพุทธเจ้า ประชาชนต้องพากันรู้ไว้ อย่าให้พระหลอกลวงพูดแต่เรื่องสวรรค์ อานิสงส์ของสวรรค์ เพื่อให้โยมถวายเงินถวายของ สร้างโบสถ์ สร้างวิหาร สร้างเจดีย์ สร้างพระใหญ่อะไรอย่างนี้ อย่าไปหลงในพระพวกหมอดูหมอทำนาย พวกไสยศาสตร์ต่างๆ พวกของขลังพวกศักดิ์สิทธิ์ มันขลังจริงอยู่ศักดิ์สิทธิ์จริงอยู่ แต่ไม่ใช้เรื่องดับทุกข์ ไม่ใช่ทางนิพพาน ไม่ใช่คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า มันเป็นสายของพระเทวทัต พระพุทธเจ้าถึงไม่ยกพระมหาโมคคัลลานะขึ้นเป็นสาวกฝ่ายขวา เพราะมีฤทธิ์มีอภินิหารเยอะ
เราต้องพึ่งการเสียสละ พึ่งการรักษาศีล ตั้งอยู่ในสัมมาสมาธิ ต้องพากันเสียสละ เราทำไปปฏิบัติไป เดี๋ยวมันก็ดี มันก็จะฉลาดขึ้น เป็นไปไม่ได้ถ้าเราคิดดีๆ พูดดีๆ ทำดีๆ เสียสละดีๆ มันจะไม่บรรลุมรรค ไม่บรรลุผล เป็นพระอริยเจ้า หรือเป็นพระอรหันต์ หรือเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เพราะสิ่งนี้มี สิ่งต่อไปถึงมี ถ้าสิ่งนี้ไม่มี สิ่งที่จะเกิดมันก็ไม่มี เพราะธรรมทั้งหลายทั้งปวง มันเกิดจากเหตุ เราก็ทำอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้ เราตื่นขึ้นมาตี 1 ตี 2 ตี 3 ก็ต้องสู้กับมัน เราไม่ได้สู้กับใคร สู้กับอวิชชา สู้กับความหลง ของเรานี้แหละ เพราะการฝึกตนนี้เป็นสิ่งที่สำคัญ การฝึกใจนั้น มันก็ต้องอาศัยฝึกกายนี้แหละ ฝึกวาจา ฝึกกิริยา ฝึกมารยาท จะไม่มีการฝึกการประพฤติ การปฏิบัติมันไม่ได้ เพราะเราจะมีแต่ปัญญา มีแต่ความรู้ ไม่มีการปฏิบัติมันไม่ได้
ปัจจุบันนี้ถึงเป็นการประพฤติการปฏิบัติของเรา พระพุทธเจ้าถึงสอนว่าเราเห็นรูป ฟังเสียง ผัสสะทุกอย่าง เราไม่ได้ภาวนาสู่วิปัสสนา เราต้องอาบัติทุกกฏนะ อย่างน้อยถ้าเราปล่อยใจเราอาบัติถุลลัจจัยนะ ถ้าปล่อยกายนะสังฆทิเสสนะ ถึงอาบัติปาราชิกนะ ปัจจุบันเป็นการประพฤติ การปฏิบัติ ถ้าเราไม่ประพฤติปฏิบัติในปัจจุบัน มันเสียหาย วิบัติ ให้รู้การงานรู้หน้าที่รู้การปฏิบัติของเรา
ปัจจุบันเราต้องฉลาด ปัจจุบันเราต้องมีปัญญา ครูบาอาจารย์ที่เป็นพระอริยเจ้าท่านถึงชมกันว่า ท่านหลวงปู่มั่นเป็นผู้ที่มีปัญญามาก หลวงพ่อชา หลวงตามหาบัว เจ้าคุณพุทธทาส มีปัญญามาก ปัญญานี้ถึงสำคัญกว่าทุกอย่าง ปัญญามันอยู่ที่ไหน มันอยู่ที่ปัจจุบัน ปัจจุบันเราต้องรีบประพฤติ รีบปฏิบัติ ถ้าเราไม่เสียสละเราก็เครียด เพราะปัญญาปัจจุบันเราไม่ดี
พระใหม่พระเก่า พวกมาอยู่ที่วัด ต้องพากันปฏิบัติเต็มที อย่าพากันเสพกาม พวกโยมผู้ถือศีลทั้งหลาย พากันแต่เล่นโทรศัพท์ พวกเล่นโทรศัพท์ เล่นไลน์โทรศัพท์ ถ้าเป็นพวกผู้หญิงเล่นโทรศัพท์ หาเพื่อนหาฝูงหาอะไรต่างๆ เท่ากับมีผัวนะ เท่ากับมีสามีนะ นั้นแหละคือกาม มีเซ็กทางความคิด มีเซ็กกับความหลงนะ ถ้าผู้ชายเท่ากับมีลูกมีเมียพวกเล่นโทรศัพท์ ไปรู้แต่เรื่องคนอื่นพวกนี้ต้องระมัดระวัง เพราะโทรศัพท์เราเอาไว้ใช้ทำประโยชน์ คอมพิวเตอร์เราเอาไว้ใช้ทำประโยชน์ เพื่อรู้ในสิ่งที่ควรรู้ในสิ่งที่จำเป็น เสียหายมากนะ เรื่องอื่นรู้หมด แต่เรื่องของตัวเองไม่รู้ พวกเดรัจฉานกถา พวกอยู่ในกรุ๊ปเดรัจฉานกถา หลวงพ่อใหญ่พูดก็รู้อยู่ แต่ว่าจะให้หยุดนี้ ตับมันจะแตกตายนะ สมองมันจะระเบิดนะ ระเบิดก็ให้ระเบิดสิ ต้องประพฤติปฏิบัติ ทำติดต่อ ปฏิบัติติดต่อกัน ให้มันได้ซักหลายอาทิตย์ โอ๋...คนเรากว่าจะหยุดของแซ่บ ของรำ ของอร่อย มันไม่ใช่ของง่ายนะ เพราะว่ามันไม่ใช่นักปรัชญานะ ไม่ใช่ผู้มีปัญญานะ มันต้องผู้ประพฤติผู้ปฏิบัติในปัจจุบันธรรมนะ
หลายคนน่ะน่ารังเกียจมาถามเรื่องจิต เรื่องใจ เรื่องมรรค เรื่องผล แต่เดินไปไหนเกือบล้ม ถือแต่โทรศัพท์ ไลน์แต่โทรศัพท์ โอ้...มันจะไปถามหามรรคหาผลอะไร มันยังไม่รู้จักอบายมุข อบายภูมิเลย มันไม่รู้จักว่ากายวิเวกเลย มันยังยินดีในโทรศัพท์มือถือ ยินดีในรู้เรื่องคนอื่นอยู่ มันต้องเข้าใจนะ มีโทรศัพท์มีได้สำหรับญาติโยมประชาชน แต่มันต้องรู้จักว่าโทรศัพท์นี้เอาไว้ทำประโยชน์ เอาไว้ทำธุรกิจหน้าที่การงาน ทุกท่านทุกคนต้องวางแผนจัดการตนเองนะ ถ้าเราไม่จัดการตนเอง ไม่มีใครมาจัดการให้หรอก ประชาชนจะไปบอกลูกบอกหลานตัวเองได้อย่างไง ตัวเองก็ยังไม่จัดการเรื่องของตนเอง พระสงฆ์องคเจ้ามันจะไปบอกไปสอนประชาชนได้อย่างไร เพราะตนเองก็ไม่จัดการตนเอง ไม่ประพฤติไม่ปฏิบัติ ไม่แก้ไข ต้องพากันรู้นะ ถ้าเราไม่ฉลาด เราก็ไม่ได้จัดการตัวเอง ก็ปล่อยให้เวลามันผ่านไป โดยที่ปัญญามันช้าเกิน เดี๋ยวก็มาเสียใจภายหลัง
พระพุทธเจ้าท่านให้เราเอา 'ธรรมวินัย' ไว้... พวกเราทุกคนพ่อแม่ก็รัก ครูบาอาจารย์ก็รัก ทุกคนก็รัก หวังให้ท่านเป็น 'พระสุปฏิปันโน' เป็นผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ให้ทุกคน ทุกท่านระลึกไว้ให้ดีๆ พยายามให้ 'ศีล' แก่ตนเองพยายามให้ 'สมาธิ' แก่ตนเอง พยายามให้ 'ปัญญา' แก่ตนเอง
ที่พึ่งอื่นของเราไม่มี นอกจากพระพุทธเจ้า นอกจากพระธรรมวินัย นอกจากพระอริยสงฆ์ พยายามให้กำลังใจตัวเองว่า พระพุทธเจ้า ครูบาอาจารย์ไม่ได้กดดันเรา ท่านกำลังเมตตาเรา ให้ขุมทรัพย์เรา ให้อริยทรัพย์แก่เรา "พระภายนอก พระทองเหลือง พระทองคำ มันสร้างง่ายกว่า "พระในจิตในใจ' ที่เราปฏิบัติกันอยู่"
พวกท่านทุกคนอย่ามักง่าย ดูท่านพระอาจารย์ชา ดูหลวงตามหาบัว ดูหลวงปู่มั่น ท่านก็เป็นคนบ้านนอกบ้านนา เรียนก็จบแค่ ป.๔ แต่ท่านได้เป็นพระอริยเจ้า "พวกท่านนี้เรียนมากกว่า เป็นดอกเตอร์ เป็นเถ้าแก่กันตั้งเยอะแยะเลย"
เราอย่าไปเชื่อตัวเองนะ ในสิ่งที่มันไม่ดี ไม่ถูก อย่าไปเชื่อคนอื่น "ถึงคราวแล้ว ถึงโอกาสแล้ว" พระพุทธเจ้าท่านให้เราพึ่งธรรมวินัย ถ้ามันตาย...ก็ให้มันตาย เพราะเราได้ปฏิบัติเพื่อรักษาศีล รักษาพระธรรมวินัย เป็นผู้จรรโลงพระพุทธศาสนาที่แท้จริง "การทำจิตใจอย่างนี้เขาเรียกว่า พระธุดงค์ เณรธุดงค์ ญาติโยมธุดงค์" "เราอย่าเป็น 'พระทะลุดง' ทะลุดงโน้น ทะลุดงนี้ มันออกไปแต่ข้างนอก ไม่ได้ปฏิบัติเรื่องจิตเรื่องใจ"
สิ่งนี้มี สิ่งโน้นมันจึงมี หมายถึง เรามีตัวมีตนก็เลยมีวัฎฎสงสาร มีมานะทิฏฐิ เป็นอาการของจิตที่มีตัวตน ที่เป็นภพเป็นชาติ มันแสดงความหยาบคาย มันหน้าด้าน ไม่มียางอาย ครูบาอาจารย์ห้ามก็ไม่อยู่
พระพุทธเจ้าห้ามก็ไม่อยู่ เราจะไปปฏิบัติอย่างนั้นไม่ได้... หวังว่าทุกท่านทุกคนจะรับเอาพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า เกี่ยวกับเรื่องเพศตรงกันข้าม เกี่ยวกับการคลุกคลี เกี่ยวกับการใช้โทรศัพท์มือถือ เกี่ยวกับเดรัจฉานวิชา การทำให้จิตใจตนเองเสื่อม ทำให้ศาสนาเสื่อม
เราทุกคนมีโอกาสพิเศษที่สังคมเขาสมมุติให้เราเป็นผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ บ้านก็ไม่ได้เช่า ข้าวก็ไม่ได้ซื้อ ทุกอย่างอำนวยความสะดวก สบายหมด พวกเราและท่านจะมาทำผิดธรรมวินัยของพระพุทธเจ้าไม่ได้ "เราต้องเน้นมาหาใจที่บริสุทธิ์ผุดผ่อง เจตนาที่ไม่มีความผิด ทั้งทางใจ ทางคำพูด ทางการกระทำ"
"เราทำไม่หยุด ปฏิบัติไม่หยุด มรรคผลนิพพานก็เกิดขึ้นกับเราได้โดยไม่ต้องสงสัย" ที่ทำไปสงสัยไป แสดงว่าใจเราไม่แน่วแน่ ถ้าจิตใจเราไม่แน่วแน่ในพระธรรมวินัย 'ยังเป็นผู้ไม่สุจริต' ก็จะต้องประพฤติปฏิบัติ เพื่อให้กราบไหว้ตัวเองได้ ไม่ใช่ให้คนอื่นมากราบไหว้ 'พวกนั้นมันบาป'
เพราะพระพุทธเจ้าท่านไม่ได้ให้แข่งเรื่องมีลาภมาก มีบารมีมาก ท่านให้เน้นที่จิตที่ใจเพื่อดับกิเลส ดับตัวตน...