แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ในวันอังคารที่ ๑๗ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๖๖
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง ชีวิตใหม่ที่เลือกได้ ตอนที่ ๒๑ ปลงภาระคือตัวตน วางธาตุ วางขันธ์ ดีท็อกซ์มันออกไป เราต้องตายจากความโลภ ความโกรธ ความหลง
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
สาเหตุที่ผู้ปฏิบัติธรรมปฏิบัติไม่ได้ สาเหตุที่ 1 คือผู้ปฏิบัติไม่เข้าใจ สาเหตุที่ 2 คือไม่ยอมเสียสละ คิดว่าการปฏิบัติธรรมจะมาเอา เพราะนิสัยเรามีความเห็นผิดเข้าใจผิดคิดว่าจะเอา ทำทุกอย่างเพื่อจะเอาเพื่อจะมีเพื่อจะเป็น แล้วมันก็จะมีสิ่งที่ตรงกันข้าม ถ้าปฏิบัติเพื่อจะเอามันผิด เราต้องฉลาดกว่านั้นมีปัญญากว่านั้น เราไม่ต้องเอา เราต้องมีความเห็นถูกต้องมีความเข้าใจถูกต้อง เราจะได้มีแต่คุณไม่มีโทษ พระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่ เป็นสิ่งที่เราจะไม่ประพฤติไม่ปฏิบัติไม่ได้ นี่คือการหยุด หยุดไม่ให้ทำบาปทั้งปวง หยุดไม่ให้คิด ไม่ให้พูด ไม่ให้ทำ
เราทำอย่างนี้ก็ยังไม่พอ เราต้องพิจารณาพระไตรลักษณ์ เพราะเรายังไม่เห็นสภาวะตามความเป็นจริง พระพุทธเจ้าจึงให้เราแยกธาตุแยกขันธ์ พิจารณาส่วนประกอบ มองเห็นชัดเจนตามความเป็นจริงนี่คือสภาวะธรรม ให้หยุดพวกเดรัจฉานกถา ให้ละสิ่งภายนอก ให้ใจอยู่กับเนื้อกับตัวอยู่กับปัจจุบัน เพราะเราทุกคนก็ย่อมเพลิดเพลินกับสิ่งภายนอก ส่วนใหญ่ 100% บางคนก็อยู่ 100% บางคนก็อยู่ 90% เราต้องอยู่กับปัจจุบันที่เรียกว่าอริยมรรคมีองค์ 8 การคิดดีๆ พูดดีๆ ขยันรับผิดชอบดีๆ อดทนให้ดี พัฒนาใจของเราให้เห็นอนิจจัง เห็นอนัตตา เราพัฒนาตัวเองดีๆ ในปัจจุบัน แล้วทุกคนก็จะฉลาดขึ้น เพราะว่ามันมีการประพฤติปฏิบัติ ชีวิตของเรามันจะเปลี่ยนไปโดยที่เราไม่รู้ตัว เพราะปัจจุบันมันฉลาด แต่ฉลาดยังไม่พอต้องปฏิบัติ แล้วมันจะเลื่อนไปเรื่อย เพราะสิ่งนี้มีสิ่งนั้นมันถึงมี เพราะเราพิจารณาสู่พระไตรลักษณ์ว่าเป็นสภาวะธรรมไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน มันก็จะไม่มี พลังงานต่างๆ มันจะค่อยๆ อ่อนกำลังลง เรียกว่าอริยมรรค มนุษย์เราถึงเป็นผู้ที่ประเสริฐ เข้าถึงความดับทุกข์ได้
สิ่งที่ทำให้เสียหาย คือเราไม่รู้จักทุกข์ เราจะเอาแต่วิทยาศาสตร์ เอาแต่วัตถุ เอาแต่บริโภคในกาม ทำให้เราเสียหาย พวกโทรศัพท์มือถือ คอมพิวเตอร์หรืออะไรต่างๆ มันทำให้ทุกคนเสียหาย พระบางคนบวชตั้งแต่น้อย ไม่รู้เรื่องเพศตรงกันข้ามมันก็สงสัย สงสัยก็ไปดูทางโทรศัพท์ไปดูทางคอมพิวเตอร์ มันก็ไปใหญ่ ความไม่ละอายต่อบาปความไม่เกรงกลัวต่อบาป มันจะลามปามไปเรื่อย มันซิกแซกเก่ง มันเป็นเรื่องที่เสียหาย มันทำให้จิตใจของเราตกต่ำพวกโทรศัพท์มือถือ พวกคอมพิวเตอร์ เห็นไหมคนอยู่ประเทศโน้นประเทศนี้ เราอยากรู้ว่าเขาสวยหรือเขาหล่อเราก็ไลน์หาเขาแชทหาเขา มันก็มีปัญหา แม้แต่พระก็ยังไม่คลำดูหัวตัวเอง ไม่จับดูจีวรตัวเอง เพราะใจมันไม่ได้เป็นพระธรรมไม่ได้เป็นพระวินัย ไปบิณฑบาตอยู่ที่ไหนหรือไปทำงานอยู่ที่ไหน มันก็อยากไลน์อยากอะไร แบบนี้มันไม่ดีมันเสียหาย บางคนบวชมาตั้งแต่น้อย ยังไม่เคยเห็นหน้าอกผู้หญิง ก็อยากดูในโทรศัพท์ ดูในโทรศัพท์ไม่พอ รักใครชอบใครก็หาวิธีซิกแซกพูดคุยเพื่อดูของเขา พวกนี้มันเสียหายมาก บางคนเขาขอดูซื่อๆ ก็เปิดฉายให้เขาดู นึกว่าจะเอามาพิจารณาเป็นพระกรรมฐานเป็นพระไตรลักษณ์ อันนี้ไม่จริงหรอก อันนี้มันเป็นความโง่ ความหลง ความงมงาย
หลวงพ่อชา หลวงตามหาบัว ท่านเจ้าคุณพุทธทาส ผู้ที่เป็นพระอริยเจ้า ผู้ที่เป็นพระอรหันต์ทั้งหลายท่านถึงบอกว่า พวกโทรทัศน์มันก็คือพระเทวทัตนั่นแหละ พวกมือถือพวกอะไรต่างๆ ก็คือพระเทวทัต เทวทัตก็คือผู้ที่หลงงมงายในรูป เสียง กลิ่น รส ลาภ ยศ สรรเสริญ หลงในวัฏฏะ คือผู้ที่ลูบคลำในศีลในข้อวัตรข้อปฏิบัติ การที่มีโทรศัพท์มือถือ มันก็เท่ากับมีเมียแบบไม่เป็นทางการ ทุกท่านทุกคนย่อมพากันรู้ด้วยตัวเอง เราอย่าถือว่าการมีเซ็กส์ทางความคิดมีเซ็กส์ทางอารมณ์เป็นเรื่องธรรมดา มันคือความหายนะ เราอย่าไปคิดว่าองค์นั้นองค์นี้น่าจะเป็นพระอริยเจ้า ท่านก็ใช้ได้ เราดูตัวอย่างพระโมคคัลลานะหรือพระสารีบุตรที่เป็นพระอรหันต์ทั้งหลาย ท่านไม่ทำหรอก ครูบาอาจารย์ที่เป็นพระอริยเจ้า เห็นหน้ากันท่านกลัวว่าวัดของอาจารย์อื่น ย่อหย่อน ข้อวัตรหละหลวม ตั้งอยู่ในความเพลิดเพลินความประมาท เห็นหน้ากัน ถามว่าวัดท่านเป็นไง พระเณรใช้โทรศัพท์กันไหม ใช้คอมพิวเตอร์กันไหม ท่านจะรู้เลยว่า ถ้าพากันใช้อยู่ คำว่าศาสนามันไม่มีแล้ว มีแต่ตามใจตัวเอง ตามอารมณ์ ตามความรู้สึก
รถยนต์มันวิ่งเร็ว วิ่งก็ไปง่าย มันต้องระมัดระวังอุบัติเหตุ พวกโทรศัพท์มือถือมันก็อุบัติเหตุ เพราะว่าใจของปุถุชน มันหลงในกาม ชอบในกาม พระผู้ที่จะมาบวชก็ต้องปฏิบัติให้ได้ พวกที่บวชอยู่ก็ต้องปฏิบัติให้ได้ ที่ผ่านมาปฏิบัติไม่ได้ ก็ต้องตั้งใจใหม่ แต่พวกที่เคยทำเคยย่อหย่อนอ่อนแอ นี่ก็ยากที่จะประพฤติปฏิบัติได้ เขาถึงไปรวมกันปฏิบัติตามครูบาอาจารย์ที่เคร่งครัดไปถือนิสัยให้ท่านบังคับ เขาเรียกว่า ปฏิบัติในที่ที่มีครูมีอาจารย์
ครูบาอาจารย์ทุกวันก็หายาก เพราะว่าพากันย่อหย่อนอ่อนแอ ขนาดอยู่ให้วัดครูบาอาจารย์ห้ามไม่ให้มีโทรศัพท์ก็ยังลักมีกัน แอบมีกัน นี่ครูบาอาจารย์ไม่ห้ามมันจะขนาดไหน พระกรรมฐานสายต่างๆ ที่ไปไม่ได้ ก็อยู่ที่โทรศัพท์มือถือพวกคอมพิวเตอร์นี่แหละ องค์หลวงปู่ชา, หลวงตามหาบัว, ท่านเจ้าคุณพุทธทาส ท่านถึงเห็นความสำคัญเพราะอันนี้เป็นเรื่องของพรหมจรรย์ เมื่อพระไม่ได้เป็นพระ เป็นแต่เพียงภิกษุอย่างนี้ พระศาสนาในประเทศเราก็ไปไม่ได้ ไปไม่รอด เมื่อผู้ปฏิบัติปฏิบัติไม่ได้แล้ว ก็ไปบอกผู้อื่น มันก็เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้
ยิ่งเป็นเพราะวัดบ้านบางองค์ก็มีโทรศัพท์สองอันสามอัน แถมยังโทรทัศน์อีก คอมพิวเตอร์อีก มันอันตราย ถ้าเรายังมีโทรศัพท์มือถือมีอินเตอร์เน็ต เฟซบุ๊ค อย่างนี้มันจะเอาความวิเวกมาจากไหน เพราะความวุ่นวายมันอยู่ที่เรารับเอาสิ่งที่ในโทรศัพท์ในอินเตอร์เน็ตมาใส่ใจของเรา มาทำร้ายมรรคผลนิพพานของเราเอง เราก็ไม่ได้เจริญอานาปานสติ ไม่ได้เขาฌานที่๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ มันฟุ้งซ่านมันขนาดนี้เพราะศีลเราไม่ดี เรายังไม่รู้จักว่าศีลเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในโลก เรายังมีความรู้สึกว่า มันยังเป็นเรื่องเฉยๆ
พระธรรมวินัยของพระพุทธเจ้าเป็นเรื่องจิตเรื่องใจ เป็นเรื่องของมรรคผลนิพพาน ไม่ใช่เรื่องกฎหมายบ้านเมือง ถ้าเป็นเรื่องกฎหมายบ้านเมือง มันมีการแต่งสำนวนแต่งอะไรได้ แต่ธรรมวินัยถ้าต้องอาบัติแล้วคือต้องแล้ว ถ้าเป็นอาบัติใหญ่เยียวยาไม่ได้ ต้องขาดจากความเป็นพระ ถ้าเป็นอาบัติใหญ่รองลงมาก็เข้ากรรม ต้องมาสมาทานต่อหน้าภิกษุสงฆ์เพื่อที่จะไม่ทำอีก เราจะไม่ให้ใครรู้ไม่ให้ใครเห็น ก็ไม่พ้นอาบัติ ทุกคนต้องพึงสำรวม พึงระวัง เพราะเพื่อประโยชน์แก่พระศาสนา เพื่อกตัญญูกตเวทีต่อพระพุทธเจ้า เพื่อทรงไว้ซึ่งมรรคผลนิพพาน
พระเณรหรือผู้ที่เป็นคฤหัสถ์ที่จะเอามรรคผลพระนิพพานต้องพากันแก้ตัวเอง ศาสนานี้ไม่ใช่แก้ที่คนอื่นนะมันต้องแก้ที่ตัวเอง เราต้องพัฒนาตัวเองแล้วทำอย่างนี้ไป เราปลงภาระตรงตัวตน เขาเรียกว่าวางธาตุ วางขันธ์ หยุดตัวเอง Stop ตัวเอง ดีท็อกมันออกไป เราต้องตายจากความโลภ ความโกรธ ความหลง ตายจากพวกนี้ไปไม่ต้องเอามาทำพันธุ์หรอก มันเป็นแก๊สเป็นสิ่งปฏิกูลในใจของเรา ถ้าเราไม่ทำอย่างนี้มันไม่ได้ เพราะว่ามันไม่ใช่เป็นศาสนา มันเป็นทิDฐิมานะอัตตาตัวตน ทุกคนต้องรู้อย่างนี้ถึงจะเรียกว่าปฏิบัติถูกต้อง พวกที่ติดที่อะไรนี้ ก็ต้องหยุดต้องดีท็อกออก ไก่มันฟักไข่มันใช้เวลา 3 อาทิตย์ถึงจะออกลูกมาเป็นตัว คนจะหยุดเหล้าหยุดเบียร์ ก็ต้องใช้เวลาหลายอาทิตย์ เพื่อเจตนาหยุด มันต้องเสียสละ ถ้าไม่เสียสละ มันก็ไม่ได้ เพราะว่ามันไปไม่ได้ เพราะว่ามันยินดียินร้าย มันมีพลังงาน มันมีฮอร์โมน มันเป็นความเสียหายของเราทุกคนนะ ไม่ใช่ความเสียหายของคนอื่น ศาสนานั้นดีอยู่แล้ว อมตะอยู่แล้ว ศาสนามันไม่เสื่อมแต่เรามันเสื่อมจากพระศาสนา แล้วคนอื่นก็เสื่อมตาม เพราะเขาเห็นเราอยู่ในแบรนด์เนมอยู่ในพระศาสนา หลายปีมาได้ข่าวว่า มีปัญหามีเรื่องมีราว หยุดนะ ถ้าหยุดมันไม่ตายหรอกมันมีแต่ดีมีแต่ประเสริฐ สิ่งที่มันไม่ดีเราจะมาแบกมาถามไว้ทำไม ถึงแม้จะแสดงอาบัติยังไงมันก็ไม่ตก ไปเข้าปริวาสกรรมมันก็แก้ไขไม่ได้ มันต้องจัดการกับตัวเอง เพราะตำแหน่งนี้คนอื่นแต่งตั้งให้เราไม่ได้ เราต้องประพฤติปฏิบัติเอาเอง ถึงจะเป็นศาสนา เราต้องทำเองปฏิบัติเอง เราจะได้มีความสุขมีความดับทุกข์ ใครจะไม่รู้ไม่เห็นก็ไม่เป็นไร เพราะมันไม่ใช่เรื่องของคนอื่น มันเป็นเรื่องของเรา พวกที่เป็นนักเรียนนักศึกษา มหามกุฎฯ มหาจุฬาฯ บวชตั้งแต่เป็นเณร พวกนี้ต้องพากันประพฤติปฏิบัติ ถ้าเอาแต่การเรียนการศึกษาเพื่อวิชาชีพ สิกขาลาเพศมามันก็ไม่ดี เพราะมันทำไม่ถูก ความรู้ความเข้าใจมันมาจากการผิดศีลผิดธรรม เราเป็นเด็กเราต้องทำข้อวัตรกิจวัตร ให้ความรู้คู่กับการปฏิบัติ เอาใหม่ปฏิบัติใหม่ มัวแต่พากัน LINE โทรศัพท์ เล่นโทรศัพท์ อยู่ดีๆ ก็พากันเป็นตุ๊ดเป็นกะเทยโดยที่ไม่ได้ตั้งใจนะ เราจะพาก็ต้องอาบัติทุกกฎ เป็นอาบัติถุลลัจจัย เป็นอาบัติสังฆาทิเสส เป็นอาบัติปาราชิก เพราะใจมันเป็นปาราชิก มันยินดีในรูปเสียงกลิ่นรสลาภยศสรรเสริญ ใจมันเสพมันสม มันลามปามจนไปเป็นเรื่องสาว มันละเมิดไปจนถึงทางกาย พวกนี้ไม่ได้ มันทำได้ปฏิบัติได้ ถ้าเราปฏิบัติดีทุกคนก็ยอมรับกันหมด
แม้เราจะเป็นคฤหัสถ์ทุกคนก็ยอมรับเราได้ เราจะเป็นบรรพชิตทุกคนก็ยอมรับเราได้ ที่พูดออกมาเสียงดังทั่วประเทศทั่วโลกจะพากันตกอกตกใจ ว่าพูดอย่างนี้ทำอย่างนี้ ทำให้พวกเราเดือดร้อน เราจะหลอกลวงประชาชนได้อย่างไร เราจะหากินได้อย่างไร ความคิดอย่างนี้มันเป็นโจรนะ เป็นมหาโจร มหาโจร ๕ ประเภท คือ
โจรที่รวมพวกกันได้นับร้อยนับพัน ยกพลบุกเข้าปล้นบ้านเผาเมืองฆ่าฟันผู้คน แย่งชิงปล้นเอาทรัพย์สินของเขามาเป็นของตนเอง เทียบได้กับภิกษุลามกรวบรวมบริวารแวดล้อมได้เป็นร้อยเป็นพัน ทำทีจาริกเข้าไปในหมู่บ้าน นิคม เมืองใหญ่ ใช้กลอุบายหลอกลวงให้ชาวบ้านหลงเชื่อเคารพบูชา เพื่อให้ตนได้มาซึ่งลาภสักการ จนร่ำรวยด้วยปัจจัย ๔ ภิกษุลามกอย่างนี้จัดเป็น “มหาโจรประเภทที่ ๑”
ภิกษุลามกบางรูปที่ได้เล่าเรียนพระธรรมวินัยอันล้ำลึก ซึ่งพระตถาคตผู้ทรงตรัสรู้อริยสัจได้ประกาศแล้ว กลับฉ้อฉลอ้างว่ารู้มาด้วยตนเอง คิดขึ้นมาได้เอง ไม่ได้เล่าเรียนมาจากใคร ภิกษุลามกอย่างนี้จัดเป็น “มหาโจรประเภทที่ ๒”
ภิกษุลามกบางรูปที่ปั้นเรื่องเท็จใส่ความเพื่อนพรหมจรรย์ผู้บริสุทธิ์ให้ได้รับความเสียหาย กล่าวหาโดยปราศจากมูลความจริง ก่อให้เกิดความแตกแยกในหมู่สงฆ์ ภิกษุลามกอย่างนี้จัดเป็น “มหาโจรประเภทที่ ๓”
ภิกษุลามกบางรูปอยากได้ลาภยศสักการจากคฤหัสถ์ เบียดบังเอาครุภัณฑ์ ครุบริขาร เครื่องใช้ไม้สอยของวัด ที่ดินพัสดุของสงฆ์ นำไปยกให้แก่คฤหัสถ์ ประจบประแจงเอาใจ ภิกษุเหล่านี้ถือว่าเป็น “มหาโจรประเภทที่ ๔”
ภิกษุลามกพวกสุดท้ายที่จัดเป็น “มหาโจรชั้นเลิศ” ทั้งในโลกมนุษย์ มารโลก และพรหมโลก คือ ภิกษุที่อวดตนว่ามีวิชาความรู้วิเศษ ทั้งๆ ที่ตนเองรู้อยู่แล้วว่าไม่เป็นความจริง ไม่สามารถทำให้วิเศษขึ้นได้จริงตามที่อวดอ้าง แต่เมื่อให้ได้มาซึ่งความเคารพนับถือกราบไหว้บูชา ได้มาซึ่งลาภสักการ อันเป็นการกระทำด้วยอุบายหลอกลวงเหมือนดังนายพรานผู้วางเหยื่อดักสัตว์ เพื่อจับกินเป็นอาหาร แม้ผู้นั้นห่อหุ้มคลุมกายด้วยผ้ากาสาวพัสตร์ ก็ได้ชื่อว่าบริโภคก้อนข้าวของชาวบ้านในแบบลักขโมยด้วยการเนรคุณ ภิกษุลามกทุศีล “อวดอุตริมนุสสธรรม” เช่นนี้ถือว่าเป็น “ภิกษุอภิมหาโจรชั้นเลิศ” ประเภทที่ ๕
ภิกษุทุศีล พระพุทธองค์เรียกว่า “พระเน่าใน” ข้างนอกดูดี เพราะจีวรแพรป่านอย่างดีหุ้มห่อไว้ แต่ข้างในเหม็นร้ายกาจ แม้จะอบสมุนไพรทำให้ผิวผุดผ่อง ทำนองให้คนรู้ว่าผุดผ่องเพราะแสงแห่งคุณธรรม แต่ก็ผ่องไปไม่นาน ใบหน้าหมองคล้ำขึ้นทุกวัน กลิ่นตุๆ โชยเตะจมูกแรงขึ้นทุกที ภิกษุทุศีล บางครั้งพระพุทธองค์ตรัสว่า “พระหมกดาบในจีวร” อันหมายถึงซ่อนดาบไว้ในจีวร ใครเผลอเป็นเชือดดับดิ้น โดยเฉพาะดาบที่คอยเชือดเอาเงินทองของคนงมงายไปทีละนิดๆ กว่าจะรู้ตัวว่าโดนเชือดก็ไม่มีเลือดเหลือแล้ว
ภิกษุทุศีล พระพุทธเจ้าตรัสเรียกว่ามหาโจรและยอดมหาโจร ที่มีพิษภัยร้ายกาจคือ มหาโจรประเภทที่ห้าคือพระโกหกมดเท็จ อวดอ้างว่าตนบรรลุคุณธรรมชั้นสูง สูงขนาดขึ้นไปจับมือถือแขนพระพุทธเจ้าบนพระนิพพานได้ พระพุทธองค์ได้ตรัสตำหนิว่าพวกเธอประพฤติตนเยี่ยงมหาโจร หลอกต้มชาวบ้านกินไปวันๆ จึงทรงบัญญัติปาราชิกข้อที่ 4 ห้ามภิกษุอวดอุตริมนุสธรรม ดังกล่าวไว้ข้างต้น
ทำไมทรงเรียกพระโกหกหลอกลวงว่ายอดมหาโจร เพราะมหาโจรธรรมดาเวลาเข้าปล้น ใครเห็นก็รู้ทันทีว่าเป็นโจร บางครั้งกลัวเขาไม่รู้ โจรยังร้องบอกว่า “เป็นโจร”
แต่มหาโจรในคราบผ้ากาสาวพัสตร์ ดูยังไงก็ดูไม่ออก กว่าจะรู้ว่าเป็นมหาโจร ก็ถูกปล้นจนหมดตัวแล้ว เหตุนี้แลพระพุทธองค์จึงตรัสว่าเป็น “ยอดมหาโจร” เขามิได้ปล้นเฉพาะประชาชน หากปล้นพระธรรมคำสอน ปล้นพระพุทธศาสนาของพระพุทธองค์ด้วย ปล้นเอาวัดเอาวามาตั้งบริษัท นำพระธรรมคำสอนมาเป็นสินค้าขาย จนร่ำรวยมหาศาล
เมื่อก่อนนี้ พ่อแม่ครูบาอาจารย์พร่ำสอนกันมาว่า “พระงามที่จน คน (ชาวบ้าน) งามที่มี” เดี๋ยวนี้ ทำไมมันกลับตาลปัตรปานนั้น
เราทุกคนให้ความเคารพท่านอย่าให้มันเสียหายมากกว่านี้ ดีแล้วที่มีผู้มาพูดมาบอกมาเตือนไม่ให้ลุ่มหลง งมงายไปมากกว่านี้ การหลงในตัวในตนมันก็เป็นไสยศาสตร์ ไปลงในภายนอกก็จะยิ่งเป็นไสยศาสตร์ไปกันใหญ่ แล้วก็ยังขายไสยศาสตร์อีก อย่าพากันประพฤติตัวให้เป็นขยะ อันไหนที่มันไม่ถูกต้องมันคือขยะ เป็นสิ่งที่เป็นปฏิกูล
ถึงคราวแล้วถึงเวลาแล้วที่ท่านผู้ที่เป็นภิกษุ ภิกษุณี ทั้งประชาชน พากันเข้าใจเราจะได้ประพฤติพรหมจรรย์แท้ๆ ท่านจะห่มผ้าสีกลัก สีแก่นขนุน ที่ตามโรงงานที่เค้าทำมาก็ไม่สำคัญ มันสำคัญอยู่ที่ท่านมีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง มันต้องเป็นศีล เป็นสมาธิ เป็นปัญญาอย่างนี้ อันนี้มันเป็นธรรมชาติเป็นกฎของธรรมชาติ เราจะได้ไม่พากันหลงงมงาย เราจะได้พากันประพฤติพรหมจรรย์ ทั้งบรรพชิต นักบวช ประชาชนผู้อยู่ที่บ้านผู้ครองเรือน โยมก็มีศีล ๕ ศีล ๘ พระก็มีศีล ๒๒๗ ที่มาในพระปาฏิโมกข์ ในพระไตรปิฏก ๒๑,๐๐๐ พระธรรมขันธ์
ส่วนใหญ่มันยินดีในกาม ถ้าไม่มีกาม พวกนั้นมันเครียด พูดอะไรก็พูดปด ตลกโปกฮา ถ้าไม่ได้พูดตลกโปกฮา ไม่มีกาม มันเครียด เพราะว่าอานาปานสติท่านไม่มี มันก็เลยต้องพูดอะไรอย่างนั้น อย่างพวกผู้ชายคุยกันเป็นกลุ่ม แป๊ปเดียวก็พูดเรื่องผู้หญิง แล้วก็ชวนกันกินเหล้าสรวลเสเฮฮา พวกผู้หญิงก็อยู่ในกลุ่มผู้หญิงคุยกันเรื่องผู้ชาย เพราะว่ามันเป็นกาม เพราะว่าไม่รู้จักกามแล้วก็ตามอันนี้ไป มันก็ยิ่งรุนแรงไปเรื่อยๆ
เราต้องพากันปฏิบัติ เราอย่าไปคิดว่า เอ๊... ทำไมปฏิบัติไม่ก้าวหน้า มันจะก้าวหน้าได้อย่างไรเพราะว่ามันผิดน่ะ พระพุทธเจ้าก็ทำให้เราไม่ได้ ครูบาอาจารย์ที่ท่านเป็นพระอรหันต์ท่านก็ทำให้เราไม่ได้ เช่น เราไปหาครูบาอาจารย์ เพียงแต่เราไปเหมือนกับไปเรียนโรงเรียนที่ดีๆ เราก็เอาไปประพฤติปฏิบัติ พวกที่บวชมาแล้วเอามรรคผลพระนิพพานก็ให้ละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาป ท่านได้สร้างบาปสร้างกรรม ท่านก็ทำได้ปฏิบัติได้ ถ้าปฏิบัติไม่ได้ท่านก็ควรสิกขาลาเพศ ไม่ควรบวชอยู่ ท่านเป็นนักปกครองก็ต้องปกครองตนเองให้ดีแล้วก็บอกคนอื่น เพราะว่าท่านได้รับการแต่งตั้งจากพระเจ้าอยู่หัวแล้ว เอาใหม่ ตั้งใจใหม่
หากท่านไปอยู่สำนักปฏิบัติ แอบไปมีโทรศัพท์ แอบไปมีอะไรอย่างนี้ แล้วก็อยู่หลายปีพรรษามันก็แก่ขึ้น ท่านก็เป็นตัวอย่างในสิ่งที่ไม่ดี พวกที่บวชมาใหม่เค้าก็นึกว่าท่านเป็นครูบาอาจารย์ แต่ครูบาอาจารย์นั้นมันก็ไม่ใช่สงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้า เป็นเพียงผู้มาอาศัยอยู่ มันไปไม่ได้หรอก ถ้าไม่เอาพระธรรมพระวินัย ไม่เอามรรคผลพระนิพพาน ให้ทุกท่านทุกคนกลับไปดูใจตัวเองนะ พวกที่แอบลักมีโทรศัพท์ ลักมีคอมพิวเตอร์พวกนี้ พวกนี้นี่แหละคือมารของพระศาสนา ท่านต้องได้รับการแต่งตั้งจากพ่อแม่ครูบาอาจารย์หรือคณะสงฆ์ไว้วางใจ ท่านทุกวัดน่ะ เราอย่าไปคิดว่าบวชมาหลายปีแล้ว อินทรีย์แก่กล้าแล้ว ๑๐ กว่าปีแล้ว ให้มีโทรศัพท์ได้ คิดอย่างนี้มันวิบัติ มันไม่ถูก บวชหลายปีก็ยิ่งต้องเคร่งครัด ทำไมบวชหลายปีจะมีเมียได้ มันไม่ใช่พระญี่ปุ่นบางนิกาย พระลามะบางนิกาย เค้าว่าหลายพรรษา เค้าอนุญาติให้มีโทรศัพท์ได้ ไม่ใช่หลายพรรษานะที่ให้มีโทรศัพท์ได้ มันไม่ใช่ มันไม่ใช่ มันไม่ใช่... บวชหลายปีก็ยิ่งเคร่งครัด เพราะท่านต้องเป็นตัวอย่างแบบอย่าง ถ้าไม่งั้น ท่านก็ไม่สมควรให้พระผู้ที่บวชใหม่กราบ ประชาชนคนผู้ฟังก็ให้พากันเข้าใจนะ ธรรมมะของพระพุทธเจ้าเป็นของบริสุทธ์ เมื่อธรรมมะของพระพุทธเจ้าอยู่ กับปุถุชน มหาปุถุชน มันก็เลยเป็นที่เศร้าหมอง เราทุกคนต้องจงรักพระพุทธศาสนาของตนเอง ให้พากันเข้าใจอย่างนี้ ทุกคนอย่าไปใจอ่อน อย่าไปคิดว่าเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ อย่างนั้นเราไม่ได้กราบพระนะเราได้กราบแต่ภิกษุ เราจะได้กราบโจรในคราบนักบวชนะ
ทุกประเทศก็มีแต่วัฒนธรรมที่ปฏิรูปขึ้นมาใหม่เป็นประเพณีของสามัญชนไป ไม่ได้เป็นประเพณีของพระพุทธเจ้า เลยเป็นสัทธรรมปฏิรูป พระธรรมพระวินัยเป็นสิ่งที่สำคัญ ทางประเทศไทยเรา พยายามยึดเป็นหลักไว้ เอาพระไตรปิฎกเป็นหลักไว้ ถึงได้ตั้งมหาจุฬา มหามกุฏในทางพระพุทธศาสนาขึ้นมา การศึกษา การปฏิบัติ มันต้องไปด้วยกัน เพราะเราเรียนไม่ใช่เรียนเพื่อเอากระดาษเอ ๔ ไม่ได้เรียนเพื่ออย่างอื่น เรียนเพื่อรู้ เรียนเพื่อเข้าใจ ตัวเราก็ปฏิบัติ คนอื่นก็ปฏิบัติ ไปพร้อมๆกัน ศาสนาเป็นสิ่งที่แก้เราทุกๆ คน เพื่อไม่เอาตัวตนเป็นใหญ่ เอาธรรมะเป็นใหญ่ เป็นการประพฤติพรหมจรรย์ เพื่อมุ่งสู่ความดับทุกข์
กามนั้นให้โทษเปรียบเหมือนชิ้นเนื้ออย่างเช่นที่พระพุทธเจ้าทรงเปรียบไว้ คือ นกแร้งหรือนกเหยี่ยวบินคาบชิ้นเนื้ออยู่ ก็จะถูกนกตะกรุมหรือนกตัวอื่นบินมาจิกมาตีเพื่อให้ปล่อยชิ้นเนื้อนั้น บางทีเราคิดว่าอยากได้สิ่งนั้นสิ่งนี้และพอได้สิ่งนั้นมากามตัณหาจะดับ แต่สุดท้ายมันก็ดิ้นรนปรารถนาสิ่งอื่นต่อ เพราะกามทำให้หิวอยู่ตลอดไม่ทำให้ความอยากระงับลงไปได้ นี่คือการถูกกามเคี้ยวกินและแผดเผา… รสอร่อยของกามมีอยู่นิดเดียวเหมือนสุนัขแทะกระดูกจากเจ้าของที่มีความสุขจากการแทะอยู่หน่อยหนึ่ง โทษของกามมันจะไม่มีทางจบมีแต่จะหนักขึ้นเรื่อยๆ แล้วยิ่งคิดว่าจะเสพเพียงเล็กน้อยเพื่อให้กามตรงนั้นดับก็ไม่ต่างอะไรจากลิงที่มีชาติโลเล พระพุทธเจ้าตรัสเปรียบเทียบลิงไว้ ๒ ประเภทคือลิงโง่ และ ลิงฉลาด… ลิงฉลาดถ้าเห็นกับดักของนายพรานจะรีบหลีกหนีไปให้ไกล ผิดกับลิงโง่ที่มีความโลเลที่จะคอยคืบคลานไปใกล้ๆ กับดักนายพรานด้วยความสงสัยหรือสนใจ จนพลาดถูกตังเหนียวของนายพรานในที่สุด… เราอย่าเป็นลิงโง่แต่ให้เป็นลิงฉลาดหลีกออกจากกาม
พระศาสดาตรัสว่า บุคคลอาจอาศัยตัณหาละตัณหาได้ อาจอาศัยมานะละมานะได้ อาจอาศัยอาหารละอาหารได้ แต่เมถุนธรรมนั้น พระผู้มีพระภาคทรงสอนให้ชักสะพานเสีย (เสตุฆาต) คืออย่าทอดสะพานเข้าไปเพราะอาศัยละไม่ได้"
ข้อว่าอาศัยอาหารละอาหารนั้น คือละความพอใจในรสของอาหาร จริงอยู่สัตว์โลกทั้งมวลดำรงชีพอยู่ได้เพราะอาหาร ข้อนี้พระศาสดาก็ตรัสไว้ แต่มนุษย์และสัตว์เป็นอันมากติดข้องอยู่ในรสแห่งอาหาร จนต้องกระเสือกกระสนกระวนกระวาย และต้องทำชั่วเพราะรสแห่งอาหารนั้น ที่ว่าอาศัยอาหารละอาหารนั้นคืออาศัยอาหารละความพอใจในรสแห่งอาหารนั้น บริโภคเพียงเพื่อยังชีวิตให้ชีวิตนี้เป็นไปได้เท่านั้น เหมือนคนเดินทางข้ามทะเลทราย เสบียงอาหารหมด และบังเอิญลูกน้อยตายลงเพราะหิวโหย เขาจำใจต้องกินเนื้อบุตรเพียงเพื่อให้ข้ามทะเลทรายได้เท่านั้น หาติดในรสแห่งเนื้อบุตรไม่
ข้อว่าอาศัยตัณหาละตัณหานั้น คือเมื่อทราบว่า ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ชื่อโน้นได้สำเร็จเป็นโสดาบัน สกทาคามี อนาคามี หรืออรหันต์ ก็มีความทะยานอยากที่จะเป็นบ้าง เพื่อพยายามจนได้เป็นแล้ว ความทะยานอยากอันนั้นก็หายไป อย่างนี้เรียกว่าอาศัยตัณหาละตัณหา
ข้อว่าอาศัยมานะละมานะนั้น คือเมื่อได้ยินได้ฟังภิกษุหรือภิกษุณี หรืออุบาสกอุบาสิกา ชื่อโน้นได้สำเร็จเป็นโสดาบันเป็นต้น ก็มีมานะขึ้นว่าเขาสามารถทำได้ ทำไมเราซึ่งเป็นมนุษย์และมีอวัยวะทุกส่วนเหมือนเขาจะทำไม่ได้บ้าง จึงพยายามทำความเพียร เผากิเลสจนได้บรรลุโสดาปัตติผลบ้าง อรหัตตผลบ้าง อย่างนี้เรียกว่าอาศัยมานะละมานะ เพราะเมื่อบรรลุแล้วมานะนั้นย่อมไม่มีอีก
ส่วนเมถุนธรรมนั้น ใครๆ จะอาศัยละมิได้เลย นอกจากจะพิจารณาเห็นโทษของมันแล้วเลิกละเสีย ห้ามใจมิให้เลื่อนไหลไปยินดีในกามสุขเช่นนั้น พระศาสดาตรัสว่า "กามคุณนั้นเป็นของไม่เที่ยงไม่ยั่งยืน มีสุขน้อยแต่มีทุกข์มาก มีโทษมากมีความคับแค้นเป็นมูล มีทุกข์เป็นผล"
เวลาตัดออกจากกามให้ตัดเยื่อใยนั้นให้ขาดเพราะเยื่อใยนั้นจะทำให้ดึงกลับมาได้ ให้ตัดโดยใช้ปัญญาอันแหลมคมด้วยการโยนิโสมนสิการเรื่องโทษของกาม พิจารณาโทษของมันอยู่เรื่อยๆ และให้จิตมีเครื่องอยู่นั่นคือ สติปัฏฐานทั้ง ๔ ให้เป็นเครื่องอยู่ของใจ เพื่อไม่ให้ไปข้องเกี่ยวกับกาม ดังนั้น จึงต้องฝึกจิตของเราให้ดีก่อนถึงจะเสพกามโดยไม่จมกาม สำหรับฆราวาสผู้ครองเรือนเราจำเป็นต้องมีศีล เพื่อได้รับทุกข์จากกามน้อยลง เมื่อเรารักษาศีล ศีลจะรักษาเราไม่ให้ทุกข์กับโทษของกามในระดับหนึ่ง แต่ถ้ารักษาไม่ได้ก็จะถูกกามเคี้ยวกิน ให้เราดำเนินไปสู่ทางของบิดาคือพระพุทธเจ้า เราจะได้รับทุกข์ของกามน้อยลงจนกระทั่งไม่มีอีกเลย...