แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ในวันจันทร์ที่ ๑๖ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๖๖
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง ชีวิตใหม่ที่เลือกได้ ตอนที่ ๒๐ อย่าเป็นมนุษย์บ่มแก๊ส ที่ตามความคิดตามอารมณ์ ไม่มีธรรมไม่มีวินัย เอาแต่ใจเป็นที่ตั้ง
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
ทุกคนที่เกิดมาคือผู้ที่ประเสริฐเกิดมาเพื่อพระนิพพาน พระนิพพานคือไม่ตามใจตนเองตามอารมณ์ตนเอง ตามความรู้สึกตนเอง ถึงจะเป็นพระนิพพานได้ อริยมรรคมีองค์ 8 ของแต่ละท่าน สมบูรณ์แล้วหรือยัง? กรรมใดใครก่อ กรรมนั้นคืนสนอง กรรมใดใครก่อ กรรมนั้นคนนั้นต้องแก้ไข พระพุทธเจ้าเป็นเพียงผู้บอกผู้สอนเราเป็นผู้ที่โชคดี เป็นผู้ประพฤติปฏิบัติ เราอย่ามาเป็นผู้ที่มีทิฏฐิมานะอัตตาตัวตนมาก ทุกท่านทุกคนต้องมาละพยศ ลดมานะ ละทิฏฐิ อย่าเอาใจตัวเองเป็นใหญ่ อย่าเอาความรู้สึกของตัวเองเป็นใหญ่ ต้องปรับจิตปรับใจเข้าหาธรรมให้เข้าถึงความบริสุทธิ์ หมดจดผุดผ่องแผ้ว ตามพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าเรามาติดในตัวในตน มันก็ไปไม่ได้แล้ว เราจะสร้างยังไง มันก็ไปไม่ได้แล้ว เพราะเรามีตัวมีตน ความสุขความดับทุกข์ของมนุษย์อยู่ที่เราเสียสละซึ่งตัวซึ่งตน ทุกท่านทุกคนต้องกลับมาหาใจของตนเอง สิ่งที่ไม่ดี เราต้องมาสมาทานหยุด
อย่าเป็นมนุษย์บ่มแก๊สนะ มนุษย์บ่มแก๊ส ตามความคิดตามอารมณ์ เขาเรียกว่าบ่มแก๊ส พวกที่แต่งตัวสวยๆ แต่งตัวหล่อๆ จัดฉาก เขาเรียกว่ามนุษย์บ่มแก๊ส เราต้องมีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง มีความสุขในการคิดดีๆ พูดดีๆ รับผิดชอบดีๆ คนเราในปัจจุบันมันไม่เก่ง ไม่ฉลาด คนเราถ้าปัจจุบันไม่ดี แสดงว่าไม่มีปัญญา มันก็ไม่ขาดข้อวัตร กิจวัตร เขาเรียกว่าการบ่มแก๊ส การบ่มแก๊สมันเป็นได้แต่เพียงคน มันต้องไม่เป็นมนุษย์บ่มแก๊ส ถ้าทำตามใจตัวเองมันเหม็น ถ้าแก๊สใครออกหันหน้ามองซ้าย มองขวา ว่ามันมาจากทิศไหน ความชั่วไปปกปิดไว้มันก็ต้องโผล่ คนอื่นไม่รู้ตัวเองก็รู้อยู่ เราคิดไม่ดี มันก็ย่อมรู้เฉพาะตัวเอง หนักๆ เข้ามันค่อยระเบิดออกมาภายนอก เขาเรียกว่าเป็นมนุษย์บ่มแก๊ส เป็นพระบ่มแก๊ส มันดีแต่ภายนอก ภายในไม่รู้มันคิดอะไร มันมีแต่แก๊สอยู่ข้างใน นานๆ เข้ามันก็จะเหม็นทั่วประเทศ
ปัญหาต่างๆ เราต้องแก้ไข อย่าให้ปัญหามากกว่านี้ เรายังแก้ไขได้ เราเสียสละมันถึงเป็นศีล สมาธิ ปัญญา ถ้าเราตามใจตัวเอง มันก็เป็นมนุษย์บ่มแก๊สเดี๋ยวมันก็เหม็น ปกปิดไว้เท่าไหร่มันก็เหม็น ปัจจุบันนี้เราต้องจัดการให้ดี ให้เก่ง พระอรหันต์ทั้งหลายเป็นผู้มีปัญญามาก ไม่ยอมคิด ไม่ยอมพูด ไม่ยอมทำในสิ่งที่ถูกต้อง ไม่เป็นพวกมนุษย์บ่มแก๊ส ไม่เป็นพระบ่มแก๊ส ไม่เป็นเณรบ่มแก๊ส
เราต้องรู้จักว่าคิดอย่างนั้นไม่ดี ทำอย่างนั้นไม่ถูกต้อง จะได้เอามาแก้ไขตัวเอง ความถูกต้องเอามาใช้มันก็มีประโยชน์ ทุกคนต้องจัดการตัวเองนะ อย่าไปดื้อตาใสไปเรื่อย เป็นมนุษย์บ่มแก๊สไม่ดี ต้องปรับตัวเอง เพราะร่างกายก็ดีอยู่จะปล่อยให้ตัวเองขาดกิจวัตร มันไม่สมศักดิ์ศรี ไปตามใจตัวเองก็ยิ่งเพิ่มโรคจิต โรคประสาทเข้าไปอีก มันกลายเป็นเรือลำใหญ่อยู่ในคลองเล็กมันกลับตัวไม่ได้ เขาเรียกว่าบ่มแก๊ส
มันแก้ไม่ยาก เพียงแต่เรารู้ว่าอันไหนไม่ดีไม่คิด ไม่พูด ไม่ทำ มันก็จัดการได้ เพราะว่ามันไม่ได้ไปแก้คนอื่น ต้องสละซึ่งตัวซึ่งตน เขาเรียกว่าต้องวางธาตุ วางขันธ์ เพราะว่าขันธ์ทั้ง 5 เป็นของหนักเน้อ ขันธ์ก็คือเรายึดมั่นถือมั่น มันเป็นแก๊สที่คอยระเบิดตัวเรา ความเห็นแก่ตัว ความยึดมั่นถือมั่นเปรียบเสมือนกองอุจจาระ ปัสสาวะ ของปฏิกูล มันเป็นแก๊สมันระเบิดความเป็นมนุษย์ของเรา เราไม่ต้องเอาถังแก๊สไว้เป็นพื้นฐานแห่งชีวิตของเรา ไม่อย่างนั้นจะเป็นมนุษย์ขยะ เป็นมนุษย์บ่มแก๊ส เพราะความเห็นแก่ตัว เขาเรียกว่าอวิชชา ความหลง เป็นกาม
เรื่องมีอยู่ว่า มีชายสองคนเป็นเพื่อนที่รักกันมาก แต่นิสัยไม่เหมือนกัน คนหนึ่งมีใจบาป ลุ่มหลงในอบายมุขต่างๆเช่น ดื่มเหล้า เล่นการพนัน ชอบฆ่าสัตว์ตัดชีวิตทำแต่บาป บุญกุศลไม่เคยทำ อีกคนหนึ่งเป็นคนใจดี ชอบทำแต่บุญกุศล ให้ทานและรักษาศีลอยู่เสมอ ถึงนิสัยและจิตใจจะแตกต่างกันแต่คนทั้งสอง ก็คบหาเป็นเพื่อนกันได้อย่างไม่มีอุปสรรค ทั้งสองเมื่อสิ้นอายุขัย คนใจบุญจึงได้ไปเกิดเป็นเทวดาอยู่บนสวรรค์ เสวยสุขอยู่บนสรวงสวรรค์อันเป็นวิมานทิพย์ด้วยความสุขสำราญ วันหนึ่งเทพตนนี้ ได้หวนคิดถึงอดีตหนหลังว่ามีเพื่อนรักอยู่คนหนึ่งไม่ได้พบกันเป็นเวลาอันยาวนาน คิดอยากจะไปเยี่ยมเยียนไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบ การเป็นอยู่เป็นอย่างไร ด้วยญาณวิถีของความเป็นเทพ จึงได้รู้ว่าเพื่อนกำลังได้รับความลำบากทุกข์ยากถึงที่สุด ดวงชะตา วาสนาตกต่ำ ย่ำแย่ เพราะตอนเป็นมนุษย์ไม่ชอบทำความดี เลยรีบลงมาเยี่ยม ได้เห็นสภาพของเพื่อนต้องมาเกิดเป็น "หนอน" อยู่ในส้วมสาธารณะ ให้สงสารเพื่อนเป็นยิ่งนัก เอ่ยถามเพื่อนด้วยความหดหู่ใจว่า"เพื่อนรัก เอ็งจำข้าได้ไหม" เจ้าหนอนเอะใจเพราะอยู่ๆ ก็มีใครมาร้องเรียก จึงชะเง้อคอขึ้นมาดู แล้วถามไปว่า "เจ้าเป็นใคร ถึงมาเรียกข้าว่าเพื่อน" หนอนถามด้วยความงุนงง "ข้านี่แหละ ข้าเป็นเพื่อนเก่า สมัยเราเป็นมนุษย์ด้วยกันจำข้าได้ หรือเปล่าล่ะ" "อ้าว! เอ็งหรือนี่ เอ็งเล่นแต่งตัวประหลาด ๆ เครื่องประดับ แวววาว รุงรังออกหยั่งงี้ ข้าจะไปจำได้ไง" "นี้แหละ ชุดเทวดาล่ะ..." "เทวดา" หนอนทวนคำ
"ข้าคิดถึงเจ้ามาก มาเห็นสภาพการเป็นอยู่ของเจ้าแล้ว ข้าสงสารเหลือเกินเพื่อนเอ๋ย เคยชักชวนเจ้าสร้างสรรคุณความดี เจ้าก็ไม่ใส่ใจจึงต้องมาตกระกำลำบากถึงปานนี้" "แล้วเอ็ง ไปเกิดเป็นเทวดา มันสบายกว่า ข้าเหรอ" เจ้าหนอนกังขา
"ฟังนะเพื่อน สถานที่ข้าอยู่ เป็นสวรรค์ ข้าอยู่ในวิมาน ทุกสิ่งงามระยิบระยับ เครื่องใช้ไม้สอยล้วนแล้วแต่เป็นทองสวยงาม เจริญหู เจริญตา มีนางฟ้าเป็นบริวารนับไม่ถ้วน คอยบริการรับใช้ แสนจะสุขสำราญเบิกบานใจ ถึงเวลาอาหาร นั่งเนรมิตชั่วประเดี๋ยว ต้องการอาหารชนิดใดรสใด ทุกอย่างก็เลื่อนลอยมาให้เราได้สมปรารถนา ถึงยามพักผ่อนหลับนอน ก็จะมีเตียงทองมารองรับหลับสบาย มีความสุขกว่าโลกมนุษย์และโลกไหนๆ หลายร้อยหลายพันเท่า " เจ้าหนอนได้ฟังเทวดาสาธยาย ดินแดนศิวิไลซ์ แทนที่จะพิสมัยใคร่อยากจะเชยชม กลับขอขัดจังหวะเทวดาขอสาธยายวิมานของตัวเองบ้าง
"โธ่ เอ้ย สวรรค์ของเจ้า ข้านึกว่าจะวิเศษวิโสสักแค่ไหน ที่แท้ก็สู้วิมานข้าไม่ได้ อาหารการกินของเจ้ามันจะดีกว่าของข้าได้ยังไง กว่าจะได้กินที ต้องมานั่งเนรมิตให้เปลืองเวลา ฮึ... ของข้านะ เหรอ ไม่ต้องนึก ถึงเวลาเขาส่งมาเอง กินไม่หวาด ไม่ไหว ข้าตื่นมาก็ได้กินเลย ไม่ต้องนึกให้เหนื่อย เตียงทองที่เจ้าอ้างมามันก็สู้ของข้าไม่ได้หร๊อก ไม่ว่าจะนอนคว่ำ นอนหงาย หกคะเมนตีลังกา มันให้นุ่มนิ่มไป ทุกท่า สนุ๊ก สนุก เตียงทองของเจ้าลองทำอย่างข้าสิ มีหวังหัวฟาดขอบเตียงหัว แตกเลือดไหล ” เทวดาจึงพาหนอนไปดูที่วิมานของตัวเอง แล้วก็ถาม “เป็นไงน่าอยู่มั๊ย” “ไม่เห็นน่าอยู่ตรงไหนสู้ส้วมที่ข้าอยู่ไม่ได้” หนอนตอบ
“แล้วนั่นเห็นมั๊ยนางฟ้ามากมายนับไม่ถ้วนเลยสวยๆ ทั้งนั้น”
เทวดาชี้ชวนให้ดูนางฟ้า แต่หนอนกลับมองเทวดาด้วยความสมเพช “นั่นเหรอสวย นางฟ้าที่เจ้าอ้างว่าเลิศเลอ ก็ยังงั้นๆ แหละ ไม่เห็นสวยตรงไหน นางหนอนของข้าสวยกว่าตั้งเยอะ ไปดูนางหนอนของข้าสิ สวยๆงามๆ นับไม่ถ้วนเหมือนกัน สวรรค์ของเจ้า ข้าไม่สนอยู่ส้วมของข้าสบายกว่ากันเยอะเลย” เทวดาเลยพากลับไม่ว่าจะชวนยังไงหนอนก็เห็นว่าส้วมของตัวเองดี ถึงกลับไล่เทวดากลับสวรรค์ไปเลย “กลับวิมานเจ้าไปเถอะ” ข้าไม่ไปกับเจ้าหรอก ข้าอยู่ในส้วมของข้าก็สบายดีอยู่แล้ว เทวดาได้แต่สั่นศีรษะด้วยความสิ้นหวัง ตั้งใจจะมาชวนเพื่อนให้ไปเกิดในสวรรค์กลับถูกเพื่อนหนอนชวนมาเกิดเป็นหนอนเสียอีก วันนั้นเทวดาจึงกลับคืนสู่สวรรค์วิมานของตนด้วยความมึนงง
นิทานเรื่องนี้สรุปว่า “ใครที่ทำอะไรมักพอใจทำตามความเคยชินของตน คนดีทำดีได้ง่าย แต่ทำชั่วได้ยาก ส่วนคนชั่วทำดีได้ยาก แต่ทำชั่วได้ง่าย” ชวนให้คนทำดีนั้นยากกว่าชวนให้คนทำชั่ว
ดูในแง่ธรรมะที่ว่า หนอนเหล่านี้ กำลังมึนเมา อยู่ในของเน่าเหม็นและหลับหูหลับตา จมอยู่ในของสกปรก อย่างน่าสมเพช ซึ่งถ้านำไปเปรียบกับเหล่าเทพยดา ในฉกามาวจรวรรค์แล้ว ก็จะชวนให้สมเพช ยิ่งขึ้นไปอีก จนสุดที่จะทนไหวทีเดียว ใครๆ อย่าหลงพอใจในของสกปรกเหมือนหนอน เหล่านั้นเลย หนอนหลายตัว ได้ยินคำพูดเหล่านั้น! หนอนบางตัว ได้คิดว่า แท้จริง ความพอใจในรสนิยม ของพวกเรา กับของเทพยดาทั้งหลาย ก็มีได้เท่ากัน และในลักษณะ ทำนองเดียวกัน ทั้งนี้ มันแล้วแต่ ลักษณะของอายตนะ เครื่องรับและเสวยอารมณ์นั้นต่างหาก เราไม่เชื่อท่านสมภาร! หนอนบางตัว ได้พยายามลืมตาขึ้นดู ก็เห็นว่า มันออกจะสกปรก มากมายจริง แต่ทนลืมตาอยู่ไม่ไหว ต้องกลับหลับไปตามเดิม โดยเร็ว เพราะมันได้เห็น สิ่งอื่น ที่สกปรกกว่า อาหารบ้านเรือนของมันเอง จนทนลืมตาอยู่ไม่ไหว!
มันบอกพวกพ้องของมันว่า ชั่วที่ลืมตาขึ้นแวบเดียว ก็ได้เห็น เทพยดา มนุษย์ทั้งหลาย มีจิตจมอยู่ใน ความมืดมน ถือตัว ถือตน นานาประการ การกระทำทางกายวาจา ก็จมอยู่ในกรรมโสมม เลวทราม เนื้อตัวทั้งสิ้น จมอยู่ในกามารมณ์ กำลังทำสิ่งต่างๆ ด้วยความหลงใหล ในลาภยศ อำนาจวาสนา พวกพ้องบริวาร อันเป็นทางให้ได้มาซึ่งความมัวเมา ในความสุข ทางเนื้อหนัง ของตน อย่างไม่รู้จักอิ่มจักพอ อีกต่อหนึ่ง ถึงกับต้องอิจฉา ริษยารบราฆ่าฟันกัน ทั้งทางตรงและทางอ้อม อย่างป่าเถื่อน ทารุณ ชนิดที่ไม่เคยมี ในสมัยที่ยังไม่เกิด ส้วมชักโครก แผนปัจจุบันนั้นเลย ศีลธรรมของเขาคือ การกอบโกย ความสุข ทางเนื้อหนัง ใส่ตนอย่างเดียว แล้วเรียกชื่อกันเอาเอง อย่างไพเราะว่า มนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ ของฉัน พูดกันดังนั้นแล้ว มันก็ชักชวน กันให้หลับตา ให้ยิ่งขึ้นกว่าเดิม เพื่ออย่าให้เสียเปรียบ หรือ ล้าหลัง พวกเทพยดา มนุษย์ทั้งปวง หรือ อย่างน้อยที่สุด ก็ให้พอเคียงคู่กันไป
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า: ผู้ที่พอใจในกามารมณ์ ชื่อเสียงยศศักดิ์ อำนาจวาสนา พวกพ้องบริวาร ทั้งหลายนั้น ขออย่าได้หาญ พยายามลืมตา เป็นอันขาด จะเป็นฝ่ายเสียเปรียบหนอน หรือ ลืมขึ้นมา ก็จะต้องรีบกลับ หลับตา ลงไปใหม่ เหมือนหนอน เหล่านั้นอยู่เอง ซึ่งทำให้เกิด เป็นปัญหา ขึ้นว่า ใครเล่าจะเป็น ฝ่ายชนะ? หรือว่าใครเล่า น่าสมเพช กว่าใคร ในระหว่างพวก เทพยดา ใน ฉกามาวจรสวรรค์ และ หนอนใน ส้วมแผนโบราณเหล่านั้น?
เราต้องรู้จักหลุมมูตร หลุมคูถ หลุมแห่งความชั่วช้า สารเลวที่ มันเป็นศูนย์รวมแห่งมูตรคูถ ปฏิกูล สิ่งที่เป็นอดีตก็ต้องทิ้งไปหมด เราอย่าไปพกมันเลย สิ่งที่เป็นปฏิกูล เราพูดเรื่องขี้ เรื่องเยี่ยว มันก็ทานข้าวไม่ลง พูดเรื่องน้ำเหลือง น้ำหนอง ก็กินข้าวไม่ลง อย่างพระไปรับกิจนิมนต์ไปฉันลอดช่องที่คนบ้านนอกทำ เล็บมือก็มีขี้มือ แถมยังเป็นหวัด ขี้มูกเขียว สะบัดลงดิน แล้วเอามือมาลูบก้น แล้วเอามือมาคั้นน้ำกระทิทำให้พระคุณเจ้าฉัน พระคุณเจ้านี้ก็ยากที่จะทำใจได้เพราะมันเป็นของปฏิกูล
สิ่งที่ชั่วช้า ลามก มันอยู่ในใจเรา มันยิ่งกว่านั้นอีก เพราะพระคุณเจ้าทั้งหลายจะได้รู้ว่า เราไม่ได้งามในเบื้องต้นคือศีล ไม่ได้งามในท่ามกลางคือสมาธิ ไม่ได้งามในปั้นปลายคือปัญญา ไม่ได้เสียสละ ทุกคนก็แต่งหน้าแต่งตา อย่างเด็กวัยรุ่นที่เขาเรียกว่า บ่มแก๊สไว้ระเบิด ที่ทำให้ธุรกิจของเกาหลีเรืองรอง ทำให้พวกขายเกี่ยวกับศัลยกรรม เจริญรุ่งโรจน์ คนเรามันต้องรู้จักว่าความงามมันอยู่ที่เรามีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง แล้วสมาทาน แล้วปฏิบัติให้ถูกต้อง แล้วต้องก้าวไปด้วยสติ ด้วยปัญญา ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านบอกท่านสอน สิ่งที่เป็นมูตร เป็นคูถ เป็นแก๊สอยู่ในตัวในตน ถ้าเราไม่ทำอย่างนี้ มันก็น่าสงสารตัวเองและสงสารคนอื่น การมีทิฏฐิมานะ ไม่ยอมกัน ในเมื่อเขาไม่ฉลาด เราก็ต้องฉลาด จัดการทั้งตัวเองและคนอื่นไปในตัว อย่าได้พากันแบกถังแก๊สอยู่ มันไปเอาความสุข ความดับทุกข์จากคนอื่น เจ้านี้เขาเรียกว่ามีแก๊สถังใหญ่
ทุกท่านทุกคนอย่าให้อวิชชาอย่าให้ความหลง มันมาเปิดตลาดทำโปรโมชั่นได้ เดี๋ยวนี้เราปล่อยให้อวิชชาความหลงพากันเปิดตลาดทำโปรโมชั่นนะ ทำธุรกิจของพญามาร หรือของอวิชชาความหลงยิ่งเจริญรุ่งเรือง เพราะเราไปตามใจตัวเองตามอารมณ์ เราจะเห็นตั้งแต่เค้าโฆษณาโปรโมชั่นอะไรต่างๆอย่างนี้ เรานี้ก็ปล่อยให้กิเลสทำโปรโมชั่น พวกที่เบื่อง่าย อารมณ์อะไรเปลี่ยนแปลง ไปตามอวิชชา ไปตามความหลง เค้าเรียกว่าพวกโปรโมชั่น เรามีสามี สามีเราก็ต้องแก่ มีภรรยา ภรรยาเราก็ต้องแก่ แก่แล้วเราก็อยากจะมีสามีเล็ก เค้าเรียกว่าโปรโมชั่น (ของพญามาร) ไปเปิดช่องอย่างนี้เราก็มี sex ทางอารมณ์อย่างนี้ นั้นแหละคือเรากำลังเปิดตลาดโปรโมชั่น พวกนี้แหละไม่เห็นความสำคัญ พวกผู้ชายอย่างนี้แน่ะ แล้วก็ฟรีสไตล์ตามใจ ตามอารมณ์ ไม่ตั้งอยู่ในศีล 5 เค้าเรียกว่าพวกโปรโมชั่น ผู้หญิงก็ทนไม่ไหวก็ทำตามอย่างนี้ ก็โปรโมชั่นเหมือนกันแหละ ที่นี้แหละมีปัญหาเรื่องหย่าร้าง ครอบครัวไม่อบอุ่น เหมือนพวกประเทศอื่นที่มีวัตถุนิยม เค้าเรียกว่าที่ที่มีกามเจริญ
ความประณีตความสุข ที่สุขุมกับที่หยาบไม่เหมือนกัน เขาก็สุขตามประสาขา คือเมื่อยังไม่ได้ความสุขที่ประณีตกว่า เขาก็ถือว่าความสุขที่ได้นั้นยอดเยี่ยมแล้ว เหมือนเด็กเล่นโคลน มีความสุขกับการเล่นโคลนเล่นทราย ถ้าไปห้ามก็ร้อง แต่ถ้าโตแล้วรู้เรื่องแล้วก็จะไม่เล่น ไปเล่นของที่สะอาดกว่าประณีตกว่า
ความสุขของคนที่ดื่มสุรา เขาก็รู้สึกว่าเป็นความสุขของเขา แต่ผู้ที่เลิกสุราแล้ว ก็รู้สึกว่ามีความสุขที่ประณีตกว่า การดื่มสุราเป็นไหนๆ เห็นว่าความสุขจากการดื่มสุรา เป็นความสุขที่หยาบ เจืออยู่ด้วยโทษนานาประการ
ตาบอด-ตาดี จาก พุทธทาสภิกขุ
หมู่นกจ้อง มองเท่าไร ไม่เห็นฟ้า ถึงฝูงปลา ก็ไม่เห็น น้ำเย็นใส
ไส้เดือนมอง ไม่เห็นดิน ที่กินไป หนอนก็ไม่ มองเห็นคูถ ที่ดูดกิน;
คนทั่วไป ก็ไม่ มองเห็นโลก ต้องทุกข์โศก หงุดหงิด อยู่นิจสิน
ส่วนชาวพุทธ ประยุกต์ธรรม ตามระบิล เห็นหมดสิ้น ทุกสิ่ง ตามจริงเอย ฯ
สุขอย่างนั้นเรียกว่าสุขอย่างคนไม่มีปัญญา เป็นสุขที่สร้างปัญหา ถึงแม้เราจะรวยเท่าเศรษฐีของเมืองไทยหรือเศรษฐีอเมริกา ของประเทศอังกฤษ มันก็ไม่ใช่ว่าจะแก้ปัญหาได้ ถ้าใจไม่มีความเห็นถูกต้อง ไม่เข้าใจถูกต้อง ไม่ปฏิบัติถูกต้อง มันก็แก้ปัญหาไม่ได้ มันก็มีแต่จะผลิตปืน ระเบิด ยาพิษ พวกนี้ เพราะเราไปหลงวัตถุภายนอก ความสุขมันต้องเกิดจากเรามีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง มีเศรฐกิจพอเพียงในปัจจุบัน อานาปานสติทุกคนต้องพากันเข้าใจ พากันประพฤติ พากันปฏิบัติ ทุกเมื่อ ทุกเวลา ทุกอิริยาบถ เพราะอันนี้มันคือบ้านทางจิตใจ เราจะได้ไม่เป็นคนพเนจร ตั้งอยู่ในความเพลินในความประมาท ที่นี้แหละโรคทางกายมันก็จะได้ลดน้อยลง เพราะเรามันนอนหลับดี เรามันพักผ่อนไปในตัว เพราะว่าเราวางภาระหนักทางจิตใจ เรามีสัมมาทิฏฐิ เราเป็นประชากรที่เป็นผู้ครองเรือนก็ต้องตั้งมั่นในศีล ในธรรม เราจะไปเอาประชาธิปไตยแบบเอาตัวตนเป็นใหญ่อย่างนี้มันไม่ถูก ต้องธรรมาธิปไตย เอาธรรมะเป็นใหญ่ เอาธรรมะเป็นหลักอย่างนี้
ประชาธิปไตยที่หมกมุ่นอยู่ในกาม พวกที่มี sex ทางกายยังไม่พอ มี sexทางจิตใจ ทุกคนมันก็ชอบเหมือนกัน มันเป็นประชาธิปไตย พวกที่เป็นข้าราชการก็จะได้เป็นข้าราชการที่สมบูรณ์แบบ ไม่เป็นข้าราชกิน ก็คือเป็นนักการเมือง ที่จะได้ไม่ต้องเป็นนักกินเมือง เหมือนประเทศไทยเรา หรือว่าทุกๆ ประเทศ เพราะเราต้องพากันมาทำอย่างนี้ๆๆ พระเจ้าพระสงฆ์ก็อย่าพากันหลอกลวงประชาชนเยอะ พวกที่ไปพูดแต่เรื่องนรกเรื่องสวรรค์ อยากให้เค้าทำบุญทำทานอะไร ที่ออกสถานีวิทยุและในสื่อช่องทางต่างๆ อย่าพากันหลอกประชาชน อย่าไปขอของจากคนไม่ใช่ญาติ ไม่ใช่ปวารณา การเรี่ยไร่ก่อสร้าง หรือว่าทำเจดีย์ ทำโบสถ์ ทำวิหาร ทำพระใหญ่ มันไม่ใช่ศาสนาพุทธ มันเป็นวัตถุ มันเป็นขาลงของพระศาสนา ที่เหมือนประวัติศาสตร์ที่เป็นมาน่ะ ที่มหาวิทยาลัยนาลันทาถูกเผาก็เพราะว่าไปหลงแต่ทางวัตถุ ไม่ได้พัฒนาธรรมะวินัย พวกท่านที่ได้เป็นเจ้าอาวาส เป็นเจ้าคณะอะไรต่างๆ จนถึงกรรมการมหาเถรสมาคม ท่านเป็นผู้ที่บุญมีวาสนา ก็ต้องพากันเข้าใจรู้จักเรื่องพระนิพพาน รู้จักเรื่องของกาม เพราะเราจะได้ ช่วยเหลือทรัพยากรของโลก ของประเทศไทยเรา เพราะมันขึ้นอยู่ที่ผู้นำ ประเทศไทยเราเป็นอย่างนี้ก็เพราะ รัฐบาล ผู้นำนี้แหละ คณะสงฆ์เป็นอย่างนี้ก็เพราะผู้นำ
พระเจ้าพระสงฆ์น่ะ อย่าพากันหลอกประชาชน ต้องละอายต่อบาป เกรงกลัวต่อบาป คนนู้นก็ทำคนนี้ก็ทำ ละก็ทำกันทั่วทุกหนทุกแห่ง หลอกประชาชนเค้า พระพุทธเจ้าท่านไม่พูดเรื่องสวรรค์พวกอะไรๆ อย่างนี้ ช่างหัวมันมันแล้วก็แล้วไป พระรุ่นใหม่คนสมัยใหม่ก็ต้องเข้าใจนะ ว่าบางอย่างบางอัน พระมหาเถระพาเราทำความผิดเราก็อย่าไปทำตาม เราก็ต้องรักพระศาสนาเรา เราพากันหยุดเสพกามกัน รูป เสียง กลิ่น รส ลาภ ยศ สรรเสริญ พวกนี้คือกาม เราพากันมี sex ทางกามทางจิตใจกัน มันไปไม่ได้ เพราะว่าทางตัน เค้าเรียกว่าตัณหา มันตัน ถ้าไม่พูดมันก็ไม่ได้ เพราะโรคทางใจนี้สำคัญนะ ให้พากันประพฤติพากันปฏิบัติ ไม่เกี่ยวกับวัดบ้าน วัดป่า ไม่เกี่ยวกับธรรมยุต มหานิกาย มหายาน หินยาน มันอยู่ที่เรามีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ทุกศาสนาก็ต้องไปในแนวเดียว มันจะไปคนละแนวได้อย่างไร ไปคนละแนวมันก็ไม่ใช่ศาสนาแล้ว ก็เป็นระบบทิฏฐิมานะอัตตาตัวตน ก็เป็นนิติบุคคลไม่ใช่ศาสนา
บ้านเมืองเจริญ ยิ่งเราใช้เทคโนโลยีออกอากาศ มันก็ยิ่งหลอกประชาชนได้กว้างขว้าง ถ้าเทคโนโลยีเจริญอย่างนี้ ถ้าเราพูดของจริงอะไรจริง ประชาชนทุกหมู่บ้าน ทุกตำบลเค้าก็รู้กัน เราต้องหยุดหลอกลวงประชาชน ละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาปกัน ถ้าเราปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ไม่ต้องกลัวอดกลัวอยาก เพราะเราพูดอย่างนี้แสดงอย่างนี้ แสดงอย่างนี้แหละ แสดงว่าเราหลงในกาม เราไม่ได้เอาธรรมะ ไม่ได้เอาวินัย ไม่เอาศาสนาแล้ว เราใช้ความฉลาดหลอกประชาชน ที่พูดอย่างนี้ก็ไม่ได้ว่าให้พระนะ เพราะว่าพระ คือ พระธรรม คือพระวินัย คือความถูกต้อง อย่างนี้ไปว่าให้ไม่ได้บาป ว่าให้ผู้ไม่เอาธรรมไม่เอาพระวินัย เอาลาภสักการะ เสียงเยินยอ พวกที่เอาเงินเอาสตางค์ เอานารีสีกา พากันไปขับรถขับเรือ ที่พากันกินโต๊ะประชากรของโลก ให้เข้าใจนะ ให้ละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาป อย่าไปด้านเกินมึนเกิน พูดถูกต้องอย่างนี้ละก็กลัว กลัวประชาชนจะรู้ของจริง รู้ความจริง ถ้ามันถูกต้องแล้วมันไม่กลัวหรอก ต้องสง่างาม ไม่มีอะไรที่จะดีกว่าการที่ทุกท่านทุกต้องพากันมาเสียสละ
ทิฏฐิพระ มานะพวกที่มีมิจฉาทิฏฐิ เช่น ฤาษีใหญ่ๆ หลายฤาษี ถ้าประชาชนไปหาอีกฤาษีหนึ่งก็พากันเครียดนะ เพราะกลัวกามของตัวเองจะหมด กลัวกามของตัวเองจะหาย ประชาชนคนที่พากันหลงในเครื่องรางของขลัง หลงในรูป ในเหรียญ อะไรก็พากันมีปัญญา ทุกคนถึงจะขลังจะศักดิ์จะสิทธิ์ มันแก้ปัญหาไม่ได้หรอก มันก็เกิด แก่ เจ็บ ตาย ทุกคน อย่าให้พระภิกษุประเภทนี้หลอกลวง เพราะว่ามันมีมาก ของไม่จริงมันมากกว่าของจริง
ถ้าเราทำตามใจตามอารมณ์ตามความรู้สึกตนเอง มันเหม็น เราไม่มีศีลไม่มีธรรมมันเหม็น มันสกปรกโสโครก สิ่งที่ว่าปฏิกูลในโลก มันก็ยังไม่เท่าความเห็นแก่ตัว นี่รู้จักไหมที่พระพุทธเจ้าบอกว่ามันเป็นความเห็น เป็นความโสโครก ไม่มีอะไรที่จะเสียหายเท่ากับมีความเห็นไม่ถูกต้อง เข้าใจไม่ถูกต้อง ปฏิบัติไม่ถูกต้อง ชีวิตจึงเหม็น เป็นชีวิตที่สกปรก เหม็นทวนลมไปหมด เราต้องกลับมาดูตนเอง นั่งสมาธิก็ตรวจตราดูกายใจตนเองบ้างว่า มีศีลสมาธิปัญญาพอหรือยัง? หรือว่ายังโง่ อยู่ยังไม่ฉลาดอยู่ ยังเอาตัวเองเป็นที่ตั้งอยู่ ยังไม่ได้เอาธรรมะเป็นที่ตั้ง นี่ยังเป็นคนไม่ฉลาดนะ ตนเองมันเห็นแก่ตัวมาก ไม่อยากแก่ ไม่อยากเจ็บ ไม่อยากตาย ไม่อยากพลัดพราก อย่างนี้เป็นมิจฉาทิฏฐิ ทุกท่านทุกคนต้องมีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ความเกิดแก่เจ็บตายพลัดพรากเป็นเทวทูตมาบอกให้เรามีปัญญา จะได้ล้างสิ่งสกปรกโสโครก ออกไปจากกายวาจาใจ
การประพฤติปฏิบัติถือว่าเป็นสิ่งที่สุดยอด ทุกคนเขาอยากรู้อยากเห็นบัณฑิตนะ เขาไม่อยากคบค้าสมาคมกับคนพาล คนพาลคือคนที่เอาตัวเองเป็นที่ตั้ง ไม่เอาไม่ได้เอาธรรมะเป็นที่ตั้ง เรียกว่าคนพาล ถ้ากลับมามองตัวเองก็จะเห็นคนพาลอยู่ในใจเราทุกคน เราเป็นคนที่สกปรกน่ารังเกียจนะ ใครเขาก็อยากเห็นแต่บัณฑิตอยากคบบัณฑิต คนเราไม่เป็นบัณฑิต ตัวเองยังเป็นคนพาลนะ
การเป็นบัณฑิตทางธรรมต้องสร้างเองปฏิบัติเอง เราดูตัวอย่างแบบอย่างสิ คนเฒ่าคนแก่ ลูกหลานไม่เคารพนับถือ ไม่อยากกราบไม่อยากไหว้ เพราะว่ามันมีกลิ่นเหม็น ความเห็นแก่ตัวมันเป็นความเหม็น การที่เอาแต่ใจตัวเอง เอาแต่อารมณ์ความรู้สึกตนเองมันเหม็นมันสกปรก เรากลับมาดูตนเอง ว่าเราเสียสละแล้วหรือยัง เสียสละทางจิตใจยังไม่พอ ต้องเสียสละกิริยามารยาทที่ไม่ดี ให้มันดี ต้องเสียสละคำพูดที่ไม่ดี ให้มันดี
เราต้องปฏิบัติให้เป็นอัปปมัญญาคือไม่มีที่สุดไม่มีประมาณ ทุกท่านทุกคนอีกไม่นานก็ต้องเป็นคนแก่ คนเจ็บ สุดท้ายก็ต้องเป็นคนตาย เมื่อปฏิปทามันเหม็นอย่างนี้น่ารังเกียจอย่างนี้ จะให้ใครมาดูแลอุปถัมภ์อุปัฏฐาก เพราะไม่มีมรดกธรรมให้เขาเลย ดูอย่างหลวงปู่มั่น มีลูกศิษย์ลูกหาแย่งกันอุปัฏฐาก เพราะท่านมีธรรม มีมรดกธรรมให้ลูกศิษย์ลูกหา หลวงปู่ชาหลวงตามหาบัว ท่านมีมรดกธรรม มีพระนิพพาน ใครๆ ก็แย่งกันอุปถัมภ์อุปัฏฐาก
อย่าไปคิดแต่ว่าพระพุทธเจ้า ครูบาอาจารย์ว่าให้เรา ท่านพูดความจริง ท่านมาบอกความจริงให้เราเข้าใจ ให้เรา รู้จัก รู้จริง รู้แจ้ง เราทำผิดจะให้เขาชมว่าทำถูกอยู่นั่น ย้ำ เมื่อเราทำผิดจะให้เขาชมว่าทำถูกอยู่อย่างนั้น มันก็ไม่ถูกต้อง ใช้ไม่ได้แล้ว ไม่ต้องให้ใครมาชมเราหรอก เพราะคำพูดคนไม่สามารถ พลิกผันคนให้เป็นคนเลวหรือว่าเป็นคนดีตามที่คนนั้นคนนี้พูด ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ที่การกระทำ ถึงแม้เราอยากจะให้เขามาชมเราว่า เป็นคนเก่งเป็นคนฉลาดเป็นคนดี ทั้งที่จริงแล้วตนเองไม่ได้เป็นคนเก่ง ไม่ได้ฉลาด ไม่ได้เป็นคนดีอะไรเลย อย่างนี้มันถูกต้องมั้ย? มันเป็นสิ่งที่ทวนกระแส มันเป็นสิ่งที่ทำได้ยาก แต่ก็ต้องประพฤติต้องปฏิบัติ ตามหลักการแล้ว ยิ่งยากยิ่งลำบากก็ยิ่งดี เพราะเราจะได้แก้ไขตนเอง จะได้ไม่เสียเวลานาน เพราะนี่เป็นงานของเรา เราอย่าไปคิดว่า เราทำขนาดนี้ ก็คงจะเพียงพอแล้ว ตามหลักแล้วมันยังไม่เพียงพอนะ ต้องมาเน้นที่ใจของเรา ให้เป็นใจที่ตั้งมั่นล้วนๆ อย่าให้มีความเห็นแก่ตัวมาแทรกแซง มาเน้นวาจา ให้เป็นสัมมาวาจา วาจาคำพูดของเราต้องปรับปรุง เรื่องคำพูดทุกคนมีปัญหาอยู่แล้ว พูดดีๆ นะมันไม่ตายหรอก พูดไพเราะพูดเป็นธรรมเป็นวินัย มันไม่ตายหรอก กิริยามารยาทของเราต้องดีๆ นะ เราต้องมาแก้ไขต้องมาปรับปรุง
คนเราบกพร่องกันเยอะ ทำอะไรมักเห็นแก่ตัว มุ่งแต่ผลประโยชน์ ไม่เสียสละ 100% ถึงเสียสละก็แค่ไม่กี่เปอร์เซ็นต์ เพราะเรามาประพฤติปฏิบัติแก้ไขตนเองอย่างนี้ เราจะได้ล้างความสกปรก ออกจากกายวาจาใจของเรา ใจของเรามันสกปรก วาจากิริยามารยาทของเรามันสกปรก ทุกคนต้องมาแก้ไข ให้ใจของเรามันหอม พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า สิ่งที่หอมทวนลมคือศีลสมาธิปัญญาคือพระนิพพาน ดังที่พระพุทธองค์ตรัสกับพระอานนท์ว่า “อานนท์ ! สตรีหรือบุรุษในบ้านหรือนิคมใดในโลกนี้ ถึงพระพุทธเจ้าเป็นสรณะ ถึงพระธรรมเป็นสรณะ ถึงพระสงฆ์เป็นสรณะ เว้นขาดจากการฆ่าสัตว์ เว้นขาดจากการลักทรัพย์ เว้นขาดจากการประพฤติผิดในกาม เว้นขาดจากการพูดเท็จ เว้นขาดจากการดื่มน้ำเมาคือสุราและเมรัยอันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท เป็นคนมีศีล มีกัลยาณธรรม มีใจปราศจากมลทินคือความตระหนี่ อยู่ครองเรือนมีการบริจาคอันปล่อยคือให้อยู่เป็นประจำ มีฝ่ามืออันชุ่ม ยินดีในการสละ เป็นผู้ควรแก่การขอ ยินดีในการให้และการแบ่งปัน สมณพราหมณ์ทุกทิศย่อมกล่าวสรรเสริญคุณของเขา... แม้เทวดาทั้งหลายก็กล่าวสรรเสริญคุณของเขา... อานนท์ ! กลิ่นหอมนี้นั้นแล ฟุ้งไปตามลมก็ได้ ฟุ้งไปทวนลมก็ได้ ฟุ้งไปทั้งตามลมและทวนลมก็ได้. กลิ่นดอกไม้ฟุ้งทวนลมไปไม่ได้ กลิ่นจันทน์ กลิ่นกฤษณา หรือกลิ่นกระลำพัก ก็ฟุ้งทวนลมไปไม่ได้ ส่วนกลิ่นสัตบุรุษ ฟุ้งทวนลมไปได้ เพราะสัตบุรุษ ฟุ้งไปทุกทิศ”
ทุกท่านทุกคนต้องพึ่งพระพุทธเจ้า ถึงพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าและต้องพึ่งตนเองด้วยการประพฤติปฏิบัติ ท่านต้องเพิ่มรายละเอียดเข้าไป เพื่อความดีของท่านจะได้เป็นอัปปมัญญาคือไม่มีที่สุดไม่มีประมาณอย่างนี้...