แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ในวันเสาร์ที่ ๑๔ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๖๖
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง ชีวิตใหม่ที่เลือกได้ ตอนที่ ๑๘ มีปัญญารู้ทุกข์ รู้แจ้งความจริงในกายใจ ก็จะหยุดจะละกามทั้งหลายได้
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
ให้ทุกท่านทุกคนรู้จักศาสนา ไม่ว่าท่านจะเป็นนักบวช หรือว่าจะเป็นฆราวาส ศาสนาคือธรรมะ ธรรมะคือศาสนา ศาสนาคือรู้ทุกข์ รู้เหตุเกิดทุกข์ รู้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ ไม่ทำตามใจตัวเองไม่ทำตามอารมณ์ตัวเองไม่ทำตามความรู้สึก ที่เรามีความหลง เราต้องเอาธรรมะ เอาพระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่ที่เป็นพระศาสนา ศาสนาทุกศาสนาก็มีแนวทางเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันคือธรรมะ ที่หยุดการเวียนว่ายตายเกิดของเรา
สรรพสัตว์ทั้งหลาย มันต้องหยุดพลังงานด้วยการมีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องแล้วเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ เรียกว่าศีล ที่เป็นพระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่ คนเราต้องหยุดกายหยุดวาจาหยุดใจ ต้องเริ่มจากหยุดใจก่อน ต้องสมาทาน ต้องตั้งใจประพฤติตั้งใจปฏิบัติ ความเคยชินของเรา มันคือความเห็นผิดความเข้าใจผิด ทำให้เราปฏิบัติผิด เราต้องเข้าสู่ศาสนาเข้าสู่ธรรมวินัย ให้ทุกคนเข้าใจ ผู้ที่ยังไม่รู้จักศาสนา ปฏิบัติเพื่อจะเอาเพื่อจะมีเพื่อจะเป็น เอาตัวตนไว้เพื่อให้มีการบรรลุธรรม มันไม่ใช่ พระพุทธเจ้าบอกเราให้เราพากันหยุด หยุดตัวเองหยุดตัวตน ไม่มีสักกายทิฏฐิ ไม่มีตัวไม่มีตน มีฉันทะมีความพอใจในการประพฤติปฏิบัติ ไม่อย่างนั้นไม่ได้ เราจะเป็นนักบวช ก็ต้องปฏิบัติที่ใจ นักบวชนี้ได้เปรียบเพราะว่ายังเป็นพระภิกษุสามเณร ศีลมีในพระปาฏิโมกข์ 227 ข้อ ภิกษุณีมี 311 ข้อ และในพระวินัยปิฎกอีก 21,000 พระธรรมขันธ์
ความดับทุกข์ของมนุษย์ มันอยู่ที่เรามีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้องแล้วปฏิบัติให้ถูกต้องที่ปัจจุบัน ถ้าปัจจุบันเราไม่เอาธรรม เราจะไปตามใจตัวเองตามอารมณ์ตัวเองตามความรู้สึกตัวเอง มันผิด มันเสียหาย ไม่มีใครยกเว้น การที่มีศีลเยอะพระวินัยเยอะๆ มันดี มันลงรายละเอียด ให้เราหยุดกรรมหยุดเวรหยุดภัยของตัวเอง ขึ้นชื่อว่าเรามีต้นทุนมีอุปกรณ์ในการประพฤติปฏิบัติ ให้ทุกท่านทุกคนพากันเข้าใจอย่างนี้นะ ความเป็นพระ เขานับตั้งแต่พระโสดาบันไปจนถึงพระอรหันต์ ไม่ใช่แบรนด์เนม พวกแบรนด์เนม ถ้าเราไม่ทำตามพระธรรมวินัย ก็เท่ากับเราพากันเป็นแก๊งโจร
ทุกท่านทุกคนให้พากันเข้าใจ อันนี้ไม่เข้าใจอะไรเลย ปล่อยให้ตัวเองคิด ปล่อยให้ตัวเองพูด ปล่อยให้ตัวเองทำ จนมันเสียหาย ไม่ได้ประพฤติไม่ได้ปฏิบัติ การประพฤติปฏิบัติของเรามันอยู่ทุกหนทุกแห่ง ไม่ได้อยู่ที่ไหนหรอก แล้วแต่ใครมีหน้าที่การงานที่ต้องรับผิดชอบ ต้องพัฒนาใจไปพร้อมกับพัฒนาเทคโนโลยีไปพร้อมๆ กัน สร้างสิ่งภายนอกไปตามหลักเหตุผลตามหลักวิทยาศาสตร์ แล้วต้องพัฒนาใจ เพื่อไม่ให้มีความหลงในสิ่งที่ได้ ในสิ่งที่มี ในสิ่งที่เป็น เราจะได้เป็นมนุษย์ที่ฉลาด เป็นมนุษย์ที่มีสติมีปัญญา
เราต้องพากันเข้าใจเรื่องพระศาสนา มันต้องเริ่มที่ใจ เริ่มที่เจตนา ทุกคนต้องหยุดมีเซ็กส์ทางความคิด หยุดมีเซ็กส์ทางอารมณ์ มีเพศสัมพันธ์ทางความคิด มีเพศสัมพันธ์ทางอารมณ์ ตั้งอยู่ในสติอยู่ในปัญญา ตั้งอยู่ในสมาธิด้วยความไม่ประมาท ถึงจะเอร็ดอร่อยเท่าไหร่ ก็ต้องเสียสละ ถึงแม้เราจะไม่อยากเสียสละ ก็ต้องเสียสละ เพราะเราจะได้ละ เราจะได้ทิ้ง ให้มันเป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม แต่ก่อนเราไม่เข้าใจเราเป็นประชาชน เราเลยคิดไปเรื่อยมันไม่ได้ ถึงแม้เราจะไม่ทำเองให้ผู้อื่นทำแทน ก็ถือว่าเป็นบาป เพราะเรายังมีเซ็กส์ทางความคิด มีเซ็กส์ทางอารมณ์ คนเราเป็นประชาชนได้ภรรยาคนเดียวก็พอแล้ว เรามาหยุดมีเซ็กส์ทางความคิด หยุดมีเซ็กส์ทางอารมณ์ ไม่อย่างนั้น เราจะแก้ไขตัวเองไม่ได้ พระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่ถึงลงรายละเอียด ทั้งความคิดทั้งอารมณ์ก็ต้องหยุดหมด ถ้าเราหยุดภายนอกแต่ใจเราไม่หยุดมันไม่ได้ เราต้องหยุดมาจากใจ หยุดมาจากเจตนา เพราะความคิดอารมณ์ ความปรุงแต่ง ความยึดมั่นถือมั่น มันเป็นฮอร์โมนเป็นพลังงาน การกระทำทุกๆ อย่างมันเป็นสื่อมันเป็นสายล่อฟ้าล่อกระแส มันเป็นวัตถุอนามาสที่มันดึงเราไป พระพุทธเจ้าถึงไม่ให้เราแตะต้อง ไม่ให้เราพูดไม่ให้เราคิดไม่ให้เราทำ เป็นนักบวชก็ปฏิบัติเหมือนกัน เป็นคฤหัสถ์ก็ต้องปฏิบัติเหมือนกัน มันต้องอาศัยใช้การประพฤติปฏิบัติ ถ้าเรารู้เฉยๆ เราเข้าใจเฉยๆ มันก็เป็นผู้มีสติมีปัญญา มันไม่ได้เข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติอะไร เพราะเรารู้เราไม่ได้บริโภคเราไม่ได้ปฏิบัติอย่างนี้ มันก็ไม่มีประโยชน์อะไร
ทุกสิ่งทุกอย่างเราต้องมาพิจารณาสู่พระไตรลักษณ์ เพราะว่าพระไตรลักษณ์ คืออนิจจัง คือว่าไม่แน่ไม่เที่ยงไม่มีตัวตน เป็นอุปกรณ์ที่เราจะเอามาทำงาน ที่เราจะเอามาปฏิบัติ เราต้องปรับตัวเอง เหมือนนักบวชที่เขาบวชมาแล้วไม่มีเซ็กส์กับเพศตรงกันข้าม ไม่มีเพศสัมพันธ์กับเพศตรงกันข้าม และไม่มีการช่วยเหลือตัวเอง มันจะค่อยๆ หยุดไปอย่างนี้ ผู้หญิงก็ไม่ช่วยเหลือตัวเอง ผู้ชายก็ไม่ช่วยเหลือตัวเอง การที่จะหยุดอันนี้ได้ก็ต้องหยุดที่ความคิดก่อน นี่ไม่ใช่พูดคำหยาบแต่เป็นพูดหลักการ การที่ไม่มีเพศสัมพันธ์แต่ไปดูรูปในโทรศัพท์และคอมพิวเตอร์และช่วยเหลือตัวเองมันก็เป็นบาปเป็นกรรม มันก็อย่างเก่า เราก็เข้าถึงอวิชชาเข้าถึงความหลงอย่างเก่า พวกนี้มันต้องหยุด พระพุทธเจ้าจึงไม่ให้เราดูหนังฟังเพลง บางคนไม่มีเพศสัมพันธ์กับเพศตรงกันข้ามแต่มีเพศสัมพันธ์กับป่าเดียวกัน มันก็อย่างเดียวกันคือมันเข้าไปถึงความสุดยอดแห่งอวิชชา ความสุดยอดแห่งความหลง
โลกทุกวัน อยู่ในขั้น กลียุค ที่เบิกบุก เร็วรุด สู่จุดสลาย
จนสิ้นสุด มนุษยธรรม ด่ำอบาย เพราะเห็นกง-จักรร้าย เป็นดอกบัว
กิเลสไส-หัวส่ง ลงปลักกิเลส มีความแกว่น แสนพิเศษ มาสุมหัว
สามารถดูด ดึงกันไป ใจมืดมัว เห็นตนตัว ที่จมกาม ว่าความเจริญ
มองไม่เห็น ศีลธรรม ว่าจำเป็น สำหรับอยู่ สุขเย็น ควรสรรเสริญ
เกียรติ กาม กิน บิ่นบ้า ยิ่งกว่าเกิน แล้วหลงเพลิน ความบ้า ว่าศีลธรรมฯ
อุปมาโทษของกาม
๑. กามเปรียบเหมือนท่อนกระดูกเปล่า ไม่มีเนื้อและเลือดติดอยู่ เมื่อสุนัขหิวมาแทะเข้า ยิ่งแทะยิ่งเหนื่อย ยิ่งหิว อร่อยก็ไม่เต็มอยาก ไม่เต็มอิ่ม พลาดท่าแทะพลาดไปถึงฟันหักได้ พวกเราก็เหมือนกันที่หลงว่า มีคู่รักแล้ว แต่งงานแล้วจะมีสุข พอมีเข้าจริงไม่เห็นจะสุขจริงสักราย ต้องมีเรื่องขัดใจให้ตะบึงตะบอนกัน ให้กลุ้มใจให้ห่วงกังวล ทั้งห่วง ทั้งหวง ทั้งหึง ไม่เว้นแต่ละวัน ที่หนักข้อถึงกับไปกระโดดน้ำตาย หรือผูกคอตายเสียก็มากต่อมาก พอจะมีสุขบ้างก็ประเดี๋ยวประด๋าว พอให้มันๆ เค็มๆ เหมือนสุนัขแทะกระดูก หรือแม้แต่เวลาที่เสพกาม เวลาที่กำลังมีเพศสัมพันธ์ มองเข้าจะเห็นว่า มันไม่มีทางถึงที่สุด มันได้แล้วมันจะอยากต่อไปเรื่อยๆ แต่ทำเท่าไหร่ ทำกี่ครั้ง มันก็ไม่หายอยาก ได้แต่ความเหนื่อยเปล่า กับสุขลมๆ แล้งๆ ได้แล้ว เหมือนจะสุข จะสุข แต่พอเสร็จ... ก็อยากอีก อย่างนี้ไปเรื่อยๆ หนึ่งครั้ง สามครั้ง ห้าครั้ง ร้อยครั้ง พันครั้ง ชั่วชีวิต ก็ไม่สมอยาก ความต้องการยังคงมีอยู่เรื่อยๆ อีกทั้งเรื่องทางวัตถุก็เช่นกัน ได้มาเสพทางตา ทางหู ดูหนัง ฟังเพลง กินข้าว กระเป๋า รองเท้า รถ บ้าน แฟน ไม่ว่าจะได้มาเสพสักเท่าไหร่ ก็ยังไม่หายหิว หายอยาก ยิ่งเสพ ยิ่งเหนื่อย เหนื่อยหาเงิน เหนื่อยตัว เปลืองตัว เปลืองกาย เปลืองใจ เพื่อจะให้ได้มา ทำอย่างไรก็ไม่อิ่ม แต่การออกจากกาม จากตัณหานั่นแหละตัวอิ่มแท้ อยากอิ่มต้องเดินสวนทาง
๒. กามเปรียบเหมือนชิ้นเนื้อที่แร้งหรือเหยี่ยวคาบบินมา แร้ง กา หรือเหยี่ยวตัวอื่นก็จะเข้ารุมจิกแย่งเอา คือไม่เป็นของสิทธิ์ขาดแก่ตัว ผู้อื่นแย่งชิงได้ คนทั้งหลายต่างก็ต้องการหมายปองเอา จึงอาจต้องเข่นฆ่ากันเป็นทุกข์แสนสาหัส เราลองสังเกตดูก็แล้วกัน ที่มีข่าวกันอยู่บ่อยๆ ทั้งฆ่ากัน ชิงรักหักสวาทน่ะ หรือรอบๆ ตัวมีบ้างไหม ที่กว่าจะได้แต่งงานกันก็ฝ่าดงมือ ฝ่าดงเท้าเสียแทบตาย ถูกตีหัวเสียก็หลายที พอแต่งแล้วก็ยังไม่แน่ เดี๋ยวใครมาแย่งไป อีกแล้ว ยิ่งสวยเท่าไรยิ่งหล่อเท่าไร ยิ่งอันตรายเท่านั้น กามนี้ไม่ได้หมายถึงเรื่องเพศอย่างเดียว แต่เป็นเรื่องความอยากด้วย อยากได้เงินทอง อยากได้ไอโฟน อยากได้รถ ได้บ้าน ต้องเหน็ดเหนื่อยกว่าจะได้เงินมาผ่อน มาซื้อ ทำงานแทบปางตาย ผ่านสงครามลูกน้อง เจ้านาย ลูกค้า เพื่อนร่วมงาน จิก กัด ตัดขาเก้าอี้ เพื่อให้ได้ตำแหน่ง ให้ได้เงินมาเพื่อมาเสพกาม เพื่อมาเสพวัตถุ คิดว่าเป็นความสุข แต่หารู้ไม่กว่าจะได้วัตถุกามมาแต่ละอย่าง แย่งกันบนโลกแทบปางตาย จิกกัดกันเพื่อจะเอาวัตถุมาเสพ
๓. กามเปรียบเหมือนคนถือคบเพลิงที่ทำด้วยหญ้าลุกโพลงเดินทวนลมไป ไม่ช้าก็ต้องทิ้ง มิฉะนั้นก็โดนไหม้มือ ระหว่างเดินก็ถูกควันไฟรมหน้า ต้องทนทุกข์ทรมานย่ำแย่ คนเราที่ตกอยู่ในกามก็เหมือนกัน ต้องทนรับทุกข์จากกาม ทำงานงกๆ หาเงินเลี้ยงลูกเลี้ยงเมีย ต้องกลุ้มอกกลุ้มใจ ลูกจะเรียน ที่ไหนดี จะเกเรหรือเปล่า เมียจะนอกใจไหม เดี๋ยวก็มีเรื่องขัดใจกัน เสร็จแล้ว ก็ไม่ใช่จะได้อยู่ด้วยกันตลอด เดี๋ยวอ้าว! รถชนตายเสียแล้ว อ้าว! เป็นมะเร็งตายเสียแล้ว หรือเผลอประเดี๋ยวเดียวก็ต้องแก่ตายกันเสียแล้ว ไม่ได้อยู่กันไปได้ตลอดหรอก เหมือนคบเพลิงหญ้าถือได้ไม่นานก็ต้องทิ้ง คบเพลิง ถ้าถือเดินทวนลมแล้วไม่รีบปล่อย มันจะลวกหน้าลวกตาเรา ใครที่ติดอยู่ในความอยาก ไม่นานก็ต้องถูกเผาจนหมดสุข มีแต่ทุกข์ล้วน ๆ ทุกข์จากการทำมาหาเลี้ยงชีพ ทุกข์จากการพลัดพราก ทุกข์จากการพะวงว่าจะเสียสิ่งที่รัก ทุกข์จากการไม่สมหวังจากการไม่ได้สิ่งที่รัก ทุกข์จากการพบเจอสิ่งที่ไม่ชอบไม่รัก ของเหล่านี้ ชีวิตใครก็ต้องเจอ ถ้าจะมองว่าชีวิตที่ผ่านมาโชคร้าย ก็ไม่มีโชคร้ายเกินกว่าทุกข์ในกาม ถามใครก็ได้ จะเจอเรื่องแนวเดียวกันหมด คือ เรื่องจากกาม เพราะกาม เพราะอยาก ทำให้ต้องเสียน้ำตา เสียใจ เสียตัว เสียอีกหลาย ๆ อย่าง หันมานั่งสมาธิ รักษาอุโบสถศีล จะมีอาวุธไว้แก้โรคแพ้กาม ยิ่งทำบ่อย ๆ จิตจะเข้มแข็งขึ้น ไม่ใช่สักแต่ว่ารู้ว่าไม่ดี แต่ฝืนไม่ได้ แต่จะกลายเป็นคนที่ชนะได้ในวันหนึ่ง ข้อปฏิบัติในศาสนาพุทธเรื่องภาวนา หยิบมาจะรักษาเราได้ เอาเลย เอาจริง เอาเดี๋ยวนี้ ทำเดี๋ยวนี้ ก่อนที่จะไฟลวกทั้งตัว
๔. กามเปรียบเหมือนหลุมถ่านเพลิงอันร้อนแรง ผู้ที่รักชีวิตทั้งๆ ที่รู้ว่าหากตกลงไปแล้ว ถึงไม่ตายก็สาหัส แต่ก็แปลกเหมือนมีอะไรมาพรางตาไว้ เหมือนมีแรงลึกลับมาคอยฉุดให้ลงหลุมอยู่ร่ำไป พระท่านสอน ที่ใดมีรักที่นั่นมีทุกข์ ก็เชื่อท่านหรอก แต่พอออกนอกวัดเจอสาวๆ สวยๆ หนุ่มรูปหล่อเข้าก็ลืมเสียแล้ว เวลาจะแต่งงานก็คิดถึงแต่ความสวยความหล่อความถูกใจ หาได้มองเห็นไปถึงความทุกข์อันจะเกิดจากกาม เกิดจากชีวิตการครองเรือนไม่ ผู้ที่หลงใหลในกาม เมื่อเห็นคนที่รักเดินจูงมือ เล่นหยอกกับคนอื่น ใจก็รุ่มร้อนเหมือนถูกไฟไหม้ ทำให้เกิดความกระวนกระวาย ฆ่าตัวตาย กินยาพิษบ้างก็ฆ่าสามีภรรยาตัวเองมีให้เห็นมามาก เพราะกามแผดเผาทำให้จิตใจรุ่มร้อนเหมือนคนบ้า ใครตกไปในกาม ไม่มีเลยที่จะเย็นสบาย มีแต่รุ่มร้อน อยากได้เงินมาผ่อนบ้าน ผ่อนรถ ก็ต้องออกไปฝ่าหลุมถ่านเพลิง ถ่านเพลิงเผาให้ร้อน ร้อนจนต้องตื่นมาแต่เช้าทั้งที่ไม่อยากตื่น ฝ่ารถฝ่ารา ฝ่าเรือ กว่าจะได้เงินมาแลกกาม ต้องผ่านหลุมถ่านเพลิงมากมาย บางคนกิจการเจ๊ง บางคนเป็นหนี้ บางคนถูกโกงค่าแรง ต่อสู้กัน ดิ้นรนกันอยู่ในกองไฟ คือความเดือนเนื้อร้อนใจ ไม่ว่าจะนั่งในออฟฟิต หรือขายลูกชิ้นข้างถนน ไฟก็ร้อนไม่ต่างกันด้วย
๕. กามเปรียบเหมือนความฝัน เห็นทุกอย่างเฉิดฉายอำไพ แต่ไม่นานก็ผ่านไป พอตื่นขึ้นก็ไม่เห็นมีอะไร เหลือไว้แต่ความเสียดาย คนเราที่จมอยู่ในกามก็เหมือนกัน แรกๆ ก็คุยกันกะหนุงกะหนิงน้องจ๊ะน้องจ๋า อยู่กันไม่นาน พูดคำด่าคำเสียแล้ว เผลอๆ ถึงตบตีกัน เอาซี่โครงเหน็บข้างฝาเสียเลยก็มีงานก็มากขึ้นเป็น ๒-๓ เท่า ไม่เห็นสุขเหมือนที่คิดฝันไว้ กามเหมือนความฝัน พวกเราจะเป็นคนเพ้อฝันลมๆ แล้งๆ หรือจะเป็นคนยืน อยู่บนความจริง ตั้งใจฝึกฝนตนเองปฏิบัติธรรมกันล่ะ คนอยู่ในความฝัน ทุกอย่างสวยหรู ตื่นมาก็ไม่เห็นอะไร ในกามก็เหมือนฝัน ลองเอาเข้าจริงๆ มองแบบไม่อคติ มองแบบไม่เพ้อเจ้อ มองตรงๆ มีอะไรดีบ้าง ร้านอาหารหรูๆ ทานไปก็ออกมาเป็นอุจจาระที่ไม่อยากจับต้อง ร่างกายที่สวยงามมองลึกแค่หนึ่งเซนติเมตร ก็สะอิดสะเอียนกันและกัน รถ บ้าน ไอโฟน ไอแพด นาฬิกา ก็เพียงธาตุดินที่สมมุติกัน มีอะไรเป็นสาระแก่นสารจริงๆ บ้างที่อยากได้กันนักหนา
๖. กามเปรียบเหมือนสมบัติที่ยืมเขามา เอาออกแสดงก็ดูโก้เก๋ดี ใครเห็นก็ชม แต่ก็ครอบครองไว้อย่างไม่มั่นใจ ได้เพียงชั่วคราว ไม่เป็นสิทธิ์เด็ดขาด เจ้าของตามมาพบเมื่อไรก็เอาคืนเมื่อนั้น ตัวเองก็ได้แต่ละห้อยหา พวกเราก็เหมือนกัน ไปได้แฟนสวยแฟนหล่อมาก็ภูมิใจ ไปไหนๆ ใครๆ ก็ทักว่า คู่นี้สมกันเหมือนกิ่งทองใบหยก ยืดเสียอกตั้งทีเดียว เผลอประเดี๋ยวเดียว อ้าว! ผู้หญิงกลายเป็นยายแร้งทึ้งไปเสียแล้ว ผู้ชายไหงหัวล้านพุงพลุ้ยเสียแล้ว นี่ความหล่อความสวยมันถูกธรรมชาติ ถูกเวลาทวงกลับเสียแล้ว พวกเราจะไปหลงโง่งมงายอยู่กับของขอยืมของชั่วคราวแบบนี้หรือเปล่า สรรพสิ่งไม่ใช่ของถาวร ไม่ว่าจะแฟน รถ บ้าน ถึงเวลาแล้ว ไม่เราอยู่ มันจากไป ไม่ก็ มันอยู่ เราจากมันไป ด้วยตายบ้าง หายบ้าง ถูกพรากไปบ้าง จะไปยึดไปหวงว่าเป็นของตัวให้โง่ทำไม แล้วที่หวงกัน แย่งกันนี่เหนื่อยไหม ถ้ารู้สึกตัวแล้วเหนื่อยก็ไม่ต้องทำ ทำสิ่งที่ตรงกันข้าม แล้วชีวิตจะเบา จะสบาย จะถึงที่หมายโดยไม่ต้องรอให้รวย ให้หรู ให้มี
๗. กามเปรียบเหมือนต้นไม้มีผลดกอยู่ในป่า ใครผ่านมาเมื่อเขาอยากได้ผล จะด้วยวิธีไหนก็เอาทั้งนั้น ปีนได้ก็ปีน ปีนไม่ได้ก็สอย บางคนก็โค่นเลย ใครอยู่บนต้นลงไม่ทันก็ถูกทับตาย เบาะๆ ก็แข้งขาหัก พวกเราก็เหมือนกัน บางคนคงเคยเจอมาแล้ว เที่ยวไปจีบคนโน้นคนนี้ ยังไม่ทันได้มาเลย ถูกเตะต่อยมาบ้าง ถูกตีหัวมาบ้าง ได้แต่บ่นรู้อย่างนี้นอนอยู่บ้านดีกว่า นี่เหมือนผลไม้ในป่า ยิ่งดกยิ่งสวย แล้วก็ระวังเถอะจะเจ็บตัว หรือจะลงทุนเปิดร้าน เปิดบริษัท มีหุ้นส่วน ผลไม้คือผลประโยชน์นี่ก็อร่อยล่อตาล่อใจ ไม่นานก็จะต้องถูกมือดี ชิงเอาผลประโยชน์ไปไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง หรือคนรวยๆ มีอันจะกิน ถูกฆ่าตายกันเพราะผลประโยชน์นี่ก็เห็นมามากแล้ว ยิ่งรวยมาก มีมาก ผลยิ่งดก อันตรายยิ่งรอบตัว ยิ่งอยู่อย่างไม่มีความสุข คิดอย่างง่ายๆ เดินถือเงินล้านใส่กระเป๋า กับเดินตัวเปล่าๆ ไป สองคนนี้ใครต้องระแวงซ้ายขวา ไม่เป็นตัวของตัวเอง นี่มองอย่างง่าย
๘. กามเปรียบเหมือนเขียงสับเนื้อ ใครไปยุ่งเกี่ยวก็เหมือนกับเอาชีวิตให้ถูกสับ เพราะกามเป็นที่รองรับทุกข์ทั้งหลาย ทั้งกายและใจ เหมือนเขียงเป็นที่รองรับคมมีดที่สับเนื้อจนเป็นแผลนับไม่ถ้วน เข้าไปหากามปุ๊บ ก็เหมือนเข้าไปหาปัญหาปั๊บ ถูกหั่นถูกสับทันที เพราะพื้นที่ของกาม เป็นพื้นที่ของปัญหา ปัญหาสารพัดคงไม่ต้องจำแนกกัน ของใครของคนนั้นรู้ตัวดี
๙. กามเปรียบเหมือนหอกและหลาว ทำให้เกิดทุกข์ทิ่มแทงหัวใจ เกิดความเจ็บปวดรวดร้าวมาก ใครไปพัวพันในกามแล้ว ที่จะไม่เกิดความเจ็บช้ำใจนั้นเป็นไม่มี เหมือนหอกหลาวที่เสียดแทงร่างกายให้เกิดทุกขเวทนาอย่างนั้น เวลาโดนทิ่มแทงที แทบไม่อยากลุกออกจากที่นอน เพราะมันหมดเรี่ยวหมดแรง ขามี เหมือนไม่มี จมูกมี เหมือนไม่ได้หายใจ แขนมี เหมือนขยับไม่ได้
๑๐. กามเปรียบเหมือนหัวงูพิษ เพราะกามประกอบด้วยภัยมาก ต้อง มีความหวาดระแวงต่อกันอยู่เนืองๆ ไม่อาจปลงใจได้สนิท วางจิตให้โปร่งไม่ได้ เป็นที่หวาดเสียวมาก อาจฉกให้ถึงตายได้ทุกเมื่อเหมือนหัวงูพิษ เผลอเมื่อไหร่ กัดทันทีด้วยพิษกาม ไม่ตายในชาตินี้แต่ถึงสมหวังในกามชาติหน้าก็เตรียมตัวลงอบายได้ ไม่มีทางรอด เพราะจิตติดพิษคือกามแล้ว ต้องตายอย่างเดียว
ทั้งหมดนี้ คืออุปมาโทษของกามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้
ศีลนักบวชสำหรับประพฤติพรหมจรรย์เป็นศีลข้อที่ ๑ ก็คือการเกี่ยวข้องกับกาม มันคือสาเหตุแห่งการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะสงสาร ในสงสารวัฏ ที่ใจยังมีอวิชชา มีความยึดมั่นถือมั่น มีความหลง ที่เอาตัวตนเป็นใหญ่ เป็นที่ตั้ง ถึงได้เกิดเป็นกรรม เป็นสัญชาตญาณแห่งสรรพสัตว์ทั้งหลายทั้งปวงที่เกิดมา เรื่องมีคู่ครอง ถึงต้องมาตัดวงจรแห่งการเวียนว่ายตายเกิด ด้วยความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ด้วยเจตนาเพราะว่าไม่มีเพศสัมพันธ์ ทั้งทางกาย ทั้งทางวาจา และทางจิตใจ อันนี้เป็นต้นสาเหตุ อาบัติกลาง อาบัติเล็ก เริ่มมาจากความเห็นผิด เข้าใจผิด มนุษย์เราอย่างมากพรหมจรรย์ระดับเบื้องต้นก็ต้องมีศีล ๕ ถึงจะมีปัญญาได้ สำหรับพระภิกษุ แม้แต่คิดก็ผิดแล้ว คือ การมีเพศสัมพันธ์ทางจิตใจแล้ว ไม่อย่างนั้นการที่มาบรรพชาอุปสมบทจะถือว่าเป็นโมฆะ เป็นหมัน ไม่มีประโยชน์อะไร เพราะว่านี้เป็นเรื่องจิตใจ เรื่องคุณธรรม
ทุกคนต้องรู้หลักการที่จะแก้ไขตัวเองนะ ไก่มันฟักไข่ใช้เวลา 3 อาทิตย์ คนเราฝึกตัวเองต้องใช้เวลาหลายเดือน พวกติดอาหารติดอะไรทุกอย่าง มันต้องแก้ไขตัวเองเพราะมันก็อันเดียวกัน มันคืออวิชชาคือความหลง พระพุทธเจ้าถึงให้เราพิจารณาทุกๆ วันว่าเรามีความแก่เป็นธรรมดา มีความเจ็บเป็นธรรมดา มีความตายเป็นธรรมดา มีความพลัดพรากไปเป็นธรรมดา พระพุทธเจ้าถึงไม่ให้เราส่องกระจกเงาดูรูปตัวเอง เพราะคนเราถ้ามันหลงในตัวในตนมันไม่ได้
พระพุทธองค์ทรงให้เราพิจารณา สิ่งที่ต้องพิจารณาอภิณหปัจจเวกขณ์ คือ ข้อปฏิบัติที่ควรพิจารณาทุกๆ วัน มีอยู่ ๕ ประการ ได้แก่
๑. เรามีความแก่เป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความแก่ไปได้ เมื่อพิจารณาอย่างนี้แล้ว ย่อมเป็นเครื่องบรรเทาความประมาท ความมัวเมา ความลุ่มหลงในวัย ไม่ให้ประมาทในการดำรงชีวิตในแต่ละวัยก่อนความแก่จะมาถึง
๒. เรามีความเจ็บเป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความเจ็บไปได้ ความเจ็บไข้ได้ป่วยย่อมเกิดขึ้นได้กับทุกคน และความเจ็บมีทั้งรักษาได้และรักษาไม่ได้ปะปนกันไปสักวันหนึ่งเราจะต้องเจ็บแน่นอน ดังนั้นพึงพิจารณาให้ได้ทุกๆ วัน
๓. เรามีความตายเป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความตายไปได้ ความตายไม่มีนิมิตหมายจะตายเมื่อไรไม่มีใครรู้ แต่ที่รู้ๆ ก่อนตายเราควรทำอะไรให้กับชีวิตที่มีอยู่ เพราะความตายเราหนีไม่พ้นแน่นอน ดังพระพุทธพจน์ที่ยกขึ้นแสดงในเบื้องต้นว่า “ชีวิตเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน แต่ความตายเป็นสิ่งที่แน่นอน เราทั้งหลายจะต้องตายเป็นแน่แท้ไม่วันใดก็วันหนึ่ง ไม่เวลาใดก็เวลาหนึ่ง ชีวิตทุกชีวิตมีความตายเป็นที่สุด จบลงด้วยความตาย ท่านทั้งหลายจงเจริญมรณสติภาวนาดังนี้เถิด”
๔. เราจะต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจทั้งสิ้น เป็นการย้ำเตือนอยู่ตลอดเวลาว่า ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับเราทั้งสิ่งชอบใจและไม่ชอบใจ ต่างต้องมีอันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปในที่สุด เป็นการเตรียมใจรับกับ ภาพที่เป็นจริงที่จะเกิดขึ้น ไม่ว่าเราจะรู้ตัว หรือไม่รู้ตัวก็ตามเพื่อป้องกันความเศร้าโศกเสียใจ ให้คลายความยึดมั่นถือมั่นเสีย
๕. เรามีกรรมเป็นของตน เป็นทายาทแห่งกรรม มีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย เราทำกรรมใดไว้ เราทำดีจักได้ดี ทำชั่วจักได้ชั่ว เราจะต้องเป็นผู้รับผลของกรรมนั้น
การที่เราไม่ได้พิจารณา อภิณหปัจจะเวกข์ มันจะหลงนะ หลงในตัวในตน ในที่อยู่ที่อาศัย หลงให้พี่น้องวงศ์ตระกูล ท่านให้เราพิจารณาให้เห็นเป็นสภาวะธรรม ถ้าเราไม่พิจารณาตัวเองสู่พระไตรลักษณ์เราก็ต้องอาบัติทุกกฎ เพราะฐานที่เราตั้งอยู่ในความเพลิดเพลินอยู่ในความประมาท มองเห็นคนอื่นก็มองให้เป็นพระไตรลักษณ์ ให้เห็นเป็นโครงกระดูกเดินได้ทำบ่อยๆ ปฏิบัติบ่อยๆ ท่านถึงให้ผู้ที่เป็นพระไม่ให้ส่องกระจกเงา การที่พวกผู้หญิงแต่งตัวอะไรต่างๆ มันทำให้เป็นสาเหตุของความกำเนิดเกิดความยินดี ตั้งอยู่บนอวิชาอยู่บนความหลง
เรามาปล่อยวางไม่ใช่ไม่ให้อาบน้ำไม่ใช่ไม่ให้แต่งตัว เราต้องพัฒนาการใจของเรา เรามันสกปรกมันโสโครกเราก็ถูสบู่ ซักผ้าด้วยผงซักฟอก อย่าให้มันเหม็น เพราะคนเราถ้าไม่ได้อาบน้ำวันหรือ 2 วันมันเหม็น ต้องภาวนาอย่างนี้ การที่เราไปทำอย่างนั้นๆ มันน้อมไปสู่ความเป็นวัตถุอนามาสได้ เป็นวัตถุแห่งความหลง มันเพื่อความกำหนัดยินดีกับทุกๆ คน มันไม่หลงอะไรหรอก มันหลงอารมณ์ หลงความคิด หลงตัวหลงตน
ที่พระพุทธเจ้าทรงเทศน์ โภชะเน มัญตัญญุตา หมายถึง ให้รู้จักประมาณในการบริโภค รวมถึง การบริโภคความคิด เราบริโภคความคิดที่เป็นกาม รู้จักว่าอันไหนความคิด อันไหนไม่ควรคิด อันไหนควรหยุด ควรเบรค เค้าเรียกว่ารู้จักว่าของอันไหนบริโภคได้บริโภคไม่ได้ เพราะการเสพ การที่ตากระทบรูป หูกระทบเสียง ถ้าเราไม่หยุดเอง ไม่พิจารณาให้เกิดปัญญา เค้าเรียกว่ามีเพศสัมพันธ์ทางจิตใจ เราพากันเข้าใจแต่เรื่องภายนอกแล้วก็ไม่รู้เรื่องทางจิตใจ ใจของเรามันไม่มีเพศสัมพันธ์ในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ลาภ ยศ สรรเสริญ
เราต้องรู้จัก ว่าอันนี้ทุกข์ อันนี้เหตุเกิดทุกข์ ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ เราต้องหยุดเราด้วยศีล ด้วยสมาธิ ด้วยปัญญา เพราะเราโชคดี เราเป็นคนตาดี หูดี เรามีตาดีไม่บอดไม่ฝ้าไม่ฟาง เรามีหูดีไม่หนวก อันนี้เป็นอุปกรณ์ ที่ให้เราได้พิจารณาให้เกิดสติปัญญา ให้เกิดวิปัสสนา ให้เกิดพระกรรมฐาน ถ้าไม่มีสิ่งเหล่านี้ก็เราจะไปรักษาศีลที่ไหน ไปทำสมาธิที่ไหน เจริญปัญญาที่ไหน เรามีสนามสอบในชีวิตประจำวัน ชีวิตของเราเป็นปัจจุบันปฏิบัติธรรม ต้องเปลี่ยนวิถีความคิดใหม่ พวกนักบวชต้องเปลี่ยนวิถีความคิดใหม่ ถ้าไม่เปลี่ยนวิถีความคิดใหม่ไม่ได้นะ เรามีอุปกรณ์ เราต้องเอามาใช้เอามาปฏิบัติ อุปกรณ์คือศีล อุปกรณ์คือสมาธิ อุปกรณ์คือการฝึกเจริญปัญญา
การทำกิจพระศาสนาคือภาวนาให้มันเกิดวิปัสสนา เราทำได้อยู่ทุกหนทุกแห่ง เราจะพากันเจ็บปวดไปเรื่อยไม่ได้ ปล่อยให้กิเลสมันหมดเองมันไม่หมด เพราะมันต้องเกิดจากการประพฤติปฏิบัติ ที่มันขาดข้อวัดกิจวัตรขาดอะไรต่างๆมันไม่ได้ มันตั้งอยู่บนความเพลิดเพลิน ตั้งอยู่ในความประมาท เราไม่เห็นความสำคัญที่จะแก้ไขตัวเอง เรามีธุรกิจมีหน้าที่ที่ต้องประพฤติปฏิบัติในการแก้ไขตัวเอง การทำตามใจตัวเองทำตามอารมณ์ตัวเองมันสร้างหนี้สร้างสิน เพราะมรรคผลนิพพานมันอยู่ที่เราทุกคนพากันแก้ที่ตัวเรา เป็นพระปฏิบัตินี่มันดีมาก บ้านก็ไม่ได้เช่าข้าวก็ไม่ได้ซื้อ เขาเอาของมาไหว้ก็ยังมากราบมาไหว้ เราต้องประพฤติปฏิบัติทำความเพียร ทำข้อวัตรของเราอย่างนี้ ถ้าขี้เกียจขี้คร้านมันเป็นอบายมุขอบายภูมิ เราต้องมีจุดมุ่งหมายชัดเจน
ผู้ที่เป็นนักบวชทั้งหลาย เราจะเอาพระพุทธศาสนามาเป็นที่อยู่ที่อาศัยที่พักผ่อนที่ทำมาหากิน มันคิดอย่างคนไม่ฉลาด มันคิดอย่างคนเห็นแก่ตัว มันต้องเข้าสู่พระธรรมสู่พระวินัย อย่าไปทำเหมือนพระที่ออกจาริกออกธุดงค์ มันไม่ได้ธุดงค์นะ มันหาเที่ยวดูบ้านนู่นบ้านนี่หาดูคนอื่นนะ ถ้าเราไม่รู้จักคำว่าศีล ไม่รู้จักคำว่าธุดงค์ เราไม่ได้กลับมาแก้ไขตัวเองนะ ให้ใจมันสงบให้ใจมันเย็น ไม่ใช่สะพายบาตรเดินไปเรื่อยๆ มันยิ่งเพิ่มความบ้าให้ตัวเองนะ เพราะมันไม่ได้จัดการกับตัวเองไม่รู้จักศาสนาเลย ไม่ใช่พระธรรม ไม่ใช่พระวินัย ไม่ใช่ธุดงค์ เราไม่ได้แก้ตัวเอง ไม่มีคำว่าบวชเลย เราต้องเข้าใจ
ทุกท่านทุกคนมีการมีงานที่จะต้องประพฤติปฏิบัติ ไม่ว่าจะเป็นนักบวช ไม่ว่าประชาชนที่ทำมาหากินก็ต้องปฏิบัติธรรมะด้วย พระพุทธเจ้าถึงให้พากันรักษาศีล 5 วันพระก็ถือศีล 8 ศีลอุโบสถ มาอยู่วัดไม่ยอมรักษาศีล 8 ไม่ได้ฝึกใจเลย เหนื่อยสักหน่อยก็ไม่อดไม่ทนไม่รู้จักเบรคตัวเอง ไม่รู้จักหยุดตัวเองเลย มันไม่ได้ไม่ดี เวลาอยากได้เงินอยากได้เยอะๆ แต่ว่าการฝึกใจไม่อยากฝึกเยอะๆ อันนี้มันเป็นความเห็นแก่ตัวนำหน้า เราต้องเอาสัมมาทิฏฐินำหน้านะ ผู้ปฏิบัติธรรมต้องเน้นที่ปัจจุบัน ถ้าปัจจุบันเราทำไม่ได้อนาคตเราก็ทำไม่ได้ เพราะอนาคตก็คือปัจจุบันนี้แหละ ผู้ที่มาบวช แม้จะลาสิกขาก็ต้องทำให้ได้ปฏิบัติให้ได้ ไฟท์ในปัจจุบันคือไฟท์ที่เราจะต้องประพฤติปฏิบัติ