แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ในวันศุกร์ที่ ๑๓ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๖๖
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง ชีวิตใหม่ที่เลือกได้ ตอนที่ ๑๗ ตามรอยทางพระอริยเจ้า อย่าไปหลงเสียเวลากับสิ่งที่ไม่ใช่พรหมจรรย์
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
วันนี้เป็นวันที่ครอบครัวของพระอาจารย์ต่อ มาบำเพ็ญบุญกุศลประจำปีให้โยมพ่อ โยมแม่ โยมพี่ชาย โยมพี่สาว ที่ได้ละสังขารวายชนม์ จึงได้มีญาติๆมา พระอาจารย์ต่อเป็นพระดี เป็นผู้ปฏิบัติดี เป็นพระกตัญญูกตเวที ผู้ที่วายชนม์ ที่จากไป สิ่งที่ผู้ที่อยู่ทางบ้านจะมอบให้ คือบุญคือกุศล ผู้ที่อุทิศบุญกุศลผู้ที่ส่งบุญส่งกุศลให้ก็คือ ญาติๆ ผู้ที่จะรับทักษิณาทาน ก็คือพระอริยเจ้า พระอรหันต์ที่จะส่งบุญส่งกุศลไปให้ คนทั่วไปส่วนใหญ่ ศีลยังไม่ดีสมาธิความตั้งมั่นในความดี จึงได้มีประเพณีอุทิศบุญกุศลให้ผู้วายชนม์ คนกำแพงเพชรถึงเป็นผู้ที่โชคดีที่ได้มีพระอาจารย์ต่อเป็นหลัก
วันนี้หลวงพ่อใหญ่พ่อเปิดโอกาสให้ประชาชน ผู้มาถือศีลปฏิบัติธรรมได้ไปตักบาตรหลวงพ่อสุเมโธ หลวงพ่อสุเมโธเป็นพระฝรั่ง จากประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นผู้ที่มีบุญมาเกิดได้มาประพฤติปฏิบัติมาบรรพชาอุปสมบทในพระพุทธศาสนา ได้มาอยู่ที่ประเทศไทย ได้มาบวชได้มาอยู่ประพฤติปฏิบัติกับหลวงพ่อชา สุภัทโท แห่งวัดหนองป่าพง หลวงพ่อชา สุภัทโท เป็นผู้ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ปฏิบัติเอามรรคผลพระนิพพานปฏิบัติตามหลักของหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นเป็นผู้ที่บำเพ็ญพุทธบารมี แต่ได้ละความปรารถนาพุทธบารมีเพื่อมาเป็นพระอรหันต์ขีนาสพ ท่านจึงได้เคร่งครัดในพระธรรมวินัย เยี่ยมยอด ยอดเยี่ยม 100% ไม่ได้ปฏิบัติเป็นผู้ที่ฉลาดอย่างเดียว ต้องเข้าถึงความประพฤติปฏิบัติ 100% ต่อยอดจากผู้มีปัญญาได้เข้าสู่ภาคประพฤติปฏิบัติ เพราะการประพฤติปฏิบัติธรรมนั้น ย่อมหยุด ทั้งทางกาย ทางวาจา ทางจิตใจ เข้าสู่ภาคปฏิบัติ ต้องใช้เวลาอบรมบ่มอินทรีย์หยุดพลังงานแห่งการเวียนว่ายตายเกิด จึงจะเข้าสู่พระศาสนา
หลวงพ่อสุเมโธ ท่านใช้เวลาประพฤติปฏิบัติธรรมตามพระวินัย เป็นเวลา 10 ปี การปฏิบัติธรรมท่านถึงดีถึงได้ผล ทำให้จิตใจท่าน เป็นพระแท้รูปนึงในพระพุทธศาสนา หลวงพ่อชาท่านถึงได้ ส่งหลวงพ่อสุเมโธไปอยู่ทางยุโรปที่ประเทศอังกฤษ เพราะว่าทางยุโรปเขาพัฒนาทางวิทยาศาสตร์พัฒนาเทคโนโลยีไปไกล เขาควรที่จะประพฤติปฏิบัติทางจิตทางใจไปพร้อมๆกัน เพื่อให้เป็นทางสายกลาง เพราะมนุษย์เราสิ่งที่ถูกต้องก็คือต้องพัฒนาทั้งวิทยาศาสตร์และพัฒนาใจไปพร้อมๆกัน ถึงจะได้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ ถ้าไม่อย่างนั้นจะเป็นได้แต่เพียงคน
หลวงพ่อสุเมโธท่านเป็นศิษย์ชาวต่างชาติรูปแรกของหลวงปู่ชา สุภัทโท ที่ได้รับการอบรมสั่งสอน เคี่ยวกรำตรากตรำอย่างหนักทั้งทางกายและทางจิตด้วยอุบายธรรมต่างๆ จนเป็นที่ยอมรับและไว้วางใจจากหลวงปู่ชา ให้ออกไปธุดงค์ในป่าช้า จนตั้งเป็นวัดป่านานาชาติ สาขาหนึ่งของวัดหนองป่าพง ซึ่งใช้เป็นที่รองรับพระภิกษุชาวต่างชาติสืบมา
ท่านพระอาจารย์สุเมโธ (โรเบิร์ต แจ็คแมน) ท่านเกิดในเมืองซีแอตเติ้ล มลรัฐวอชิงตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา ในปี 1934 (พ.ศ.๒๔๗๗) เมื่อสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัย ท่านได้เข้ารับราชการในกองทัพเรือแห่งสหรัฐอเมริกา ในตำแหน่งเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ และได้เข้าร่วมปฏิบัติการในสงครามเกาหลี เมื่อออกจากราชการท่านก็ได้เข้าศึกษาต่อในระดับปริญญาโท ในสาขาวิชาเอเชียใต้ศึกษา (South Asian Studies) มหาวิทยาลัย แห่งแคลิฟอร์เนีย (เบิร์กเลย์) ในปี 1963 (พ.ศ.๒๕๐๖) หลังจากนั้นได้ร่วมงานเป็นระยะเวลาสั้นๆ กับสภากาชาดอเมริกัน ก็ได้เดินทางไปยังแถบตะวันออกไกล และทำงานเป็นครูสอนภาษาอังกฤษ กับหน่วยสันติภาพ (Peace Corp) ซาบาห์ บนเกาะบอร์เนียว ด้วยความที่ท่านสนใจในพุทธศาสนาเป็นอย่างยิ่ง ท่านได้เดินทางมายังประเทศไทยในปี พ.ศ.๒๕๐๙ เพื่อหาทางเข้าสู่ชีวิตอนาคาริก (ผู้ไม่ครองเรือน) ท่านได้บวชเป็นสามเณรที่จังหวัดหนองคายและอุปสมบทเป็นพระภิกษุในอีกหนึ่งปีต่อมา โดยมีท่านเจ้าคุณพระราชปรีชาญานมุนี เป็นพระอุปัชฌาย์ ไม่ช้านานหลังจากที่ท่านได้บวชเป็นพระภิกษุ ในปี พ.ศ.๒๕๑๐ ท่านอาจารย์สุเมโธ ได้ยินกิติศัพท์ความเคร่งครัดในข้อวัตรปฏิบัติของท่านพระอาจารย์ชา (สุภัทโท) แห่งวัดหนองป่าพง จังหวัดอุบลราชธานี ท่านจึงกราบลาพระอุปัชฌาย์ของท่านที่จังหวัดหนองคาย เดินทางมาฝากตัวเป็นศิษย์กับหลวงพ่อชา ซึ่งท่านได้เมตตารับไว้ แต่ตั้งเงื่อนไขว่า... "ท่านจะมาอยู่กับผมก็ได้ แต่มีข้อแม้ว่าผมจะไม่หาอะไรมาบำรุงท่านให้ได้ตามอยาก ท่านต้องทำตามระเบียบข้อวัตร เหมือนที่พระเณรไทยเขาทำ"
ตลอดระยะเวลา ๔ ปีที่ป่าพง ท่านอาจารย์สุเมโธได้รับการฝึกฝนเคี่ยวเข็ญด้วยอุบายต่างๆ จากหลวงพ่อชา ท่านเล่าให้ฟังว่า.. "บางครั้งหลวงพ่อจะดุหรือตักเตือนผมในที่สาธารณะ ทำให้ผมอายมาก บางครั้งท่านเล่าให้โยมทั้งศาลาฟังเรื่องที่ผมทำไม่สวย ไม่งาม เช่น การฉันข้าวด้วยมือเปล่าแต่เปิบไม่เป็น ขยุ้มอาหารขึ้นมาเต็มกำมือแล้วโปะใส่ปาก ใส่จมูกเลอะเทอะไปทั้งหน้า พระเณรและโยมหัวเราะกันลั่นศาลา ผมนั้นทั้งโกรธทั้งอาย แต่ก็ทนได้ และพิจารณาว่า นี่เป็นความกรุณาของหลวงพ่อที่ช่วยเปิดเผยความเย่อหยิ่งของผม ซึ่งมันเป็นจุดบอดที่เรามักจะมองไม่เห็น และยังเป็นอุบายที่ท่านจะทดสอบอารมณ์เราว่ามีพื้นฐานที่จะรองรับธรรมะได้มากน้อยแค่ไหน..."
ทุกเช้าเวลาหลวงพ่อกลับจากบิณฑบาต จะมีพระเณรหลายองค์ไปรอล้างเท้าท่าน ระยะแรกๆ ที่ผมไปอยู่วัดป่าพง เห็นกิจวัตรนี้ทีไร ก็นึกค่อนขอดพระเณรเหล่านั้นอยู่ในใจ แต่พออยู่นานเข้าผมก็เป็นไปด้วย เช้าวันหนึ่งก่อนที่ผมจะรู้ตัวว่าเป็นอะไร ผมก็ปราดเข้าไปอยู่หน้าพระเณรองค์อื่นเสียแล้ว ขณะก้มลงล้างเท้าถวายท่าน ผมได้ยินเสียงนุ่มๆ กลั้วเสียงหัวเราะของหลวงพ่อว่า "สุเมโธ ยอมแล้วเหรอ..."
"เช้าวันหนึ่ง ผมกำลังกวาดใบไม้ที่ลานวัด อารมณ์ไม่ดี รู้สึกหงุดหงิดขัดเคือง และรู้สึกว่าตั้งแต่มาอยู่ที่วัดป่าพงเจอแต่ทุกข์ พอดีหลวงพ่อเดินตรงมายังผม ท่านยิ้มให้พร้อมกับพูดว่า "วัดป่าพงทุกข์มาก!" แล้วท่านก็เดินกลับไป ผมสงสัยว่าทำไมหลวงพ่อพูดอย่างนี้ กลับไปกุฏิ พิจารณาได้สติว่า ทุกข์ไม่ได้เกิดจากวัดป่าพง แต่เกิดจากจิตใจเราเอง..."
ต่อมาปี พ.ศ.๒๕๑๓ ได้มีชาวอเมริกันอีกสองคนเข้ามาบวชที่วัดหนองป่าพง แต่อยู่ได้ราวหนึ่งปีทั้งคู่ก็ลาสิกขาไป คนหนึ่งเป็นนักเขียนได้จดบันทึกคำสอนของหลวงพ่อแล้วนำไปพิมพ์เผยแพร่ ทำให้ชื่อเสียงของหลวงพ่อเป็นที่รู้จักในหมู่ชาวต่างประเทศยิ่งขึ้น ส่วนอีกคนเป็นนักจิตวิทยา ชอบวิพากษ์ครูบาอาจารย์ต่างๆ เว้นไว้แต่หลวงพ่อองค์เดียวที่เขาเคารพเทิดทูนมาก หลังลาสิกขาบท เมื่อได้พบชาวต่างประเทศที่กำลังแสวงหาครูอาจารย์ เขามักแนะนำให้มาพบกับหลวงพ่อ ทำให้พระฝรั่งในวัดหนองป่าพงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ผู้คนที่มาวัดหนองป่าพง ต่างทึ่งที่เห็นพระฝรั่งปฏิบัติกรรมฐานเคร่งครัดอยู่เคียงข้างกับพระไทย จึงเกิดความสงสัยว่า หลวงพ่อสอนชาวต่างประเทศได้อย่างไร ในเมื่อท่านไม่คุ้นเคยกับภาษาอังกฤษ และลูกศิษย์ฝรั่งเองก็ไม่คุ้นเคยภาษาไทย หลวงพ่อชี้แจงว่า.."ที่บ้านโยมมีสัตว์เลี้ยงหรือเปล่า อย่างหมา แมว หรือวัวควายอย่างนี้ เวลาฝึกหัดมัน โยม ต้องรู้ภาษาของมันด้วยไหม?..."
"ถึงแม้มีลูกศิษย์เมืองนอกมาอยู่ด้วยมากๆ อย่างนี้ ก็ไม่ได้เทศน์ให้เขาฟังมากนัก พาเขาทำเอาเลย ทำดีได้ดีถ้าทำไม่ดีก็ได้ของไม่ดี พาเขาทำดู เมื่อเขาทำจริงๆ ก็เลยได้ดี เขาก็เลย เชื่อ..."
ครั้งหนึ่งเมื่อถูกถามปัญหาเช่นนี้ ท่านตอบแบบขำๆ ว่า.. "ไม่ยากหรอกดึงไปดึงมาเหมือนควาย เดี๋ยวมันก็เป็นเท่านั้นแหละ"
๗ พรรษาผ่านไป ท่านสุเมโธได้รับอนุญาตให้ไปไหนมาไหนได้ตามลำพัง ในปี พ.ศ.๒๕๑๐ ท่านจึงเดินทางไปยังประเทศอินเดีย จาริกไปตามที่ต่างๆ เป็นเวลาห้าเดือน ปฏิบัติตามพระวินัยอย่างเคร่งครัด ถือธุดงค์วัตร ไม่รับเงิน ไม่สะสมอาหาร ฉันมื้อเดียวก่อนเที่ยง และฉันในบาตร อย่างไรก็ดี ประสบการณ์ในประเทศอินเดียกระตุ้นให้ท่านสุเมโธกลับมาอยู่กับท่านอาจารย์อีก อุทิศกายใจและรับใช้ท่านอาจารย์ต่อไป ไม่ปรากฏเป็นหลักฐานว่าท่านอาจารย์ชาท่านมีปฏิกิริยาต่อกรณีย์นี้อย่างไร อาจจะเป็นเพียงยิ้มน้อยๆ เท่านั้น แต่ในพรรษาที่ ๘ ท่านสุเมโธได้รับมอบหมายให้ไปจัดตั้งวัดสาขาอีกแห่งหนึ่ง เฉพาะสำหรับพระภิกษุชาวตะวันตก ณ ป่าช้าแห่งหนึ่งในตำบลบุ่งหวาย ไม่ไกลจากวัดหนองป่าพงเท่าใดนัก
เวลาผ่านไปพร้อมกับอุปสรรคเล็กๆ น้อยๆ ในที่สุดท่านสุเมโธก็ได้เป็นหัวหน้าสงฆ์ที่วัดนั้น และได้พัฒนาวัดจนเป็นที่นิยมของชาวบ้านในท้องถิ่นนั้น ตลอดจนผู้คนจากที่ต่างๆ เช่นจากกรุงเทพมหานคร เป็นต้น เขาเหล่านั้นสนใจมากที่เห็นชาวตะวันตกยอมสละถิ่นฐาน ทรัพย์สมบัติ ความสุขสบาย ตลอดจนการศึกษาระดับมหาวิทยาลัยในยุโรปและอเมริกา มาใช้ชีวิตที่เต็มไปด้วยความทุกข์ยากลำบากแบบนักพรต หรือฤๅษีในชนบทที่กันดารของประเทศไทย อย่างไรก็ดี วัดป่านานาชาติแห่งนี้ได้เจริญมาเป็นลำดับ มีผู้คนมาให้ความสนับสนุนและจำนวนพระภิกษุก็เพิ่มขึ้น
ปี พ.ศ.๒๕๑๘ จำนวนศิษย์ชาวต่างประเทศในวัดหนองป่าพงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ หลวงพ่อจึงตั้งวัดป่านานาชาติขึ้นที่ป่าช้าบ้านบุ่งหวาย ซึ่งอยู่ห่างจากวัดหนองป่าพงราว ๗-๘ กิโลเมตร เพื่อปูพื้นฐานให้พระชาวต่างชาติได้รู้จักปกครองกันเอง โดยมอบให้ท่านอาจารย์สุเมโธดูแลประธานสงฆ์วัดป่านานาชาติในสมัยแรก ประสบปัญหาในการปกครองหมู่คณะมาก เพราะคนฝรั่งมีความเชื่อมั่นในตัวเองสูง และกล้าแสดงออก จึงสร้างปัญหาให้ประธานสงฆ์ต้องเป็นทุกข์เสมอ เมื่อเรื่องถึงหลวงพ่อท่านจะแนะนำให้ทั้งสองฝ่ายละวางทิฐิมานะ ให้ปรับปรุงตัวเองให้ดีขึ้น สำหรับประธานสงฆ์ หลวงพ่อจะแนะนำวิธีปกครองให้ว่า.. "ถ้าลูกศิษย์ของเรามีเรื่องขัดแย้งกัน ก็ให้พิจารณาให้ดี อย่าตัดสินว่าผู้มาใหม่ไม่ดี อย่าไปว่าคนนั้นดี คนนี้ไม่ดี ต้องใช้เวลาดูไปนานๆ ก่อน ดุอุปนิสัยของเขาไปนานๆ อย่าไปคิดว่า ดีหรือไม่ดีเลยทันที เพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่างมันไม่แน่นอน ต้องใช้เวลาดูไปก่อน..."
ปีนี้หลวงพ่อสุเมโธได้มาในงานผูกพัทธสีมาฝังลูกนิมิต วัดป่านานาชาติ เป็นศูนย์รวมของชาวต่างชาติ ที่เป็นลูกศิษย์หลวงปู่ชา ขณะนี้ท่านมาพักอยู่ที่วัดป่ารัตนวัน วันนี้เวลา 15.00 น. หลวงพ่อกัณหาจะพาพระและประชาชนไปกราบหลวงพ่อสุเมโธ โดยพร้อมเพรียงกัน
วันนี้ที่วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมารามจะมีการอุปสมบทพระ 3 รูป เวลา 11:00 น การบวชนี้ให้ประชาชนทุกคนพากันเข้าใจนะ ผู้ที่บวชก็ต้องพากันเข้าใจ การบวชนี้คือเรามาหยุดตัวเอง เพราะตัวเองนั้นเดินทางผิด มันต้องหยุด หยุดพลังงานแห่งการเวียนว่ายตายเกิด พระพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญพุทธบารมีมาหลายล้านชาติ ได้ตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มาบอกมาสอนเรา ให้ทุกคนที่เป็นผู้ประเสริฐได้เกิดมาเป็นมนุษย์ได้มาหยุด หยุดตัวเอง เพราะตัวเองมันเดินทางผิด มาปรับตัวเองเข้าหาธรรมะ เข้าหาพระวินัย เข้าหาธรรมะ ในโลกนี้มันไม่มีตัวไม่มีตน มันเป็นพลังงานแห่งอวิชชาแห่งความหลง ที่ทำให้เราเวียนว่ายตายเกิด เราต้องพากันหยุด เราวิ่งมาหลายร้อย หลายพัน หลายหมื่น หลายแสน แต่วินาทีนี้ก็ต้องมาหยุด มาเสียสละมาละซึ่งตัวซึ่งตน เรานี้มันเสียหายนะ มันเจ็บปวดนะ ที่ต้องมาท่องเที่ยวในวัฏสงสาร เราจะหยุดตัวเองได้เพราะอาศัยธรรมะอาศัยพระวินัย ธรรมะพระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่ คือกฎแห่งกรรม ในการหยุดการเวียนว่ายตายเกิด การหยุดอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้ถึงเรียกว่าศีล ศีลคือศิลปะแห่งความประเสริฐ แห่งความยอดเยี่ยม พระพุทธเจ้าถึงตรัสว่างามในเบื้องต้นนั้นคือศีล งานในท่ามกลางคือความตั้งมั่น ไม่ง่อนแง่นคลอนแคลน เอาธรรมะวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่เรียกว่าพรหมจรรย์
เรียกว่าความงามในท่ามกลาง ความงามในที่สุดโดยมีสัมมาทิฏฐิมีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องมีความปฏิบัติถูกต้อง มีความสุขในการประพฤติปฏิบัติ เราเดินทางถูกเราถึงมีความสุขนะ เราเดินทางผิดมันมีความทุกข์นะ เราต้องมาหยุดทั้งทางกาย ทางวาจา และทางใจ เข้าสู่กายวิเวก จิตวิเวก อุปธิวิเวก เป็นการปฏิบัติของพวกเราทุกๆคน เราทุกคนถึงจะได้เข้าสู่ความประเสริฐ เราจะไม่ได้เป็นได้แต่เพียงคน คนนี้มันหลายภพหลายภูมินะ มีเปรต ยักษ์ มาร อสุรกาย สัตว์นรกนะ เราต้องเข้าถึงความเป็นมนุษย์ เป็นผู้มีปัญญาและเป็นผู้ที่เข้าสู่ภาพประพฤติปฏิบัติ ที่เรียกว่าศีล สุขมันก็มีอยู่ ทุกข์มันก็มีอยู่ ทุกอย่างมันมีอยู่ แต่เราต้องเอาความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง มาประพฤติปฏิบัติ ทุกสิ่งทุกอย่างเราจะได้ทิ้งมันเข้าสู่พระไตรลักษณ์ เพราะทุกอย่างมันไม่แน่ มันไม่เที่ยง มันไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน เราอย่าหลง หลงสิ่งที่เราได้พบได้เห็นในชีวิตประจำวัน นี่เป็นไฟท์ที่เราทุกคนจะต้องประพฤติปฏิบัติกัน การบวชถึงเป็นบุญใหญ่มีอานิสงส์ใหญ่ มันเข้าสู่ภาคประพฤติปฏิบัติ มันเป็นเรื่องของตัวเองแก้ไขตัวเอง เราทุกคนพากันแก้ไขตัวเอง คนอื่นมันแก้ให้เราไม่ได้ เราทุกคนต้องแก้ไขตัวเองทุกคนแก้ได้ เราต้องเห็นความสำคัญในการประพฤติปฏิบัติ เราอย่าปล่อยให้ตัวเองคิดตัวเองพูดตัวเองทำ เราตามสิ่งแวดล้อมไป เราทั้งรักทั้งโกรธทั้งหลง มันเป็นฮอร์โมนมันเป็นพลังงานแห่งการเวียนว่ายตายเกิด ทำให้เราหัวเราะทำให้เราร้องไห้ ทำให้เราเศร้าโศก มันไม่ได้นะมันเสียหายนะ การมาบวชนี้มันถึงดีมากมีอานิสงส์ใหญ่มีบุญใหญ่ เพราะเราต้องมาแก้ที่ตัวเองอย่างเต็มที่ เพราะการบวชนี้ดีมาก มีการประพฤติปฏิบัติในส่วนตัว เราหยุดนิสัยของตัวเอง ต้องมาถือธรรมวินัย เรียกว่าถือนิสัยของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าไม่ใช่ตัวบุคคล คือธรรมะวินัย ศาสนาถึงเป็นธรรมะเป็นพระวินัย ที่เรารู้เราเห็น มันไม่ใช่ศาสนามันเป็นเพียงแบรนด์เนม เราถึงต้องพากันเข้าสู่ภาคประพฤติปฏิบัติ ทุกๆ คนต้องปรับตัวเข้าหาธรรมะเข้าหาเวลา ทั้งพระเก่าพระใหม่ ทั้งเณรทั้งชีก็ต้องพากันประพฤติปฏิบัติ เราจะได้ใช้ทรัพยากรแห่งความเป็นมนุษย์อย่างคุ้มค่า เพราะเราเสียเวลากับสิ่งที่ไม่ใช่พรหมจรรย์มันไม่ได้ ต้องมีความสุขในการประพฤติในการปฏิบัติ เราจะได้เข้าถึงความเป็นพระ พระนับตั้งแต่พระโสดาบันไปจนถึงพระอรหันต์ เอารูปลักษณ์ภายนอกไม่ได้ต้องเน้นที่จิตที่ใจ เพราะกรรมทั้งหลายทั้งปวงหรือความเห็นแก่ตัวนี้ มันทำให้เราเสียหายนะ
เรามาบวชแล้วเราจะไปคิดเหมือนแต่ก่อนไม่ได้ มันต้องเริ่มต้นจากความคิด อย่างไก่มันฟักไข่มันใช้เวลา 3 อาทิตย์ มันถึงออกลูกมาเป็นตัว เราปฏิบัติธรรมมันต้องใช้เวลามากกว่านั้น ไม่คิดไม่พูดไม่ทำ ต้องเข้าสู่ระบบความคิด เราถึงจะได้บวชทั้งกายบวชทั้งใจ โลกนี้ประเทศนี้หรือว่าทุกๆประเทศ เราจะได้มีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง เราจะได้หยุดตัวเองอย่างนี้ ความเป็นพระมันเป็นได้ทั้งผู้ที่มาบรรพชาอุปสมบทและผู้ที่มีภาระผู้ที่ไม่ได้บวชก็ปฏิบัติได้เหมือนกัน ให้ทุกท่านทุกคนพากันเข้าใจ เราจะได้พากันฉลาด เราจะได้รวยอย่างฉลาด รวยอย่างมีปัญญา เอาศีลเอาธรรมเป็นที่ตั้ง เราจะได้ส่งไม้ผลัด ส่งสิ่งที่ดีๆให้ลูกให้หลานเราได้ ได้ประพฤติปฏิบัติ เพราะปัญหาต่างๆนั้นทุกคนต้องพากันมาแก้ที่ตัวเอง เราจะได้มีความมั่นคง คือชาติที่ประเสริฐที่เราได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ศาสนาก็คือพระธรรมพระวินัย คือศีลสมาธิปัญญา บรรพบุรุษของเราคือพ่อแม่ที่ทำให้เราได้เกิดมาเป็นมนุษย์ เราถึงต้องอุทิศบุญกุศลคุณงามความดี เพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ เพื่อความมั่นคงแห่งความเป็นมนุษย์
การบวชก็คือการมาประพฤติปฏิบัติ เอาพระธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า เอาพรหมจรรย์ มาประพฤติปฏิบัติ เข้าสู่ภาคประพฤติปฏิบัติ จึงจะมีอานิสงส์ใหญ่มีอานิสงส์มากมีอานิสงส์ไพศาล ผู้ที่มาบวชต้องทำอย่างนี้ๆ ถ้าไม่ทำอย่างนี้ อย่ามาบวชให้เสียเวลาเลย จุดประสงค์ของการบวชมีหลายอย่าง ดังคำที่ว่า บวชหลบบวชลี้ บวชหนีวัฏสงสาร บวชผลาญข้าวสุก บวชสนุกตามเพื่อน บวชเลื่อนฐานะทางสังคม บวชไปนิยมทำพุทธพาณิช บวชติดเรื่องโลกๆ บวชนั่งโงกงมแก่ ตามคำที่ว่ามาทั้งหมดนี้ การบวชหนีวัฏสงสาร มุ่งมรรคผลนิพพานเป็นจุดหมายปลายทาง เป็นการบวชที่ประเสริฐสุด พระพุทธองค์ทรงสรรเสริญ
ที่วัดไหนไม่เอาตามพระพุทธเจ้า 100% อย่าไปบวช บวชแล้วได้บุญน้อย หรือไม่ก็ได้บาป เพราะเราทุกคนต้องถือนิสัยพระพุทธเจ้า เอาธรรมเป็นหลัก เอาธรรมเป็นใหญ่ อย่างนี้แหละ ต้องยกจิตยกใจเข้าสู่ภาคสนาม ภาคประพฤติ ภาคปฏิบัติ คนเราต้องมีฉันทะมีความพอใจในการกระทำ อิทธิบาทธรรมจึงเป็นจุดเริ่มต้นแห่งความสำเร็จในสิ่งทั้งปวง อย่าไปบวชเหมือนที่ส่วนใหญ่เขาทำกัน การบวชเน้นที่จิตที่ใจ ไม่ได้เน้นที่กายภายนอก พระพุทธเจ้าไม่ได้มีแห่รอบโบสถ์แห่รอบศาลา ไม่ได้จัดงานบวชมีกินเลี้ยงมีมหรสพ ถ้าทำอย่างนั้นท่านก็ไม่ได้เป็นพระพุทธเจ้า การบวชต้องทำง่ายๆ เรียบง่ายมากที่สุด เน้นที่ใจ เน้นที่เจตนา เน้นที่การปฏิบัติ ยังไงช่วง covid มารวมตัวกันเยอะก็ไม่ดี ต้องเข้าใจ พ่อแม่ผู้ปกครองทุกคนต้องเข้าใจ ให้คิดในใจเลยว่า ลูกของเรานี้โชคดี ได้มาประพฤติปฏิบัติตามพระพุทธเจ้าแท้ๆ เราจะจัดงานแบบเอาหน้าเอาตาไปทำไมกัน
เพราะว่าลูกเราได้มาบวช พ่อแม่เราก็ได้มาบวชด้วย บวชก็หมายถึงว่า ป+วช (บวช) ก็คือเว้นทั่ว อันไหนไม่ดีก็ไม่คิดไม่พูดไม่ทำ เถียงกันทะเลาะกันมันไม่ดี เราก็หยุดอย่างนี้ก็คือบวช ทำต่อไปนานๆ ติดต่อเนื่องก็เป็นเถระคือละอันนี้ได้ เป็นผู้มีใจแน่วแน่มั่นคง ทุกท่านทุกคนน่ะ มันเคยทำตามใจตัวเองตามอารมณ์ตัวเองตามความรู้สึกตัวเอง จนมีลูกมีหลาน เมื่อมีลูกมีหลานเราก็ต้องให้ความมั่นคงกับลูกกับหลาน ด้วยการเป็นผู้มาบวชใจตัวเอง บวชตัวเองอยู่ที่บ้านคือมีศีล 5 มีความสุขในการรักษาศีล 5 เรียกว่าเป็นการประพฤติพรหมจรรย์ขั้นระดับพื้นฐาน
ส่วนใหญ่ผู้ที่มาบวชถ้าไม่เอาธรรมไม่เอาวินัย ไม่มุ่งหวังผลพระนิพพาน ศีล 5 ก็ไม่ได้หรอก เพราะมันยังโกหกประชาชนอยู่ มันยังโกหกพระพุทธเจ้าอยู่ ยังไม่ได้กตัญญูกตเวทีต่อพระพุทธเจ้า ศีล 5 ก็ไม่ได้หรอก เพราะยังไม่ตั้งใจประพฤติปฏิบัติให้เต็มที่เต็มร้อย ศีลข้อที่ 4 ก็เป็นข้อที่โกหกหลอกลวงอยู่แล้ว ภิกษุที่ไม่ประพฤติปฏิบัติ ศีล 5 ก็ไม่ได้หรอก ให้เข้าใจอย่างนี้นะ ถ้ายังคิดตามใจไปในเรื่องอะไรต่างๆ คือยังเสพกามทางใจ ถ้ามันเสพทั้งทางกายก็นับว่าหยาบเกินแล้ว พระพุทธเจ้าจึงให้เน้นธรรมะมาที่ใจมาที่เจตนา อันไหนไม่ดีไม่คิด เราจะได้หยุด เสพกามทางจิตใจ ทุกคนจะได้บวชใจ เรามาบวชแล้ว ถ้ายังคิดในเรื่องผู้ย่าผู้หญิงเรื่องกินเรื่องเที่ยว นี่คือใจยังเสพกาม กามมันสีดำนะ ที่พระพูดว่าสีกา ๆ คือสีดำ สีดำมันย้อมใจของเรามันดำ มันมืด มันมัว ถ้าเราหลงเราติด มันก็ต้องดำต้องมัว อันนั้นมันคือระบบทางจิตใจที่มีความชั่ว เป็นระบบครอบครัว ที่ใจมันยังไม่ได้บวช คนเราถ้าใจยังไม่ได้บวช บวชแต่ทางกายมันก็เผาตัวเอง ถึงต้องให้เราได้บวชได้อุปสมบททั้งกายทั้งใจจริงๆ อย่าให้มันเป็นแค่ศาสนพิธี บวชมาแล้วเวลาสึกไปก็ต้องต่อยอดไป เพราะชีวิตเราคือชีวิตที่ประเสริฐ ต้องปฏิบัติต่อเนื่องกันไปอย่างนี้
การบวชนี้ดีมาก ดีพิเศษ มีโอกาส มีเวลา ได้ประพฤติได้ปฏิบัติ เพื่อสู่มรรค เพื่อสู่ผล เพื่อสู่พระนิพพานโดยเฉพาะบวชเข้ามาแล้วบ้านก็ไม่ได้เช่า ข้าวก็ไม่ได้ซื้อเขาทำบุญตักบาตรเขาก็พากันกราบกันไหว้ การบวชนี้ถึงเป็นบุญใหญ่ เป็นอานิสงส์ใหญ่
บวชมาทุกคนเค้ากราบเราหมด ถ้าเราไม่ตั้งอกตั้งใจประพฤติปฏิบัติให้สมกับการที่รับกราบ รับไหว้ รับอัญชลี เวลาสิกขาลาเพศไป เราไปทำธุรกิจการงานก็ไม่ค่อยเจริญ อุปสรรคปัญหามาก ถ้าเราบวชมาเราตั้งอกตั้งใจประพฤติปฏิบัติ เวลาสิกขาลาเพศไป เราไปทำธุรกิจการงานก็เจริญ แล้วในชีวิตประจำวันก็เจริญไปด้วย ทุกอย่างนั้นมันก็จะดีหมด เพราะธรรมะช่วยเราได้บุญกุศลที่จะได้ส่งถึงพ่อแม่ บูชาพระคุณบุคคลที่ประเสริฐ จึงต้องบวชบวชให้มันได้บุญจริง เพราะการประพฤปฏิบัติมันมีผล มันมีความหมาย ถือว่าเป็นสิ่งที่ดีมาก ประเสริฐมาก
ดังนั้น ผู้บวชจึงต้องมีความเคารพรักในพระธรรมวินัยมากๆ มุ่งประพฤติปฏิบัติเพื่อขัดเกลาจริงๆ จึงจะได้ประโยชน์สูงสุดจากการบวช เพราะการบวชเป็นพระ เป็นสมณะนั้น เหมือนดาบสองคม ดังพระบาลีที่ว่า “กุโส ยถา ทุคฺคหิโต หตฺถเมวานุกนฺตติ สามญฺญํ ทุปฺปรามฏฺฐํ นิรยายูปกฑฺฒติ” หญ้าคาที่บุคคลจับไม่ดี ย่อมบาดมือฉันใด ความเป็นสมณะที่ลูบคลำไม่ดี คือประพฤติไม่ดี ย่อมฉุดคร่าลงในนรกฉันนั้น
บวชนานไม่นานไม่สำคัญเท่ากับการที่ได้บวชมาแล้ว มีเจตนาตั้งใจในการปฏิบัติอย่างจริงจังหรือไม่ พระบวชนานถ้าขี้เกียจขี้คร้านก็สู้พระใหม่ๆ ที่บวชระยะสั้นแต่ปฏิบัติจริงๆ ไม่ได้ โย จ วสฺสสตํ ชีเว กุสีโต หีนวีริโย เอกาหํ ชีวิตํ เสยฺโย วีริยํ อารภโต ทฬฺหํ ฯ ผู้มีความเพียรมั่นคง มีชีวิตอยู่วันเดียว ประเสริฐกว่าชีวิตตั้งร้อยปี ของผู้เกียจคร้าน ไร้ความเพียร
ดังที่พระพุทธองค์ตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย ตราบใดที่เธอไม่หมกมุ่นกับการงานมากเกินไป ไม่พอใจด้วยการคุยฟุ้งซ่าน ไม่ชอบในการนอนมากเกินควร ไม่ยินดีในการคลุกคลีด้วยหมู่คณะ ไม่เป็นผู้ปรารถนาลามก ไม่ตกอยู่ใต้อำนาจแห่งความปรารถนาชั่ว ไม่คบมิตรเลว ไม่หยุดความเพียรพยายามเพื่อบรรลุคุณธรรมสูงๆ ขึ้นไปแล้ว ตราบนั้น พวกเธอจะไม่มีความเสื่อมเลย จะมีแต่ความเจริญโดยส่วนเดียว เพราะฉะนั้นเราจึงต้องเอาพระธรรมวินัยเป็นหลัก เป็นใหญ่ เป็นที่พึ่ง เรียกว่าเป็น ธรรมาธิปไตย เราต้องไม่ประพฤติย่อหย่อน ไม่ลูบคลำในศีล ในข้อวัตรปฏิบัติ ไม่ลังเลสงสัยในพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระอริยสงฆ์ คลายความยึดมั่นถือมั่นในตัวตนของตน ชีวิตของเราจึงจะเป็นชีวิตที่ไม่สูญเปล่า ให้สมกับได้เป็นมนุษย์ผู้ที่ประเสริฐเกิดมาเพื่อพระนิพพานอย่างแท้จริง