แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ในวันอังคารที่ ๑๐ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๖๖
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง ชีวิตใหม่ที่เลือกได้ ตอนที่ ๑๔ ธรรมะที่ทำให้เราเป็น 'พระ' เบื้องต้น คือ การลดมานะ ละทิฏฐิ ละความเห็นแก่ตัว
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
ทุกคนต้องปรับใจเข้าหาธรรมะ ทุกคนต้องปรับใจเข้าหาเวลา ปัญหาต่างๆ อยู่ที่เรามีความคิดเห็นผิด เข้าใจผิด ปฏิบัติผิด เราพยายามที่ตามใจตัวเอง ตามอารมณ์ตัวเองด้วยความเคยชิน ด้วยบาปกรรมอันเก่า เราก็มีแต่วิ่งตามอารมณ์ไป พระพุทธเจ้าถึงให้เราปรับตัวเข้าหาธรรมะ ปรับมาหาความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้อง เราไม่อยากแก่ ไม่อยากเจ็บ ไม่อยากตายเราก็ถือว่าเป็นมิจฉาทิฐิ เป็นคนบ้าคนหลง เราเป็นคนขี้เกียจขี้คร้าน เราก็ขี้เกียจขี้คร้านไปเรื่อย เราไม่ได้แก้ตัวเอง ผลตามมาก็คือความเสียหาย นำมาซึ่งอบายมุข อบายภูมิความยากจน จนทั้งทรัพย์จนทั้งสติทั้งปัญญา
ส่วนใหญ่เราทุกคนก็ไปโทษคนอื่นหมด อย่างพระคุณเจ้าทั้งหลายไปบ่นไปว่าประชาชนทั้งหลายเขาไม่เคารพไม่นับถือศรัทธา เราทุกคนก็ไม่รู้จักตัวเองนะ บ่นว่าเขาไม่ดูแลไม่อุปถัมภ์ อุปัฏฐาก ไม่เทคแคร์ นี้มันเป็นเหตุเป็นผลทุกอย่างหน่ะ ที่เขาไม่เคารพนับถือไม่เทคแคร์ ก็เพราะเราไม่ได้เป็นพระธรรมไม่ได้เป็นพระวินัย ไม่ได้เสียสละอะไร คนที่ไม่เสียสละนั่นก็คือคนไม่มีศีล ศีลก็คือปรับตัวเองเข้าหาธรรมะเข้าหาเวลา เรียกว่าปรับใจเข้าหาธรรมะ ถ้าเป็นประชาชนก็ปรับใจให้เท่าขนาดของเงิน ถ้าปรับเงินเข้าหาขนาดของใจ มันก็เป็นโรคประสาท ทุกคนก็ต้องพากันประพฤติพากันปฏิบัติว่า ตัวเองนั่นกำลังคิดอะไรอยู่ คิดจะเสียสละได้ยัง คิดที่จะขยันรับผิดชอบเพื่อจะให้บุลคนอื่นได้ยัง มันต้องแก้ที่ตัวเองเรียกว่า พรหมจรรย์
ความเห็นแก่ตัวเขาเรียกว่า ไสยศาสตร์ ความหลง ทุกคนมันขี้เกียจขี้คร้าน มันต้องมีจาคะ มันต้องเสียสละตัวตนหน่ะ เห็นแก่ตัวแก่ตนไม่เสียสละอะไรเลย ไม่มีความสุขในการทำงานเลย อย่างนี้มันไม่ได้มันไม่ถูก เราหน่ะ ต้องจัดการกับอวิชชาจัดการกับความหลง แล้วก็ไปบ่นว่าตัวเองยากจน ตัวเองไม่เก่งไม่ฉลาดไม่มีบุญไม่มีวาสนา เราไปบ่นในใจของเรามันได้อะไรหน่ะ ความคิดอย่างนี้มันต้องรู้ว่าผลกรรมของเราหน่ะ มันอยู่ที่เราไม่เสียสละ คนไม่เสียสละ มันจะมีปัญญาได้อย่างไร เมื่อมันไม่มีปัญญามันก็ไม่รู้จักว่า ศีลนี้เป็นสิ่งที่ประเสริฐที่เราควรปฏิบัติ อยู่ในครอบครัวเราก็ยังไปบ่นให้ลูกให้หลาน มันจะไปบ่นได้อย่างไง เราต้องเสียสละ ถ้าเราเสียสละพวกลูกพวกหลานมันก็เห็นเป็นตัวอย่างแบบอย่าง
ครูบาอาจารย์ก็ไปบ่นให้ลูกศิษย์ลูกหาอย่างนี้ ไปบ่นเอาอะไรอ่ะ ถ้าจะพูดตรงไปตรงมาก็ฟันไม่หายก็ดีแล้วใช่ไหม เพราะการประพฤติการปฏิบัติพรหมจรรย์ หรือการปฏิบัติธรรมนี้ มันต้องมาทำอย่างนี้มาปฏิบัติอย่างนี้ เราก็จะมีควาวมสุข มีความสงบ มีความร่มเย็น เพราะเราแก้ที่ตัวเองไม่ได้แก้ที่ภายนอก
การประพฤติการปฏิบัติธรรม นับว่าเป็นบุญเป็นกุศลอย่างยิ่ง ถ้าเราทำอะไรเพื่อจะเอา เพื่อจะมี เพื่อจะเป็น เพื่อจะไม่มีไม่เป็นอย่างที่เราไม่ต้องการอย่างนี้ เพราะทุกคนจะมีความเห็นอย่างนั้นหน่ะ อยู่ในวัดในวาอยู่ในสถาบันอะไรต่างๆ มันก็จะไปจัดการคนอื่นหมดอ่ะ คนอื่นผิดหมดมีตัวเองถูกคนเดียว ความคิดอย่างนี้เป็นความคิดที่ไม่ถูกต้องเป็นมิจฉาทิฐิ เราต้องตื่นขึ้นมาว่า เราคิดดีรึยัง พูดดีรึยัง กิริยามารยาทเราดีรึยัง เราขยันเรารับผิดชอบดีรึยัง เราทุกคนก็ต้องมาแก้ที่ตัวเอง มีความสุขที่จะแก้ไขตัวเอง มันมีเวลาหมุนไปหมุนไป ให้เราปรับเข้าเวลาหน่ะดีแล้ว มันก็จะสอดคล้อง เพราะเราดูแล้วนี้มันคือการประพฤติคือการปฏิบัตินะ ท่านเป็นพระเป็นพระคุณเจ้าท่านจะไปสอนใคร ตัวที่ท่านจะสอนก่อนเขาก็คือตัวของท่านเอง ตัวผู้ที่จะประพฤติที่จะปฏิบัติ ก็คือตัวของท่านเอง
เหมือนบางคนว่าอยากให้เขามาเทคแคร์ ทำไมเราไม่เทคแคร์เขา มันเป็นบ้านะ อยากให้เขามาเทคแคร์ เหมือนคนเป็นพ่อเป็นแม่ว่าลูกมันเทคแคร์ไม่ดี เราก็ต้องเทคแคร์ลูกเป็นตัวอย่างแบบอย่าง เราเลี้ยงลูกเพื่อให้อุปถัมภ์อุปัฏฐาก มาดูแลเมื่อแก่เฒ่า มันลงทุนแบบนี้ก็ไม่ถูก เราคิดดูสิ พระอาทิตย์มันไม่ต้องการให้ใครมาอุปถัมภ์อุปัฏฐาก ดวงจันทร์ดวงดาว ไม่มีใครให้อุปถัมภ์อุปัฏฐากหรอก ผู้ที่พระคุณเจ้าที่บวชหลายพรรษานี่ก็อยากให้พระใหม่มาดูแล อุปถัมภ์อุปัฏฐาก เทคแคร์อย่างนี้ มันคิดไม่ถูกหน่ะ ตัวเองก็ต้องกระเสือกกระสนดิ้นรนเพื่อประพฤติพรหมจรรย์ เพื่อเสียสละ เราไม่ประพฤติเราไม่ปฏิบัติ แล้วเราจะให้คนอื่นมาดูแลเทคแคร์ เราไม่มีผลประโยชน์อะไรที่จะไปให้เขา เราไม่มีบุญไม่มีบารมีที่จะให้เขาใช่ไหม เราคิดไม่ถูกหน่ะ เราเป็นคนหนักแผ่นดินนะ เสียหาย รีบประพฤติพรหมจรรย์พิจรณาสู่พระไตรลักษณ์ ทุกอย่างเข้าสู่พระไตรลักษณ์ จะได้อุปถัมภ์อุปัฏฐากตัวเองก่อน ไม่ต้องไปหลงในตัวในตน
เราจะให้เขาเทคแคร์เราก็เป็นนายทุนสิ นายทุนก็คือหวังอะไรตอบแทน ไม่ได้หมายถึงเศรษฐีมหาเศรษฐีหรอก เราเป็นพระหวังตอบแทนจากสังคมจากประชาชน ที่เราได้บิณฑบาตรตอนเช้าประทังชีวิต อย่างนี้ก็เพียงพอนะ วันหนึ่งคืนหนึ่งอย่างงี้แหละ เราจะไปคอยแต่พ่อแม่ เราจะคอยแต่รัฐบาล คอยแต่ประชาชนอย่างนี้มันไม่ได้ เราไม่ได้เกิดมาเพื่อจะเป็นเปตร คอยรับส่วนบุญส่วนกุศลจากผู้อื่น เขาไม่ให้เราตามต้องการ เราก็ไปตำหนิติเตียนเขา เมื่อเราเสียสละ จิตใจของเราถึงจะแข็งแรง เมื่อเราปฏิบัตินะ จิตใจของเราถึงจะแข็งแรง เมื่อเราขยันรับผิดชอบนะ จิตใจของเราถึงจะแข็งแรง จิตใจมันไม่แข็งแรงนะ มันช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ คอยแต่ให้ผู้อื่นมาเทคแคร์
ต้องให้คนอื่นเขามากราบไหว้บูชาเพราะความดี อย่างนี้มันถึงจะถูก เรามาบวชนี่ประชาชนก็เทคแคร์ ตื่นขึ้นมาแต่เช้าก็มาหุงหาอาหาร ทำบุญตักบาตร ประชาชนส่วนใหญ่ก็ทำบุญตักบาตรก็ถือว่าเขาเทคแคร์เราพอสมควรแล้ว คนเรามันมีความเห็นแก่ตัว มันถึงคิดไม่ออกนะ เราต้องเป็นที่พึ่งเป็นตัวอย่างในภาคประพฤติภาคปฏิบัติ ทางโรงครัวทางอะไรที่เขาทำอาหารเขาก็เสียสละ ดูแล้วอย่างนี้ เราก็ต้องรู้จัก ที่เขาทำเพื่อทุกคน เขาก็มีหน้าที่รักษาศีล มีหน้าที่ในการเสียสละ คนไม่เสียสละมันเสียหาย มันไม่มีสติไม่มีปัญญา ไม่เสียสละมันเป็นโรคเห็นแก่ตัวนะ เราทำตามความคิดความเห็นแก่ตัวนี่ มันเป็นโรคจิตเป็นโรคประสาทยิ่งๆ ขึ้นไป
ทุกท่านทุกคนต้องพากันมาเสียสละ ให้มันเป็นธรรมะ เป็นวินัย ให้มันเป็นธรรมนูญ ทุกท่านทุกคนอย่างไปหลงประเด็น เราต้องมีความสุข ในการทำงาน ในเสียสละ ในการปฏิบัติธรรม พวกที่เป็นพระ อย่างไปหลงประเด็น เป็นพระเขาไม่ให้มีเซ็กส์ทางอารมณ์ มีเซ็กส์ทางความคิด พระผู้ใหญ่บางคนยังไม่เข้าใจ มาถามหลวงพ่อใหญ่ว่าเซ็กส์ทางอารมณ์ เซ็กส์ทางความคิดมันเป็นยังไง มันคือ เรายินดีในรูป เสียง กลิ่น รส ลาภ ยศ สรรเสริญ มีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เราพอใจอย่างนั้นก็เรียกว่าเรามีเซ็กส์ทางความคิด เซ็กส์ทางอารมณ์ คนเราจะปล่อยให้ใจมันคิดอย่างนั้น เราบวชแต่กาย แต่ใจของเราไม่ได้บวช อย่างนี้มันยินดีใน เรื่องอยู่ เรื่องกิน เรื่องเที่ยว ยินดีในโทรศัพท์ ยินดีในการมักใหญ่ใฝ่สูง ทำอะไรเพื่อไม่ดับทุกข์ มันคือการสร้างความทุกข์ อย่างนี้ไม่ใช่คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า พวกนี้เขาเรียกว่ามีเซ็กส์ทางความคิด เซ็กส์ทางอารมณ์ มีความพอใจดีใจ ยินดีในการอยู่การกิน ไม่เสียสละอะไร มีแต่ตัวแต่ตน เราปล่อยให้ตัวเองคิดอย่างนี้ ชื่อว่าเรามีเซ็กส์ทางอารมณ์ เราทุกคนต้องหยุดมีเซ็กส์ทางความคิด เซ็กส์ทางอารมณ์ เราจะได้ก้าวไปตามหลักเหตุผล หลักวิทยาศาสตร์ ใจของเราจะได้เป็นเถระซักที ไม่อย่างนั้นจะเป็นเถระอะไร ใจมันยังหมกหมุ่นอยู่ในกาม พระแก่ พระเถระสนใจแต่เรื่องฟุตบอล แมตท์นู้น แมตท์นี้ อย่างนั้นมันเสียหาย
ทุกท่านทุกคนต้องมาแก้ไขตัวเอง ถ้าเราไม่ทำ ไม่ปฏิบัติ เราคิดดูดีๆ ครั้งพุทธกาล ประชาชนที่ไม่ได้บวชได้ฟังคำสอนของพระพุทธเจ้าประพฤติปฏิบัติตาม เขาก็พากันเป็นพระอริยเจ้า ตั้งหลายแสน หลายล้าน แถบจะไม่มีใครเลยที่ปฏิบัติแล้วไม่ได้บรรลุ เพราะว่าคำสอนของพระพุทธเจ้านั้นพิสูจน์ได้จริง เราที่บวชนานก็ปฏิบัติให้ดี ให้พระที่บวชใหม่เขามีศรัทธาพากันไปกวาดกุฏิให้ ไปทำความสะอาดกุฏิให้ เราคิดในใจของเรา เราไม่ใช่พระอรหันต์ ไม่ใช่พระอริยเจ้า จะให้เขามาดูแลอุปถัมภ์ อุปัฏฐาก ไม่อย่างนั้นพวกโจรก็อยากให้มีคนอุปัฏฐาก พ่อแม่ก็อยากให้มีคนอุปัฏฐาก แต่นี้มันเรื่องศรัทธาเลื่อมใสที่ใจเขา เพราะการทำบุญกับพระพุทธเจ้ามันได้บุญเยอะ การทำบุญตักบาตรกับพระอรหันต์มันได้บุญเยอะ การดูแลอุปถัมภ์อุปัฏฐากพระพุทธเจ้า พระอรหันต์มันได้บุญเยอะ แต่เรายังเป็นสามัญชน ปุถุชนให้เราพากันคิดนะ แม้แต่ตัวเรายังเอาตัวไม่รอด ใจยังมีเซ็กส์ มีเพศสัมพันธ์อยู่ เราก็ยังเอาตัวไม่รอด เราจะเอาบุญที่ไหนไปให้เขา คนเขามาอุปถัมภ์อุปัฏฐาก เขาอาจจะได้บุญ ดีไม่ดีมาพบกับโจรที่จิตใจยังไม่มีสัมมาทิฏฐิ ยังไม่มีธรรมนูญ ทำให้ไขว้เขว ว่าทำอันนี้ไม่เป็นไร เดี๋ยวไปแสดงอาบัติเอา เล็กน้อยไม่เป็นไร ไม่ใช่ศีลต้นพรหมจรรย์ ให้เข้าใจ
ให้ทุกท่านทุกคนทำหน้าที่ของตัวเองให้สมบูรณ์ด้วยเจตนา ด้วยความตั้งอกตั้งใจ เราจะไม่ได้ระแวงในตัวพระ พระเองก็จะได้ไม่ต้องระแวงในตัวเอง ประชาชนจะได้ไม่ต้องระแวง จะได้พากันประพฤติปฏิบัติ ใครอยู่ที่ไหนก็ปฏิบัติในท้องถิ่นที่นั้น วัดคือศูนย์รวมแห่งผู้ปฏิบัติเพื่อมรรคผลพระนิพพาน ต้องเข้าถึงพื้นถึงฐานด้วยการประพฤติปฏิบัติ เราเรียน เราศึกษามาเข้าใจต้องมีการประพฤติปฏิบัติตามที่เรียนที่ศึกษามา เป็นพระอย่าไปบอกว่าอาตมาชอบอย่างนั้น ชอบอย่างนี้ อย่างนั้นไม่เอา นิสัยของตัวเองไม่ใช่นิสัยของพระ นิสัยที่อาตมาชอบพูดอย่างนั้น พูดอย่างนี้ พูดจากใจ อันนั้นมันไม่ใช่ใจ ปกติของใจ ก็คือ กลางๆ ไม่ยินดี ไม่ยินร้าย ไม่มีสมมุติ ไม่มีอะไรในจิตในใจ ไม่มีสักกายทิฏฐิคือใจที่บริสุทธิ์ ใจปภัสสร
เรื่อง 'การประพฤติปฏิบัติธรรม' ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ของทุกๆ คน ไม่มีบุคคลผู้ใดผู้หนึ่งยกเว้นเป็นกรณีพิเศษ ให้ทุกท่านทุกคนถือว่าเป็นเรื่องสำคัญนะ...ในชีวิตประจำวันของพวกเรา ความเหน็ดเหนื่อย ความยากลำบาก ถือว่าเป็นเรื่องดีที่จะให้เราได้ฝืน ได้อดได้ทน ได้ทำความเพียร แต่ละคนแต่ละท่านน่ะ พระพุทธเจ้าท่านให้สำรวจตรวจตราตัวเองว่า เรามีอะไรขาดตกบกพร่องอะไรบ้างนะ ข้อวัตรส่วนไหนของเราบกพร่อง ศีลของเราข้อไหนบ้างบกพร่องด่างพร้อย
การเจริญสติ การฝึกสมาธิ การเจริญปัญญาของเราน่ะ มันดีพอมันต่อเนื่อง...ที่จะทำให้ธรรมะของเราเจริญรุ่งเรืองงอกงามยิ่งๆ ขึ้นไปหรือไม่ ใจของเราสงบหรือว่าใจของเราน่ะ ส่งออกไปตั้งแต่ข้างนอกจนกลายเป็น พระฟุ้งซ่าน เณรฟุ้งซ่าน แม่ชีฟุ้งซ่าน อุบาสกอุบาสิกาฟุ้งซ่าน เป็นคนหัวใจแตกสลาย เป็นคนจิตใจแตกสลายไม่อยู่ในความสงบ
วิธีแก้น่ะ พระพุทธเจ้าท่านก็สอนเราให้กลับมาหาตัวเอง ให้กลับมาหาข้อวัตรปฏิบัติ ไม่ให้คลุกคลีกับคนอื่นหรือหมู่คณะ ให้พยายามอยู่กับตัวเอง ฝึกสมาธิให้มาก สมาธิ ก็คือ ความสงบน่ะ
สาเหตุที่ 'ใจ' ของเราจะสงบมันก็ต้องมีการนั่งสมาธิ เดินจงกรม ไม่คลุกคลีด้วยหมู่ด้วยคณะ อย่าไปมองคนอื่น อย่าไปดูคนอื่นนะ ให้ดูกายวาจาใจตัวเอง
คนเรียนหนังสือน่ะตั้งแต่อนุบาล ป.๑ เค้าไม่รู้เรื่องอะไรหรอก เมื่อเรียนไม่หยุด ศึกษาไม่หยุด ชีวิตของบุคคลนั้น ก็ย่อมรู้จักรู้แจ้งจนได้จบดอกเตอร์นะ การประพฤติการปฏิบัติของเราผู้ประพฤติปฏิบัติธรรมก็เหมือนกัน ก็ต้องทำความเข้าใจแล้วก็นำไปประพฤติปฏิบัติ เมื่อเราปฏิบัติไม่หยุด ภาวนาไม่หยุด ค้นคว้าทั้งเหตุทั้งผลและประพฤติปฏิบัติ เดินตามรอยของพระพุทธเจ้าที่แท้จริงน่ะ ทุกท่านทุกคนก็ย่อมเข้าถึง 'พระนิพพาน' ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น...ไม่มีใครยกเว้น
ธรรมะพระพุทธเจ้าน่ะมีเหตุและมีผลเป็นวิทยาศาสตร์พัฒนาไป...จนเหนือเหตุเหนือผลที่วิทยาศาสตร์จะตามเข้าถึงไม่ได้
สิ่งเหล่านี้น่ะพระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า... มันเป็นความรับผิดชอบของเรา เป็นหน้าที่ของเรา ผู้ประพฤติปฏิบัติธรรม ต้องนิ่งต้องสงบ ไม่ตื่นเต้นตามบุคคล...สิ่งภายนอก ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในชีวิตประจำวันให้หยุดไว้ นิ่งไว้ แม้แต่อารมณ์ของเราจิตใจของเราก็เหมือนกัน มันเกิดอะไรขึ้นกับจิตใจของเรา พระพุทธเจ้าท่านก็ไม่ให้เราตามความคิดตามอารมณ์ถ้าเราตามความคิดตามอารมณ์น่ะเราจะเป็นคนไม่มีสมาธิ เป็นคนที่ตกอยู่ในการมงคลตื่นข่าว
พระพุทธเจ้าท่านให้เราฝึกจิตใจให้แข็งแรง อย่าได้ตามอารมณ์ อย่าได้ตามความคิดไป "คนเราน่ะปัญหาต่างๆ มันไม่มีหรอก แต่เราตามอารมณ์ไป... ตามความคิด... ตามความอยากไป... ปัญหามันถึงมี... ชีวิตที่ยังไม่ตายแต่มันก็ถูกเผาทั้งเป็นแล้ว" อะไรเผาล่ะ...? คือ 'ความอยาก' ที่เราพากันหลงความคิด หลงอารมณ์ ต้องฝึกใจให้สงบให้เย็นให้ได้ มันอยากคิดเราก็ไม่คิด มันอยากพูดเราก็ไม่พูด มันอยากทำเราก็ไม่ทำ มันไม่อยากทำ เราก็ทำน่ะถ้ามันดี เพราะว่าธรรมะของพระพุทธเจ้าที่ท่านสอนเรานี้เป็นธรรมะที่ทวนโลกทวนกระแส ทวนจิตทวนใจของเราเอง
นักประพฤติปฏิบัติน่ะ ต้องพยายามมาแก้ที่จิตที่ใจ แก้ที่การกระทำความประพฤติของเราเอง พยายามถอนความรู้สึกนึกคิดอัตตาตัวเองที่มันเป็นเราเป็นของเรา คนเรามันมี 'ตัวตน' มาก... ถ้าเราไม่ได้ภาวนา ไม่ได้พิจารณา บวชมาหลายพรรษา 'กิเลส' มันก็ขึ้นหลายพรรษาเหมือนกันนะ เป็นนักเทศน์เก่งสอนเก่ง กิเลสมันก็เป็นนักเทศน์เก่ง นักสอนเก่งเหมือนกัน...เป็นผู้ทำอะไรได้ กิเลสมันก็ติดตามเราเหมือนเงาตามตัว
เราสังเกตดูนะ กิเลสของเราทุกๆ คนมันเป็นอย่างนั้นจริงๆ อย่างเราไม่ได้เป็นผู้นำทำวัตรสวดมนต์อย่างนี้แหละ เราก็ไม่อยากเข้าศาลา เพราะว่าเราไม่ได้เป็นผู้นำสวดมนต์ เป็นต้น "นั่นเห็นมั้ย เห็นกิเลสมั้ย เห็นกิเลสตัวเองหรือเปล่า"
คนเรามันทิฏฐิมานะ อัตตาตัวตน มันชอบติดทองแต่หน้าพระ หลังพระมันไม่ติด อย่างใครมีบทบาทอะไรทำงานส่วนรวมอะไร กิเลสมันก็ฟู ก็คะนอง ถ้าใครไม่ได้ทำก็หงอย อันนี้มันเป็นอาการของจิตใจของกิเลสทั้งนั้น
สตฺติยา วิย โอมฏฺโฐ ฑยฺหมาโนว มตฺถเก สกฺกายทิฏฺฐิปฺปหานาย สโต ภิกฺขุ ปริพฺพเชติ ฯ
ภิกษุพึงมีสติ เว้นรอบเพื่ออันละสักกายทิฏฐิ เหมือนบุรุษถูกประหารด้วยหอก และเหมือนบุรุษที่ถูกไฟไหม้บนศีรษะ ฯ
ทุกท่านทุกคนก็ต้องพยายามแก้ไขตัวเองนะ จิตใจหรือปฏิปทาหรือสิ่งที่ดีๆ ของเราก็เจริญน่ะ มันเหนื่อยมากลำบากมาก เราก็ต้องอดต้องทนเพื่อทำความเพียร ละบาปที่ยังไม่เกิดไม่ให้เกิดขึ้น ละบาปที่อยู่ในใจอยู่ในกมลสันดานนี้ให้มันหายไป ทำอะไรอยู่ ปฏิบัติอะไรอยู่พระพุทธเจ้าท่านก็ให้เราปรารภธรรม อย่าได้พากันปรารภอัตตาตัวตนซึ่งมันเป็นสิ่งที่ไม่ดีไม่งาม...ไม่เหมาะไม่ควร
เราทำอะไรอยู่ก็ตั้งใจทำให้มันดีๆ นะ เพื่อเราจะได้มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ เพื่อเราจะทำความดีให้ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาท
พระที่ชอบส่งใจออกไปข้างนอก โยมที่ชอบส่งใจออกไปข้างนอกต้องกลับเนื้อกลับตัว ทั้งกายทั้งใจ ถือว่าผิดแล้วก็แล้วไป อย่าได้ทำอีก ถ้าเราทำไปเรื่อยๆ โดยไม่รู้สึกตัวน่ะ เราจะตกเป็นผู้หลอกลวง กิเลสมันหลอกลวงเรา เราก็ไปหลอกลวงคนอื่นต่อ พระพุทธเจ้าท่านไม่ให้เรายุ่งกับสิ่งภายนอกน่ะ เป็นธุระในเรื่องภายนอก ท่านเมตตาเราสงสารเรา ให้เน้นเข้าหาข้อวัตรปฏิบัติ เพราะการประพฤติการปฏิบัตินี้ คือความสำคัญ คือความเจริญในพระพุทธศาสนา ไม่ใช่การมีหน้ามีตา มีลาภ ยศ สรรเสริญเป็นสิ่งที่สำคัญ เราจะได้เป็นพระมาตรฐาน เป็นเณรมาตรฐาน...เป็นโยมวัดมาตรฐาน...
ส่วนใหญ่ก็เราทุกๆ คนนี้แหละ ไม่ได้มาตรฐาน เมื่อไม่ได้มาตรฐานอย่างนี้ ตัวอย่างที่ดี แบบอย่างที่ดีมันก็ไม่มี 'มีแต่ของปลอมทั้งนั้น' "ความย่อหย่อนอ่อนแอนี้เป็นอันตรายต่อตัวเราเองและคนอื่น"
สมัยก่อน... เมื่อห้าสิบกว่าปีน่ะ เขาพิมพ์หนังสือตำราดูพระภิกษุออกมา เพื่อให้ญาติโยมประชาชนรู้จักพระที่แท้จริง...พระผู้ใหญ่ที่ย่อหย่อนอ่อนแอ เค้าพิมพ์มาเท่าไหร่ก็เหมาซื้อแล้วเอาไปเผาทิ้งให้หมด กลัวประชาชนเค้าจะรู้ถึงความชั่ว... รู้ถึงพฤติกรรมน่ะ พระผู้ใหญ่หรือว่าพระรุ่นพี่ก็มีลักษณะอย่างนี้แหละ เพราะว่าปฏิปทามันไม่ได้มาตรฐาน เราไปบอกเค้าผิดๆ สอนเค้าผิดๆ ว่าไม่เป็นไร ปลงอาบัติก็ได้ สอนใหม่ว่าอย่าไปยึดมั่นถือมั่นมาก อันนี้เป็น 'มิจฉาทิฏฐิ' ที่เป็น 'มหาภัย' ต่อวงการประพฤติวงการปฏิบัติ
เมื่อเรายังหนุ่มยังน้อยนี้แหละ พระพุทธเจ้าท่านถึงให้เราปฏิบัติให้มันหนักให้มันเข้มข้นเพื่อจะได้เป็นนิสัยเป็นปัจจัย เป็น 'สงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้า' เมื่อไม่ได้มาตรฐาน ไม่เข้า 'ถึงจิตถึงใจ' น่ะ เราถึงเห็นพระผู้ใหญ่มีปัญหาเรื่องนารีสีกา เรื่องหลอกลวงประชาชน ทำให้วงพระพุทธศาสนากระทบกระเทือน เพราะว่าการประพฤติปฏิบัติธรรมของเราไม่ต่อเนื่อง มีลาภ มียศ มีชื่อเสียงนิดหน่อยก็ลืมตัว...ลืมมาก "กิเลสมันลามปามไปเรื่อยนะ"
พระพุทธเจ้าท่านสอนเราทุกๆ คนน่ะ ทั้งพระใหม่พระเก่า ตลอดถึงญาติโยมประชาชน อย่าได้พากันลืมตัวนะ การประพฤติปฏิบัติต้องให้มันเข้มขันต่อเนื่องกันไปเรื่อยๆ อย่างสม่ำเสมอ การไม่ทำตามใจของตัวเอง ไม่ตามกิเลสของตัวเอง ท่านว่าเป็นสิ่งที่ดีที่ประเสริฐ เราเป็นคนฉลาดเป็นคนเก่ง ไปเอาความสุขความดับทุกข์จากคนอื่น...คงไม่ได้...คงไม่ดีนะ ต้องเอาความสุข ความดับทุกข์จากตัวเอง ด้วยการไม่ตามกิเลสนี้แหละ
ถ้าเราจะพากันสร้าง 'เรตติ้ง' ให้กับตัวเองนั้น... พระพุทธเจ้าท่านให้เรากลับมาหาธรรมะ กลับหาวินัยอย่าได้พากันส่งกายส่งใจออกข้างนอก มันเป็นสิ่งที่ไม่ดีไม่งาม มันมีเบื้องหน้าเบื้องหลังโดยถูกกิเลสมันครอบงำ
เราทุกคนต้องกราบไหว้ตัวเองให้ได้ให้สนิทใจ คนอื่นเค้าอยู่ใกล้ๆ เค้าจะได้รักเคารพเรากราบไหว้เราได้สนิทใจ อย่างนี้ถึงจะถูกต้อง มันถึงจะไม่กินแหนงแคลงใจ ที่พูดที่บรรยายนี้แหละ...เป็นพระธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ท่านตรัสว่า... "น เต อหํ อานนฺท ตถา ปรกฺกมิสฺสามิ อานนท์! เราไม่พยายามทำกะพวกเธอ อย่างทะนุถนอม ยถา กุมฺภกาโร อามเก อามกมตฺเต เหมือนพวกช่างหม้อ ทำแก่หม้อ ที่ยังเปียก ยังดิบอยู่ นิคฺคยฺหนิคฺคยฺหาหํ อานนฺท วกฺขามิ อานนท์ ! เราจักขนาบแล้ว ขนาบอีก ไม่มีหยุด ปวยฺหปวยฺหาหํ อานนฺท วกฺขามิ อานนท์ ! เราจักชี้โทษแล้ว ชี้โทษอีก ไม่มีหยุด โย สาโร, โส ฐสฺสติ ผู้ใดมีมรรคผลเป็นแก่นสาร ผู้นั้นจักทนอยู่ได้"
ทุกท่านทุกคนให้ถือเอาโอกาส...ถือเอาเวลานี้มาประพฤติมาปฏิบัติ มาอบรมบ่มอินทรีย์ให้จิตใจของเรามีอินทรีย์บารมีแก่กล้าขึ้น ต้องอาศัยความอดความทน อาศัยข้อวัตรปฏิบัติ คนเราเมื่อไม่ได้ตาม 'ใจ' ก็ต้องมาแก้ที่ 'ใจ' เพราะสิ่งที่มีปัญหาก็คือ 'ใจ' ที่มีปัญหา ต้องทำใจของเราให้สงบให้ได้น่ะ 'ใจ' ของเรามันก็ค่อยๆ เกิดปัญญาว่า ธรรมะนี้มันเป็นสิ่งที่ทวนกระแส ถ้าเราทำตามใจตามอารมณ์น่ะชีวิตนี้ก็มีแต่ผิดหวัง โลกนี้ก็ย่อมมีแต่ความเห็นแก่ตัว ถือพรรคถือพวก ถือชั้นวรรณะชาติตระกูล "เอาดีใส่แต่ตัว เอาสุขใส่แต่ตัว เอาความทุกข์ให้คนอื่น มันไม่ถูกต้องเลยมันไม่ยุติธรรมเลย...."
ธรรมะที่ทำให้เราเป็น 'พระ' เบื้องต้น คือการลดมานะละทิฏฐิ ละความเห็นแก่ตัว ไม่เอาความสุขทางวัตถุ ไม่เอาความสุขทางเนื้อทางหนัง ลาภ ยศ สรรเสริญ จะเอาความสุขทางทำความดีมีศีลมีธรรม เอาความสุขทางการทำจิตใจให้สงบทางการเสียสละ เรื่องเงินเรื่องสตางค์ เรื่องสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ เค้ามาพร้อมกับความดีของเรา โดยที่เราไม่ต้องไปอยากไปต้องการ อย่างเค้าให้เราเรียนหนังสือตั้งแต่อนุบาลจนถึงดอกเตอร์นี้ก็เพื่อเป็นคนดีเป็นคนเสียสละ ละความเห็นแก่ตัวความขี้เกียจขี้คร้าน อย่างให้เค้าเรียนนักธรรมตรีไปถึง ป.ธ.๙ ก็เพื่อเป็นคนดี เป็นคนเสียละความเห็นแก่ตัว
โลกเราที่มันร้อนอยู่นี้เพราะอะไร...? เพราะเราทุกๆ คนมีความเห็นแก่ตัวมันถึงได้สร้างปัญหา เราทำความดีมันมีแต่สงบมีแต่เย็นน่ะ ไม่มีใครมาได้เปรียบเรา เราไม่ได้เสียเปรียบใครหรอก การชนะจิตชนะใจตัวเองได้ คือการชนะข้าศึกทั้งหลายทั้งปวง พระพุทธเจ้าท่านเมตตาสอนเราอย่างนี้นะ ให้ทุกท่านทุกคน ตั้งใจดีๆ อธิษฐานจิตให้ดีๆ ให้มีหลัก ให้มีเกณฑ์ แล้วก็บังคับตัวเองอย่าให้คนอื่นบังคับ "การบังคับตัวเองเขาเรียกว่า ศีล" เมื่อ 'ศีล' เข้าถึงจิต ถึงใจ ถึงเจตนา สมาธิที่มันเป็นธรรมชาติ ที่มันเป็นกฎของธรรมชาตินั้น มันจะเกิดขึ้นมาเอง ปัญญาตัวที่ดับทุกข์ที่แท้จริงมันถึงจะเกิดศีล สมาธิ ปัญญา มันจะรวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
ในโอกาสนี้ ถือว่าเป็นโอกาสสำคัญที่ทุกท่านทุกคน จะได้ฝึกจะได้ปฏิบัติขัดเกลากิเลสอาสวะของตัวเอง ไม่ว่าเราจะอยู่ในวัด หรือจะอยู่ในบ้านอยู่ที่ไหน ทุกคนก็ต้องปฏิบัติตัวเองทั้งหมด เราอยู่ที่ไหนเราก็แก่ เราก็เจ็บ เราก็ตายเหมือนกันหมด 'สัจธรรม' คือความจริงเค้าไม่ได้ยกเว้นใคร
ความสุขทุกคนมันเป็นสิ่งเสพติด ทุกคนมันชอบมันติดเราทุกคนจำเป็นต้องทำใจเฉยๆ น่ะ เดินหน้าประพฤติปฏิบัติธรรม คำว่า 'ติด' ทุกคนก็รู้แล้วว่ามันเป็นไปไม่ได้ มันถึงติด จิตใจเราจำเป็นจะต้องเดินหน้าไป ทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างไว้เบื้องหลัง อย่าไปเสียดงเสียดายอาลัยอาวรณ์มัน แข็งใจสู้มัน มีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ ถือว่าเราได้เดินตามรอยบาทขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นสิ่งที่ประเสริฐ ไม่มีอะไรที่จะประเสริฐยิ่งกว่า จงดีใจจงภูมิใจในตัวเอง ในการประพฤติปฏิบัติของตัวเองว่าเราได้เดินทางมาดีแล้ว ถูกต้องแล้ว ชื่อว่า "สุคโต ปฏิบัติธรรมด้วยความสุข..."