แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ในวันเสาร์ที่ ๗ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๖๖
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง ชีวิตใหม่ที่เลือกได้ ตอนที่ ๑๑ การรักษาศีล ปฏิบัติธรรม ก็เพื่อที่จะละนิสัยแห่งตัวตน เข้าสู่ธรรมะ เข้าสู่พระวินัย
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
ทุกคนเกิดมาเพราะความหลง ไม่ใช่หลงธรรมดา มันหลงอย่างหลง มันเป็นพลังงานให้ทุกท่านทุกคนต้องเข้าใจว่าตัวเองหลง ถึงต้องเอาพระพุทธเจ้าเป็นสรณะ เอาพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ที่ท่านได้ตรัสรู้เป็นสรณะ เอาพระอริยสงฆ์ที่ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ตามพระธรรมเป็นสรณะ ทุกท่านทุกคนต้องเอาใจใส่เป็นพิเศษ ต้องลงรายละเอียดของตัวเอง เรามาคิดดูดีๆ มันหลงจริงๆ ถ้าไม่หลง มันไม่ดำรงชีวิตอย่างนี้หรอก ไม่ฆ่าสัตว์หรือยินดีที่ผู้อื่นฆ่า ไม่ลักทรัพย์หรือยินดีที่ผู้อื่นลักทรัพย์ ไม่ประพฤติผิดในกาม หรือได้เห็นคนอื่นเขาทำ ก็มองเห็นเป็นธรรมดา ไม่พูดในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เพราะเราดูดีๆ อย่างเราเกิดมาพ่อแม่บรรพบุรุษเราบริโภคจากคนอื่น นี้แสดงถึงความหลง คนเรามันหลง มันติด ทุกสิ่งทุกอย่าง ถึงต้องพากันประพฤติ พากันปฏิบัติ เราเลยมองเห็นความหลงเป็นเรื่องธรรมดา
พระพุทธเจ้าถึงวางแผนในการเผยแผ่ สิ่งที่จะพาเราออกจากวัฏฏะสงสารได้ คือ ธรรมวินัย สิกขาบทน้อยใหญ่ มันไม่ใช่เรื่องกฏหมายบ้านเมือง เป็นเรื่องกรรม เรื่องกฏแห่งกรรม เราอย่างถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา มันเป็นเรื่องเสียหาย มันต้องเข้าสู่ภาคประพฤติปฏิบัติ เราอย่าไปคิดว่าเราฆ่าสัตว์เพราะจำเป็น คนอื่นเขาฆ่า เราไปซื้อบริโภคเพราะความจำเป็น เราต้องรู้จัก รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ มันเป็นสภาวธรรมที่เกิดมา เพื่อให้หมู่มวลมนุษย์ได้พัฒนาใจเหมือนเราพัฒนาวิทยาศาสตร์ ทุกคนต้องรู้จัก ไม่ใช่เพราะมีความจำเป็น ที่จะทำอย่างนั้น อย่างนี้ เหมือนพระคุณเจ้าที่กำลังเป็นไปในประเทศไทย มีความจำเป็นที่จะเดินทางไกล ถึงให้โยมผู้หญิงขับรถพาไป แล้วเอาตัวเองไปนั่งอยู่ข้างหลังให้ผู้หญิงเป็นคนขับอยู่ข้างหน้า ตัวเองและพระภิกษุหลายรูปนั่งอยู่ข้างหลัง โยมผู้ชายก็อยู่ด้วย เราคิดว่ามันจำเป็น บางคนไม่ละอายต่อบาป ไม่เกรงกลัวต่อบาป ผู้หญิงขับก็นั่งคู่กันเลย นึกว่าเป็นความจำเป็น การที่เราจะทำอย่างนั้น อย่างนี้เพราะความจำป็น เหมือนพระที่กำลังเห็นกันอยู่ วิทยาศาสตร์มันพัฒนา มีรถไถอยู่ในวัด มีรถมอเตอไซด์ไฟฟ้าเลยไปขับ บางแห่งมันก็วัดกว้าง อะไรก็จำเป็น มันไม่ได้คิดที่จะแก้ไขตัวเอง
การรักษาศีล ประพฤติปฏิบัติธรรมก็เพื่อที่จะละนิสัยแห่งตัวตน เข้าสู่ธรรมะ เข้าสู่พระวินัย ครูบาอาจารย์ถึงเป็นสิ่งที่สำคัญ เราเห็นตัวอย่างแบบอย่าง ยกตัวอย่างหลวงพ่อชา เกี่ยวข้องกับผู้หญิง ท่านรับแขก 20 คน 30 คน มีแต่พวกผู้หญิงทั้งหมดเลย ที่นั่งอยู่กับท่าน มีแต่สามเณร สามเณรลุกขึ้นไปล้างกระโถน ไปล้างอะไร ระยะห่าง 30-40 เมตร หลวงพ่อชาก็ลุกขึ้นเพื่อไปทำนู่นไปทำนี่เหมือนกัน เพื่อที่จะไม่พูดอยู่กับพวกผู้หญิงที่หลายคน ที่ไม่มีพระนั่งด้วย ไม่มีเณรนั่งด้วย เพื่อรักษาพระวินัย อย่างนี้ถึงจะถูกต้อง
เมื่อครั้งพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หลังตรัสรู้แล้ว พระเจ้าสุทโธทนะทูลเชิญให้พุทธองค์เสด็จไปยังกรุงกบิลพัสดุ์ ครั้นเมื่อผ่านไปแล้วสองปีหลังการตรัสรู้ พระพุทธเจ้าจึงเสด็จไปยังกบิลพัสดุ์ ช่วงแรกพระนางยโสธรามิได้ออกไปต้อนรับพุทธองค์ พระพุทธเจ้าจึงเสด็จขึ้นไปหาพระนางยโสธรา พร้อมด้วยพระสารีบุตรและพระมหาโมคคัลลานะ เมื่อพระนางเห็นเช่นนั้นจึงรีบเสด็จไปหาพุทธองค์ ทรงจับข้อพระพุทธบาททั้งสองเกลือกบนพระเศียรแล้วถวายบังคม โดยพระพุทธเจ้าทรงตรัสเล่าเรื่องจันทกินรีชาดก จนพระนางยโสธราบรรลุโสดาปัตติผล
หรือว่าพระโมคคัลลานะ พระสารีบุตร ที่รักษาธรรมวินัย เพราะถึงแม้จะเป็นพระอรหันต์แล้วก็ต้องเป็นผู้กตัญญูกตเวที เพื่ออยู่ส่วนรวม เราอย่าคิดว่าสุขภาพเราไม่ดี ไม่ทำข้อวัตร กิจวัตร เราอย่าไปอ่อนแอตามสิ่งแวดล้อม ร่างกายของเรา ใจของเรานี้มันไม่เสียสละ ศีลของเราจะเกิดได้ยังไง สัมมาสมาธิจะเกิดได้ยังไง ปัญญาจะเกิดได้ยังไง คนเราไม่เสียสละศีล สมาธิ ปัญญามันก็ไม่เกิด มันเกิดไม่ได้ มันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ อย่าให้อวิชชา ความหลงมันยึดอำนาจ ต้องพากันเสียสละ เพราะเราจะได้เข้าสู่พระศาสนา เข้าสู่การประพฤติปฏิบัติ เราจะไม่ได้เป็นผู้มีปัญญา เป็นนักปรัชญา เราจะไม่ได้มีแบรนด์เนมต้องเข้าสู่ภาคปฏิบัติ เราจะไม่ได้มีมานะ ละทิฏฐิเพราะเราทิฏฐิมานะเยอะ ทำตามใจตัวเอง เขาเรียกว่ามีสักกายทิฏฐิ เขาเรียกว่าเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง มีการอนุโลม ปฏิโลม คือผู้ลูบคลำในศีล ในข้อวัตร ข้อปฏิบัติ หลวงพ่อใหญ่ได้ให้เช็คดูบางท่านก็ขาดทำวัตรเช้า ใน ๑ เดือน ขาดไปเป็นสิบๆ วัน หลวงพ่อสังเกตดูถ้าไม่เป็นโรคจิต โรคประสาทอย่างมาก เพื่อจะได้แก้ไข เพื่อจะได้ต่อสู้กับตัวเอง เราต้องหาวิธีแก้ไข พวกเดียวกันต้องช่วยกัน ประคับประคองกัน ต้องเห็นความสำคัญในการที่จะจัดการกับตัวเอง ในการพัฒนาตัวเอง อย่าเห็นเรื่องศีล สมาธิ ปัญญา เรื่องการพัฒนาตัวเองเป็นสิ่งที่ไม่สำคัญนะ เราดูพระที่ตามใจตัวเองเยอะมันไม่ใช่พระนะ เดือนนึงขาดกิจวัตรเป็น สิบกว่าครั้งขึ้นไปมันไม่ได้ ต้องดูว่าถึงแม้ตัวเองเป็นโรคจิตโรคประสาทก็พยายามที่ปรับตัวเอง เข้าหาพระวินัยให้มากขึ้น อย่าเป็นผู้หนักในสักกายทิฏฐิ เอาตัวตนเป็นใหญ่ หนักในกามคือเอาตัวตนเป็นใหญ่ ต้องเสียสละ ต้องหยุดมีเซ็กส์ทางความคิด หยุดมีเซ็กส์ทางอารมณ์ คนเราถ้าเราไม่เสียสละ มันก็ป่วยแล้ว ป่วยทางจิตใจมาก่อน และมาป่วยทางกาย อย่าให้หมอที่โรงพยาบาลเห็นหน้าเราบ่อย มันก็มีแต่เจ้าเก่าเวียนไปเวียนมา เราต้องมาแก้ไขโรคโควิดทางจิตใจ อยู่กับความฟุ่งซ่าน อย่างนี้โรคจิตโรคประสาทมันไม่หยุด
จะไปตามใจตัวเอง ตามอารมณ์ตัวเอง ไม่ได้ เพราะว่าการตามใจตัวเอง ตามอารมณ์ตัวเอง คืออาการโรคจิต โรคประสาท ทุกคนต้องแก้โรคจิต โรคประสาทของตัวเอง ปรับตัวเองเข้าหาธรรมะ เข้าหาเวลา เราต้องหยุดตัวเราให้ได้ ไม่อย่างนั้นมันไม่ได้ ที่หลวงพ่อให้ลงรายละเอียดพระทุกรูปเรื่องเวลา นี้แหละคือข้อวัตร ข้อปฏิบัติ ตื่นตี ๒ ตี ๓ เพื่อที่จะปรับเรา ไม่ให้เราตามจิต ตามใจ ตามอารมณ์ ตามความรู้สึก ศีล สิกขาบทน้อยใหญ่ที่มาในปาฏิโมกข์ ๒๒๗ ข้อ ที่มาในพระไตรปิฏก ๒๑,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ เพื่อที่ทุกคนจะหยุดตัวเอง เพราะมันเห็นแก่ตัวมาก ถ้าไม่ใช่พระวินัย สิกขาบทน้อยใหญ่มันไปไม่ได้ ไปไม่รอด เพราะทุกคนทำได้ปฏิบัติได้ ถึงจะเป็นโรคประสาทก็ต้องแก้โรคประสาทตัวเอง แก้โรคจิตตัวเอง สัมมาสมาธิคืออย่าใจอ่อน ต้องใจเข้มแข็ง ใจเสียสละ ละตัวละตน
ทุกคนต้องเข้าใจ ผู้ที่บวชเก่าก็ต้องเข้าใจ ผู้ที่บวชใหม่ก็ต้องเข้าใจ เพราะว่าจุดมุ่งหมายที่เรามาบวช ก็เพื่อที่มาเปลี่ยนแปลงตัวเอง เพราะเราคือผู้ที่มาเวียนว่ายตายเกิดในวัฎสงสาร เป็นสามัญชนหรือเป็นปุถุชน ชีวิตอยู่ด้วยการเบียดเบียน อยู่ด้วยการมีแต่จะเอา ไม่ได้เป็นผู้ให้ ประพฤติผิดในกาม ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริต ด้วยการกระทำมีสิ่งที่ซ่อนเร้นไว้โดยประการทั้งหลายทั้งปวง ตั้งมั่นอยู่ในความเพลิดเพลิน อยู่ในความประมาท ทุกท่านทุกคนต้องให้เข้าใจคำว่าพระ คำว่า ศาสนา เราจะได้เอาพระพุทธเจ้าเป็นมาตรฐาน เอาธรรมวินัยเป็นมาตรฐาน ทุกท่านทุกคนเนี่ยไม่มีใครเก่งหรอก ซิกแซกไปก็ไปไม่รอด ถ้าเราเอาตัวเป็นใหญ่เอาตนเป็นใหญ่ เอาตัวตนเป็นที่ตั้ง สิ่งที่จะแก้ไขเปลี่ยนแปลงเราได้ก็คือธรรมวินัย เราต้องเข้าสู่ระบบแห่งธรรมวินัย ทุกคนมีความสุขกับการประพฤติปฏิบัติ การเสียสละ
ทกคนหน่ะต้องกลับจิตกลับใจ กลับกายกลับตัว กลับหางกลับหัว กลับจากชั่วมาเป็นดี ก็เพราะแม้ว่าเรามีเจตนาที่เป็นโจร แต่ได้ฟังคำสอนของพระพุทธเจ้า โจร ๕๐๐ ก็เป็นพระอรหันต์ได้ โจรห้าพันก็เป็นพระอรหันต์ได้ โจรหลายหมื่นหลายแสนหลายล้าน ก็กลับตัวกลับใจจนกลายเป็นพระอรหันต์ได้เช่นกัน เพราะธรรมะของพระพุทธเจ้าเป็นสิ่งที่ประเสิรฐ เป็นสิ่งที่บริสุทธิ์ ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนเป็นสิ่งที่บริสุทธิ์ เราต้องกลับมาหาสติสัมปชัญญะ กลับมารู้ตัวทั่วพร้อม ให้มีความสุข หายใจเข้าก็ชัดเจน หายใจออกก็ชัดเจน พวกที่รู้ตัวเอง ก็ต้องกลับจิตกลับใจ กลับกายกลับตัว กลับหางกลับหัว กลับจากชั่วให้มันกลายเป็นดี เพราะอันนี้เป็นกฏแห่งกรรม เป็นการกระทำนะ
เพราะเราทุกคนเกิดมาจากปาณาติบาต พ่อแม่พาฆ่าสัตว์ตัดชีวิตทำอะไรไปทุกอย่าง สังคมมันเป็นประชาธิปไตยในการทำอย่างนี้ มันก็ไม่ถูกนะ มันเป็นสักกายะทิฏฐิ มันเป็นความเห็นแก่ตัว เป็นความยึดมั่นถือมั่น คนเราไม่มีความสุขหรอก ถ้าเราทำตามใจตามอารมณ์ตามสิ่งที่ไม่ถูกต้องน่ะ มีแต่จะสร้างปัญหา ความสุขความดับทุกข์ของเรา พระพุทธเจ้าก็บอกแล้วว่ามันอยู่ที่ปัจจุบันนะ เราจะรวยเราจะจนมันก็ดับทุกข์ได้ เพราะเรารู้แจ้งซึ่งความคิดซึ่งอารมณ์อย่างนี้ เราก็มีสติสัมปชัญญะ หายใจเข้าก็รู้ชัดเจน หายใจออกก็รู้ชัดเจน หายใจเข้าสบาย หายใจออกสบาย อันนี้เรียกว่าพุทธะ หรือเรียกว่า พุทโธ
เราต้องกตัญญูกตเวทีต่อพระพุทธเจ้า ผู้ที่มาบวชนะ ที่เราถือบรรทัดฐานแห่งความเป็นอลัชชี ไม่ละอายต่อบาปไม่เกรงกลัวต่อบาปอย่างนี้น่ะ มันไม่ได้ เพราะคนเราส่วนใหญ่ ก็พวกที่ไม่เข้าใจศาสนามาบวชใหม่ๆ ก็ละอายต่อบาป แต่พอมาเห็นพระเก่าพาทำอย่างโน้นอย่างนี้ ก็ถามว่า “ทำได้ไหม” พระเก่าก็บอกว่า “ได้ เขาทำกันอย่างนี้แหละ” อย่างนี้น่ะ มันไม่ใช่นะๆ มันไม่เกี่ยวกับวัดบ้านวัดป่าหรอก มันเกี่ยวกับความถูกต้องความเห็นถูกต้องความเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง เพราะการปฏิบัติมันต้องแก้ที่ตัวเรา พัฒนาที่ตัวเรา อย่าให้มันเพี้ยนไปมาก
เราต้องรู้จักอันนี้คือศาสนาที่เราจะต้องประพฤติปฏิบัติ ถ้าใจเรามันไม่ดี มาบวชอย่างนี้มันก็ไม่ได้บวช มันเป็นเพียงบทละคร บทแสดงเฉยๆ พระพุทธเจ้าท่านไม่ให้นอนในที่นิ่มที่นวล ให้นอนที่ปกติธรรมดา สำหรับพระธรรมดาไม่เหมือนพระอรหันต์ ท่านจะไปอยู่ที่ไหนจิตใจท่านก็ไม่ปรุงไม่แต่ง ไม่ตัดไม่เติม จิตใจของท่านเป็นปกติ ใจของท่านเป็นศีล เป็นสมาธิ คือความตั้งมั่นในธรรมวินัย ใจของคนเรามันไม่มีแก่ไม่มีหนุ่มนะ แก่ๆ ยังไปชอบสาวอยู่นะ ไม่ว่าผู้หญิงผู้ชาย มันทำท่าทำทางอย่างนั้น ถ้าใจยังไม่เป็นพระอรหันต์มันเป็นปัญหาทุกคน
ทุกคนต้องลงทุนด้วยการประพฤติปฏิบัติโดยกลับมาสู่ระบบธรรมะ ระบบที่เค้าเรียกว่ายาน เหมือนที่เราข้ามทะเลข้ามมหาสมุทรก็ต้องมียาน แล้วเราเกิดมาอาศัยพ่ออาศัยเเม่เป็นหลัก อาศัยการเรียนการศึกษาเป็นหลัก เพื่อสิ่งอันนั้นเป็นยานเป็นความรู้ เป็นสัมมาทิฏฐิ เพื่อให้มีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง การเรียนการศึกษาของเราถึงต้องเข้าใจอย่างนี้ เราจะอยู่ที่บ้าน อยู่ที่วัด อยู่ที่ไหน ก็ปฏิบัติให้ถูกต้อง มันถึงจะเเก้ปัญหาได้ ถึงจะสันติสุข เข้าถึงพระนิพพาน เราต้องพากันเข้าใจ อย่างไปหลงไหลศาสนาที่เป็นมิจฉาทิฏฐิ เครื่องลางของขลัง ฤกษ์ดียามดี ทุกอย่างมันเกิดจากเหตุจากผล เกิดจะการประพฤติปฏิบัติ เพราะสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี
ผู้ที่มาบวช เพราะเรายังเป็นเด็กเป็นน้อยอยู่ เเต่ทีนี้เราเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ เราจะได้ทุ่มเท ประเทศไทยเราถือพระพุทธเจ้าเป็นหลัก เอาธรรมเป็นหลัก เอาธรรมเป็นใหญ่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ท่านทรงเอาธรรมเป็นหลัก เอาธรรมเป็นใหญ่ ถึงให้ข้าราชการสามารถลาราชการมาบวชได้ โบสถ์ของเเต่ละวัด ถึงเป็นที่ปลอดภัยปราศจากที่เค้าจะไปจับในเขตวิสุงคามสีมา
คำว่า “พระ” ไม่ได้หมายถึงคนห่มผ้าเหลืองหรอก พระหมายถึงพระธรรม พระวินัย เเต่ทุกอย่างมันต้องมีรูปเเบบ เเบบฟอร์ม ตำรวจก็มีเเบบฟอร์ม เเพทย์หมอพยาบาลก็มีเเบบฟอร์ม ทหารก็มีเเบบฟอร์ม เพราะจะได้เเยกเเยะสมมุติ แสดงให้เราเข้าใจว่า ความเป็นพระอยู่ที่เรามีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง อยู่ที่เราพากันมาบวช เพราะวัดเป็นศูนย์รวมของบุคคลพิเศษ บุคคลที่เอามรรคผลนิพพาน ผู้บวชบ้านก็ไม่ได้เช่า ข้าวก็ไม่ได้ซื้อ พ่อเเม่ก็มากราบไหว้ ปู่ย่าตายายก็มากราบไหว้ พระเจ้าอยู่หัวก็มากราบไหว้กรณีพิเศษ เพราะเราไม่ได้เอาตัวตน ไม่ได้เอาทิฏฐิ เราเอาธรรมะ ให้ทุกคนเข้าใจอย่างนี้นะ ผู้ที่มาบวชก็ปฏิบัติเต็มที่ ผู้ส่งเสบียงให้อุปภัมถ์เต็มที่ ไม่ได้ฝืนใจกราบไหว้ ผู้บวชต้องเข้าใจ การที่เรามาบวชอย่างนี้ ประชาชนเค้าต้องหุงข้าวหาอาหาร จะได้มีเงินมีตังค์มาสร้างกุฏิสร้างวิหารอย่างนี้ วัดกับบ้านกับโรงเรียนมันถึงเเยกกันไม่ได้ วัดมันคือศูนย์รวม เดี๋ยวนี้มันลดค่าลดราคา ผู้ที่มาบวชในเมืองไทย มันไม่ได้เป็นวัดเป็นวา เป็นเเต่คนมาอาศัย เกรดมันตกลงเกิน มันเป็นศูนย์รวมของคนจนที่เอาพุทธศาสนาเอาศาสนาทำมาเลี้ยงชีพอย่างนี้มันไม่ได้ ผู้คนต้องเข้าใจ มันจะได้เปลี่ยนเเปลง มาประพฤติปฏิบัติ เราต้องละมิจฉาทิฏฐิ
เรามาบวช ไม่ใช่มาเอาเจ้าอาวาส เจ้าคุณ มาเอาอุปัชฌาย์ มาเอาปกครอง เราต้องมาจัดการตัวเอง เพื่อตามเเนวพระพุทธเจ้า ตามตำเเหน่งที่เราสละซึ่งตัวซึ่งตน ให้ทุกอย่างที่พามาก็พาไป ตอนเช้าก็รุ่งอรุณ ตอนกลางวันมันก็เเดด ตอนค่ำมันก็มืด เราต้องเข้าใจ พระที่มาบวชใหม่ต้องเข้าใจ อย่ามาฉันเเล้วนอน พักผ่อนอย่างนั้นไม่ใช่ ไปคิดไปเรื่อยไม่ได้ คิดไปเรื่อยอันนั้น มันมี Sex ทางความคิด มี Sex ทางอารมณ์ มันเสียหาย บวชเเล้วก็บวชทั้งกายบวชทั้งใจ
เมื่อเราอยู่ทางบ้าน เราทำการทำงาน ใจของเราอยู่กับการงาน เราเป็นนักเรียนใจของเราก็อยู่กับการเรียน เมื่อเรามาบวช ใจของเราก็อยู่กับการหายใจเข้าหายใจออก นั่งอย่างนี้เราก็รู้ ขาขวาพุท ขาซ้ายโธ เพื่อใจของเราจะได้เเข็งเเรง กายของเราจะได้เเข็งเเรง ดำรงชีวิตให้ตั้งมั่น หายใจเข้าก็รู้ หายใจออกก็รู้ หายใจเข้าให้สบาย หายใจออกให้สบาย ไม่ต้องรู้อะไร ดำรงชีวิตไป ไม่ต้องตามความคิดไป มันจะฟุ้งซ่าน ที่เราเวียนว่ายตายเกิดก็เพราะเราตามความคิดไป เรารู้ว่าลมเข้ามันไม่ก็เที่ยง ลมออกมันก็ไม่เที่ยง ลมเข้ามันไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน ลมออกมันไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน ลมของเราก็เป็นทั้งสมถะ เป็นทั้งวิปัสสนา เป็นพระพุทธเจ้าก็ใช้อานาปานสติ เป็นพระอรหันต์ก็ใช้อานาปานสติ เป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบก็ใช้อย่างนี้เเหละ เเม้เป็นประชาชนที่อยู่บ้านก็ใช้ลมอย่างนี้เเหละ
ถ้าอย่างนั้นมันเป็นเหมือนที่เราเห็นอยู่นี้เเหละ ประชาชนก็อยู่กับตัวเองไม่เป็น อยู่แต่กับโทรศัพท์ อยู่กับโทรทัศน์ อยู่กับอะไรอย่างนี้ มันเลยไปมีเเต่ SEX ทางความคิด ทางอารมณ์ เราเลยเเย่เลย เป็นคนไม่ได้เเก้ไขใจตัวเอง ไปเเก้เเต่ภายนอก เรามาบวชต้องรู้นะ เรามาทำงานกันเป็นทีม ไปบิณฑบาตก็ไปพร้อมกัน สำรวมอินทรีย์ เดินบิณฑบาตให้สุดสายสำหรับพระที่เเข็งเเรง พระที่ไม่สุดสาย คือพระป่วย กับ พระเเก่ เเละ พระที่หลวงพ่อใหญ่ให้ทำการสงฆ์กลับมาเตรียมงาน ให้พากันเข้าใจอย่างนี้ สำรวมดีๆ ท่องพุทโธ โปรดสัตว์ สัตว์ที่ไหน ก็สัตว์ที่อยู่ในใจของตัวเองนั้นเเหละ สัตว์ที่เวียนว่ายตายเกิด สัตว์ที่ไม่ได้อยู่กับพุทโธ เราไปอย่างนี้ พระก็ได้บุญ โยมก็ได้บุญ อย่าไปหล่อกเเหล่กๆ คนไม่เคยท่องพุทโธ มันก็อยู่กับภายนอกนะ การฉัน การอะไรก็ต้องสำรวมระวัง กลับมาก็ไปรับบาตรครูบาอาจารย์ กลับจากหมู่บ้านก็รับบาตรครูบาอาจารย์ ล้างบาตรครูบาอาจารย์ เพื่อกตัญญูกตเวที เวลาเราลาสิกขาลาเพศไป จะได้อุปัฎฐากพ่อเเม่เป็น เราเป็นคนเห็นเเก่ตัว เอาอะไรก็จะใส่ปากตัวเอง มีเเต่กินเเต่นอนพักผ่อนอย่างนี้ไม่ได้
เพราะพระพุทธเจ้าคือผู้ที่เสียสละ พระอรหันต์คือผู้ที่เสียสละ เราไม่เสียสละ ศีลสมาธิปัญญาเราไม่มีหรอก มันไม่ฉลาด มีเเต่ความโง่ เดี๋ยวนี้โควิดมันออกระบาด อยู่ใกล้กัน ไปตักอาหารก็ต้องสวมเเมสก์ โยมที่ตักอาหารก็ต้องสวมเเมสก์ อย่าไปอยู่ใกล้กันเกิน เพราะเราจะได้หยุดเชื้อโรค หยุดอะไร ถ้าไม่รู้ตัวเองในปัจจุบัน มันจะไปหยุดวัฏฏะสงสารไม่ได้ เพราะการเวียนว่ายตายเกิดมันอยู่ที่ปัจจุบัน เหมือนกับว่าเราก็ปฏิบัติเพื่อตัวตนทั้งนั้น ถ้าเราไม่รู้จักตัวเองในปัจจุบัน นั้นเเหละคือการเวียนว่ายตายเกิด ถ้าเราไม่รู้จักปัจจุบัน การดำรงชีวิตของเราปฏิบัติเพื่อเจ้าโลก เพื่อตัวเพื่อตน เจ้าโลกก็คือ เจ้าที่เวียนว่ายตายเกิด คือ เจ้าโลก เจ้าที่ยึดมั่นถือมั่น เจ้าหมู่เฮา เค้าเรียกว่า ปฏิบัติเพื่อเกิดโลกทางจิตใจ
ต้องรู้จักเบรคตัวเอง มีสติ สัมปชัญญะ มีปัญญาว่าอันนี้ผิด อันนี้ถูก ต้องหยุดตัวเอง คนเค้าไม่อยากเเก้ไขตัวเอง ไปเเก้ไขคนอื่น มันไม่ได้ ตอนเช้าต้องทำงานเป็นทีมไปปลุกกัน เราก็อย่าอาศัยแต่ครูบาอาจารย์ปลุก อย่าถือนิสัย ครูบาอาจารย์บังคับครึ่งนึง เราบังคับตัวเองครึ่งนึง เราต้องอาศัยการประพฤติการปฏิบัติ ทำวัตรสวดมนต์ก็ทำให้มีความสุข นั่งสมาธิจะเอาเเต่นอนเเต่พักผ่อนไม่ได้ เราไม่ได้ฝึกใจ ฝึกพุทโธ เดี๋ยวพุทโธหาย เราก็ตกภวังค์ ไปหมกหมุ่นกับเวทนา มันหลับไปเมื่อไหร่ไม่รู้ คนเค้านั้นข้างๆ ได้ยินเสียงกรน เเต่ตัวเองว่าไม่หลับหรอก ผู้ที่สมาทานไม่นอน ถึงหลังเสีย หลังคดหลังงอ ต้องเข้าใจนะ ข้อวัตรกิจวัตรต้องปรับตัวเองให้เต็มที่เลย เอาความขี้เกียจขี้คร้านให้มันสูญพันธุ์ไป ที่ทำให้เราเวียนว่ายตายเกิด ที่ทำให้เรายากจนทรัพย์ภายนอก จนทั้งคุณธรรมคุณงามความดี
เราถึงเรียกว่าเป็นสุปฏิปันโน เราถึงจะได้มีบุญให้พ่อเเม่มีบุญให้ประชาชน เราพยายามดัดเเปลงเข้าหาความถูกต้อง หาความเป็นธรรม เราอย่าไปเอาพรรคพวก เพื่อนฝูงระบบเพื่อนพ้อง ระบบหมู่เราหมู่เฮา ไม่เอา มันไม่ใช่ศาสนา เราจะได้ โอ้... ศาสนามันเป็นสิ่งที่ประเสริฐจริง ทำให้เราถล่มทลาย วัฏฏะสงสารด้วย เอาธรรมะเป็นหลัก เอาธรรมะเป็นใหญ่
พึ่งของเรา คือระเบียบ คือพระวินัย คือศีล ข้อวัตรปฏิบัติ ที่พระพุทธเจ้าท่านวางหลักการและจุดยืนไว้ให้เราแล้ว ไม่ว่าเราจะไปอยู่ที่ไหน แห่งใด พระธรรม พระวินัยก็จะได้รักษาคุ้มภัย มีแต่ความเจริญความงอกงามยิ่งๆ ขึ้นไป
พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ว่า พระธรรม ธรรมวินัย จะเป็นตัวแทนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ระบบความคิดและคำพูด การกระทำ ต้องให้อยู่ในธรรมวินัย อย่าให้ย่อหย่อนอ่อนแอ นาฬิกาย่อมเดินสม่ำเสมอ ไม่ช้า ไม่เร็ว "ใจของเราก็ต้องปรับใจเข้าหาระเบียบหาวินัย เข้าหาเวลา"
ทุกๆ ท่าน ทุกคนน่ะ พระพุทธเจ้าไม่ให้เราเอาอัตตาตัวตนเป็นใหญ่เป็นประธาน ให้เอาธรรมวินัยเป็นใหญ่ เป็นที่ตั้ง เป็นประธาน เราไปอยู่ไหน แห่งหนตำบลใด ที่นั้นก็จะมีแต่ความสงบ มีแต่ความเจริญรุ่งเรืองตลอดไป ตลอดกาล เราจะเป็นที่พึ่งให้กับตัวเอง และเป็นที่พึ่งให้กับคนอื่น เพราะว่าเราเดินตามรอยของพระพุทธเจ้า
พระพุทธเจ้าไม่ให้เราทั้งหลาย พากันหลงทางหลงประเด็น ให้จับหลักในการประพฤติการปฏิบัติให้ได้ เราทุกคนจะได้ทำความเพียรช่วยเหลือประชาชน ดูแลประชาชน
คนเราเกิดมา... ก็พึ่งคุณพ่อคุณแม่ อาศัยความดีบารมีของคุณพ่อคุณแม่ เราบวชมาพึ่งพระพุทธเจ้า อาศัยบารมีของพระพุทธเจ้า ที่ประชาชนเขาให้ความเคารพนับถือกราบไหว้ เพราะเป็นบารมีของพระพุทธเจ้า
บารมีของเราก็คือเรามาเดินตามรอยของพระพุทธเจ้า เรื่องอามิส เรื่องวัตถุ ความสะดวกสบาย ไม่ใช่จุดมุ่งหมาย ไม่ใช่ประเด็นของเรา ประเด็นของเรา คือรักษาพระวินัยให้ได้ทุกข้อ รักษาศีลให้ได้ทุกข้อ มีปัญญา คือการเสียสละ ไม่ทำตามใจตัวเอง ไม่ทำตามอารมณ์ตัวเองซึ่งเป็นสิ่งที่บาป เป็นสิ่งที่จะต้องเวียนว่ายตายเกิด ถึงมันอยากทำ ก็ไม่ทำ มันอยากพูด ก็ไม่พูด มันอยากคิด ก็ไม่คิด สิ่งอื่นใดไม่ประเสริฐ ไม่ยิ่งไปกว่าพระรัตนตรัย
ทุกท่านทุกคนต้องพึ่งความดี ความถูกต้อง พึ่งพระวินัย พึ่งศีลทุกข้อเราอย่าไปหลงประเด็นน่ะ พึ่งอาหาร พึ่งบ้าน พึ่งกุฏิ พึ่งศาลา พึ่งรถคันสวยหรู อันนั้นมันไม่ใช่ที่พึ่งที่แท้จริง ไม่ใช่ที่พึ่งที่ถาวร สิ่งเหล่านั้นมันก็เป็นเพียงบรรเทาทุกข์ เราต้องมีสมาธิแข็งแรง แข็งแกร่งกว่านั้น เดินไปอีก ก้าวไปอีก ถ้ารู้ว่าตัวเองมีจิตใจย่อหย่อนอ่อนแอ ก็ต้องถอนใจออกจากอารมณ์นั้นๆ ให้คิดเสียว่าการไม่ได้ทำตามใจ ไม่ได้ทำตามอารมณ์ ไม่ได้ทำตามกิเลสนั้นมันเป็นสิ่งที่ไม่ตาย มันเป็นสิ่งที่ดี เป็นสิ่งที่ประเสริฐ
'ศีล' 'ธรรมวินัย' เป็นสิ่งที่หล่อหลอมให้เราเข้าถึงความสุข ความดับทุกข์ที่แท้จริง มันไม่ใช่ความสุขชั่วคราวประเดี๋ยวประด๋าว เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เป็นความดับทุกข์แท้ ชีวิตของเราจะได้หมดเรื่องหมดปัญหา เพราะเราจับหลักจับข้อวัตรปฏิบัติได้ เราจะได้ถึงบางอ้อว่า อ้อ..! เราเพียงแต่ปฏิบัติตามธรรม ตามพระวินัย เราจะเข้าถึงความขลัง ความศักดิ์ ความสิทธิ์ กิเลสทั้งหลายทั้งปวงก็จะไม่สามารถทำอันตรายใดๆ ให้แก่เราได้...
เราเป็นลูกศิษย์พระพุทธเจ้า เราต้องเข้าใจพระธรรมวินัย คำสั่งสอน ให้แจ่มแจ้งชัดเชน มันก็ปฏิบัติได้เหมือนกันหมด เราจะเป็นพระภิกษุนอกรีต นอกรอย เราต้องเป็นพระธรรม พระวินัย เราจะได้พัฒนาทรัพยากรแห่งความประเสริฐที่เราได้เกิดมาเป็นมนุษย์ เราจะเข้าถึงบริสุทธิคุณ เราทุกคนมันจะทุกข์ได้ยังไง ถ้าเราพากันมุ่งมรรคผลนิพพาน ประชาชนตื่นขึ้นมาก็มีความสุขในการทำงาน เด็กก็มีความสุขในการเรียนหนังสือ
พระนี้ไม่อดตาย เพราะพระคือพระธรรมพระวินัย คนเขาเห็นพระเขาก็ได้บุญ เห็นภิกษุผู้ที่หลงในวัตถุ หลงในสวรรค์ มันอัปมงคล พระพุทธเจ้าให้ปวารณาออกพรรษา เพราะว่าพวกที่มาบวช คือพวกที่ตามอุดมการณ์ ตามจุดมุ่งหมาย คือพวกที่มุ่งมรรคผลนิพพาน คือพวกที่จะไม่มีทิฏฐิมานะ เพราะท่านได้วางหลักการไว้ เพราะอยู่ด้วยกันมีทั้งพระอริยเจ้า มีทั้งปุถุชน มุ่งมรรคผลนิพพาน อย่าเป็นผู้ที่มีทิฏฐิมานะตัวตนมาก เหมือนพากันเป็นอยู่อย่างนี้แหละ เขาเรียกว่าทิฏฐิพระ มานะของปุถุชน เราต้องอย่าเป็นผู้มีทิฏฐิมานะเห็นแก่ตัว เราอย่าพากันไปก๋าไปกร่าง การอ่อนน้อมถ่อมตน คือคุณธรรมของผู้ที่จะเป็นพระอริยเจ้า เพราะคนเราน่ะ คนไม่ดีมันก็ไม่กี่เดือนกี่ปีมันก็ไปหากัน เพราะว่ามันไม่ละทิฏฐิ เรานี่นะอย่าเป็นผู้มีทิฏฐิมานะความเห็นแก่ตัวนะ ฉันข้าวก็เสียข้าว ฉันน้ำก็เสียน้ำ เรามีทิฏฐิมานะตัวตน
เราจะเป็นพระอย่างไร มาเอาตัวเอาตน เราต้องเสียสละ เข้าวัดอย่างนี้ พวกหมูหมากาไก่ มันยังไม่มีทิฏฐิมากเท่ากับพวกที่มีมิจฉาทิฏฐิ อย่างนี้มันเป็นแก๊งค์นะเราต้องทำลายแก๊งค์ที่มันอยู่ในใจของเรานี่ เพราะว่าไม่กี่เดือน คนประเภทเดียวกันมันก็ไปหากัน ทาสีดำๆ ก็ไปหากัน สีเทาๆ ก็ไปหากัน ทาสีด่างๆ ก็ไปหากัน สีบริสุทธิ์มันก็ไปหากัน ทิฏฐิมานะตัวตนนี้ทุกคนต้องละลาย มันถึงจะมีศีล ถึงจะมีสัมมาสมาธิ ถึงจะมีปัญญาจริง ถึงละตัวตนได้ จะได้มีปัญญารู้แจ้งว่า โอ้...เราทำไมดีอย่างนี้ เพราะว่าพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้านั้นดีนั้นประเสริฐ
ผู้ที่มาบวช บวชเก่าก็ยิ่งไม่มีทิฏฐิมานะ ไม่มีตัวไม่มีตน ผู้มาบวชใหม่ ต้องฝึกตนปฏิบัติตน จะได้เปลี่ยนแปลงตัวเอง อย่ามาตุบป่องตุบป่อง น่าเกลียดอยู่ไม่ได้นะ ทุกคนอย่าไปเก้อเขินอย่าไปอาย โจรกลับใจมันก็อายนะ เก้อเขินนะ เป็นธรรมดานั่นแหละ ทำไปไม่กี่วันกี่เดือนกี่ปี มันก็เป็นไปโดยธรรมชาติ ไม่มีใครถึงปริญญาเอกทันทีหรอก มันก็ต้องผ่านอนุบาล ผ่านประถม ผ่านมัธยม ผ่านอุดมศึกษา ผ่านปริญญาตรี ปริญญาโท มันถึงปริญญาเอก เพราะนี้เป็นภาคปฏิบัติของเราทุกคน เพราะความประพฤติการปฏิบัติ มันเป็นการเปลี่ยนแปลงตัวเอง เป็นการประพฤติการปฏิบัติ ให้เป็นกุศลกรรม คือการกระทำดีของเรามันพัฒนาไป เพราะถ้าทำอย่างนี้นะ สถานการณ์มันจะเย็นลง ทั้งตัวเองและ ผู้อื่น เราทุกคนจะได้เป็นพระ เป็นสมณะ ถ้าเราปฏิบัติไม่ถูกต้อง เป็นพระไม่ได้ เป็นสมณะไม่ได้ ทุกอย่างที่เกิดขึ้นระหว่างวัน มันเป็นทางแห่งการประพฤติการปฏิบัติในชีวิตประจำวัน ให้เราพัฒนาปัญญาขึ้นสู่วิปัสสนา
เราทุกๆ คนทุกท่านปฏิบัติได้เหมือนๆ กัน ไม่ยิ่งไม่หย่อนกว่ากันนะ เราต้องเอาศักยภาพที่ประเสริฐออกมาใช้ออกมาประพฤติปฏิบัติ ถึงเวลาแล้วสมควรแล้วที่เราจะได้ฉายแสง
"ความดี ความถูกต้อง ธรรมวินัย" เท่านั้น จะเป็นที่พึ่งของเราทั้งหลาย ไม่ว่าเราจะไปอยู่ที่ไหน ทำอะไรนั้นน่ะ "ศีล คือความรับผิดชอบ สมาธิ คือความหนักแน่น ปัญญา คือรู้จักรู้แจ้ง ปล่อยวาง เสียสละ อบรมบ่มอินทรีย์ พัฒนาตัวเองอย่างนี้ตลอดไป"