แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ในวันศุกร์ที่ ๖ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๖๖
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง ชีวิตใหม่ที่เลือกได้ ตอนที่ ๑๐ ให้รู้ถึงความโชดีที่ได้เกิดเป็นมนุษย์ พบกับคำสอนของพระพุทธเจ้า ที่ให้เราปฏิบัติเพื่อดับทุกข์
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
ให้ทุกท่านทุกคนรู้จักศาสนา ส่วนใหญ่ผู้ที่เวียนว่ายตายเกิดยังไม่รู้จักศาสนา ไม่รู้จักของดีแท้ดีจริง ศาสนาเป็นความดับทุกข์ คือเป็นสัมมาทิฏฐิ มันเป็นกฏแห่งกรรม แห่งความดับทุกข์ ศาสนาทุกศาสนาก็คือหลักกฏแห่งกรรม ผู้ที่มาบวชเป็นพระ เป็นเณร เป็นแม่ชี ก็ยังไม่รู้จักศาสนาของแท้อยู่ ให้รู้จักศาสนา รู้จักอริยสัจ ๔ ความเป็นพระนี้ก็เป็นได้กับทุกๆ คนถ้าตั้งอยู่ในหลักพระพุทธศาสนา จะเป็นพระไปในตัวในระบบความคิด ระบบคำพูดการกระทำ มันเป็นสิ่งที่แน่นอน เข้าถึงความดับทุกข์ตั้งแต่ยังไม่ตาย มันจะเลื่อนของมันไปเอง เป็นปัจจุบันธรรมไปเรื่อย
ศาสนาคืออะไร ศาสนาก็คือไม่ทำตามใจตัวเอง ไม่ทำตามอารมณ์ตัวเอง ไม่ทำตามความรู้สึกตัวเอง ในโลกนี้ถึงต้องมีศาสนา ความดีทั้งหมด ความเป็นธรรม ความยุติธรรม ที่ไม่มีตัวไม่มีตน เรียกว่าศาสนา ศาสนา คือ หนทางที่ประเสริฐที่ประกอบด้วยอริยมรรคมีองค์ 8 คนเราเกิดมาถึงต้องมีศาสนาประจำใจ
คำว่าพระพุทธศาสนานั้น แปลว่าอะไร พุทธ แปลว่า พระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าแปลว่า ผู้รู้ พุทธศาสนา ก็แปลว่า ศาสนาของผู้รู้ พุทธศาสนิกชนก็แปลว่าผู้ปฏิบัติตามศาสนาของผู้รู้ ที่ว่ารู้นั้นหมายถึงรู้อะไร ก็คือรู้สิ่งทั้งปวงตามที่เป็นจริงนั่นเอง จึงกล่าวได้ว่าพุทธศาสนาก็คือ ศาสนาที่ทำให้รู้ว่าอะไรเป็นอะไร เป็นศาสนาเกี่ยวกับความรู้จริง เราจึงต้องปฏิบัติจนเรารู้ได้เอง เมื่อรู้ถึงที่สุดแล้วไม่ต้องกลัวกิเลสตัณหาต่างๆ จะถูกความรู้นั้นทำลายให้สิ้นไปความไม่รู้ (อวิชชา) ความหลงก็จะดับไปทันที ในเมื่อความรู้ได้เกิดขึ้นมาฉะนั้น ข้อปฏิบัติต่างๆ จึงมีไว้เพื่อให้วิชชาเกิด ท่านทั้งหลายจงปักใจมั่นในทางที่จะเข้าถึงพระพุทธศาสนา ด้วยการปฏิบัติให้รู้ว่าอะไรเป็นอะไรเท่านั้น ขอแต่ให้เป็นความรู้ที่ถูกต้อง รู้ด้วยความเห็นแจ้งจริงๆ อย่ารู้อย่างโลกๆ รู้ครึ่งๆ กลางๆ ซึ่งไปหลงสิ่งที่ไม่ดีว่าดี หลงสิ่งซึ่งเป็นที่เกิดของความทุกข์ว่าเป็นความสุขดังนี้ ก็จะค่อยๆ รู้ไปตามลำดับ นั่นแหละ จะเป็นการรู้จักพุทธศาสนาที่ถูกตัวพุธศาสนาแท้ๆ
ถ้าศึกษาพุทธศาสนาโดยวิธีนี้แล้ว แม้คนตัดฟืนขายที่ไม่รู้หนังสือก็จะเข้าถึงตัวพุทธศาสนาได้ ในขณะที่มหาเปรียญหลายประโยคที่กำลังง่วนอยู่กับพระไตรปิฎก ไม่อาจเข้าถึงพุทธศาสนาได้เลย พวกเราที่มีสติปัญญาอยู่บ้าง น่าจะสามารถพินิจพิจารณาสิ่งทั้งปวงให้รู้ตามที่เป็นจริงได้ ฉะนั้นเมื่อถูกความทุกข์อะไรเข้าแก่ตัวเองแล้ว ก็จะต้องศึกษาสิ่งนั้นให้เข้าใจแจ่มแจ้งว่ามันเป็นอย่างไรกันแน่ ความทุกข์ที่เกิดขึ้นและกำลังเผาลนเราให้เร่าร้อนอยู่นั้นมันคืออะไร เป็นอย่างไร มาจากไหน
ถ้าทุกคนตั้งสติ คอยเฝ้ากำหนดพิจารณาความทุกข์ที่เกิดขึ้นแก่ตนในลักษณะดังกล่าวนี้แล้ว ก็จะเป็นทางให้เข้าถึงพุทธศาสนาได้ดีที่สุด ดีกว่าการที่จะเรียนเอาจากพระไตรปิฎกอย่างเปรียบเทียบกันไม่ได้ทีเดียว การที่ใครจะมัวแต่ศึกษาพุทธศาสนาจากพระไตรปิฎก ในแง่ของภาษาหรือวรรณคดีหรือปรัชญานั้น จะไม่มีทางรู้ว่าอะไรเป็นอะไร ทั้งๆ ที่พระไตรปิฎกก็เต็มไปด้วยคำบรรยายว่าสิ่งนั้นเป็นอย่างนั้น สิ่งนี้เป็นอย่างนี้ เขาฟังอย่างนกแก้วนกขุนทอง พูดตามที่จำไว้ได้ แต่ไม่สามารถที่จะเข้าถึงความจริงของสิ่งทั้งหลาย เว้นไว้แต่เขาจะได้ทำการพิจารณาให้เห็นเป็นเรื่องจริงของชีวิตจิตใจ เข้าถึงตัวจริงของกิเลส ของความทุกข์ของธรรมชาติ หรือของสิ่งทั้งปวงซึ่งเข้ามาเกี่ยวข้องกับตัวเขานั่นแหละ จึงจะเข้าถึงตัวพระพุทธศาสนาที่แท้ได้
คนที่ไม่เคยอ่านเคยฟังพระไตรปิฎกเลย แต่เคยพิจารณาอย่างละเอียดลออทุกครั้ง ที่ความทุกข์เกิดขึ้นแผดเผาจิตใจของตน นี้แหละเรียกว่าเขากำลังเรียนพระไตรปิฎกโดยตรงและอย่างถูกต้องดียิ่งกว่ากำลังเปิดเล่มพระไตรปิฎกออกอ่าน เพราะว่าพวกที่กำลังลูบคลำเล่มพระไตรปิฎกอยู่ทุกๆ วัน แต่แล้วไม่รู้จักอมฤตธรรมคำสอนที่มีอยู่ในพระไตรปิฎก เขาก็คล้ายกับการที่เรามีตัวเอง ใช้ตัวเอง ปฏิบัติตัวเอง ไม่สามารถแก้ปัญหาต่างๆ ที่เกี่ยวกับตัวเองให้ลุล่วงไปได้ ยังคงมีความทุกข์ ยังคงมีตัณหาที่เป็นเหตุให้เกิดทุกข์เพิ่มมากขึ้นทุกๆ วัน ตามอายุที่เพิ่มขึ้น นี่เพราะไม่รู้จักตัวเราอย่างเดียวเท่านั้น
ชีวิตจิตใจที่สวมอยู่กับเรา เราก็ยังไม่รู้จัก การที่จะไปรู้สิ่งลึกลับที่ซ่อนอยู่ในพระไตรปิฎกนั้นมันยุ่งยากไปกว่าเป็นไหนๆ เพราะฉะนั้นจงหันมาศึกษาพุทธศาสนาหรือรู้จักตัวพุทธศาสนาด้วยการศึกษาจากตัวจริง คือจากสิ่งทั้งปวง ซึ่งรวมทั้งร่างกายและจิตใจนี้เอง จากชีวิตซึ่งกำลังหมุนอยู่ในวงกลมของความอยาก กระทำตามความอยาก แล้วก็เกิดผลอย่างนั้นอย่างนี้ขึ้นมาหล่อเลี้ยงเจตนาที่อยาก จึงทำสืบต่อไปไม่มีที่สิ้นสุด ต้องเวียนว่ายอยู่ในวัฏฏสงสาร หรือทะเลแห่งความทุกข์ เพราะความที่ไม่รู้ว่า อะไรเป็นอะไร ข้อเดียวเท่านั้น
สรุปความว่า พุทธศาสนา คือวิชาและระเบียบปฏิบัติเพื่อให้รู้ว่า อะไรเป็นอะไร เมื่อเรารู้ว่า อะไรเป็นอะไรถูกต้องจริงๆ แล้วไม่ต้องมีใครมาสอนเราหรือมาแนะนำเรา เราก็ปฏิบัติต่อสิ่งนั้นๆ ถูกต้องได้ด้วยตนเอง แล้วกิเลสก็จะหมดไปเอง เราเป็นอริยบุคคลขั้นใดขั้นหนึ่งขึ้นมาทันที เราจะปฏิบัติอะไรไม่ผิดขึ้นมาทันที เราจะลุถึงสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้ หรือที่ชอบเรียกกันว่ามรรคผลนิพพาน นี้ได้ด้วยตนเอง เพราะการที่เรามีความรู้ว่าอะไรเป็นอะไรโดยถูกต้องถึงที่สุดอย่างแท้จริงเท่านั้น
หลวงพ่อพุทธทาสภิกขุกล่าววา “พุทธศาสนาโดยเนื้อแท้เป็นวิทยาศาสตร์ไม่ใช่ปรัชญา แต่วิธีพูดในบางเรื่องบางกรณี ในการเริ่มต้นหรือในการพูดอย่างหลักปรัชญา มันก็มีเหมือนกัน...
พุทธศาสนามันเป็นการปฏิบัติในรูปแบบของศาสนา...มีวิธีการอย่างวิทยาศาสตร์ คือต้องเอาของจริง มา ดู ใคร่ครวญ แจ่มแจ้ง และจัดการลงไป โดยประจักษ์แก่ใจอยู่เสมอ ความที่ประจักษ์แก่ใจอยู่เสมอนี้ ไม่ต้องคำนึง คำนวณ ดังนั้นมันจึงไม่ใช่ปรัชญา ความที่ประจักษ์แก่ใจอยู่เสมอนี้ เรียกว่า "สันทิฏฐิโก"
คุณก็ท่องอยู่ทุกวันนี่ พอช่วงทำวัตรเย็น มันก็มี สวากขาโต ภควตา ธัมโม สันทิฏฐิโก อกาลิโก เอหิปัสสิโก โอปนยิโก ปัจจังตัง เวทิตัพโพ นี่ท่องอยู่ทุกวัน ให้เข้าใจคำเหล่านี้แหละ แล้วก็จะรู้ว่าพระธรรม พระธรรมหรือพระศาสนานั้นน่ะ มันมีลักษณะเป็นวิทยาศาสตร์
ข้อที่เป็นสันทิฏฐิโกนะ ยิ่งเป็นวิทยาศาสตร์ที่สุด คือต้องประจักษ์แก่ตา หรือ ตาปัญญาอยู่เสมอ
อกาลิโก ไม่ขึ้นอยู่กับเวลานั่นแหละมันยิ่งเป็นวิทยาศาสตร์ มันมีลักษณะมีกิริยาเมื่อไรก็มีปฏิกิริยาเมื่อนั้น เรียกว่าอกาลิโก
เอหิปัสสิโก มันมีตัวอยู่จริง เรียกมาดูได้ที่นี่และเดี๋ยวนี้ ถ้าสวรรค์หรือนรกก็ตามมันอยู่ชาติหน้า แล้วจะเรียกใครมาดูได้ละ ความเป็นเอหิปัสสิโก มันก็มีไม่ได้เป็นไม่ได้
โอปนยิโก ควรน้อมเข้ามาใส่ตัวนี่ มันยิ่งเป็นวิทยาศาสตร์เพราะมันเป็นสิ่งที่ทำได้ จัดการให้เป็นประโยชน์ขึ้นมาได้ ไม่ใช่เป็นเรื่องของคำนวณหรือความรู้แห่งการคำนวณ ซึ่งเป็นปรัชญา
และข้อสุดท้าย ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ เฉพาะตน ๆ เพราะมันเป็นเรื่องทางจิตใจที่ต้องเห็นด้วยใจของตน ก็กลายเป็นเรื่องเฉพาะตน แต่มันก็มีความหมายของสันทิฎฐิโกรวมอยู่ด้วยในบทนี้ด้วยนะ ปัจจัตตังเวทิตัพโพ นี่คือเป็นเอง สันทิฏฐิโกเห็นเอง พอมาถึงปัจจัตตังเวทิตัพโพ นี่โดยเฉพาะตนเติมเข้ามา เห็นเองเฉพาะตน
แล้วก็มีคำว่าวิญญูหิอยู่ด้วย วิญญูหินั้นก็แปลว่าคนที่มีปัญญาตามปกตินะ คนโง่ คนบ้า คนใบ้ คนปัญญาอ่อน ไม่รวมอยู่ในคำว่าวิญญูหินะ เพราะฉะนั้นมันจึงไม่สำเร็จประโยชน์แก่คนโง่ คนปัญญาอ่อน บ้าใบ้ เพราะมันไม่รวมอยู่ในคำว่าวิญญูหิ ฉะนั้นจึงได้เฉพาะไอ้คนที่ปกติและก็มีปัญญา เป็นคนปกติมีปัญญาหรือคนมีปัญญาเป็นปกตินั่นแหละ มันก็เป็นวิญญูหิ พอจะรู้ธรรมะได้ ถ้าคนพาล คนโง่ คนหลง คนปัญญาอ่อนมันไม่ได้ ยกออกไปเสีย ก็เป็นอภพฺพสัตว์ อภัพบุคคลไม่อาจจะเข้าใจได้”
ธรรมะคือพระศาสนา พระรัตนตรัยก็คือธรรมะ ธรรมะคือพระรัตนตรัย ทุกคนต้องสละเสียซึ่ง ความเห็นผิด ความเข้าใจผิด ที่เราพากันปฏิบัติผิด เราเอาปัญญา ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านทรงตรัสรู้ เพื่อหยุดพลังงาน หยุดอวิชชาหยุดความหลง เพราะเราทุกคน มันมีความเห็นผิดเข้าใจผิด จนทำให้เกิดภพเกิดชาติ มันดำเนินชีวิตเพื่อจะเอาเพื่อจะมีก็จะเป็น ดูแล้วก็น่าสงสารทุกคน แม้แต่มาบวชแล้วก็ยังมีแต่ความเห็นผิดเข้าใจผิด มาได้รับตำแหน่งสมมุติว่าเป็นพระ การเป็นพระ คือเข้าสู่ธรรมวินัย คือหยุดทำตามใจตัวเอง พระพุทธเจ้ามีหลักการและมีข้อประพฤติข้อปฏิบัติคือพระวินัย สิกขาบทน้อยใหญ่ เป็นการถอนรากถอนโคน พระนี้ถึงเป็นผู้ไม่มีทิฏฐิมานะไม่มีตัวตน เป็นประชาชนมันมีตัวมีตน ทุกคนต้องหายพยศ ลดมานะ ละทิฐิ ทุกอย่างมันมีแต่ผลประโยชน์แอบแฝง การบ้านการเมืองอะไรทุกอย่างมันมีแต่ผลประโยชน์ มันเก่งอยู่มันฉลาดอยู่ เก่งฉลาดทางซิกแซก เราต้องพากันมีความเห็นถูกต้อง ความเข้าใจถูกต้อง ความปฏิบัติถูกต้อง เราถึงจะมีความสุข เพราะว่าทุกๆ คน ต้องรู้ว่าตัวเองว่ามีความเห็นผิด เข้าใจผิดนะ เราอย่าพากันดันทุรังไปเรื่อย เราต้องพากันแก้ไขตัวเอง การบรรพชาอุปสมบทถึงเป็นบุญใหญ่มีอานิสงส์มาก เป็นโอกาสให้ทุกคนพากันแก้ตัวเอง ปรับตัวเองเข้าหาธรรม เข้าหาเวลา อย่าพากันเสียเวลา เรามีตัวมีตน มันไม่ใช่นะ เราต้องหยุดด้วยศีลด้วยสมาธิด้วยความตั้งมั่นในธรรม เป็นผู้มีทิฐิมานะมาก มีอัตตาตัวตนมันไม่ดีไม่ถูก คนเราอย่าไปหลงตัวเองว่าตัวเองทำถูก มันไม่ถูกนะ เราต้องจัดการเรื่องความคิดของเรา เราต้องรู้จักว่าเรามีตัวมีตน ที่พึ่งของเราก็คือตัวเอง ในการประพฤติปฏิบัติก็คือตัวเราเอง เราไม่ต้องไปพึ่งใคร พระเจ้าบอกให้เราพึ่งตัวเอง พึ่งความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้อง
เราเกิดมาทำไม ? ถ้าให้จัดลำดับคำถามยอดฮิตของคำถามของมนุษย์บนโลกนี้ คำถามว่า “มนุษย์เกิดมาทำไม” คงเป็นคำถามยอดฮิตติดอันดับต้นๆ แน่นอน ก่อนตอบคำถามนี้ ขอถามคำถามหนึ่งก่อน “ทำไมถึงมีแสงแดด” คำตอบที่ได้มักมีกันหลายแบบขึ้นอยู่กับพื้นฐานความรู้ ความคิดและสัญญาคือความจำได้หมายรู้ของแต่ละคนที่ได้สั่งสมมา แต่คำตอบหนึ่งที่ได้ก็คือ “เพราะมีดวงอาทิตย์จึงมีแสงแดด” จะเห็นได้ว่า เพราะมีสิ่งหนึ่งจึงมีอีกสิ่งหนึ่ง เพราะสิ่งหนึ่งเกิดขึ้น อีกสิ่งหนึ่งจึงเกิดขึ้น เป็นธรรมชาติที่อาศัยการเกิดขึ้นของกันและกันตามเหตุปัจจัย เพราะสิ่งนี้มี สิ่งนี้ถึงมี
ดังนั้นคำตอบของคำถามที่ว่า “มนุษย์เกิดมาทำไม” ก็ต้องตามไปดูว่าเหตุปัจจัยของการเกิดนี้คืออะไร ในวิธีแห่งพุทธ พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า เหตุปัจจัยของการเกิดมาเป็นมนุษย์ คือ เพราะมีตัณหา ตัณหา ตามพระพุทธภาษิต ตณฺหา ชเนติ ปุริสํ ตัณหาทำให้คนเกิด และไม่ทำให้เกิดอย่างเดียว ทำให้ทุกข์ด้วย.. ที่ว่า ตณฺหามาตุกํ ทุกฺขํ ความทุกข์มีตัณหาเป็นมารดา มีพระพุทธภาษิตที่ยาวๆ ก็มีอยู่ เช่น ตณฺหา ชเนติ ปุริสํ ทีฆมทฺธานสํสรํ ตัณหาทำให้คนเกิด ทำให้ท่องเที่ยวไปในสังสารวัฏ ตลอดกาลยาวนาน ให้เป็นอย่างนั้นบ้าง ให้เป็นอย่างนี้บ้าง ไม่อาจจะล่วงพ้นสังสารวัฏไปได้..
ตัณหาคือความอยาก ถามว่าอยากอะไร ก็อยากใน รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส (ผ่านทางอายตนะทั้ง 6 คือ ตา,หู,จมูก ลิ้น,กาย,ใจ) เป็นความอยากที่เกิดจากความไม่รู้ จึงทำให้สิ่งหนึ่งยังต้องเกิดมาเป็นมนุษย์บนโลกนี้ ส่วนจะเกิดแล้วเป็นอะไรก็แล้วแต่ว่าสร้างเหตุปัจจัยมาอย่างไร
แต่สิ่งที่สำคัญกว่าการหาคำตอบว่า “มนุษย์เกิดมาทำไม” คือ คำถามว่า “เกิดมาแล้วจะทำอย่างไร” ต่างหากน่าจะเป็นประโยชน์มากกว่า เหมือนแดดออกแล้วอย่าไปถามว่าแดดออกทำไม ต้องถามว่า แดดออกแล้ว ถ้าร้อนมากจะทำอย่างไร คำตอบที่ได้คือ เอาร่มมากางหรือสร้างอะไรปกป้องคุ้มครองป้องกันแดด จะเห็นว่าคุณค่าที่เกิดจากคำถามนั้นต่างกัน
“ถ้าได้เกิดเป็นมนุษย์... อยากจะทำอะไร” คำถามเดียวกัน แต่ต่างคำตอบที่ ต่างภพภูมิ ต่างวาระ ต่างบารมี ต่างความคิด ต่างการกระทำ ต่างจุดมุ่งหมาย กับคำถามที่ว่า “ถ้าได้เกิดเป็นมนุษย์... อยากจะทำอะไร”
เทวดา ตอบว่า “เราจะพิจารณาธรรม เพราะมนุษย์มีกายสังขาร ที่เหมาะกับการพิจารณาธรรมมาก ร่างกายของมนุษย์เป็นเครื่องมือที่ใช้พิจารณาธรรมได้ดีที่สุด” ข้อนี้เหมือนที่พระพุทธองค์ตรัสแก่โรหิตัสสเทพบุตร ว่า เราย่อมไม่บัญญัติที่สุดของโลกที่สามารถถึงด้วยการไป แต่เราย่อมบัญญัติโลก เหตุเกิดของโลก ความดับของโลก และทางปฏิบัติเพื่อให้ถึงความดับแห่งโลก ในร่างกายอันยาวประมาณวา ที่มีสัญญาและมีใจครองนี้เอง
พญานาค ตอบว่า “บวชสิ ถ้าได้เกิดเป็นมนุษย์ เราจะบวช... เป็นพญานาคมีฤทธิ์มากก็จริง แต่บวชไม่ได้ บรรลุธรรมไม่ได้ ไม่เหมือนมนุษย์ พระพุทธเจ้าไม่ทรงอนุญาตให้นาคบวช แต่มนุษย์บวชได้ มนุษย์ไปนิพพานได้ ช่างประเสริฐแท้”
พระภูมิเจ้าที่ ตอบว่า “ถ้าได้เกิดเป็นมนุษย์อีกครั้ง คราวนี้เราจะไปทำบุญใส่บาตรทุกวัน ไม่ต้องมานั่งรอคนอุทิศส่วนกุศลมาให้เราอีกไปทำเองเลย เพิ่มบารมีได้เร็วทันใจดี”
สัตว์เดรัจฉาน ตอบว่า “ถ้าได้เกิดเป็นมนุษย์ เราจะสงเคราะห์สัตว์ตัวอื่น ... เป็นสัตว์นั้นทุกข์มาก พูดก็ไม่ได้ คิดอะไรฉลาดๆ ก็ไม่ได้ ... เป็นมนุษย์มีสมองมีปัญญา เราจะใช้ปัญญาของมนุษย์ทำตัวเองมาเป็นสัตว์อีก”
เปรต ตอบว่า “เราไม่อยากมีหน้าตาน่าเกลียด ไม่อยากมีปากเท่ารูเข็ม มีรูปร่างสูงเหมือนต้นตาล ... ถ้าได้เกิดเป็นมนุษย์เราจะถือศีล ไม่โกงกินของผู้อื่น จะได้ไม่ต้องมาเป็นเปรตผู้หิวโหย อดๆ อยากๆ ทนทุกข์ทรมานแบบนี้”
สัตว์นรกในอเวจี ตอบว่า “ถ้าได้เกิดเป็นมนุษย์ เราจะทำความดี จะไม่ทำผิดศีลอีก จะปฏิบัติธรรม ... เพราะนรกมันร้อนด้วยไฟนรก มันโหดร้าย มีแต่ความเจ็บปวดทุรนทุราย ... ถ้ามีโอกาสอีกครั้ง เราจะไม่ทำเลวทราม เราไม่อยากทุกข์ทรมาน ไม่อยากได้ชื่อว่าเป็นสัตว์นรกอีก”
แต่เมื่อคำถามเดียวกัน เมื่อถามมนุษย์ว่า ได้เกิดมาเป็นมนุษย์นี่ อยากจะทำอะไร มนุษย์ กลับตอบว่า “เราอยากรวย ... เราอยากมีทรัพย์สินเงินทองที่เราไม่เคยมี... อยากมีบ้านเรือนหลังใหญ่ๆ ... อยากมีคู่ครองที่รูปงาม ... อยากเสพสุขมากๆ อยากมีตำแหน่งสูง อยากมีอำนาจ แม้ต้องผิดศีล ทำร้ายใครก้อจะทำ ฯลฯ แล้วมนุษย์อย่างเราละอยากทำอะไร ??
อนิจจาใครหนอ..น่าสงสารที่สุด! มนุษย์ผู้ที่อยากแต่ทรัพย์สมบัติภายนอกที่ยึดถือได้ชั่วคราว ทั้งที่มีโอกาสจะทำบุญกุศลมากกว่าเพื่อน ทำให้มีอริยทรัพย์คือ ทรัพย์อันประเสริฐเป็นของติดตัวไปทุกภพภูมิ อยู่ภายในใจ มี ๗ สิ่งคือ ศรัทธา ศีล หิริ โอตตัปปะ พาหุสัจจะ จาคะ ปัญญา
ปัจจุบัน มนุษย์ส่วนใหญ่ยังไม่รู้ว่า เกิดมาทำไม อะไรคือเป้าหมายที่แท้จริงของชีวิต เมื่อไม่ได้ฟังธรรมของพระพุทธองค์ ชีวิตจึงต้องเวียนวนอยู่ในกระแสแห่งความทุกข์ระทม เหมือนนาวาที่หลงทิศทางท่ามกลางมหาสมุทร ต่อเมื่อได้ฟังพระสัทธรรม ก็จะเข้าใจความเป็นจริงของชีวิต และมุ่งแสวงหาสาระอันแท้จริง เพื่อให้บรรลุเป้าหมายสูงสุด คือ พระนิพพานในที่สุด
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ใน พรหมชาลสูตร ว่า ทุลฺลภญฺจ มนุสฺสตฺตํพุทฺธุปฺปาโท จ ทุลฺลโภ ทุลฺลภา ขณสมฺปตฺติ สทฺธมฺโม ปรมทุลฺลโภ ทุลฺลภา สทฺธาสมฺปตฺติ ปพฺพชฺชา จ ทุลฺลภา ทุลฺลภํ สทฺธมฺมสฺสวนํ = ความเป็นมนุษย์ หาได้ยาก, ความเกิดขึ้นของพระพุทธเจ้า หาได้ยาก, ความถึงพร้อมด้วยขณะสมัย ก็หาได้ยาก, พระสัทธรรม หาได้ยากอย่างยิ่ง, ความถึงพร้อมด้วยศรัทธา หาได้ยาก, การบวช ก็หาได้ยาก, การฟังพระสัทธรรมหาได้ยาก.
การที่พระพุทธองค์ตรัสว่า การได้อัตภาพเป็นมนุษย์นั้นยาก และเพศภาวะของมนุษย์นี้ เหมาะต่อการสร้างบารมีที่สุด ไม่ว่าจะทำความดีใดก็สามารถทำได้เต็มที่ การได้อัตภาพเป็นมนุษย์ ต้องอาศัยกำลังบุญบารมีที่สั่งสมไว้ในอดีตชาติ ส่วนการอุบัติขึ้นของพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์นั้น เป็นการยากยิ่งขึ้นไปอีก เพราะกว่าที่พระองค์จะสั่งสมบุญบารมี จนตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้นั้น ต้องใช้เวลายาวนาน อย่างน้อยถึง ๒๐ อสงไขย แสนมหากัป ต้องทุ่มเทชีวิตจิตใจสร้างบารมี ชนิดเอาชีวิตเป็นเดิมพันทีเดียว
ความถึงพร้อมด้วยขณะสมัยที่ว่ายากนั้น เพราะบางยุคบางสมัย ไม่มีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้น หรือยุคที่มนุษย์ไม่มีศีลธรรม เป็นยุคมืด ที่เรียกว่า สุญญกัป คือ กัปที่ว่างเว้นจากพระพุทธศาสนา เพราะพระพุทธเจ้าไม่ได้เสด็จมาอุบัติ พระสัทธรรมอันบริสุทธิ์จึงไม่บังเกิดขึ้น บางยุคโชคดียังมีพระปัจเจกพุทธเจ้ามาตรัสรู้ธรรม ท่านก็ตรัสรู้เฉพาะตน ไม่ยินดีขวนขวายในการสั่งสอนผู้อื่นให้ตรัสรู้ตาม ใครโชคดีมีโอกาสถวายทานกับท่าน ผู้เป็นทักขิไณยบุคคล ถือว่าเป็นบุญลาภอันประเสริฐแล้ว
หากเราเกิดในยุคที่มีพระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรือง แต่ไม่ได้ยอดกัลยาณมิตรแนะนำให้รู้คุณค่าของพระพุทธศาสนา ให้ซาบซึ้งในคุณของพระรัตนตรัยแล้ว ก็ทำให้พลาดโอกาสที่จะทำความดี หรือพลาดโอกาสฟังธรรมอันประเสริฐ ที่จะช่วยปิดนรกเปิดสวรรค์และพระนิพพานให้แก่เรา บางทีเมื่อมีศรัทธาแล้ว แต่การที่จะให้ยินดีในพระนิพพาน มีใจน้อมไปในการประพฤติพรหมจรรย์ เพื่อแสวงหาทางพ้นทุกข์อย่างแท้จริง ก็อาจทำได้ยาก แต่ถ้าใครคิดได้ ถือว่าเป็นผู้มีบุญมากยิ่งนัก
ดังนั้น นับเป็นความโชคดีของพวกเรา ที่มีบุญเก่าสั่งสมไว้ดีแล้ว ทำให้มองเห็นความสำคัญ และความยากลำบากของสิ่งที่กล่าวมาข้างต้นนี้ และเพราะเรามีบุญมากจึงได้สิ่งเหล่านี้มาอย่างง่ายดาย ไม่ว่าจะเป็นการได้อัตภาพความเป็นมนุษย์ ไม่พิกลพิการ มีร่างกายเหมาะสำหรับการสร้างบารมี การได้มาอยู่ในยุคสมัยที่พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรือง โดยเฉพาะประเทศไทยของเรา ซึ่งถือว่าเป็นประเทศที่มีพระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองที่สุด เป็นยุคที่แสงแห่งธรรมสาดส่องเข้ามาถึงจิตใจ ทำให้เราได้มีโอกาสฟังธรรม และน้อมนำไปประพฤติปฏิบัติได้ผลตามสมควรแก่ธรรม
ฉะนั้นแล้วเกิดเป็นมนุษย์แล้วจะทำอย่างไร พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า ให้แสวง หาความเป็นนิพพาน คือความไม่ตาย จึงจะคุ้มค่าต่อการเกิดเป็นมนุษย์ และความรู้อันดับแรกของการได้มาซึ่งนิพพานคือ การรู้อริยสัจสี่อริยสัจสี่ คือ อะไร? ก็คือ ตัวทุกข์ เหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ ความดับไปของทุกข์ และ หนทางแห่งการดับทุกข์
ควรให้ตอบปัญหาของตัวเองว่า ชาตินี้เราเกิดมาเพื่อที่จะหยุดปัญหาหยุดพลังงานแห่งการเวียนว่ายตายเกิด เราต้องปฏิบัติตามพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ด้วยความตั้งใจด้วยการสมาทานด้วยการปฏิบัติ พุทธัง ยาวะ- นิพพานัง สะระณัง คัจฉามิ ชีวิตนี้เราต้องปฏิบัติตามพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าอย่างไม่มีเงื่อนไข มีความสุขในการที่จะต้องเสียสละ
ถ้าสำหรับบรรพชิตนี้จุดหมายปลายทางของเราคือพระนิพพาน หรือว่า พระอรหันต์ขีณาสพ สำหรับฆราวาสนี้ก็จุดหมายปลายทางของเราคือพระนิพพาน เราไม่ถึงพระขีณาสพเราก็ย่อมถึงพระอนาคามีได้ ขึ้นอยู่ที่เราตั้งใจอยู่ที่เราสมาทาน อุปสรรคทั้งหลายทั้งปวงนั้นย่อมมีแก่เราแน่นอนในการประพฤติในการปฏิบัติ เพราะการปฏิบัตินี้คือ ไฟท์ติ้ง ที่เราทุกคนจะต้องสอบผ่านในปัจจุบัน เราเอาฉันทะเราเอาความพอใจ สัมมาสมาธิเรา ทุกท่านทุกคนต้องพากันตั้งมั่น เอาชีวิตเป็นเดิมพัน ยอมเสียอวัยวะเพื่อรักษาชีวิต ยอมสละชีวิตเพื่อรักษาธรรม
นักปฏิบัติธรรม พระพุทธเจ้าให้เราพากันคิดอย่างนี้ตั้งใจอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้แหละ เพราะว่าพระนิพพานนั้นมันต้องอยู่เหนือความแก่ความเจ็บความตายความพลัดพราก ทุกข์คือสิ่งกำหนดรู้ทุกคนรู้ เมื่อรู้แล้วเราก็ต้องหยุดความปรุงแต่ง เพื่อเจริญอริยะมรรคให้ใจของเรามันสงบมันเย็นเรียกว่าความอดทน หรือเรียกว่า สัมมาสมาธิ เหมือนกันเราต้มแกงร้อนๆ เมื่อมันสุกแล้วเราก็ต้องยกหม้อแกงนั้นลง เพื่อให้หม้อแกงที่มีแกงอยู่ภายในนั้นมันเย็น มันต้องอาศัยเวลาหลายนาทีหรือเป็นชั่วโมงหลายชั่วโมง ทุกข์ถึงเป็นสิ่งที่เราต้องจัดการอย่างนี้ นี้เรียกว่าอริยมรรค การประพฤติการปฏิบัติ ต้องอบรมบ่มอินทรีย์อย่างนี้ ในชีวิตประจำวัน ถ้างั้นไม่ได้ เพราะใจเราทุกคนมันลูบคลำในศีลในข้อวัตรข้อปฏิบัติ เราต้องรู้จัก เราต้องจัดการกับตัวเอง เพราะว่าการปฏิบัติธรรมนั้นเขาไม่ได้ไปแก้ที่อื่นไม่ได้ไปแก้ที่คนอื่น เราต้องทำอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้
เราเป็นประชาชนผู้ที่ไม่ได้บวช ผู้ที่เป็นฆราวาส เรามีภาระ เราบวชไม่ได้ เราก็ต้องพัฒนาใจของเราตั้งอยู่ในศีล ๕ การรักษาศีล ๕ ก็ต้องเอาชีวิตเป็นเดิมพันใช่ไหม การทำทุกอย่างเพื่อมีความสุขในการทำงานในการปฏิบัติธรรมในการเสียสละ เราพัฒนาไปอย่างนี้ มันเป็นหน้าที่ของเรา เราจะใจอ่อนไม่ได้ อย่างน้อยทุกคนต้องรักษาศีล ๕ จากใจนะ ไม่ใช่ศีล ๕ แบบโลกธรรม ต้องศีล ๕ แบบพระนิพพาน ท่านต้องตั้งมั่นในพระพุทธเจ้าตั้งมั่นในศีลอย่างนี้นะ ธรรมะถึงจะอยู่ได้ ถึงจะเกิดได้ เพราะเราทำไปปฏิบัติไป เราไม่มีคำว่าหยุดหรือคำว่าถอยหลัง แล้วเราต้องก้าวไปเรื่อยอบรมบ่มอินทรีย์ เพราะนี้มันเป็นข้อสอบเป็นสิ่งที่ทดสอบให้เราก้าวไป
ถ้าเราไม่เอาจริงเอาจังไม่ตั้งอกตั้งใจปฏิบัติ มันไปไม่ได้หรอก ดูตัวอย่างแบบอย่างแบบพระพุทธเจ้าหน่ะ ท่านเสียสละท่านเสียสละทุกอย่างเลย ใครอยากได้ตาท่านก็ให้ตา ใครอยากได้อะไรท่านก็ให้ทุกสิ่งทุกอย่างเลย อะไรๆ ท่านก็ให้ ผู้ที่จะบวชต่อไปก็ต้องคิดอย่างนี้ ผู้ที่จะลาสิกขาที่มีธุรกิจหน้าที่การงานที่จะดูแลครอบครัวดูแลพ่อแม่ก็ต้องทำอย่างนี้ เราอย่าให้ความเห็นแก่ตัวอย่าให้ความหลงมันมีอิทธิพลต่อเรา เพราะว่ามันมีสิ่งที่ดีกว่าประเสริฐกว่านี้คือธรรมะ
คนเรานี้มันมีสิ่งเที่ยงแท้แน่นอนคือ ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ความพลัดพราก ชีวิตนี้เราจะมีความสุขในการปฏิบัติธรรมในการทำงานในปัจจุบันไปเรื่อยๆ เราจะมีความสุขในการรักษาศีล มีความสุขในการทำงานไปเรื่อยๆ ในชีวิตประจำวัน ไม่มีอะไรที่จะดีกว่านี้ยิ่งไปกว่าอีกแล้ว เมื่อเรามีลมหายใจนี่คือชีวิต เรามีธรรมะคือการเสียสละ มีความสุขในการทำงาน มีความสุขในอิริยาบถทั้ง ๔ มีสติอยู่ในกายภายนอก มีสติอยู่ในกายภายใน มีความสุขในเวทนาภายนอกเวทนาภายใน มีความสุขในธรรมภายนอกในธรรมภายใน มีสติสัมปชัญะอย่างนี้นะ เราไม่เอาอะไรอีกแล้ว ต้องพากันพัฒนาอย่างนี้นะ เราจะไปลังเลสงสัยอะไร เพราะชีวิตของเราไม่มีอะไรนอกจากแต่ความเกิดความแก่ความตายความพลัดพราก เราต้องเอาพระนิพพานเป็นที่ตั้งเราต้องเสียสละ ถ้าเราเสียสละอย่างนี้ ฮืม… ชีวิตเราจะมีความสุข มีสัมปชัญญะอยู่ในปัจจุบัน เราถึงจะมีสมาธิ เมื่อก่อนเรามีความลังเลสงสัยมีความลูบคลำในข้อวัตรข้อปฏิบัติ เรายังลูบคลำในศีล เรายังลังเล จิตใจของเราต้องให้เป็นหนึ่งอย่างนี้นะ เราต้องพัฒนาไปเรื่อยๆ เราอย่าไปว่าจะเอาประพฤติธรรมขั้นนู้นขั้นนี้ เราไม่ต้องไปเอาขั้นไหนหรอก เสียสละไป เพราะคนส่วนใหญ่เขาไม่รู้จักสมถะ ไม่รู้จักวิปัสสนา
ทุกท่านทุกคนพากันภาวนาพากันปฏิบัติ ความเหน็ดเหนื่อยความยากความลำบาก ความเจ็บความเเก่ ความตาย มันทำให้เราได้พัฒนาใจ ใจของเราที่มันมีความหลง มันมีเหตุผลเยอะ เราต้องเหนือเหตุเหนือผล คือทิ้งสู่พระไตรลักษณ์ว่ามันไม่เเน่ ไม่เที่ยง ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน เราถึงจะเผาภพ เผาชาติ เผาการเวียนว่ายตายเกิดได้ พระพุทธเจ้าให้พากันทำอย่างนี้นะ