แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ในวันพุธที่ ๔ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๖๖
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง ชีวิตใหม่ที่เลือกได้ ตอนที่ ๙ รู้จักศาสนาให้ถ่องแท้ รู้จักธรรมวินัย และปฏิบัติ เพื่อพัฒนาใจให้สูงส่ง
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
ค่ำคืนวันนี้ เป็นการบำเพ็ญกุศลสวดพระอภิธรรมคืนสุดท้าย อุทิศให้กับ คุณแม่ปานทิพย์ แซ่โห ที่ได้ละสังขารวายชนม์จากไป เป็นโยมแม่ของพระอาจารย์ตั้ม พระผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ปฏิบัติเพื่อมุ่งมรรคผลนิพพาน เป็นพระที่ตั้งมั่นในความกตัญญูกตเวที เป็นพระปฏิบัติดีที่สุด หลวงพ่อกัณหาได้เมตตาจัดงานไปตามทางของพระพุทธเจ้า มุ่งเน้นไปที่ผู้วายชนม์ เราไม่เอาตามความสะดวก สบาย ผู้ที่จะส่งบุญ ส่งกุศลให้ได้ดีที่สุดคือพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ พระอริยเจ้าทั้งหลาย ดังนั้นถึงมีประเพณีบำเพ็ญกุศลให้ผู้ที่วายชนม์จากไป ก่อนจะที่นำสรีระไปประชุมเพลิง ผู้ที่เป็นญาติๆ ก็ให้เข้าใจ ญาติพี่น้องพระอาจารย์ตั้มบางคนก็คิดว่ามาไกล เราต้องเน้นที่ผู้วายชนม์เพราะเราไม่ได้ทำไปเพราะเป็นประเพณี เป็นวัฒนธรรม เป็นธุรกิจทางฝ่ายสงฆ์ ฝ่ายมัคคาทายก ไม่ได้เน้นที่ความสะดวก ความสบาย ไม่สักเอาแต่ว่าทำ เสร็จพิธีแล้วเผา ต้องเน้นส่งให้ผู้วายชนม์ไปสู่สุคติ
ให้ทุกท่านทุกคนรู้ว่าเราเป็นผู้ที่ประเสริฐ มีสัปปายะคือความเป็นมนุษย์ที่จะพัฒนาตัวเองไปสู่มรรคผลพระนิพพาน พระพุทธศาสนานี้ประเทศไทยเราดีที่สุด ที่หลวงปู่มั่นบำเพ็ญบารมี ท่านได้เอาพระธรรม พระวินัย เข้าสู่แห่งการประพฤติปฏิบัติ ศาสนาพุทธที่หลวงปู่มั่น พาทำพาปฏิบัติ นี้เป็นของแท้ตามพระพุทธเจ้า พระวินัย สิกขาบทน้อยใหญ่ 227 ข้อ พร้อมในพระวินัยปิฏกอีก 21,000 พระธรรมขันธ์ แต่คนส่วนใหญ่ไม่เข้าใจคิดว่ากฏหมายบ้านเมืองกับพระศาสนาคืออันเดียวกัน คือรักษาหมู่มวลมนุษย์เพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อย มันไม่ใช่เพียงแค่นั้น มันไม่ใช่ระดับแบรนด์เนม อย่างหลวงพ่อชาได้ถ่ายทอดจากหลวงปู่มั่น รักษาพระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่ เข้าสู่ระบบความคิด ถ้าไม่เอาธรรมวินัย 100% มันก็ออกไลน์ไป ไปยินดีในปัจจัย ๔ ยินดีในรูป เสียง กลิ่น รส ลาภ ยศ สรรเสริญ ยินดีในความสะดวก ความสบาย มันอยู่ในระดับมนุษย์รวย เทวดา ได้อะไรตามชอบใจ มันไม่ได้เป็นศีล เป็นสมาธิ เป็นปัญญา การปฏิบัติธรรมมันถึงไม่ได้ผล
พระธรรมวินัยของพระพุทธเจ้านี้ พระพุทธเจ้าแสดงธรรม บางทีภิกษุฟังถึงได้กระอักเลือดไป ถึงได้ลาสิกขาไป ได้บรรลุธรรมไป เพราะอันนี้เป็นสิ่งที่ตรงกันข้าม มันต้องเข้าสู่ระบบความคิด เพราะอันนี้เป็นเรื่องสติ เรื่องปัญญา เรื่องสัมมาทิฏฐิ พระพุทธศาสนาถึงเป็นสิ่งที่ประเสริฐมาก เป็นเรื่องที่แก้เฉพาะตัว ไม่ใช่อย่างอื่น ถ้าทำอะไรเพื่อจะให้พุทธบริษัทเลื่อมใสอันนั้นมันปลายเหตุ การปฏิบัติธรรม การบรรลุธรรม ของประชาชนที่ไม่ได้ออกบวชก็สามารถบรรลุถึงพระอนาคามี เราต้องพากันเข้าใจศาสนา
เราต้องรู้จักพระศาสนา พระศาสนาคือธรรมะวินัย เพราะว่าศาสนานั้นไม่ใช่นิติบุคคล ไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน จะเป็นศาสนาพุทธ ศาสนาคริสต์ อิสลาม พราหมณ์ ฮินดู ซิกข์ คือธรรมะ ทุกท่านทุกคนพากันเข้าใจ เราทุกคนต้องเอาไปอย่างนี้กรรมเก่าของเรามันเคยชิน มาจากสิ่งนี้ มันไม่บาป มันก็จะไม่คิด ไม่บาปมันก็ไม่พูด อันไหนไม่บาปมันก็ไม่ทำ เพราะความเคยชิน ทุกท่านทุกคน ถึงต้องมีควาามตั้งมั้นในพระรัตนตรัย สังขารร่างกายของเราทุกคนนี้ไม่เกิน ๑๐๐ ปี ส่วนใหญ่ก็ต้องจากโลกนี้ไปทุกคน เพราะอันนี้เป็นสภาวะธรรม ให้ทุกคนเข้าใจ จะได้เข้าใจง่ายๆ เข้าใจซื่อๆ อย่างนี้ มันไม่มีอะไรสลับซับซ้อน เพียงแต่เราเสียสละ หยุดตัวหยุดตน เราจะได้เข้าถึงความสุขความดับทุกข์ เพราะความทุกข์มันไม่ได้อยู่ที่ไหนหรอก มันอยู่ที่ใจของเรา ร่างกายของเราก็ต้องมีภาระ มีการบริหาร การมีภาระในการบริหารนั้นเราต้องไม่ให้เป็นบาปเป็นกรรมทางจิตใจ ทุกท่านทุกคนต้องรับผิดชอบเป็นพิเศษ เราดูภาระเรื่องธาตุ เรื่องขันธ์
ถ้าจะดูๆ หมู่มวลมนุษย์ก็ยังดีกว่าพวกสัตว์ต่างๆ สัตว์ต่างๆ ทำบ้าน ทำไร่ ทำสวน ทำนา ทำกสิกรรมทำอะไรก็ไม่ได้ ไม่เป็น ได้บ้างก็แค่เพียงเล็กน้อย เมื่อเราเป็นผู้ประเสริฐอย่างนี้เราต้องรู้จัก ต้องเอาความประเสริฐนี้มาประพฤติมาปฏิบัตินะ ปฏิบัติที่ตัวเรา ทุกหนทุกแห่ง คนภาคอีสานก็ปฏิบัติอยู่ภาคอีสาน คนภาคเหนือก็ปฏิบัติอยู่ภาคเหนือ คนภาคกลางก็ปฏิบัติอยู่ภาคกลาง คนภาคตะวันออกก็ปฏิบัติอยู่ภาคตะวันออก คนอยู่ทางภาคใต้ก็ปฏิบัติอยู่ภาคใต้ หรือว่าคนที่อยู่ต่างประเทศก็ก็ปฏิบัติอยู่ที่ต่างประเทศ ความสุขความดับทุกข์มันจะมีอยู่ที่เรานี้แหละ
ให้เราเข้าใจ มีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง เพราะเรานั้นต้องรู้จักรู้แจ้ง มันไม่มีอะไรไปมากกว่านี้ เรามารู้ทุกข์ รู้เหตุเกิดทุกข์ ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ ทุกอย่างเกิดขึ้นแล้วมันก็ตั้งอยู่ ร่างกายของนี้แหละตั้งอยู่ไม่เกิน ๑๐๐ ปีอย่างนี้ ทุกอย่างมันจะผ่านไปอย่างนี้ เราต้องรู้จัก สภาวะธรรมที่เราให้เราได้พัฒนาจิต ได้พัฒนาใจของเรา เราอย่าพากันเป็นมิจฉาทิฏฐิว่าการเสียสละนี้เป็นการทำให้ตัวเองเหนื่อย ตัวเองยาก ตัวเองลำบาก อันนี้มันเป็นความเห็นผิดนะ อย่างนี้ทุกคนต้องอยู่ด้วยการเสียสสละ ถ้าไม่อยู่กันด้วยเสียสละทางจิตใจ เรามีความผิดนะ เพราะเราเป็นมิจฉาทิฏฐินะ เราต้องเสียสละ สละคืนซึ่งความคิด ความปรุงแต่ง ทุกข์เป็นสิ่งที่กำหนดรู้ เรารู้จักความคิดรู้จักอารมณ์ เราก็อย่าไปวุ่นวาย เราทุกคนจะได้เป็นสติปัฏฐานทั้ง ๔ ทุกเมื่อ ทุกเวลา ทุกอิริยาบถ
วันคืนผ่านไปมีแต่การประพฤติ มีแต่การปฏิบัติ ทุกท่านทุกคนต้องหาความเป็นมนุษย์สมบัติอยู่ที่ตัวเรา หาสวรรค์สมบัติอยู่ที่ตัวเรา พวกมนุษย์สมบัติสวรรค์สมบัติ เราก็อย่าพากันไปติดมัน เราก็ต้องสละไป เข้าถึงนิพพานสมบัติ คือสะเสียซึ่งตัวซึ่งตน เราต้องมาแก้ที่จิตที่ใจเรา อย่างนี้มันจะก้าวไปเรื่อยอย่างนี้ เราเดินไปด้วยการประพฤติ ด้วยการปฏิบัติ ใหัทุกท่านทุกคนพากันรู้จักศาสนา เราพัฒนาตั้งแต่วัตถุ ความสะดวก ความสบาย มีรถ มีเรือ มีเครื่องบิน มีอะไรอย่างนี้ มันดีมันถูกต้องแต่เราต้องมีปัญญานะ อย่าพากันหลงนะ ให้ทุกคนรู้จักศาสนา ศาสนาคือความถูกต้อง มีสติมีปัญญา ความไม่หลงนะ เราทุกท่านทุกคนต้องพากันประพฤติพากันปฏิบัติ ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ความพลัดพราก มันเอาสภาวะธรรมมาบอกเรา แสดงถึงทุกอย่างไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เค้า ทุกคนมองไปข้างนอก เมื่อเรามีตาต้องรู้ว่าอันไหนเป็นอันไหน อย่างตัวเรานี้ถ้าเราไม่ส่องกระจกดูก็ไม่รู้ว่าเป็นอย่างไรหรอก เราต้องรู้จัก ทุกท่านทุกคนอย่าไปหลงในตัวในตน เราต้องพากันเสียสละ มีความสุขในการหายใจเข้า มีความสุขในกาารหายใจออก มีความสุขในการท่องพุทธโท มีความสุขในการทำงาน เราต้องพัฒนาไปอย่างนี้ เราอย่าไปสงสัยว่าการบรรลุธรรมเป็นยังไง การบรรลุธรรมก็คือ ความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง มันก็ไปอย่างนี้แหละ
พระพุทธเจ้าคือธรรมะ ธรรมะนั้นคือพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าไม่ใช่นิติบุคคล ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา เราอย่าไปหลงตัว หลงตน แหละก็เราอย่าไปหลงในสิ่งต่างๆ เพราะเรามีความยึดมั่นถือมั่น สิ่งภายนอกมันก็เกิดจากผัสสะ มันก็แค่นี้เอง ทุกอย่างมันหลงความคิด หลงอารมณ์ เค้าเรียกว่ามันเป็นความเมา ความหลง เค้าเรียกว่าความหลงคือความสุดยอด ความสุดยอดของความอร่อยทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ เป็นความสุดยอดของความรู้สึก เราต้องรู้จัก มันเป็นพลังงานแห่งการเวียนว่ายตายเกิดนะ เราต้องรู้จัก เราจะได้ตั้งจิตตั้งใจ เราอย่าไปตื่นเต้นมัน เราอย่าไปเสียใจ เราทำไป ปฏิบัติไปอย่างนี้
เราโชคดี เรามีพระพุทธเจ้า เราทำตามพระพุทธเจ้า ไปทำตามใครไม่ได้หรอก เราหยุดทำตามใจตัวเองนี่แหละคือพระศาสนา ให้เข้าใจอย่างนี้ทุกคนต้องอย่าไปถือตัวถือตน ต้องเอาธรรมะเป็นหลัก เอาธรรมะเป็นใหญ่ เรียกว่าธรรมวินัย เรียกว่าพรหมจรรย์ เราต้องรู้จักเสียสละ ถ้าไม่รู้จักเสียสละ เค้าเรียกว่าไม่รู้จักดีท๊อกซึ่งตัวซึ่งตน เราทานอาหารเราก็ถ่ายเท เค้าเรียกว่าดีท๊อก เราถ่ายเทไม่หมดสิ่งที่มันเป็นขยะ มันก็มาเลี้ยงสมองเรา เราทำตามใจตัวเอง ทำตามอารมณ์ตัวเอง ชีวิตของเรามันเป็นชีวิตที่ขยะนะ เป็นชีวิตที่ใช่ไม่ได้ ตัวเองก็ใช้ไม่ได้ คนอื่นก็ใช้ไม่ได้ เราจะเคารพตัวเองได้ก็เพราะตัวเองเอาธรรมะเป็นหลัก เอาธรรมะเป็นใหญ่ เราต้องพากันมีความสุข ความสุขความดับทุกข์มันหาได้อยู่ที่เรานี้แหละ อยู่ที่กว้างศอก ยาววา หนาคืบ อยู่ที่ปัจจุบันนี้แหละ เราจะไปหาพระที่อื่น พระมันอยู่ที่ตัวเรา ไม่ทำตามใจตัวเอง ไม่ทำตามอารมณืตัวเอง ไม่ทำตามความรู้สึก เอาธรรมเป็นหลัก เอาธรรมเป็นใหญ่ เอาธรรมเป็นที่ตั้ง ความเป็นพระมันจะเกิดที่เราเอง เราต้องพากันเข้าใจ เราพากันตั้งมั่นในธรรมวินัย
คนเรามันโง่ไม่ฉลาด นึกว่าปล่อยวาง จะไม่ทำอะไร ไม่ได้ มันต้องเสียสละ เสียสละทางจิตใจ เราไม่ปล่อยวางหรอก คือเราติดสุข เราอย่าไปติดสุข เพราะสุขเราก็เป็นสิ่งที่กำหนดรู้ ทุกข์เราก็ไม่รู้จัก ทุกข์ก็กำหนดรู้ กำหนดรู้แล้วก็อย่าไปวุ่นวายไม่ปรุงแต่ง ความทุกข์มันอยู่ที่ไหน มันอยู่ที่เราปรุงแต่งเอา เรื่องผิดเรื่องถูกคือเราปรุงแต่งเอา สมมุติกันไปอะไรอย่างนี้ สมมุติเค้าเอาใช้งานกันเฉยๆ เราต้องรู้จักต้องหยุดพลังงานแห่งการเวียนว่ายตายเกิด ให้ทุกท่านทุกคนพากันรู้จักสภาวะธรรม รู้จักศาสนา ทุกคนจะได้มีความสุขในการทำงาน จะมีความสุขในการปฏิบัติ มันอันเดียวกัน คนโง่ไม่มีความสุขในการทำงาน ไม่มีความสุขในการทำงานคนไม่เข้าใจ บางคนเบื่อหน่ายอยากจะไปพระนิพพาน หยุดทำงานเพื่อจะมาเอาพระนิพพาน เมื่อเราอบรมบ่มอินทรีย์ของเราไปอย่างนี้เรื่อยๆ ผู้ที่อยู่ที่บ้านก็ทำได้พอๆ กัน มันอยู่ที่มีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง เราถึงจะพากันหยุดอบายมุข อบายภูมิได้ นี้แหละถึงจะเป็นพระศาสนา เข้าใจพระศาสนา
ชีวิตของเราคือการมีพระพุทธเจ้าในใจ มีพระธรรมในใจ มีพระอริยสงฆ์ในใจ เพราะคนเรามันมักจะพุ่มเฟือยกินจุกกินจิก อันนี้เป็นอาการทางจิตใจ ที่เราไม่เห็นความสำคัญแล้วปล่อยปละละเลย เพราะมาจากการที่ไม่ได้ปฏิบัติ ต้องกระชับการปฏิบัติเข้ามา
ทุกคนต้องเห็นภัยเห็นโทษ เห็นคุณเห็นประโยชน์ อย่าไปตามใจตัวเองตามอารมณ์ตัวเอง ทุกคนต้องเอาศีลเอาสมาธิเอาปัญญามาประพฤติปฏิบัติ เพราะเราดูแล้ว ผลกรรมที่ปรากฏออกมา นั่นคือผลของการตามใจตัวเอง ตามอารมณ์ตัวเอง ตามความรู้สึกตัวเอง เมื่อเราตามใจตัวเองตามอารมณ์ตัวเองตามความรู้สึกตัวเอง ตัวเองก็ยังสอนตัวเองไม่ได้ บอกตัวเองไม่ได้ จะไปบอกลูกบอกหลานเขาได้อย่างไร ทำให้ลูกหลานเราเสียหายอีก เราก็ยังไปโง่โทษลูกโทษหลาน ผลกรรมมันจะปรากฏออกมาตามที่เราเป็นมิจฉาทิฏฐิ ความไม่เข้าใจในพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ที่จะต้องฝึกตนเอง ฝึกลูกฝึกหลาน อย่างภิกษุที่บวชในพระศาสนาที่ตามใจตัวเองตามอารมณ์ตัวเอง ผลก็ออกมาอย่างนี้แหละ คือมรรคผลนิพพานก็ไม่เกิด เราอย่าไปใจอ่อน เราจะไปใจอ่อนไม่ได้ เพราะศีลสมาธิปัญญาเป็นสิ่งสำคัญ เป็นยานพาหนะที่จะนำเราออกจากวัฏสงสาร หากผู้นำที่ใจอ่อนก็นำพาไปไม่รอด และก็นำตัวเองออกจากวัฏสงสารไม่ได้ มันต้องฝืนมันต้องทวน ความอดทนนี้แหล่ะมันจะเป็นการหยุดโลก ถ้าเราไม่หยุด ศีลสมาธิปัญญาก็ไม่มี
ไม่มีอะไรที่จะดีที่ประเสริฐเท่ากับเรามีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ไม่มีอะไรที่จะเสียหายเท่ากับเราเข้าใจผิดเห็นผิด เราทุกคนทุกท่านต้องพากันเข้าใจเราจะได้รู้จักพระพุทธเจ้า เราจะได้รู้จักพระศาสนา เราทุกคนส่วนมากไม่รู้จักพระพุทธเจ้าเลย มีรู้จักศาสนาเลย เราไปเอาความสุขความดับทุกข์เฉพาะเรื่องทางกาย เรื่องความสะดวกสบายทางวัตถุ
บางคนคิดว่า เกิดมาทำไมไม่รวย ทำไมยากจน ก็ไปน้อยเนื้อต่ำใจว่าทำไมถึงอาภัพอับจน เพราะพ่อแม่ก็ไม่รวย ไม่มีการเรียนไม่มีการศึกษา มีความขาดแคลนทางวัตถุ ไม่มีหน้าไม่มีตาในสังคม เพราะคนทำงานเหนื่อยทำงานหนักถึงตาย อันนี้ก็คือความเข้าใจผิด ถือว่ายังไม่เข้าใจพระพุทธเจ้า
เราต้องมีปัญญามากกว่านั้นอีก เพราะพระพุทธเจ้าไม่ได้เอาอะไร เพราะทุกอย่างนั้นแหละผ่านมาก็ผ่านไป เป็นปกติของมันอย่างนี้ มรรคผลนิพพานถึงเป็นสิ่งที่ไม่พ้นสมัยไม่ล้าสมัย มีแต่คุณแต่ประโยชน์ เราจะได้บริโภคใช้สอยร่างกายของเราอย่างมีประโยชน์บริโภควัตถุที่เราเกี่ยวข้องโดยมีปัญญา เราเป็นมนุษย์ที่ฉลาด เป็นเทวดาที่ฉลาด เป็นพระพรหมที่ฉลาดอย่างนี้แหละ ให้ทุกคนพากันเข้าใจนะ เราต้องเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ มรรคผลนิพพานจะหมดสมัยจริงๆ เพราะว่าเราไม่ได้ประพฤติปฏิบัติกัน การเรียนการศึกษาอย่างนี้แหละ มันเป็นการคิดข้ามภพข้ามชาติ มันไม่เน้นที่ปัจจุบัน คิดว่าบำเพ็ญบารมีไปอีกหลายชาติ ชาตินี้ก็คงไปนิพพานไม่ได้ อันนี้มันเป็นความเข้าใจผิด มันต้องเน้นที่ปัจจุบัน
ถ้าเรายังมีความเห็นอย่างนี้ มันไปไม่ได้ ถึงตายไปเปลี่ยนร่างใหม่มันก็ต้องเน้นที่ปัจจุบัน เราดูซ้ำๆ แล้ว มันน่าดีกว่าแต่ก่อนอีก เพราะเทคโนโลยีมันมาช่วยเยอะอย่างนี้ ทุกคนต้องฉลาดนะ ให้ทุกคนอย่าไปหลงตัวเอง อย่าไปเชื่อตัวเอง มันเป็นความเข้าใจผิด พระพุทธเจ้าไม่ได้เอาตัวตนเป็นหลัก ไม่ได้เอาความคิดตัวเองเป็นหลัก ท่านเอาธรรมเป็นหลักเอาธรรมเป็นใหญ่ ท่านถึงได้เป็นพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ก็เหมือนกัน ท่านต้องเอาธรรมเป็นหลักเอาธรระเป็นใหญ่ ถึงเป็นพระธรรมเป็นพระวินัย เป็นพระศาสนา
เราทุกคนต้องมาเอาพระพุทธเจ้าเป็นหลัก เอาพระธรรม พระวินัยเป็นหลัก ไม่ทำตามใจ ตามอารมณ์ ตามความรู้สึก เพราะว่าศาสนาไม่ใช่นิติบุคคล ศาสนาก็คือธรรมวินัย วิทยาศาสตร์เจริญ แต่ทางศาสนาก็ตกต่ำ เพราะเราไม่ได้พัฒนาใจไปพร้อมๆ กัน ที่ ๕๐ กว่าปีที่ผ่านมา ดูๆ แล้วคณะสงฆ์นี้ไปประชุมกันทุกหนทุกแห่ง แต่ไม่มีเรื่องที่จะแก้ไขตัวเองเลย จะพูดแต่เรื่องศาสนาคริสต์จะมากลืน จะพูดเรื่องอิสลามมากลืน พูดแต่นารีพิฆาต แล้วก็ไปว่าให้แต่คนอื่น ไม่ได้กลับมาหาตัวเองเลย ไม่ได้ถามตัวเอง ไม่ได้ถามหมู่ ถามคณะเลยว่า ที่วัดสะอาดดีมั้ย ทำวัตรเช้า-เย็นมั้ย มีการเรียนการศึกษามั้ย ไม่ว่าเลย จะพูดถามว่า เป็นไงศาลาสร้างหรือยัง โบสถ์สร้างหรือยัง ไม่ได้ทำศาสนกิจที่เป็นมรรคผลเป็นพระนิพพานเลย เป็นนักเดินเอกสารเฉยๆ อันนี้มันเป็นความล้มเหลว มีการเรียนการศึกษาแต่ไม่มีการปฏิบัติเลย เดี๋ยวนี้ก็ตกต่ำไปเรื่อย เดี๋ยวนี้ก็มีพากันไปขับรถ ขับเรือ แล้วก็ทิ้งพระวินัยเรื่องสะสมอาหาร พวกหัวสมัยใหม่ก็ขายสังฆทานกัน แล้วก็ไม่มีใครประพฤติปฏิบัติ คิดเอาว่า มรรคผลนิพพานมันหมดสมัย มันก็แน่นอน เพราะว่าไม่ได้ทำตามพระพุทธเจ้า ทำตามใจตัวเอง ทำตามอารมณ์ตัวเอง ทำตามความรู้สึก พระผู้เฒ่าก็พากันแก่แล้ว ก็ไม่ถือเรื่องผู้หญิง เพราะว่ามันเเก่เเล้ว พระเด็กๆ ก็ทำตาม มันเสียหาย มันต้องรู้จักอันไหนพรหมจรรย์ อันไหนต้นพรหมจรรย์ เป็นพระก็อยากร่ำอยากรวยอยากจะถูกหวยมาบวช มาทำธุรกิจ ใจของเราเมื่อไม่ได้ทำศาสนกิจที่ถูกต้อง มันก็ทำเพราะเราไม่รู้จักหน้าที่ของตัวเอง ว่าเราต้องทำอย่างไงๆ ทีนี้ละก็มันก็มีแต่แบรนด์เนมของพระพุทธเจ้าด้วยการปลงผมห่มผ้าเหลือง แล้วก็มีแต่โบสถ์ มีแต่ศาลา มีแต่วิหาร มีแต่พระใหญ่ เจดีย์ใหญ่ อันนี้มันเป็นเพียงศาสนวัตถุทางศาสนา แต่ว่าไม่ใช่ตัวศาสนา นี้เป็นความผิดพลาดนะ
คติการสร้างสิ่งใหญ่โต ให้สังเกตว่าเมื่อมีการสร้างสิ่งใหญ่โต มากๆ ไม่ช้าศาสนามักจะค่อยๆ เสื่อม บางทีพระอาจจะมัววุ่นวายหรือเพลินกับงานพวกนี้ จนลืมทำหน้าที่หลักของตัวเอง ก็เป็นเรื่องที่ต้องพิจารณารายละเอียดว่าเป็นเพราะเรื่องอะไร แต่อย่างน้อยข้อพิจารณาสำคัญ คือจะต้องแยกว่าเป็นการก่อสร้างเพื่อใช้งานที่ยิ่งใหญ่ หรือเป็นการสร้างเพียงเพื่อแสดงความยิ่งใหญ่
จะอย่างไรก็ตาม ในการสร้างสิ่งใหญ่โตจะต้องคำนึงถึงเสมอว่า จะต้องมีคนไว้ใช้สิ่งก่อสร้างนั้น เอาไว้รักษาบ้าง เอาไว้ใช้ให้เป็นประโยชน์บ้าง เพราะสร้างขึ้นมาทำไม ถ้าไม่ใช้ให้เป็นประโยชน์ ทีนี้คนที่จะใช้ก็ต้องเป็นคนที่มีธรรม เป็นผู้ปฏิบัติตามธรรม เพราะฉะนั้นเมื่อสร้างสิ่งก่อสร้างใหญ่โตก็ต้องสร้างคนไปด้วย สร้างคนดีที่จะมาใช้รักษาสิ่งที่สร้างนั้น การลืมสร้างคนนี้ เป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้พุทธศาสนาเสื่อมโทรมลงไป
ทุกๆ ท่านทุกคนต้องสละเสียซึ่งตัวตน เอาพระธรรม เอาพระวินัย ไม่เอาใจตัวเอง ไม่เอาอารมณ์ตัวเอง ไม่เอาความรู้สึก เรียกว่าพระศาสนา ถ้าไม่อย่างนั้นน่ะ ศาสนาของเรานี้จะอยู่ไม่ได้ เพราะว่ามันไม่ได้เป็นศาสนา มันเป็นนิติบุคคล เป็นตัว เป็นตน เพราะเราทุกคนได้พากันถือแบรนด์เนมของพระพุทธเจ้า ทุกคนพากันปลงผม และก็พากันใส่ผ้าจีวร อย่างนี้เรียกว่าแบรนด์เนม เมื่อเราสมาทานว่าจะเดินตามพระพุทธเจ้า ทุกท่านทุกคนก็ต้องสละเสียซึ่งตัวซึ่งตน ไม่มีตัวไม่มีตน ถ้าสำคัญตนว่าดีกว่าเค้าก็ไม่ใช่ สำคัญว่าเสมอเค้าก็ไม่ใช่ สำคัญว่าต่ำกว่าเค้าก็ไม่ใช่ เพราะอันนี้มันเป็นทิฏฐิ มันเป็นมานะ เพราะความรู้กับการปฏิบัติมันต้องไปพร้อมๆ กัน ประเทศไทยเรากับพระศาสนานี้คู่กันมา ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ศีลกับสมาธิกับปัญญาก็คู่กับพระศาสนา
หลักการหลักเกณฑ์ของเราก็คือ เราสละเสียซึ่งตัว ซึ่งตน มีความสุขในการดำเนินชีวิตที่ประเสริฐ เพราะเราต้องเข้าสู่ระบบ เข้าสู่ไลน์ หรือว่าเข้าสู่ธรรมวินัย หยุดถือนิสัยของตัวเอง ทุกท่านทุกคนต้องพากันถือนิสัยของพระพุทธเจ้า การเรียนการศึกษานี้ถึงต้องคู่กับการปลงผม การนุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ สัมมาทิฏฐิ ความเห็นถูกต้อง ความเข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง ต้องมีกับเราทุกคนในปัจจุบัน ถ้าเราไม่ปฏิบัติปัจจุบัน 100% อย่างนี้ก็ถือว่าเราไม่ได้ปฏิบัติ เพราะการปฏิบัติ อดีตก็ไม่ได้ อนาคตก็ไม่ได้ มันต้องอยู่ที่ปัจจุบัน
เราอย่าไปว่าสมัยทุกวันนี้มันทำไม่ได้ เราปฏิบัติไม่ได้แล้ว มันไม่เหมือนครั้งพระพุทธกาล อันนี้มันเป็นความคิดที่เป็นมิจฉาทิฏฐิ ธรรมะน่ะ ยิ่งพัฒนาวิทยาศาสตร์ ให้ความสะดวกความสบาย ก็ยิ่งพัฒนาทางจิตทางใจไปพร้อมๆ กัน เพราะความสุขของมนุษย์มันก็ต้องพัฒนาตามหลักเหตุผล ตามหลักวิทยาศาสตร์ ด้วยความสุข และเราก็ไม่ติดในความสุขที่เราได้รับ ในความเป็นมนุษย์รวย ที่ใจของเราได้รับผลประโยชน์เป็นอารมณ์ระดับเทวดา ระดับอะไรแค่นี้ เพราะเราเป็นผู้มีปัญญา ตั้งอยู่ในสติปัญญา เรื่องความรู้เรื่องวิปัสสนา ว่าเราทุกคนต้องมีสติ มีสัมปชัญญะ บริโภคทุกๆ อย่างด้วยปัญญา ทุกอย่างนั้นก็ย่อมมีแต่คุณ เพราะวิทยาศาสตร์ทำถูกต้องแล้ว ถ้าใจของเราพัฒนาอย่างนี้ ใจของเราก็จะมีปัญญา
พระพุทธเจ้าถึงไม่ได้แบ่ง พระวัดป่า วัดบ้าน พระวัดป่าก็ปฏิบัติได้พอๆ กัน พระวัดบ้านก็ปฏิบัติได้พอๆ กัน มันอยู่ที่มีสัมมาทิฏฐิ มีความเห็นถูกต้อง มีความเข้าใจถูกต้อง แล้วปฏิบัติถูกต้องในปัจจุบัน ถ้าอย่างนั้นไม่ได้ เหมือนที่เราเข้าใจอย่างนี้ เราพากันไปเรียนนักธรรม ตรี โท เอก หรือเรียนถึง ป.ธ.๙ เราคิดว่าเรียนจบก่อนถึงจะปฏิบัติ อย่างนี้มันไม่ใช่ อันนี้เป็นความล้มเหลวของคณะสงฆ์ในประเทศไทยของเรา หรือจะทำอย่างนี้หลายๆ ประเทศก็ล้มเหลว พระพุทธเจ้าให้เราเรียนศึกษาปริยัติที่เป็นคันถธุระ แล้วก็ครูบาอาจารย์ที่เป็นพหูสูตร เป็นผู้ปฏิบัติก็อธิบายให้เราฟังอีก แล้วเราก็ยังเรียนรู้อยู่ในชีวิตประจำวันในปัจจุบัน เพราะเรามีตาก็เพื่อฉลาด มีหูก็เพื่อฉลาด มีจมูก มีลิ้น มีกาย มีใจก็เพื่อฉลาด เพราะสิ่งเหล่านี้แหละ มาให้เราเรียน มาศึกษา เราจะได้รู้จักอนิจจัง เราจะได้รู้จักความทุกข์ เราจะได้รู้จักอนัตตา สิ่งที่ใจของเราจะได้พัฒนา ถึงไม่มีการแบ่งแยกวัดบ้าน วัดป่า เพราะความเป็นพระ คือ ไม่ใช่เป็นคนปลงผม ไม่ใช่คนห่มผ้ากาสาวพัสตร์ ความเป็นพระ ท่านนับเอาตั้งแต่พระโสดาบัน จนไปถึงพระอรหันต์
พวกเรานี่ ถ้าไม่ตามธรรม ไม่ตามวินัย ไม่ตามอริยมรรคมีองค์ ๘ พวกเราก็เป็นได้แต่เพียงภิกษุ สามเณร ถ้าไม่ตามธรรม ไม่ตามวินัย เอาตามใจ ตามอารมณ์ เอาตามความรู้สึก เราจะตกสภาพจากพระภิกษุ สามเณร กลายเป็นโจร เป็นมหาโจร โดยที่เราพากันหลงประเด็น เราไม่ได้พากันประพฤติ พากันปฏิบัติในปัจจุบัน
อย่างพระภิกษุที่ว่าถือศีล ๒๒๗ ถ้ารักษาไม่ได้ แบบนี้ก็เรียกว่าเป็นคนโกหก โกหกคนทั้งโลก โกหกพระพุทธเจ้า พระถ้าไม่ทำตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ศีล ๕ ยังรักษาไม่ได้ ข้อที่ ๔ คือมุสาวาทยังผ่านไม่ได้ ไม่ใช่พระก็อ้างเป็นพระ ไม่ใช่สมณะก็อ้างตนว่าเป็นสมณะ เหมือนลาที่เดินตามฝูงโคไปนั้น สีของมัน เสียงของมัน เท้าของมัน ไม่เหมือนของโคเลย แต่มันก็ร้องอยู่ว่า “กูก็เป็นโค กูก็เป็นโค” เปรียบเหมือนภิกษุบางรูปที่เดินตามหลังหมู่ภิกษุ แล้วร้องประกาศว่า ข้าก็เป็นภิกษุ ข้าก็เป็นภิกษุ แต่ความประพฤติสีลสิกขา จิตตสิกขา และปัญญาสิกขาของภิกษุรูปนั้น ไม่เหมือนของหมู่ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุรูปนั้นได้แต่เดินตามหลังหมู่ภิกษุแล้วร้องประกาศว่า “ข้าก็เป็นภิกษุ ข้าก็เป็นภิกษุ” เพราะยังมีความย่อหย่อนอ่อนแออยู่ ยังเป็นคนไม่กตัญญูกตเวที แบบนี้เขาเรียกว่า สร้างความเสียหายให้ตัวเอง ให้ศาสนา ให้ประเทศชาติ ขนาดตัวเองยังสั่งสอนไม่ได้ จะไปสอนประชาชนได้ยังไง อย่างภิกษุแม้แต่ศีล ๕ ก็ยังรักษาไม่ได้ โดยเฉพาะศีลข้อ ๔ ที่รักษาไม่ได้ ถึงต้องไปหลอกลวงขายเครื่องรางของขลัง ขายคาถาอาคม หมอดูหมอเดา มันก็เป็นพุทธพาณิชย์ไป
การปฏิบัตินี้ก็มันยังไม่ถูกหลัก เพราะว่ามันจะไปแก้คนอื่นไปแก้ภายนอก มันต้องแก้ที่ใจตัวเอง แก้ที่ใจตัวเอง อย่างนี้แหละ การมักน้อยสันโดษก็เพื่อจะแก้ตนเอง การที่มีความสุขในการทำงานที่ไม่เป็นบาป ไม่เป็นกรรม ก็เพื่อจะแก้ตนเอง ทำทุกอย่างเพื่อจะแก้ตนเอง เราไปแก้คนอื่นมันบาป พระวินัยเราก็มีว่า “โลกวัชชะ” คือเราไม่แก้ตัวเอง มันเลยเป็นโลกวัชชะ ชาวโลกชาวบ้านเขาติเตียน ทุกวันนี้พระภิกษุสามเณรเรานี้ โลกติเตียนเยอะ เค้ายอมรับไม่ได้ เช่น พระพากันไปขับรถ ไปซื้อของในตลาด ไปยุ่งเกี่ยวกับนารี สีกา อะไรอย่างนี้ มันเป็นสิ่งที่น่าเกลียด มันเป็นสิ่งที่ยอมทำผิด ทั้งที่รู้จักศาสนาดี ศาสนาเป็นของประเสริฐ เป็นของสูง แต่พวกที่ถือแบรนด์เนมพระพุทธเจ้านี้ก็ทำผิดระเบียบ ถ้าภิกษุสามเณรเราไม่แก้ไข มันจะเสียหายมากขึ้น
เพราะทุกคนรู้ว่าขยะนี้เป็นสิ่งที่ไม่ดี ขยะที่เราทานอาหารหรือว่าเราทานอาหารแล้ว เราถ่ายเป็นมูตร เป็นคูถ เป็นสิ่งที่ไม่ดี เมื่อเราทำไม่ถูกต้อง ชีวิตของพระภิกษุสามเณรก็เป็นขยะ เป็นขยะทั้งประเทศ ส่วนใหญ่เราพากันไปจัดการแต่ขยะภายนอก แต่ขยะที่แท้จริงมันก็คือตัว ตัวหลักก็คือศาสนา ขยะของศาสนา ถ้าเราไม่เอาศีลไม่เอาธรรม ไม่เอามรรคผลนิพพาน นี้แหละคือขยะที่แท้จริง ผู้ที่มีปัญญาเค้าจะมองเห็น พวกเรานี้เป็นเพียงขยะ เป็นเศษขยะ นักวิทยาศาสตร์เค้าจะยอมรับเราไม่ได้ เราจะพากันขายนรก ขายสวรรค์ เป็นคนหลอกลวงนักวิทยาศาสตร์นั้น มันไม่ได้ เหมือนที่ประกอบเดรัจฉานวิชา เดรัจฉานกถาทุกวันนี้ ที่ขายพระ ขายเหรียญ ขายเครื่องรางของขลัง เป็นหมอดู หมอเดา มีสถานีวิทยุเหมือนดอกเห็ด พากันขายบุญอย่างนี้ อันนี้มันเป็นความเน่าเฟะของศาสนา นักวิทยาศาสตร์ยอมรับไม่ได้ นี้เป็นความไม่รู้ของพวกเราที่พากันทำความผิดก็ยังไม่รู้ สิ่งนี้เป็นสิ่งที่แก้ได้ เพราะมันไม่ได้ไปแก้คนอื่น
การรักษาพระวินัย มันก็เหมือนกับอุปกรณ์เครื่องบินถ้ามันขาดตัวใดตัวนึงมันก็บินไม่ได้ อุปกรณ์รถยนต์ก็เหมือนกันถ้ามันขาดตัวใดตัวนึงมันก็วิ่งไม่ได้ เพราะว่ามันต้องมีเป็น ศีล สมาธิ ปัญญา มันจะได้ไม่เป็นเพียงนักปรัชญา ถ้างั้นไม่ได้ พระวัดป่าก็จะกลายเป็นพระวัดบ้าน พระวัดบ้านจะกลายเป็นประชาชน ประชาชนก็จะกลายเป็นสัตว์เดรัจฉาน เพราะเราไม่ได้เอาธรรมเอาพระวินัย เราคิดดูดีๆ มันขาลง เราต้องเอาใหม่พระพุทธศาสนาไม่ใช่มันจะตกต่ำขึ้นลงเป็นทอดๆ มหาวิทยาลัยนาลันทาก็ถูกเผาถูกอะไรไป เพราะว่าความประพฤติมันเป็นขาลง ถ้างั้นไม่ได้ น่าจะต้องพัฒนา ถ้าพระเราดี พระก็คือทั้งประชาชนทั้งภิกษุมันจะดี การบ้านการเมืองก็จะดีไปพร้อมๆ กัน เทคโนโลยีก็จะมีประโยชน์ ต้องมีศีลเสมอกันภาพรวมของประเทศ ภาพรวมของทุกวัด ภาพรวมของทุกครอบครัว ต้องเอาธรรมะเป็นหลัก เอาธรรมะเป็นใหญ่ การปฏิบัติของเราถึงเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่ เราทุกคนถึงต้องพากันมาเสียสละ เพื่อประโยชน์ส่วนรวม เพื่อประโยชน์ของมหาชน เพื่อกตัญญูกตเวที ต่อยอดสืบทอดความถูกต้อง เพราะชีวิตของเรามันไม่จีรังยั่งยืน ไม่กี่สิบปีก็ต้องจากโลกนี้ไป เราจะมาหลงมาเพลิดเพลินอยู่อย่างนี้ไม่ได้นะ
หลวงปู่มั่นสอนว่า “ความไม่ยั่งยืนเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่และแน่นอน ความยิ่งใหญ่คือความไม่ยั่งยืน ชีวิตที่ยิ่งใหญ่คือชีวิตที่อยู่ด้วย ทาน ศีล เมตตาและกตัญญู ชีวิตที่มีความดีอาจมิใช่ความยิ่งใหญ่แต่ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ต้องอาศัยคุณธรรมความดีเท่านั้น”
ไม่มีมิตรสหายใดใด จะยิ่งใหญ่เกินกว่า..."ความรู้"
ไม่มีศัตรูใดใด จะยิ่งใหญ่เกินกว่า..."ความเจ็บไข้ได้ป่วย"
ไม่มีความรักใดใด จะยิ่งใหญ่เกินกว่า..."ความรักของพ่อแม่"
ไม่มีอำนาจใดใด จะยิ่งใหญ่เกินกว่า..."กฏแห่งกรรม"
ไม่มีคุณงามความดีใดใด จะยิ่งใหญ่เกินกว่า..."ความกตัญญูกตเวทิตา"
ไม่มีความสุขใดใด จะยิ่งไปกว่า..."ความสงบ" (นตฺถิ สนฺติ ปรํ สุขํ)