แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ในวันอังคารที่ ๒๗ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง ชีวิตของผู้สงบ ตอนที่ ๙๙ เราต้องจัดการอาหารกาย อาหารใจ และเท่าทันอาหารกิเลส ด้วยอริยมรรคในปัจจุบัน
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
มนุษย์เราเป็นผู้ที่ประเสริฐเกิดมาเพื่อมีความเห็นถูกต้องเพื่อมีความเข้าใจถูกต้องและปฏิบัติถูกต้อง เข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติทั้งกายและจิตใจ เพื่อหยุดพลังงานการเวียนว่ายตายเกิดของเราทุกๆ คน ให้ทุกๆ คนพากันเข้าใจ ที่ผ่านมาตั้งแต่อดีตที่เรารู้ถึงปัจจุบัน ถือว่าเป็นบทเรียนเป็นประสบการณ์ เพื่อเราจะได้สืบทอดต่อยอดในสิ่งที่ดีๆ ในปัจจุบัน ที่มันผิดพลาดก็เพราะเรายังไม่เข้าใจ ถ้าเราเข้าใจเหมือนพระพุทธเจ้าเหมือนพระอรหันต์มันก็จะหยุดปัญหา เรารู้ทุกข์ รู้เหตุเกิดทุกข์ เรารู้ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ยังไม่พอ เราต้องเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ
ปัญหาต่างๆ นั้นมันไม่ได้อยู่ที่ไหน มันอยู่ที่ตัวของเราทุกๆ คน เรามีตาหูจมูกลิ้นกายใจที่เป็นผัสสะ เราต้องขอบใจผัสสะ เราต้องขอบใจทุกสิ่งทุกอย่างที่จะให้เราได้พัฒนาจิตใจ ถ้าเราไม่มีผัสสะ เราก็คือ เราก็ไม่ได้ทำประโยชน์ เราต้องชอบใจผัสสะ ทั้งตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ หน่ะ เราจะหยุดพลังงานแห่งการเวียนว่ายตายเกิด เราต้องหยุดด้วยสัมมาทิฐิ ความเห็นถูกต้องเพื่อความเข้าใจถูกต้องและปฏิบัติถูกต้อง ความรู้ความเข้าใจนั้นมันก็เป็นปัญญา หรือเป็นปรัชญา ถ้าเราไปบอกไปสอนคนอื่น มันก็เป็นเพียงจิตวิทยา มันยังไม่เข้าสู่หลักพระศาสนา
ร่างกายของเรานั้นอยู่ด้วยอาหาร จิตใจของเรานั้นก็อยู่ด้วยอาหาร อวิชชา ความหลง ที่เรียกว่ากิเลสก็อยู่ด้วยอาหาร ถ้าร่างกายของเราไม่ได้อาหารก็อยู่ไม่ได้ ถ้ากิเลสของเราไม่ได้อาหารก็อยู่ไม่ได้ ให้ทุกคนพากันเข้าใจ อาหารทางกาย พระพุทธเจ้าบอกว่า เราต้องรู้จักบริโภค ไม่มากเกินไม่น้อยเกิน ไม่หวานเกินไม่เค็มเกิน ไม่ร้อนเกิน ไม่เย็นเกิน อันไหนมันเป็นประโยชน์ต่อร่างกาย พระพุทธเจ้าไม่ให้เราทานอาหารเพื่อความเอร็ดอร่อย เพราะความหลง เพราะอาหารทุกอย่างนี่มันเป็นยา
พระพุทธเจ้า ทรงเปรียบอาหารที่เราทานนี้ เป็นยารักษาชีวิตสำหรับเดินทาง อาหารทุกอย่างเป็นยารักษาชีวิต จึงทรงแสดงถึงกาลิก ๔ กาลิก แปลว่า ประกอบด้วยกาลเวลา, ขึ้นอยู่กับกาลเวลา เป็นภาษาพระวินัย หมายถึงอาหารหรือของที่ภิกษุรับแล้วเก็บไว้ฉันได้ตามกาลเวลาที่กำหนดเท่านั้น หากเก็บไว้เกินกว่านั้นถือเป็นความผิด ได้แก่
๑. ยาวกาลิก ของที่เก็บไว้ฉันได้ชั่วคราว คือตั้งแต่เช้าถึงเที่ยงวัน ได้แก่ ข้าวสุก ขนม ปลา เนื้อ เป็นต้น
๒. ยามกาลิก ของที่เก็บไว้ฉันได้ชั่วระยะเวลาวันหนึ่งกับคืนหนึ่ง ได้แก่ น้ำปานะหรือน้ำผลไม้ชนิดต่างๆ ที่ทรงอนุญาตไว้
๓. สัตตาหกาลิก ของที่เก็บไว้ฉันได้ภายใน ๗ วัน คือ เภสัช ๕ คือ เนยใส เนยข้น น้ำมัน น้ำผึ้ง น้ำอ้อย
ทั้งนี้ของที่นอกเหนือจากกาลิกทั้ง ๓ นั้น คือ ยาวชีวิก เป็นของที่เก็บไว้ฉันได้ตลอดชีวิต
นี่คือยาแท้ๆ ที่จะไม่ให้เราหลงเลยพระอรหันต์จึงเป็นผู้ที่สมควรเป็นสามีบริโภคจริงๆ เพราะท่านไม่ติดใจในรสอาหารไม่ติดใจในสิ่งที่ท่านบริโภคใช้สอยเลย เราเกิดมาเรามีภาระเรื่องร่างกาย ต้องแสวงหาอาหาร ที่อยู่อาศัย เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค และสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ เพียงให้ร่างกายได้ประพฤติปฏิบัติเพื่อมรรคผลพระนิพพาน ที่เราเรียนหนังสือทำงานทำธุรกิจก็เพื่อเลี้ยงชีพเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง พระพุทธเจ้าจึงไม่ให้เรามาหลงในสิ่งเหล่านี้ เราต้องพยายามบริโภคให้ถูกต้องให้มีความสุขในการทำงาน มีความสุขในการประพฤติปฏิบัติธรรมไปพร้อมๆ กัน
สฺพเพ สฺตตา อาหารฏฺฐิติกา สัตว์ทั้งหลายทั้งปวง ย่อมตั้งอยู่ได้เพราะอาหาร คำว่าอาหารนี้ถ้าพูดถึงกันโดยทั่วไป ก็ต้องยอมรับว่าเรารู้จักอาหารนี้เป็นอย่างดี มีอาหารคาว หวาน ขนม ผลไม้ เป็นวัตถุบางประเภทที่เรารับประทานหรือดื่มเข้าไปเพื่อบำรุงร่างกาย ในภาษาธรรมะ สิ่งที่เรียกว่า อาหาร มี ๔ อย่าง
๑. กวฬิงการาหาร คำข้าวที่กินอยู่ คือ อาหารทุกประเภทที่ทำให้ร่างกายนี้ยังคงดำรงอยู่ได้หรือเข้าไปหล่อเลี้ยงชีวิตของเรา การรับประทานอาหารจริงๆแล้ว เราควรรับประทานอย่างไร เวลารับประทานอาหารก็ต้องพิจารณาเพียงเพื่อให้ร่างกายนี้ตั้งอยู่ได้ เราไม่สามารถรับประทานอาหารให้เอร็ดอร่อยได้เลยถ้าเรากินอาหารเพื่ออาหาร ไม่ได้กินเพื่อความเอร็ดอร่อย การที่เรากินอาหารด้วยความเอร็ดอร่อยทำให้เราสะสมความเคยชินเรื่องการกินให้เป็นปัญหาและให้ความสำคัญของคนสมัยนี้ ท่านพุทธทาส เรียกว่า "อารยธรรมน้ำจิ้ม" คือ อาหารโต๊ะจีน ที่เต็มไปด้วยน้ำจิ้ม คือสิ่งที่เพิ่มความเอร็ดอร่อยให้เพิ่มขึ้นในรสชาติอาหารทำให้เราตกไปเป็นทาสของกิเลสได้ง่ายขึ้น เพราะจิตมันจะจดจำรสชาติของอาหารเหล่านี้ ว่าอร่อยไม่อร่อยและก็จะต้องการอาหารที่อร่อยๆมากเพิ่มขึ้นด้วยความอยาก(คือตัณหา)
๒. ผัสสาหาร อาหาร คือ ผัสสะ เปรียบเป็นเวทนา เมื่อมีผัสสะเป็นปัจจัยเวทนาย่อมมี ผัสสะคือการกระทบกันทาง ตา > รูป > จักขุ > วิญญาณการรับรู้ เป็นเวทนา คือความพอใจ ไม่พอใจ สุข ทุกข์ต่างๆ (ผัสสาหารเกิดขึ้นได้ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ) ในชีวิตประจำวันของคนเราจะมีการกระทบตลอดเวลาในทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ทำให้เกิดความรู้สึก เป็นเวทนา เป็นสุขบ้างไม่เป็นสุขบ้าง ถ้าเราไม่สามารถกำหนดรู้เท่าทันสิ่งที่เข้ามากระทบ ดังนั้นเมื่อเกิดผัสสะการรับรู้คือการกระทบเป็นอาหารของเวทนาย่อมเกิดขึ้นเป็นธรรมดาและเปิดโอกาสให้เป็นความสุขหรือความทุกข์ได้
๓. มโนสัญเจตนาหาร อาหารคือความนึกคิด ผู้ที่ฝึกการกำหนดรอบรู้แล้วย่อมไม่มีสิ่งใดที่พึงจะทำให้เกิดความคิดเหล่านี้ได้ หากความคิดเหล่านี้เกิดขึ้นในจิตใจของเรา เราก็ต้องรับผล ความคิดคือเหตุที่ทำให้เราต้องกระทำอะไรบางอย่างเมื่อเรากระทำสิ่งใดเราก็ต้องรับผลในสิ่งนั้นด้วยความอยาก คือ ตัณหา แยกเป็น กามตัณหาคือความอยากในเรื่องของกาม ภวตัณหาความอยากมีอยากเป็น และวิภวตัณหาความไม่อยากมีไม่อยากเป็น เมื่อความคิดเหล่านี้เกิดขึ้นคนเรามักจะชอบความสุขและรังเกียจความทุกข์ เรายิ่งรักสิ่งใดที่ตรงกันข้ามมากขึ้นเท่านั้น เมื่อเรายังมีความชอบและไม่ชอบมากเท่าไหร่จึงทำให้เรายังมีความคิดเป็นอาหาร
๔. วิญญาณาหาร คือการรับรู้ต่างๆ ๖ ทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ผู้ที่กำหนดรอบรู้เรื่องวิญญาณาหาร ย่อมกำหนดรู้ นาม~รูป นาม คือ จิต รูป คือ กาย กายกับจิตนั้นเกิดขึ้นเมื่อไหร่ กายกับจิตไม่ได้เกิดขึ้นตลอดเวลา จะเกิดขึ้นต่อเมื่ออวิชชา(ความไม่รู้)ปรุงแต่งเข้าใจผิดไปในความเป็นจริง แล้วปรุ่งแต่งไปเป็นสังขาร(ความคิด) > วิญญาณ > นาม > รูป จึงเกิดขึ้น ถ้าเราเข้าใจในปฏิจสมุปบาทแล้วเราจะเข้าใจว่า นาม ~ รูป คือ กาย ~ใจ ไม่ได้มีอยู่ตลอดเวลา แต่เกิดขึ้นเป็นขณะๆตามความเข้าใจผิดของเรา เมื่อเราเข้าใจผิดด้วยความหนักแน่น กาย~ จิต ของเรานี้ก็จะปรากฎบ่อยๆเป็นความยึดมั่นถือมั่นตามความรับรู้ของจิต ท่านฮวงโป ได้กล่าวไว้ว่า เมื่อความคิดเกิดขึ้นสิ่งต่างๆย่อมเกิดขึ้น เมื่อความคิดดับหายไป สิ่งต่างๆย่อมหายไป ถ้าเราเข้าใจชัดก็จะเห็นว่า กาย ~ จิต นี้ไม่มีอยู่จริง อาหารใน ๔ ประเภทนี้มีความลึกซึ้งมาก หากเราได้มีโอกาสได้พัฒนาจิตอย่างถูกต้องเราจะสามารถเข้าใจได้ว่าการรับประทานอาหารเพียงเพื่อความตั้งอยู่ได้ด้วยการมีสตินั้นสำคัญอย่างไร
อารมณ์ทั้งหลายทั้งปวงที่ทำให้ยินดีพอใจปลื้มใจถือว่าเป็นกามทั้งหมด ถามว่า เราทุกคนมีตาหู จมูก ลิ้น กาย ใจ ทุกคนก็ต้องบริโภคตามกันทุกคน ทุกคนเกิดมาก็ต้องบริโภคตามกันทั้งหมด ตามระดับภาวะ ตามระดับศีลของตนเอง พระพุทธเจ้าให้บริโภคด้วยปัญญา เมื่อบริโภคแล้วเราต้องเสียสละ อย่างตาเราเห็นรูปก็ต้องเสียสละ ไม่ต้องไปยินดียินร้าย หากได้ยินเสียงเราก็ต้องเสียสละอย่าไปยินดียินร้าย ดังที่พระพุทธองค์ได้ตรัสกับพระพาหิยะว่า
“พาหิยะ เพราะเหตุนั้น เธอพึงศึกษาอย่างนี้ว่า เมื่อเห็นรูปก็สักแต่ว่าเห็น เมื่อฟังเสียงก็สักแต่ว่าฟัง เมื่อรับรู้อารมณ์ที่ได้รับรู้ ก็สักแต่ว่ารับรู้ เมื่อรู้แจ้งธรรมารมณ์ที่รู้แจ้งก็สักแต่ว่ารู้แจ้ง พาหิยะ เธอพึงรักษาอย่างนี้แล เมื่อใด เธอเมื่อเห็นรูปก็สักแต่ว่าเห็น เมื่อฟังเสียงก็สักแต่ว่าฟัง เมื่อรับรู้อารมณ์ที่ได้รับรู้ก็สักแต่ว่ารับรู้ เมื่อรู้แจ้งธรรมารมณ์ที่รู้แจ้งก็สักแต่ว่ารู้แจ้ง เมื่อนั้น เธอก็จะไม่มี เมื่อใด เธอไม่มี เมื่อนั้น เธอก็จะไม่ยึดติดในสิ่งนั้น เมื่อใด เธอไม่ยึดติดในสิ่งนั้น เมื่อนั้น เธอจักไม่มีในโลกนี้ ไม่มีในโลกอื่น ไม่มีในระหว่างโลกทั้งสอง นี้เป็นที่สุดแห่งทุกข์”
เพราะผัสสะทั้งหลายทั้งปวงทำให้เราได้เกิดปัญญาได้ปฏิบัติธรรม ถ้าเราไม่เสียสละจะมีปัญหาทันที อุเบกขาที่สัมมาสมาธิ ใจต้องเข้มแข็งต้องเสียสละเพื่อใจจะได้เป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม ใจทุกคนต้องเข้มแข็งนะ ถ้าใจไม่เข้มแข็งใจของเราจะไม่มีความวิเวกเลย ทั้งพระภิกษุประชาชนคนทั้งโลก มักไม่ค่อยพากันประพฤติปฏิบัติธรรมเลยนะ แต่กลับพากันยินดีในกามหลงในกาม ไม่เสียสละ เราต้องมาเสียสละ เพื่อให้เป็นทางสายกลาง ตรงสู่พระนิพพาน
คนเราอยู่ได้ด้วยอาหาร กิเลสมันอยู่ได้ด้วยอาหาร มันอยู่ที่เราจัดการ เราจะจัดการกับร่างกายต้องจัดการเรื่องอาหารของร่างกาย จัดการเรื่องจิตใจก็ต้องจัดการเรื่องอาหารทางจิตใจ เราจะจัดการอวิชชาความหลงต้องจัดการเรื่องอาหารของอวิชชาความหลง เพราะอยู่ที่เราจัดการ ความดับทุกข์ของมนุษย์อยู่ที่เราปฏิบัติตามมรรคมีองค์ ๘ ความดับทุกข์ของมนุษย์อยู่ที่เรามีความเห็นถูกต้องมีความเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง มันจะได้เข้ากฎแห่งกรรม คนหัวไม่ดีก็ต้องเรียนต้องศึกษามากกว่าคนอื่นที่หัวดี คนหัวดีก็ต้องพัฒนาในการเรียนและในความประพฤติดีให้ยิ่งๆขึ้นไป เพื่อที่จะได้ต่อยอดให้กับตัวเอง มนุษย์แสวงหาความโง่ แสวงหาสิ่งที่ชอบใจ มันถึงแก้ตัวเอง อย่าขี้เกียจไม่ได้แก้ตัวเองไม่ได้ คนเราอย่าไปตามอารมณ์ ตามความคิดตามสิ่งแวดล้อม ตามผัสสะมันเสียหาย อย่าไปตามอารมณ์ ตามความคิดมันไม่จบ คนเราไม่ต้องไปสู้กับคนอื่น สู้กับตัวเอง คนเราพัฒนาตัวเอง วันๆไหนไม่ดี ไม่คิด ไม่พูด ไม่ทำ เราเกิดมาเพื่อดับทุกข์ ไม่ใช่เพิ่มความทุกข์
การบริโภคอาหารนั้นต้องประกอบด้วยปัญญา พระพุทธเจ้าท่านไม่ให้เราหลง เพราะเราต้องเอาร่างกายมาเพียงบำเพ็ญบารมี ถึงจะปรุงอร่อย สำหรับผู้ที่อินทรีย์บารมียังไม่แก่กล้าเท่านั้นเอง อาหารทางใจ เราก็อย่าไปหลง เพราะทุกอย่างมันตั้งอยู่บนรากฐานแห่ง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เพื่อให้เป็นธรรมเป็นคุณธรรม คนเราหน่ะ พระพุทธเจ้าบอกว่า ต้องมีความเห็นถูกต้อง ความเข้าใจถูกต้อง เรียกว่าอริยมรรค มีองค์ ๘ เราต้องพากันรู้จัก ที่จริงแล้วมนุษย์เรา ถ้าทำถูกต้องปฏิบัติถูกต้องแล้ว ความทุกข์ทางใจจะไม่มี ความทุกข์ทางกายนั้นเป็นเพียงให้เราได้ภาวนาวิปัสสนา ปัจจุบันเป็นสิ่งที่สำคัญ เราทุกคนนี่ไม่ควรจะปล่อยโอกาสให้เสียเวลาโดยที่ไม่ได้ปฏิบัติตนเอง ไม่ได้พัฒนาจิตใจตนเอง ถ้ามนุษย์เรามีความเห็นถูกต้องเพื่อมีความเข้าใจถูกต้องและปฏิบัติถูกต้องแล้ว มันเดินทางเข้าสู่ความดับทุกข์ อย่าปล่อยโอกาสปล่อยเวลาผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์
เวลาเป็นสิ่งที่มีค่าต่างจากทรัพย์สินเงินทองตรงที่ว่า ทรัพย์สินที่สูญหายหรือหมดไปยังพอหาใหม่ทดแทนได้ แต่เวลาล่วงเลยไปไม่อาจนำกลับคืนมา ดังคำประพันธ์ที่ว่า
เวลาและวารี มิได้มีที่คอยใคร เรือเมล์และรถไฟ ก็ต้องไปตามเวลา
โอ้เอ้และอืดอาด มักจะพลาดปรารถนา พลาดแล้วจะโศกา อนิจจาเราช้าเอง
ผู้ที่ปล่อยเวลาล่วงเลยผ่านไปโดยไม่ทำอะไรให้เป็นประโยชน์ ถือว่าตกอยู่ในความประมาท เพราะไม่ปฏิบัติตามพระพุทโธวาทที่สอนให้พิจารณาเนืองๆ ว่า กถมฺภูตสฺส เม รตฺตินฺทิวา วีติปตนฺติ แปลความว่า วันคืนล่วงไป บัดนี้เราทำอะไรอยู่ บุคคลผู้ประมาทคือผู้มีชีวิตอยู่โดยปราศจากสติ คำว่า สติ หมายถึงความระลึกรู้ ก่อนทำก่อนพูดและก่อนคิด หรือขณะทำ ขณะพูด และขณะคิด ผู้ประมาทปราศจากสติ แม้มีชีวิตก็เหมือนร่างที่ไร้วิญญาณ พระพุทธองค์จึงเปรียบเทียบชีวิตของเขาว่าเหมือนคนที่ตายแล้ว ดังพระพุทธภาษิตที่ว่า เย ปมตฺตา ยถา มตา แปลความว่า ผู้ประมาท เหมือนคนตายแล้ว
ความไม่ประมาท คำพูดสุดท้ายที่พระพุทธเจ้าท่านให้ไว้ก่อนดับขันธ์ปรินิพพานเป็นคำพูดที่มีแต่ความเจริญไม่มีความเสื่อม เป็นสาเหตุที่ให้เกิดศีล สมาธิ ปัญญา มีความก้าวหน้า คนเราถ้าไม่ประมาทถึงจะปลอดภัย ที่เราย่อหย่อนอ่อนแอสาเหตุก็มาจากความประมาทของเรา การดำเนินชีวิตของพระพุทธเจ้าท่านมีความสุข เพราะท่านเอาธรรมเป็นหลัก เอาธรรมเป็นใหญ่ 100% สมบูรณ์พร้อม เพราะคนเราหน่ะ ถ้าอากาศร้อนก็ทำใจเราอ่อนได้ อากาศหนาวก็ทำให้ใจเราอ่อนได้ ความหิวความกระหายก็ทำให้ใจเราอ่อนได้ เพื่อนฝูงต่างๆ สิ่งแวดล้อมต่างๆ เขาเรียกว่า ฝนตกทีละหยดก็กลายเป็นแม่น้ำในมหาสมุทรได้ ความไม่ประมาทจึงเป็นสิ่งที่สำคัญ
ทุกคนก็คิดว่าเหล้าไม่ดี เบียร์ไม่ดี การพนันไม่ดี ทุกคนรู้ว่ายาเสพติดไม่ดี แต่ว่าทุกคนนั้นเชื่อใจตัวเอง คิดว่าตัวเองคงไม่ตกต่ำ ใจของเรามันประมาทไป ผู้ไม่ประมาทสติสัมปชัญญะจึงจะสมบูรณ์ ศีล สมาธิ ปัญญาถึงสมบูรณ์ ที่พระเรามีทั้งวัดบ้านวัดป่าได้ เพราะว่าตั้งอยู่บนความไม่ประมาท เพราะผู้ไม่ประมาทจะอยู่ในย่านในนิคมในเมืองหลวงก็ย่อมไม่มีปัญหา เพราะว่าเพชรก็คือเพชร เพราะว่าของแท้นั้นก็คือของแท้ไม่เสื่อมคลาย ไม่ไปให้คนอื่นล้างสมอง ผู้ไม่ประมาทจะไปอยู่แห่งหนใดก็ปฏิบัติได้หมด เพราะยิ่งไม่ประมาทก็ยิ่งมีสติมีปัญญา
ความประมาทเป็นมลทินของใจ เป็นหนทางแห่งความตาย ผู้ที่ประมาท แม้มีชีวิตอยู่ก็เหมือนคนที่ตายแล้ว คือ ตายจากคุณธรรมความดี พลาดจากกุศลธรรมที่จะเป็นบันไดก้าวขึ้นสู่สวรรค์ และนิพพาน เพราะเป้าหมายชีวิตของการเกิดมาเป็นมนุษย์ก็เพื่อสั่งสมบุญกุศลอย่างเดียว ส่วนเรื่องการทำมาหากินนั้น เป็นเพียงการแสวงหาทรัพย์มาหล่อเลี้ยงอัตภาพนี้ให้คงอยู่เท่านั้น ดังนั้นผู้มีปัญญาจึงแสวงหาทรัพย์มาเพื่อสร้างบารมี และเร่งรีบทำความดีแข่งกับเวลาที่ผ่านไป
นักปราชญ์บัณฑิตทั้งหลาย ล้วนไม่มัวประมาทเพลิดเพลิน ในเบญจกามคุณ เพราะท่านพิจารณาเห็นความประมาทว่า เปรียบเสมือนตอขวางวัฏฏะ ทำให้นาวาชีวิตต้องสะดุดแล้วจมลงในทะเลแห่งความทุกข์ กว่าจะข้ามขึ้นฝั่งมาได้ก็ต้องผจญภัยในสังสารวัฏอีกยาวนาน
พระพุทธเจ้าท่านจาริกไปที่ต่างๆ ผู้ไม่ประมาทมีแต่ความสุข มีแต่ความดับทุกข์ทางจิตใจ ไปที่ไหนจิตใจก็สว่างไสว พระพุทธองค์ทรงย้ำเตือนให้พุทธบริษัทไม่ประมาทในชีวิต ให้เร่งรีบสั่งสมบุญบารมี และฝึกฝนใจให้หยุดนิ่ง จะได้หลุดพ้นจากอาสวกิเลสซึ่งเป็นเหตุให้เกิดความทุกข์ทรมาน
เหมือนในสมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อประทับอยู่ที่บุพพาราม มีภิกษุบวชใหม่จำนวน ๕๐๐ รูป ได้เข้าไปพักอยู่ในปราสาทชั้นบน เนื่องจากส่วนใหญ่เป็นพระบวชใหม่ เพิ่งเข้าสู่พระธรรมวินัยไม่นาน จึงมีจิตใจฟุ้งซ่าน เพราะอินทรีย์ยังไม่แก่กล้า
ครั้นภิกษุทั้ง ๕๐๐ รูป เข้าไปในห้องพักแล้ว ต่างพากันนอนหลับในเวลากลางวัน ไม่ได้ปรารภความเพียร ตอนเย็นก็ลุกขึ้นมาสนทนากันในเรื่องไร้สาระ ทำให้ใจออกห่างจากพระธรรมวินัย ส่วนใหญ่มักจะสนทนาในเรื่องลาภสักการะ เรื่องคน สัตว์ สิ่งของทั่วๆ ไป อีกทั้งส่งเสียงดังลั่นเหมือนพ่อค้าขายปลาในตลาด ขาดสมณสัญญา ไม่ได้สนทนาในเรื่องที่เป็นไปเพื่อมรรคผลนิพพาน
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสดับเสียงนั้น ทรงดำริว่า ภิกษุเหล่านี้ มีกุศลจิตศรัทธาบวชเข้ามาในธรรมวินัยซึ่งเป็นเหตุนำออกจากทุกข์ แม้อยู่ใกล้กับเราผู้ตรัสรู้แล้วเองโดยชอบ แต่ก็เหมือนอยู่ห่างไกลกันคนละโยชน์ เพราะยังมัวเมาในลาภสักการะ มีความเป็นอยู่อย่างประมาท หากตายไปก็ต้องไปบังเกิดในอบายภูมิ ทรงมีพุทธประสงค์จะให้ภิกษุเหล่านั้น เกิดความสลดสังเวช จะได้ไม่ประมาทในชีวิต จึงทรงดำริถึงพระมหาโมคคัลลานเถระ ซึ่งในขณะนั้นพระมหาโมคคัลลานะรู้วาระจิตของพระผู้มีพระภาคเจ้า จึงเหาะมาด้วยฤทธิ์ พลางถวายบังคมพระพุทธองค์
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนโมคคัลลานะ เพื่อนสหพรหมจารีย์ของเธอยังเป็นผู้ประมาท มัวเมาในโลกามิสมากกว่าการแสวงหาหนทางของพระนิพพาน เธอจงช่วยทำให้ภิกษุเหล่านั้นเกิดความสลดใจเถิด พระมหาเถระรับพุทธบัญชาแล้ว ก็เข้าอาโปกสิณ ใช้นิ้วหัวแม่เท้าทำพื้นมหาปราสาทให้หวั่นไหว แผ่นดินก็สั่นสะเทือน ทำให้มหาปราสาทสั่นไหวประดุจจะโค่นล้มลง
เหล่าภิกษุทั้ง ๕๐๐ รูป ต่างก็ขนลุกขนพองเกิดกลัวตายไปตามๆ กัน พากันร้องขอความช่วยเหลือเสียงดังลั่น ขาดสติสัมปชัญญะ ทิ้งจีวรของตนเอง รีบออกจากมหาปราสาท เพราะเกรงปราสาทจะล้ม เมื่อออกมาข้างนอก ก็ได้พบพระผู้มีพระภาคเจ้า จึงพร้อมใจกันเข้าไปกราบถวายบังคม พลางกราบทูลเหตุการณ์อันน่าสะพรึงกลัวที่พวกตนได้ประสบมา
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย ปราสาทหลังนี้ โมคคัลลานะทำให้ไหวเอง เพื่อจะทำให้พวกเธอซึ่งมีสติหลงลืม ไร้สัมปชัญญะ อยู่ด้วยความประมาท ให้เกิดความสังเวช จากนั้นพระพุทธองค์ได้ตรัสให้โอวาทว่า เธอทั้งหลายจงลุกขึ้นเถิด จงนั่งเถิด เธอทั้งหลายจะได้ประโยชน์อะไรด้วยความหลับ จงหมั่นศึกษาเพื่อสันติเถิด พญามารอย่ารู้เลยว่าเธอทั้งหลายประมาทแล้ว อย่าทำพวกเธอผู้ตกอยู่ในอำนาจให้ลุ่มหลงเลย เธอทั้งหลายจงข้ามตัณหาอันซ่านไปในอารมณ์ต่างๆ ซึ่งเป็นเหตุให้เทวดา และมนุษย์ ต้องลำบากในสังสารวัฏ โอกาสดีในการปรารภความเพียรอย่าได้ผ่านไปเปล่าเลย เพราะผู้ทำประโยชน์ให้ล่วงเลยไปย่อมยัดเยียดกันในนรก เธอทั้งหลายอย่าได้มีธุลี คือความประมาทกันอยู่เลย พึงถอนลูกศรคือกิเลสของตนเสีย ด้วยความไม่ประมาท และด้วยวิชชา
พระพุทธองค์ทรงอุปมาว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นายขมังธนู ๔ คน มีความชำนาญในการยิงธนู ยืนอยู่ในทิศทั้งสี่ ถ้าบุรุษพึงมากล่าวว่า เราจักจับลูกธนูที่นายขมังธนูทั้งสี่ ยิงมาจากทิศทั้งสี่ ไม่ให้ตกถึงแผ่นดิน เธอทั้งหลายจะสำคัญว่า บุรุษนั้นมีความเร็วอย่างยอดเยี่ยมหรือไม่
พวกภิกษุกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ถ้าแม้บุรุษนั้นจะพึงจับลูกธนูที่นายขมังธนูเพียงคนเดียวยิง ไม่ให้ตกถึงแผ่นดิน ก็ควรจะกล่าวได้ว่า เป็นผู้มีความเร็วอย่างยอดเยี่ยม จะกล่าวไปไยถึงการจับลูกธนูทั้งสี่ ที่นายขมังธนู ๔ คนยิงมาจาก ๔ ทิศ
พระบรมศาสดาตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความเร็วของพระจันทร์ และพระอาทิตย์ เร็วกว่าความเร็วของบุรุษนั้น ความเร็วของเทวดาที่ไปข้างหน้าของพระจันทร์และพระอาทิตย์ เร็วกว่าความเร็วของบุรุษนั้น ทั้งของพระจันทร์และพระอาทิตย์ ส่วนอายุสังขารสิ้นไปเร็วกว่าความเร็วเหล่านั้นทั้งหมด เพราะฉะนั้น เธอทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้ว่า เราทั้งหลายจักเป็นผู้ไม่ประมาท เธอทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้แล
ครั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสสอนภิกษุให้เห็นโทษของความประมาท และชี้ให้เห็นโทษเห็นภัยในอบายภูมิทั้งสี่แล้ว ทรงทำให้ภิกษุเกิดความอุตสาหะในการปรารภความเพียรให้ยิ่งๆ ขึ้นไป ภิกษุทั้ง ๕๐๐ รูปเริ่มพิจารณาเห็นโทษของความประมาทอันจะเป็นเหตุให้ตกไปในอบายภูมิ ในที่สุดก็ปล่อยใจไปตามกระแสพระธรรมเทศนา เจริญวิปัสสนา และได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์กันทุกๆ รูป
เราจะเห็นว่า พระพุทธองค์ทรงชี้ให้เห็นโทษของความประมาทว่า เป็นเหตุให้พลัดตกไปในอบายภูมิ ชีวิตหลังความตายของผู้ที่ประมาทแล้ว เป็นชีวิตที่น่าสะพรึงกลัว มีทุกข์เป็นอนันต์ กว่าจะรู้ตัว ก็สายไปแล้ว พวกเราทุกคนจึงไม่ควรประมาท สิ่งที่ต้องเร่งรีบทำกันในขณะนี้ คือ ต้องไม่ประมาทในการประพฤติปฏิบัติธรรม
เราต้องจัดการกับตัวเอง ที่เราขาดตกบกพร่องก็เพราะว่าเราไม่ได้ปรับตัวเองเข้าหาธรรม เข้าหาอริยมรรคมีองค์ ๘ เราให้อาหารกายให้อาหารใจ แล้วเราก็หยุดให้อาหารอวิชชา ความหลง หยุดให้อาหารกิเลส เราอย่าปล่อยเวลาโดยที่ไม่ได้จัดการกับตัวเอง ในเรื่องที่ควรจะต้องจัดการ ปัจจุบันเรากำลังอยู่บนเวที ไฟท์ที่สำคัญในปัจจุบัน มันไม่ใช่เรื่องธรรมดา มันเป็นเรื่องเสียหาย เราทุกคนต้องพากันแก้ตัวเอง ปรับปรุงตัวเองทุกอย่างในปัจจุบัน ให้อาหารกายใจอาหารใจ หยุดให้อาหารกิเลส เอาให้ชีวิตของเราสงบ ให้ชีวิตของเราให้มันหยุดให้มันเย็นให้ได้ เราต้องพึ่งการคิดการพูดการทำ ทุกอย่างมันต้องพึ่งการประพฤติการปฏิบัติ แต่ก่อนเราพึ่งพ่อพึ่งแม่ พึ่งรัฐบาลพึ่งคนอื่น เราต้องพากันพึ่งตัวเอง พึ่งระบบความคิดระบบการกระทำ ให้เป็นธรรมให้เป็นปัจจุบันธรรม ศีลของเราจะได้สมบูรณ์ พรหมจรรย์จะได้สมบูรณ์ ธรรมะจะได้สมบูรณ์ เราทุกคนจะได้ไม่ต้องไปหาความดับทุกข์ที่ไหนก็ได้ ไปทำตามความหลงไม่ได้ เราปฏิบัติอย่างนี้ความเป็นพระมันจะเกิดแก่เราทุกคน ไม่ว่าเป็นฆราวาส นักบวช ความเป็นพระจะเกิดแก่เราได้ ทุกอย่างมันก็จะดี ความดับทุกข์ของเราจะมีมากขึ้น เราทำอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้ ปีใหม่ก็ ถ้าเราตั้งใจใหม่ให้มันดีๆ เท่ากับปีที่แล้วมันก็คงยังไม่ดี เพราะถ้าดีมันก็ได้บรรลุไปแล้ว ถือคติอย่างนี้เราจะได้ไม่ประมาท
พระพุทธศาสนาเป็นวิทยาการที่สอนเน้นหนักไปในเรื่องของทุกข์ ชี้ให้เห็นทุกข์ทั้งหลายตลอดจนทุกข์ที่ละเอียด ที่ชาวโลกทั้งหลายมองเข้าไปไม่ถึง และสอนให้เห็นหนทางเดินที่จะพ้นไปจากทุกข์ไม่ต้องแก้ปัญหาให้แก่ชีวิตอีกต่อไป (ทุกข์ ทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้ ไม่ใช่เพราะไม่มีจะกิน ไม่มีเงินจะใช้ หรือเจ็บป่วย ไม่สบายเท่านั้น) นั่นก็คือ ตัวการสำคัญที่สุดที่เป็นต้นเหตุทำให้คนโง่ คนหลง ทำให้ทุกข์เกิดขึ้นมาและสอนให้รู้จักทำลายต้นเหตุเหล่านั้นด้วย
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเน้นในเรื่องสำคัญที่สุดของชีวิต พร้อมทั้งนี้แนะแนวทางเอาไว้ให้ด้วยว่าจะแก้ปัญหา คือ ทำลายโมหะหรืออวิชชา ณ ที่ตรงนี้ (ในขณะที่เห็น ได้ยิน) ได้อย่างไร เพราะที่ตรงรู้สึก “เห็น, ได้ยิน” นี่เอง ที่เป็นตัวการทำให้สัตว์ทั้งหลายได้รับความทุกข์โศกโรคภัย แล้วแก้ปัญหาของทุกข์กันไม่หวาดไหว ด้วยมันเป็นตัวการทำให้การเวียนว่ายตายเกิดอุบัติขึ้นมาซ้ำแล้วซ้ำอีกจนนับชาติที่เกิดไม่ได้
ผู้มีปัญญาพิจารณาปัญหาของชีวิตจากพระพุทธศาสนามาด้วยดี ก็จะกำหนดพิจารณา คือ โยนิโสมนสิการอารมณ์ตามทวารต่าง ๆ ให้บ่อยๆ จนชำนาญเป็นวสี เพราะเป็นการสร้างมหากุศลญาณสัมปยุต คือ มหากุศลที่ประกอบด้วยปัญญาบารมี ซึ่งเป็นกุศลที่มีกำลังมากที่สุด ให้ติดตัวไปทุกชาติๆ จนกว่าจะถึงซึ่งความพ้นทุกข์
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้หยิบใบไม้ในป่าขึ้นมากำมือหนึ่งต่อหน้าภิกษุจำนวนมากแล้วถามว่า ใบไม้ในป่าหรือใบไม้ในมือที่มีจำนวนมาก พระภิกษุทั้งหลายทูลว่าใบไม้ในป่ามีจำนวนมาก ใบไม้ในมือมีจำนวนน้อย พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า จะแสดงธรรมเป็นส่วนน้อยเฉพาะใบไม้ในมือเท่านั้น นั่นก็คือ ปัญหาเรื่องชีวิตและความพ้นทุกข์ และได้แสดงมาตลอดเวลา ๔๕ พรรษา
พระองค์มุ่งหมายที่จะแสดงเรื่องของทุกข์และหนทางพ้นทุกข์เป็นหลักสำคัญจึงแสดงแต่ใบไม้ในมือ ไม่ใช่ใบไม้ในป่า แต่ถึงกระนั้น ผู้ศึกษาก็ได้พบกับความน่าอัศจรรย์ใจในความตรัสรู้ของพระองค์
แม้จะเป็นแต่เพียงใบไม้ในมือซึ่งเป็นส่วนน้อย ถึงกระนั้นผู้ที่จะเข้าถึงแก่นแท้ และกว้างขวางลึกซึ้งจริง ๆ ก็จะต้องใช้เวลามากมายอาจตลอดชีวิตก็ได้