แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ในวันอาทิตย์ที่ ๒๕ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง ชีวิตของผู้สงบ ตอนที่ ๙๘ ทุกศาสนาต้องรักกันสามัคคีกัน เพราะจุดหมายปลายทางที่แท้จริง นั้นคือ ความดับทุกข์
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
วันนี้เป็นวันคริสต์มาสปี 2022 เป็นวันประสูติของพระเยซู ประชาชนส่วนใหญ่ เกือบทั้งโลก ก็พากันระลึกถึงพระเยซู เพราะท่านเป็นผู้ที่ประเสริฐ บำเพ็ญคุณธรรมคุณงามความดี เอาธรรมะ เป็นหลักเป็นที่ตั้ง เอาธรรมะเป็นการดำเนินชีวิต พระเยซู…ท่านคือใคร พระเยซูประสูติเมื่อ 2022 ปีมาแล้ว ทรงเป็นบุตรของมารดาพรหมจารีนามว่า มารีย์ ในเมืองเบธเลเฮม พระองค์ทรงพัฒนาเช่นเดียวกับเด็กคนอื่นๆ ทรงเจริญวัยทางร่างกายและจิตใจ พระองค์ทรงเรียนรู้งานช่างไม้และทรงเฝ้าสังเกตโลกอันเป็นธรรมชาติวิสัย พระองค์ทรงมีความผูกพันพิเศษกับพระบิดาในสวรค์และแม้กระทั่งทรงสั่งสอนผู้มีการศึกษาที่พระวิหารในเยรูซาเล็มเกี่ยวกับพระผู้เป็นเจ้าเมื่อพระองค์ทรงมีพระชนมายุเพียงอ๑๒ พรรษา เมื่อพระเยซูทรงเติบใหญ่ พระองค์ทรงเริ่มสอนผู้คนในเยรูซาเล็มเกี่ยวกับพระผู้เป็นเจ้า ดังที่ศาสดาพยากรณ์ท่านอื่นๆ เคยสอนผู้คนของพวกท่านก่อนพระองค์ แต่สิ่งที่พระองค์ทรงสอนเป็นเรื่องใหม่
พระเยซูเจ้าได้สอนให้ผู้คนมีความรักและเมตตาต่อกันและกัน มีการช่วยเหลือเกื้อกูลกัน และดำรงชีวิตด้วยความดีงาม และให้ละเว้นความชั่วใดๆ โดยความดีงามจะนำขึ้นสู่สรวงสวรรค์เพื่อความสุขอันถาวร และความไม่ดีงามจะนำไปสู่ความทุกข์ยากในขุมนรก การอ้างสิทธิ์ของพระองค์และการเป็นบุคคลสำคัญต่อสาธารณชนทำให้ฝ่ายปกครองในท้องที่รู้สึกว่าพวกเขาถูกคุกคาม และแม้ว่าพระเยซูทรงบริสุทธิ์ แต่พระองค์ก็ทรงรับโทษประหารด้วยข้อหาลบหลู่ศาสนา พระองค์สิ้นพระชนม์บนกางเขน แต่ทรงฟื้นจากอุโมงค์สามวันต่อมา พระองค์ทรงเป็นผู้มีชีวิตซึ่งจะไม่มีวันตายอีกเลย
แล้วในที่สุด อาณาจักรโรมันก็ได้กลับกลายมาเป็นอาณาจักรคริสต์ ส่วนศาสนายิวก็กลับมายึดมั่นในความเชื่อถือว่า โลกจักรวาลนี้มีพระผู้เป็นเจ้าผู้สร้างแต่พระองค์เดียวเท่านั้น และทั้งสองศาสนาคือ คริสต์ และยิว ก็ได้มีอิทธิพลต่อศาสดาโมฮัมหมัด ที่เป็นผู้สร้างศาสนาอิสลาม ที่ยึดมั่นในความเชื่อถือว่ามีพระเจ้าองค์เดียวเท่านั้น เป็นการปฏิเสธความเชื่อถือของกลุ่มชนชาวอาหรับ ที่เชื่อว่ามีพระเจ้าหรือเทพเจ้าหลายๆ พระองค์มาแต่ดั้งเดิม ก็จัดได้ว่าเป็นผู้ปฏิวัติความเชื่อถือแต่โบร่ำโบราณ ในทำนองเดียวกับพระเยซูเจ้า
ศาสนาคริสต์เป็นศาสนาที่มีผู้นับถือมากที่สุดในโลก มีศาสนิกชนประมาณ 2.4 พันล้านคนทั่วโลก คิดเป็นประมาณ 33% หรือเกือบ 1 ใน 3 ของประชากรโลกในปัจจุบัน
พุทธ & คริสต์
ชาวคริสต์จะเข้าใจกันไปว่าศาสนาพุทธคือการไว้ศาลพระภูมิ ห้ามเดินลอดผ้าถุง สักยันต์ ไหว้ผี และรูปเคารพ
ส่วนชาวพุทธก็เข้าใจว่าคริสเตียนคือการเชื่อเทพเจ้า ไปอ้อนวอนขอให้ถูกหวย พากันไปเล่นดนตรี กินเหล้าแบบฝรั่ง
โชคดีที่มีผู้ที่เคยพบปัญหานี้เช่นกันในอดีต คือ ท่านพุทธทาสภิกขุ และโชคดีอีก ที่ชาวพุทธไทยยอมรับโดยทั่วกันว่าความเข้าใจในศาสนาพุทธของท่านย่อมไม่ผิดพลาดแน่นอน - หาอ่านได้ในหนังสือ "คริสตธรรมและพุทธธรรม" * ไม่ได้ต้องการบอกว่าความจริงมีหนึ่งเดียว และสองศาสนาเป็นเรื่องเดียวกัน ไม่ได้พยายามทำลายความแตกต่างลง
๑. บาป และ กิเลส ชาวพุทธมักจะต่อต้านอย่างมาก เมื่อความเชื่อของคริสเตียนตั้งต้นที่ "มนุษย์ทุกคนมีบาป" เป็นความเชื่อเรื่องบาปกำเนิด แม้แต่ทารกที่ยังไม่ทำอะไรเลยก็มีบาปเหรอ?
สำหรับชาวคริสต์นั้น บาปมีความหมายใกล้เคียงกับ บาปกิเลส มากกว่า คือรวมทั้งการกระทำบาป และกิเลส ไว้ในคำเดียว ท่านพุทธทาสใช้คำว่า "กิเลส" ในการอธิบายถึงบาปในความหมายของคริสต์ตรงๆ เลย
ทีนี้หากเราลองพูดใหม่ว่า "มนุษย์ทุกคนมีกิเลส" คราวนี้คงจะไม่มีใครมีปัญหากับประโยคนี้ เด็กเกิดมาก็มีกิเลส อยากกินนม อยากขับถ่าย กิเลสย่อมติดตัวเผ่าพันธุ์มนุษย์ทุกคนมาตั้งแต่เกิด (หรืออาจจะตั้งแต่อยู่ในท้องแม่)
ทีนี้เราจะเห็นว่า เป้าหมายสูงสุดของทั้งสองศาสนาคือ "การชำระกิเลสให้หมดไป" กับ "การไถ่บาป" ย่อมมีความหมายใกล้เคียงกันมากนั่นเอง
ชาวคริสต์จึงบอกว่ามีแค่พระคริสต์เท่านั้นที่ไม่มีบาป เหมือนพุทธบอกว่าพระพุทธเจ้าไม่มีกิเลส
๒. พระเจ้า และ ธรรม พระเจ้าเป็นศูนย์กลางของคำสอนทางคริสต์ศาสนา ชาวพุทธมักจะเข้าใจว่าพระเจ้าเป็นลุงหนวด ขี้โมโหแบบเทพซุส ที่ต้องคอยบูชาเอาใจ หาไม่แล้วจะถูกลงโทษ เหมือนพวกผีในความเชื่อถือผี - ซึ่งเป็นความเชื่อที่ผิดจากความคิดของชาวคริสต์มาก
ชาวคริสต์จึงชอบพูดว่า "คุณไม่รู้จักพระเจ้านะ มารู้จักพระเจ้ามั้ย" ซึ่งฟังแล้ว ใครจะไปเข้าใจว่าชาวคริสต์ต้องการจะสื่ออะไร ทุกคนก็คิดว่าตัวเองรู้จักลุงหนวดขี้โมโหทั้งนั้นแหละ
ท่านพุทธทาสอธิบายว่า "พระเจ้า" ของคริสต์ = "ธรรม" ของพุทธ
ต้องมาดูตรงที่ว่าพระเจ้าต้องการทำอะไร พอไปดูเข้าจริง พระเจ้าต้องการให้ทำสิ่งที่เป็นไปเพื่อประโยชน์แก่มนุษย์ทุกคน ให้ทำลายความเห็นแก่ตัว รับใช้พระเจ้าด้วยการไม่เห็นแก่ตน ให้ไปเห็นแก่ผู้อื่น พระเจ้าต้องการให้ช่วยผู้อื่น เพราะฉะนั้นถ้าใครต้องการจะฟังคำสั่งพระเจ้า ก็ต้องไม่เห็นแก่ตัว และต้องเห็นแก่ผู้อื่น ทีนี้เราก็ต้องเชื่อพระเจ้า และทำตามพระเจ้า
แล้วเขาพูดว่า เราต้องอ้อนวอนพระเจ้า เราก็ตีความคำว่า อ้อนวอนให้ถูกต้อง อ้อนวอนเหมือนขอทานนั้น มันก็อย่างหนึ่ง ทีนี้อ้อนวอนเพื่อทำให้ถูกใจ โดยไม่ต้องอ้อนวอนพิรี้พิไร แต่ว่าทำให้ถูกใจ เราพยายามประพฤติปฏิบัติธรรมะนี่ให้ถูกในพระเจ้า อย่างนี้เป็นการอ้อนวอนยิ่งกว่า เขาเรียกว่าคำอธิษฐาน จะเป็นการขอร้อง หรือเป็นการชมเชย หรือเป็นการอะไรต่อพระเจ้า ก็ต้องทำอย่างอธิษฐาน นี่แปลว่าตั้งใจมั่นที่จะกระทำให้ถูกใจของพระเจ้ามากว่า ถ้าถือว่าพระเจ้าเป็นคน ก็ทำให้ถูกใจคน ถ้าถือว่าพระเจ้าเป็นธรรม เป็นกฎของธรรม ก็ทำให้ถูกต้องตามกฎของธรรม ประพฤติให้ถูกให้ตรงตามกฎของพระธรรม นั่นแหละคืออ้อนวอนพระเจ้า เพราะว่าได้ทำให้ถูกใจพระเจ้า แล้วก็ได้รับผลตามที่ต้องการ
ฉะนั้นไม่เป็นไรที่ศาสนาฝ่ายโน้นเขาจะมีพระเจ้าอย่างคน แล้วก็อ้อนวอนพระเจ้าอย่างขออะไรจากคน มันก็ได้เหมือนกัน เขามีวิธีการอย่างนั้น แต่ในที่สุดเขาก็มีการอธิษฐาน ทำให้ตรงตามความประสงค์ของพระเจ้า คือประพฤติดีนั่นแหละ ที่นี่เราก็ไม่มีพระเจ้าอย่างคน แต่มีพระเจ้าอย่างธรรม ก็เลยต้องอ้อนวอนด้วยการปฏิบัติให้ตรงตามกฎของพระธรรม แล้วผลก็ได้รับมาอย่างเดียวกันและคืออยู่เป็นสุข ผาสุกอยู่ด้วยกัน
หลักธรรมในศาสนามันตรงกันอย่างนี้ ถ้าคุณมีใจเป็นกลาง ไม่เข้าข้างใครกันเสียก่อน แล้วไปศึกษาดูให้เห็นชัด ว่าศาสนาโน้นเขาก็เรียกอย่างโน้น ฝ่ายโน้น กับศาสนานี้ก็คือฝ่ายพุทธนี้ มันก็ต้องการจะไม่ให้มีตัวกู เป็นของกู นี่คำนี้พูดหยาบคาย ฟังดูแล้วหยาบคายระคายหู แต่ก็จำเป็นต้องใช้คำอย่างนี้ เพื่อประหยัดเวลา ถ้าเรามีพระเจ้า เราเชื่อพระเจ้า เราก็ไม่มีตัวกู เพราะว่ามีพระเจ้า ต้องการจะเรียกเอาตัวเราหรือตัวกูนี้ ไปเป็นของพระเจ้าหมด คือมอบให้แก่พระเจ้าหมด ตัวเราก็ไม่มีเหลือสำหรับจะมีกิเลส สำหรับจะเห็นแก่ตัว มันไม่มีตัวกูสำหรับจะเห็นแก่ตัว ถ้ามีพระเจ้าจริงๆ นะ ถ้าพวกฝ่ายโน้นอย่ามีพระเจ้ากันแต่ปาก ถ้าเขามีพระเจ้ากันจริงๆ แล้ว เขาก็จะไม่มีตัวกูของกูเหมือนกัน เพราะยกให้พระเจ้าหมด ถวายพระเจ้าหมด ไปทำตามคำสั่งของพระเจ้าหมด แม้แต่จะต้องตายอย่างนี้เขาก็ถือว่าเป็นความประสงค์ของพระเจ้า เพราะฉะนั้นเขาไม่เป็นทุกข์ เขาไม่มีปัญหาเพราะความเจ็บไข้หรือความตาย เพราะเขายกให้พระเจ้าเสียแล้ว เขาก็ไม่มีปัญหาเรื่องเจ็บเรื่องตาย ก็ไม่มีตัวกู เพราะเขาเชื่อหรือถือพระเจ้า
๓. ความรอด และ นิพพาน ในความหมายของชาวคริสต์ ชีวิตนั้นเขียนด้วยคำกรีก มีสามคำคือ Bios คือชีวิตทางร่างกาย สบาย หิว อิ่ม Psyche คือชีวิตในมิติความคิด อารมณ์ ความยินดี ความเศร้า และ Zoe เป็นคำที่พิเศษ คือใช้กับพระเจ้า และต้นไม้แห่งชีวิต เป็นชีวิตที่มีแล้วจะไม่ตายอีก เป็น "อมตธรรม" เป็นชีวิตที่มนุษย์ไม่มี พระคริสต์สอนว่า การจะเข้าถึง Zoe นั้น Bios และ Psyche จะต้องตายก่อน พระคริสตธรรม คือเรื่องราวที่เล่าถึงเรื่องนี้ซ้ำๆ ว่าผู้ที่ทิ้งชีวิตจะได้รับชีวิต, ผู้ที่จะรอดนั้นต้องตายก่อน, การตายของร่างกายและการคืนชีพพร้อมชัยชนะ
ท่านพุทธทาสตั้งข้อสังเกตถึงข้อนี้ไว้ ซึ่งถือว่าเป็นอัจฉริยะมากๆ เพราะในสมัยท่านไม่มีอินเตอร์เน็ต และท่านอ่านเป็นภาษาไทยและอังกฤษ ซึ่งแปล Bios, Psyche และ Zoe เป็นชีวิต หรือ life ทั้งหมด
ท่านพุทธทาสเสนอไว้ว่าชีวิตที่ไม่ตายอีกในทีนี้เหมือนกับนิพพาน
๔. ความเชื่อ และ การปฏิบัติ ท่านพุทธทาสยึดถือว่า ไม่มีผู้ใดจะเข้าถึงนิพพานได้ โดยไม่ใช้การปฏิบัติเฉพาะตัว ตามความเชื่อแบบพุทธ จึงพยายามอธิบายว่าศาสนาคริสต์ไม่ใช่แค่ความเชื่ออย่างเดียว ต้องมีปฏิบัติด้วย
ความต่างของพุทธกับคริสต์คือ พุทธมุ่งปฏิบัติเพื่อละกิเลส สู่ความบริสุทธิ์ของนิพพาน คริสต์นั้นต้องการให้ทิ้งทุกอย่างไว้ใจพระเจ้ากระโดดลงสู่พระเจ้าเพื่อไถ่บาปให้รอด
สิ่งที่มีอยู่ก่อน ก่อนสิ่งทั้งปวงนี่ก็คือพระเจ้า แล้วเราก็เรียกว่าพระธรรม เพราะฉะนั้นเรื่องสร้างโลกจึงเป็นเรื่องที่มีความหมายลึกซึ้ง พุทธศาสนาก็มีเรื่องสร้างโลก คือความเป็นมาตามกฎของธรรมชาติ ตามหลักของพระธรรม นี่คือการสร้างโลก ถามว่าใครสร้างโลก พระธรรมสร้างโลก เมื่อเขาพูดว่าพระเจ้าสร้างโลก เราพูดว่าพระธรรมสร้างโลก ไปๆ มาๆ เป็นเรื่องเดียวกัน ฉะนั้นคัมภีร์ไบเบิ้ลตอนคัมภีร์เก่า ซึ่งมีอยู่ก่อนพระเยซูนั้น ก็เป็นคัมภีร์ของชนชาติฮิบรู คือชาวยิวเดี๋ยวนี้ ที่เขาได้รจนาร้อยกรองเขียนขึ้นเป็นพระคัมภีร์ Old testament ถ้ามองด้วยสายตาของคนโง่ของนักปราชญ์ที่โง่ที่สุดแห่งสมัยปัจจุบันนี่ จะมองเห็นคัมภีร์ไบเบิ้ลตอนนี้ว่าเป็นนิยายโง่ๆ ของชาวฮิบรู ทำไมสร้างแสงสว่างในวันที่หนึ่ง มาสร้างดวงอาทิตย์วันที่สี่นี่ เรื่องอย่างทำนองนี้เต็มไปหมด ก็เลยเป็นเรื่องราวโง่ๆ ของชาวฮิบรู ต่อเมื่อได้ศึกษาโดยแท้จริงแล้วก็ว่านี่คือปัญญาที่เฉลียวฉลาดของมนุษย์ มันมีกฎธรรมชาติอยู่แล้ว มันมีสิ่งต่างๆ เป็นไปตามนั้น เป็นบันทึกทางวิทยาศาสตร์ที่ดีที่สุด ที่คัมภีร์นี้พูดว่ามนุษย์จะเพิ่งมีขึ้นราวแปดพันปีมานี่เอง ก็หมายความว่ามนุษย์นี่มันเพิ่งจะมีคุณสมบัติอย่างมนุษย์ เมื่อสักแปดพันปีมานี่เอง มันมารู้กฎข้อนี้ตามคัมภีร์ไบเบิ้ลนี้ มนุษย์ก่อนนั้นเป็นไม่ใช่มนุษย์ ทีนี้วิทยาศาสตร์ว่ามนุษย์มีมาเป็นแสนปีมาแล้ว นี่มันยังไม่เป็นมนุษย์ จนกว่าจะมาถึงสมัยที่มันจะกินไอ้ผลไม้ของพระเจ้าที่อดัมกับอีฟเป็นตัวแทนกินเข้าไปนั่นน่ะ ประมาณแปดพันปีมานี่เอง มีความเป็นมนุษย์ขึ้นมา แล้วก็เป็นมนุษย์ที่ทนทุกข์ทรมาน เพราะยังโง่อยู่แปดพันปีมาแล้วนี่โง่มา โง่มา ยึดมั่นถือมั่น เรื่องดีเรื่องชั่ว เรื่องบุญเรื่องบาป จนเป็นความทุกข์เรื่อยมา จนกว่าจะมาเกิดคนที่รู้ว่า โอ้ย...อย่าไปยึดถือสิ่งเหล่านั้น พระพุทธเจ้าจะเป็นผู้นำที่สุดในเรื่องนี้ว่า อย่าไปยึดถือเรื่องดีเรื่องชั่ว เพราะเราเขียนไว้ชัดมาก ส่วนคัมภีร์คริสเตียนนั้นเขียนไว้โดยอ้อม โดยอ้อมค้อม ต้องตีความหมายถูกจึงจะเข้าใจ มันก็เขียนเรื่องต้นไม้สองต้น ต้นไม้ต้นที่ ๑ เรียกว่าต้นไม้แห่งความรู้อันดีและชั่ว Tree of knowledge of good and evil ต้นไม้แห่งความรู้เรื่องดีและชั่วออกลูกมา พระเจ้าห้ามว่าอย่ากินเข้าไปนะ กินจะตาย นี่อดัมกับอีฟไม่เชื่อ กินเข้าไป หาว่างูหลอกลวงให้กิน ก็คือมนุษย์เกิดมีความเห็นว่าพระเจ้าเป็นอย่างไร เราก็จะเป็นอย่างนั้น ให้กินผลไม้ต้นนี้เข้าไปก็ทำให้รู้เรื่องดีเรื่องชั่ว ดีกว่ามนุษย์ที่ยังไม่นุ่งผ้า ก็รู้ดีรู้ชั่ว พอรู้ดีรู้ชั่ว ก็เกิดยึดถือดีชั่ว เป็นทุกข์เพราะไม่ได้ดี เป็นทุกข์เพราะได้ชั่ว อะไรก็ตาม มันเป็นความทุกข์เพราะรู้ดีรู้ชั่ว นี่ยุคหนึ่ง รู้จักกินแต่ไอ้ต้นผลไม้ต้นนี้ ต้นไม้ต้นที่ ๒ เขาเรียกว่า Tree of life คือต้นไม้แห่งชีวิต นี่ชีวิตนิรันดร ถ้ากินเข้าแล้วจะไม่ตายจะเป็นอย่างเดียวกับพระเจ้า นี่คือเรื่องอมตธรรมในพุทธศาสนา นี่พระเจ้าเห็นว่าไอ้มนุษย์มันดื้อไม่เชื่อฟัง มันไปกินผลไม้ต้นที่เราห้าม ต้นที่ ๑ ก็แล้วมันจะไปกินต้นที่ ๒ อีก เพราะฉะนั้นพระเจ้าตั้งอารักขาเทวดาถือดาบแกว่งอยู่รอบต้นไม้นั้น มนุษย์ก็เข้าไปกินได้ นี่ก็คือความยากลำบากที่มนุษย์จะรู้เรื่องอมตธรรมหรือโลกุตรธรรม เพราะธรรมชาติได้กีดกันไว้ถึงอย่างนี้ รู้ปุคคลาธิษฐานและบรรยายไว้อย่างนี้ พวกฝรั่งยุคปัจจุบันก็ว่านิยายโง่ๆ ของชาวฮิบรู แต่จริงๆนี่คือความฉลาดที่สุดของมนุษย์และประวัติศาสตร์ของมนุษย์ที่เป็นมา พอไปทำความเข้าใจเรื่องนี้กันได้ มันก็พอที่จะไม่มีอะไรที่จะขัดขวางกันในระหว่างศาสนาคริสเตียนกับพุทธศาสนา เป็นคริสต์ศาสนิกชนที่ถูกต้องที่ดี ก็เป็นพุทธศาสนิกที่ถูกต้องที่ดี เป็นพุทธศาสนิกที่ดีก็เป็นคริสต์ศาสนิกที่ดี เลยเป็นคนของธรรมชาติหรือของพระเจ้าเหมือนกันหมดทั้งโลก ไม่มีใครจะทำอันตรายแก่ใครในฐานะที่เป็นปฏิปักษ์ต่อกัน เป็นความไม่เบียดเบียนอย่างยิ่ง อหิงสา ปรโม ธัมโม เกิดขึ้นเพราะเหตุนี้ ไม่เบียดเบียนตนเอง ไม่เบียดเบียนผู้อื่น นี่ขอให้ถือว่าทุกศาสนาที่แท้จริง
๕. พระบิดา พระบุตร พระวิญญาณ - พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
ท่านพุทธทาสอธิบายเปรียบเทียบไว้ว่า เปรียบพระบิดาเป็นบ่อเพชร พระวิญญาณเป็นเพชร พระบุตรคือผู้เอาเพชรมาแจก - ทั้งสามเกี่ยวกับเพชรหมด
พระพุทธเจ้าคือผู้คนพบบ่อเพชร พระสงฆ์คือผู้เอาเพชรมาแจก พระธรรมคือเพชร - ทั้งสามเกี่ยวกับเพชรหมดเช่นกัน
อธิบายแบบคริสเตียนว่า เราเชื่อว่าพระเยซูไม่มีบาป - ทางพุทธถ้าบอกว่าพระพุทธเจ้าไม่มีกิเลส ก็คงยอมรับกันดี
นอกจากหัวข้อธรรมใหญ่ดังที่กล่าวมาแล้ว เราอาจจะกล่าวได้ว่า นอกจากนั้นยังมีหัวข้อธรรมย่อยที่ใกล้กันอีกมาก
อย่างไรก็ตาม โดยรวมกฎข้อห้ามของแต่ละศาสนามีไว้เพื่อเป็นการเตือนสติ เตือนใจ เตือนให้ผู้คนอยู่ในร่องในรอยที่ถูกที่ควร เตือนให้รู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเราไม่อยากได้ของของผู้อื่น ไม่โลภ ให้มีความซื่อสัตย์ ยุติธรรม เตือนให้หยุดคิด ได้คิด และไม่ด่วนตัดสินผู้อื่น เตือนว่าผู้ใดทำกรรมใดไว้ผู้นั้นย่อมได้รับผลกรรมนั้นเช่นกันทำกรรมดีก็ได้รับผลดีทำกรรมไม่ดีก็ได้รับโทษหรือผลไม่ดีนั่นเอง เตือนให้มีจิตใจดีงามต่อกัน พูดดีต่อกันและปฏิบัติดีๆ ต่อกันอยู่เสมอรู้จักเกรงใจ อ่อนโยน สุภาพให้เกียรติซึ่งกันและกัน มีใจให้กัน รักกันซึ่งล้วนเป็นเหตุเป็นผลในตัวของมันเอง และถ้าหากคนเราสามารถปฏิบัติตนอยู่ในระเบียบตามกฎข้อห้ามได้โดยครบถ้วนก็จะทำให้คนเราอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขแน่นอน
หลวงพ่อพุทธทาสกล่าวว่า “สิ่งสูงสุดสำหรับมนุษย์ ก็คือความไม่มีทุกข์เลย ทุกศาสนาต้องการให้ทุกคนได้รับสิ่งสูงสุด ก็คือความไม่มีทุกข์เลย ไม่อาจจะเป็นทุกข์เลย เหมือนกับได้ของวิเศษอะไรมาแล้วทำให้ไม่มีทุกข์เลย เราจะได้ของวิเศษนี้มาจากไหน ฝ่ายโน้นเขาจะถือว่า จากความเชื่อในพระเจ้า จากการมอบอะไรทั้งหมดให้พระเจ้า เราก็พูดได้ว่า เราก็ได้มาจากการที่เรารู้จักปล่อยวาง รู้จักธรรมะ รู้จักสิ่งทั้งปวงตามที่เป็นจริง รู้จักธรรมะในข้อนี้แล้วจิตมันก็ปล่อยวาง มันก็ไม่มีทุกข์ เรียกว่าทุกฝ่ายไม่มีทุกข์ แม้ว่ามีวิธีที่จะปฏิบัติมันเดินกันคนละรูป แต่มันก็เป็นเพียงวิธีภายนอก เนื้อแท้ก็เหมือนกัน คือไม่มีตัวกู ต้องทำให้ถึงจุดที่ไม่มีตัวกูเสียก่อน ตรงนี้จะเหมือนกัน แล้วก็ไม่มีทุกข์ เอาตัวกูไปให้พระเจ้าเสียก็ได้ เอาตัวกูให้สลายทำลายไปเสีย เพราะเห็นว่าโดยแท้จริงมีแต่ธรรมชาติ มันไม่มีตัวกู อย่างนี้ก็ได้ ฉะนั้นเรามีวิธีที่จะทำให้หมดตัวกู แม้จะแตกต่างกันบ้างก็ไม่เป็นไร มันเหมือนกับกินยา ไม่ต้องกินยาอย่างเดียวกัน ขนานเดียวกันหมดทุกคน มันก็แก้โรคเดียวกันได้ เพราะมันมีอะไรที่เหมาะสำหรับบุคคลแต่ละคนอยู่แล้ว”
เราถือว่ามันต่างกันแต่เปลือกข้างนอก หรือจุดเริ่มต้น จุดตั้งต้น เพราะว่าเรามันเกิดมาต่างกัน ช่วยพิจารณาดูข้อนี้ ว่าเรามันเกิดมาต่างกัน โดยภูมิประเทศ เกิดประเทศที่ต่างกัน เกิดในยุคสมัยที่ต่างกัน เกิดในหมู่บุคคลทีมีวัฒนธรรมต่างกัน เช่นว่าพุทธศาสนาเกิดในประเทศอินเดีย ตั้ง 2500 ปีมาแล้ว ต่อมาราวๆ 500 ปี คริสต์ศาสนาจึงเกิด แล้วต่อมาอีกราวๆ 500 ปี ศาสนาอิสลามจึงเกิดต่างกันตั้งห้าร้อยๆ ปี แล้วเกิดในภูมิประเทศที่ต่างกัน ในหมู่บุคคลที่มันถือวัฒนธรรมต่างกัน คนอยู่ในประเทศไหน ก็ถือวัฒนธรรมของประเทศนั้น ได้รับความรู้ขั้นต้น ขั้นพื้นฐาน ในบ้านในเมือง มีขนบธรรมเนียมที่ต่างกัน ต่างกันอย่างยิ่งก็ในแง่ของความยึดถือ ยึดถือผีสางเทวดา มีความเชื่อในสิ่งที่มองไม่เห็นตัวเป็นพื้นฐานอย่างนั้นมาก่อน นี่ก็พวกหนึ่ง แล้วอีกพวกหนึ่งไม่ยึดถืออย่างนั้น นิยมสติปัญญา ถือเหตุผลเป็นหลัก นี่ก็เป็นอีกพวกหนึ่ง เขาเรียกว่ามันมีรากฐานแห่งจิตใจต่างกันเสียแล้ว มันจึงต้องมีจุดตั้งต้นที่ต่างกัน เปรียบเหมือนกับคนหนึ่งอยู่ทางทิศเหนือ คนหนึ่งอยู่ทางทิศใต้ คนหนึ่งทางทิศตะวันอก คนหนึ่งทิศตะวันตกแล้วล้วนแต่จะเดินเข้ามาถึงจุดศูนย์กลางด้วยกันทั้งนั้น แล้วมันจะเดินเหมือนกันได้อย่างไร เพราะมันมาจากจุดที่ตั้งต้นต่างกัน มันก็ต้องแตกต่างกันบ้าง แต่เมื่อเดินมาถึงจุดศูนย์กลาง มันก็ต้องเหมือนกันทั้งนั้น ไม่ว่าจะเดินมาจากทิศตะวันออก ตะวันตก ทิศเหนือ ทิศใต้ ฉะนั้นเราต้องให้อภัย เราต้องยินยอมให้สำหรับความแตกต่างกันในขั้นพิธีรีตอง ในขั้นที่เป็นจุดตั้งต้น หรือพิธีการ วิธีการ แล้วก็มาให้ได้ผลที่ว่า มันได้สิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้ มันรวมอยู่เป็นจุดกลางที่นั่น คือพอมาถึงนั้นแล้ว ไม่รู้จักเป็นทุกข์อะไรอีกต่อไป ไม่มีความทุกข์อะไรอีกต่อไป ทำอย่างไรๆ ก็ไม่มีความทุกข์ได้อีกต่อไป
ที่จุดตรงนั้น พวกหนึ่งเขาจะเรียกชื่อว่า เมืองพระเจ้า ก็ตามใจเขาสิ เขาจะถือว่าบ้านพระเจ้า เมืองพระเจ้า เขาเข้าไปหาพระเจ้าไปอยู่กับพระเจ้าในเมืองพระเจ้า ทีนี้เราอยากจะเรียกจุดตรงนั้นว่าพระนิพพาน ก็ต้องตามใจเราบ้างสิ เมื่ออยากจะเรียกว่าพระนิพพานเราก็ควรจะเรียกได้ เอากันแต่ว่าที่ตรงนั้นมันไม่มีความทุกข์เลย เมื่อคนขึ้นมาถึงจุดที่ไม่มีความเห็นแก่ตัวแล้ว มันก็ไม่มีความทุกข์เลย มันก็เรียกว่า ได้รับสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้รับด้วยกันทั้งนั้น แล้วเราจะไปดูถูกดูหมิ่นกันทำไม ให้มันเกิดการแตกแยก เป็นศัตรูกัน ในเมื่อมันไม่มีเหตุผลอะไรที่จะเกลียดชังกัน เป็นศัตรูกัน เพราะทุกคนมันก็ตะเกียกตะกายเพื่อจะให้ได้สิ่งที่สูงสุด ที่ดีที่สุดหรับมนุษย์ด้วยกันทั้งนั้นแล้ว และศาสนาทุกศาสนาก็มีความมุ่งหมายอย่างเดียวกันนี้
ที่เขานิยมแบ่งกัน ให้เห็นชัดๆ หน่อย เขาแบ่งกันอย่างนี้ เรียกพวกที่หนึ่งว่าปัญญาธิกะ พวกนี้อาศัยสติปัญญาเป็นเบื้องหน้าที่จะสำเร็จประโยชน์ในการไปถึงจุดนั้นได้ ด้วยอำนาจของปัญญา พวกนี้เรียกว่าปัญญาธิกะ ทีนี้พวกถัดไป เรียกว่า วิริยาธิกะ นี่อาศัยกำลังจิตเป็นเบื้องหน้า เขาไม่อาศัยปัญญา เขาอาศัยกำลังจิตเป็นเบื้องหน้า พวกที่สาม เรียกว่า ศรัทธาธิกะ พวกนี้อาศัยศรัทธา (ความเชื่อ) เป็นเบื้องหน้า
จะยกตัวอย่างให้เข้าใจง่ายๆ ว่า เมื่อความทุกข์เกิดขึ้นพวกหนึ่งก็อาศัยสติปัญญา คิดแก้ไขด้วยสติปัญญา ให้ปลง ให้วางอะไรทำนองนั้น โดยอาศัยการเห็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ด้วยปัญญาดับทุกข์ได้ ทีนี้อีกพวกถัดไป เขาทำอย่างนั้นไม่ได้ เขาก็ใช้กำลังจิต เขามีวิธีฝึกฝนอบรมจิตให้จิตเข้มเข็ง ให้รู้สึกไม่เป็นทุกข์ได้ เขามีวิธีบังคับจิตให้เข้มแข็ง ไม่ให้มีความรู้สึกที่เป็นทุกข์ ให้มีความรู้สึกที่เฉยได้ ที่ปกติได้ ไม่เป็นทุกข์ อย่างนี้เป็นพวกที่ใช้กำลังจิต เรียกว่า วิริยาธิกะ ทีนี้อีกพวกหนึ่งเขาทำสองอย่างแรกไม่ได้ เขาก็ทำตามวิธีของเขา คือมีศรัทธา เขามีความเชื่ออย่างสูงสุดในพระเจ้า มีความเชื่อในพระเจ้าดีกว่า เขาเห็นว่าความทุกข์นี้ เป็นการเรียกร้องของพระเจ้า เป็นความต้องการของพระเจ้า แม้แต่ความตายก็เถอะ อย่าว่าแต่ความทุกข์ความเจ็บปวดเลย ความเจ็บก็ดี ความตายก็ดี ที่มาถึงเรานี้ มันเป็นความประสงค์ของพระเจ้า เขามีความเชื่ออย่างนี้ เด็ดขาด เต็มที เขากลับยินดีเสียอีกเพราะเขารักพระเจ้า เขาบูชาพระเจ้า เมื่อเป็นความประสงค์ของพระเจ้าเขาก็ดีใจ ไม่เป็นทุกข์เพราะความเจ็บหรือความไข้ เขาอาศัยศรัทธา อย่างนี้ก็ขจัดความรู้สึกที่เป็นทุกข์ได้ นี่ก็เรียกว่าพวกที่อาศัยศรัทธาเป็นเบื้องหน้า
ในโลกเรานี้ เท่าที่มันเป็นอยู่ในเวลานี้ มันแก้ไม่ได้เสียแล้ว มันช่วยไม่ได้เสียแล้ว ที่จะไม่ให้ถือศาสนาต่างกัน ในโลกปัจจุบันนี้ทำไม่ได้แล้ว ที่จะให้มีแต่เพียงศาสนาเดียว ต้องมีถือศาสนาต่างกัน ทีนี้เราก็ทำให้มันเป็นศาสนาเดียวกันโดยหัวใจ โดยเนื้อใน โดยดวงวิญญาณ ให้ทุกศาสนามันเป็นศาสนาเดียวกัน คือเป็นวิธีการที่จะทำจิตใจให้ปราศจากความเห็นแก่ตัว ไม่มีตัวกู ไม่มีของกู ก็ไม่เกิดความทุกข์ใดๆได้ มันเหมือนกันได้อย่างนี้ มันก็เท่ากับว่าเราทำให้ทุกศาสนาที่มีอยู่ในโลกนี้มีหัวใจเป็นอันเดียวกัน หรือทำให้ศาสนาเป็นศาสนาเดียวกัน
อย่าเอาเปลือกนอกเป็นหลัก เช่นเดียวกับน้ำ เอาน้ำคลองมากลั่นมันก็ได้น้ำกลั่น เอาน้ำฝนมากลั่นมันก็ได้น้ำกลั่น เอาน้ำปัสสาวะมากลั่นมันก็ได้น้ำกลั่น เอาน้ำครำใต้ถุนมากลั่นมันก็ได้น้ำกลั่น คือเอาน้ำอะไรมากลั่น ในที่สุดมันก็ได้น้ำกลั่นทั้งนั้น และน้ำกลั่นนั้นมันต้องเหมือนกันไปหมด ฉะนั้นเราทำน้ำทุกชนิดให้เป็นน้ำเดียวกัน โดยข้างในน้ำมันมีน้ำกลั่น
ทำศาสนาทุกศาสนาให้เป็นศาสนาเดียวกัน โดยที่ดับทุกข์ด้วยความไม่เห็นแก่ตัวกู ศาสนาไหนที่มีอยู่ในเวลานี้ ในโลกนี้ ที่สอนไม่ให้เห็นแก่ตัวแล้วมีน้ำกลั่นทั้งนั้น คือมีเนื้อแท้ของการที่จะดับทุกข์ได้ด้วยกันทั้งนั้น ถ้าไปสอนให้มีกิเลสมีตัวกู ไม่ต้องเอามารวม เราไม่เรียกว่าศาสนาด้วย จะวางกฎตายตัวลงไปว่าถ้าสอนให้เห็นแก่ตัวแล้วไม่ใช่ศาสนา ต้องสอนทำลายความเห็นแก่ตัวแล้วก็เป็นศาสนา เอามาทำเป็นศาสนาเดียวกันได้ แม้ว่าจะมีพิธีการที่ต่างกัน เหมือนกับน้ำทุกน้ำเอามากลั่นแล้วได้น้ำกลั่น แม้จะใช้เครื่องกลั่นคนละอย่างก็ไม่เป็นไร เพราะว่าเครื่องกลั่นน้ำมีหลายแบบ เอาแบบไหนมาก็ได้ กลั่นน้ำอะไรก็ได้ แล้วก็ออกมาเป็นน้ำกลั่น นั่นก็น้ำเดียวกัน
โลกนี้มันต้องมีศาสนาหลายศาสนา โดยรูปแบบ เพราะต่างพวกต่างก็ถือ และถ้าปัญหามันเกิดขึ้นเนื่องจากศาสนาแล้ว เราอาจจะแก้ได้ โดยทำให้เข้าเป็นศาสนาเดียวกันโดยหัวใจ โดยใจความ ด้วยวิธีอย่างที่ได้กล่าวมาแล้วอย่างย่อๆ และเราจะได้ศึกษารายละเดียวของศาสนาอื่นให้เข้าใจ จนเห็นว่ามันเข้ากันได้ทุกๆ ศาสนา แต่อย่าลืมว่า เดี๋ยวนี้พวกเราไม่เข้าใจแม้แต่ศาสนาของตนๆ เอง ชาวพุทธยังไม่เข้าใจศาสนาพุทธ คือ แม้แต่ชาวพุทธมันก็ยังไม่เข้าใจหัวใจของศาสนาพุทธ ในเมื่อชาวคริสต์ หรือชาวมุสลิม เขายังไม่เข้าใจถึงหัวใจของศาสนาของเขาบ้าง มันก็ควรจะได้รับอภัย แล้วเราไม่ทะเลาะกันเพราะเหตุนี้ มาชวนกันใหม่ ทุกคนมาเข้าใจถึงหัวใจของศาสนาของตนๆ แล้วเอาสิ่งนั้นมาเปรียบเทียบกัน มันก็จะไปด้วยกันได้ คือความไม่เห็นแก่ตัว
ศาสนาไม่ใช่นิติบุคคล ไม่ใช่ตัวตน คือธรรมะ ศาสนาทุกศาสนาคือธรรมะ คืออริยมรรคมีองค์ 8 คือมีความเห็นถูกต้อง มีความเข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง มีความสุขในการดำเนินชีวิตที่ถูกต้อง ไม่ทำตามใจตัวเอง ไม่ทำตามอารมณ์ตัวเอง ไม่ทำตามความรู้สึกเรียกว่าศาสนา เรียกว่าอริยมรรคแห่งทางเดิน ทุกท่านทุกคน ต้องปรับใจ ปรับกายปรับการกระทำปรับทุกสิ่งทุกอย่างเข้าสู่ธรรมะเรียกว่าธรรมนูญ หยุดพลังงานแห่งอวิชชา แห่งความหลง แห่งการเวียนว่ายตายเกิด เราจะเอาความสุขแห่งความหลง มันไม่ได้ มันไม่ถูกต้อง เปรียบเหมือนแมลงเม่าบินเข้ากองไฟ ทำร้ายตัวเอง สมณะที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 หน่ะ ถึงอยู่ที่เราทุกคนพากันมีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติต้อง เพราะทุกคนก็ให้ใจเข้าหาธรรมนูญ เราจะเอาความเห็นแก่ตัว เอาตัวเอาตนเอาเป็นที่ตั้งไม่ได้ ทุกท่านทุกคนต้องรู้จักทุกข์ เหตุเกิดทุกข์ ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ เราไม่ต้องไปแก้ที่คนอื่นบุคคลอื่น ต้องแก้ที่ตัวตนของเราเอง พึ่งความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง พึ่งการปฏิบัติที่ถูกต้อง เพิ่งการคิดดีพูดดีๆ ทำดีๆ กิริยาดีๆ คือการไม่ทำบาปทั้งปวง ทำแต่บุญแต่กุศล ด้วยความไม่ประมาท
ความรู้ความเข้าใจของเราคือปัญญา ทุกท่านทุกคนต้องเข้าสู่ภาคประพฤติปฏิบัติ ไม่อย่างนั้นเราจะเป็นเพียงผู้มีปัญญา เราไปบอกไปสอนคนอื่นก็เป็นเพียงนักจิตวิทยาเท่านั้นเอง คนเราต้องรู้ความจริง รู้สัจธรรม ที่ผัสสะมันมา ปรากฎการณ์ในชีวิตประจำวัน ที่ให้เราทุกคนปรับตัว ปฏิบัติตัวเอง ให้ตัวเองหยุด ให้ตัวเองเย็น เรียกว่าสัมมาสมาธิ เราต้องตั้งใจมั่น อย่าพากันใจอ่อน ทุกท่านทุกคนต้องใจมีปัญญา ต้องตัดกรรม ตัดเวร ตัดภัย เราอย่าก่อกรรมทำเวรอะไรอีก ต้องเอาออกไปได้แล้ว เราทุกท่านทุกคนจะไปดับทุกข์ที่ไหน ความทุกข์มันอยู่ที่เรามีความเข้าใจผิด มีความเห็นผิด และตามความอยาก ความต้องการ รูปมันก็อร่อย เสียงมันก็อร่อย ทุกอย่างมันก็อร่อย เราพัฒนามันขึ้นมา สร้างมันขึ้นมาสร้างหลักเหตุหลักผล หลักวิทยาศาสตร์ เราต้องพากันเสียสละ ถ้าไม่อย่างนั้นไม่ได้ เรามีปัญญา เราต้องเอาไปปฏิบัติ ถ้าเราไม่ปฏิบัติเราก็ไม่ถึงศาสนาพุทธ มันเป็นศาสนาคิดเฉยๆ ทุกท่านทุกคนไม่ต้องพากันมาหลงขยะ พวกศาสนาคริสต์ต้องพัฒนาเข้าถึงธรรมะ อย่าไปเอาแค่ความสุข ความสะดวก ความสบาย เอาแต่ความเพลิดเพลินในรูป เสียง กลิ่น รส ลาภ ยศ สรรเสริญ พวกศาสนาพุทธ ทุกศาสนาก็เหมือนกันต้องรู้จัก ถ้าไม่รู้จัก ก็เหมือนกับที่เรารู้เราเห็นนี้แหละ ไม่รู้จักบาปบุญคุณโทษ เอาแต่ความเอร็ดอร่อย มันทำลายความเป็นมนุษย์ของเราเอง เราทุกคนก็เป็นได้แต่เพียงคน ทำลายเพื่อนที่อยู่ร่วมโลกด้วยกัน เราไปเอาเปรียบ เบียดเบียนเขา เราทุกท่านทุกคนต้องลงรายละเอียดอริยมรรคมีองค์ ๘ ให้กับตัวเอง นี้ถึงจะเป็นความสุขความดับทุกข์ เราทุกศาสนา เราต้องพากันรักกัน สมัครสมานสามัคคีกัน มาประพฤติปฏิบัติ มีศีลเสมอกันมีปัญญาเสมอกัน มีความตั้งมั่นเสมอกัน มีปัญญาที่จะออกจากวัฏสงสาร เราจะได้มีจิตใจสว่างไสว ไหลไปสู่กระแสแห่งพระนิพพาน อันเป็นจุดหมายสูงสุดของชีวิต