แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ในวันเสาร์ที่ ๒๔ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง ชีวิตของผู้สงบ ตอนที่ ๙๗ เมื่อเกิดมาเป็นมนุษย์ แต่ไม่ได้เอาร่างกายมาประพฤติปฏิบัติธรรม ก็เป็นได้แต่เพียงคน มันเสียชาติเกิด
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
เราทุกคนมักพากันยินดีพากันพอใจ ไม่อยากเสียสละ ติดอยู่ในภพอยู่ในภูมิ ไม่อยากภาวนา ไม่อยากพิจารณาร่างกายสู่พระไตรลักษณ์ ไม่อยากภาวนาเวทนาสู่พระไตรลักษณ์ ไม่อยากภาวนาจิตสู่พระไตรลักษณ์ อย่างหลวงพ่อบอกประชาชนให้กำหนดรูปเป็นโครงกระดูก ผู้อื่นที่มองออกไปเป็นโครงกระดูกเดินได้ อย่างผู้ชายก็ให้พิจารณากำหนดโครงกระดูกของผู้หญิงทุกคนเป็นโครงกระดูกเดินได้ ตลอดถึงแฟนของตัวเอง ภรรยาของตัวเอง โยมบอกหลวงพ่อว่าถ้าไปทำอย่างนั้น ชีวิตของเรามันก็หมดรส หมดชาติ ใจของเราทุกคนก็เหมือนกัน เขาจะไม่ยอมทิ้งภพทิ้งภูมิ
เพราะพระพุทธเจ้าให้เราพากันเจริญกัมมัฏฐาน ทุกๆ คนต้องพากันปฏิบัติ ให้ตรงกันข้ามกับจริตของเราที่ชอบอะไร ต้องภาวนาติดต่อ ต่อเนื่อง ให้หลายวัน หลายเดือน จนกว่าเราจะมีความเบื่อหน่าย คลายความยึดมั่นถือมั่น ที่ว่าตายแล้วไปไหน ตายแล้วก็ไปที่ชอบๆ ไปตามจริตที่เราคิด เราชอบ เราต้องการ เราทุกคนจะติดในความสงบ จะติดในการไม่กำหนด ในการไม่พิจารณา ใจของเราจะไม่ยอมทำงาน ใจไม่อยากละภพ ไม่อยากละชาติ พระพุทธเจ้าให้เรารู้ทุกข์ รู้เหตุเกิดทุกข์ ต้องตั้งใจภาวนา พิจารณา เพื่อกรรมฐาน การงานของเราจะได้ติดต่อต่อเนื่อง ใจเรามันจะหยุดอยู่ในกาม ใจของเราจะตั้งมั่นในกามคุณ สิ่งที่เราหลง หรือยิ่งกว่านั้นมันก็จะเข้าไปติดในสมาธิ มันจะพอใจในสมาธิ มันจะเอาสมาธินั้นเป็นพระนิพพาน การปฏิบัติมันต้องติดต่อต่อเนื่อง
ทุกท่านทุกคนต้องสู้กับตัวเราเอง ที่เรามันติดที่เรามันหลง ทุกท่านต้องเสียสละ ทุกท่านต้องเข้มแข็งต้องภาวนา เพื่อกรรมมัฏฐาน เพื่อการเพื่องานของเราจะได้ติดต่อต่อเนื่อง เพื่อเราจะไม่ได้เสียเวลา การให้ทานนี้ก็คือการเสียสละภพ เสียสละชาติ เรียกว่ารสชาติ ออกไปจากใจของเรา เราหยุดความอร่อย หยุดความลำ หยุดความแซ่บ หยุดความหรอย ต้องสละคืน ใจของเราจะได้เข้าถึงธรรม เข้าถึงปัจจุบันธรรม การรักษาศีลนี้ เราทุกคนไม่ได้ทำเพื่อให้คนอื่นเห็นว่าเราตั้งใจ เราเป็นพระเป็นแม่ชี คือเอาศีลเป็นยานพาหนะ เพื่อละภพ ละชาติ ละความเห็นแก่ตัวของเรา เพราะใจของเรามันเห็นแก่ตัวมาก มันยินดีในรูป เสียง กลิ่น รส ลาภ ยศ สรรเสริญ เราต้องขอบใจสิ่งเหล่านี้ เพื่อให้เราเป็นผู้มีศีลเป็นผู้ตั้งใจประพฤติปฏิบัติ เราปฏิบัติศีลปฏิบัติธรรมไม่ได้เพื่อขลังเพื่อศักดิ์สิทธิ์ แต่เพื่อเสียสละทิฏฐิมานะ อัตตาตัวตน พระพุทธเจ้าท่านถึงบอกว่าให้เรามีความเห็นถูกต้อง พากันเข้าใจให้ถูกต้อง แล้วพากันปฏิบัติให้ถูกต้อง เราต้องหยุดทำบาปทั้งหลายทั้งปวง ไม่คิด ไม่พูด ไม่ทำ ไม่คิดร้าย ไม่มุ่งร้าย ไม่ต้องการผลประโยชน์จากใคร เราเป็นผู้ที่เสียสละ
เราจะได้หยุดจากการฆ่าหรือยินดีในผู้อื่นเขาฆ่า หรือเราได้รับผลประโยชน์จากการที่เขาฆ่า ที่เราได้บริโภค ที่เราได้ใช้สอย ได้ใช้ความสะดวกความสบาย ใช้ของต้องบริสุทธิ์ ต้องเสียสละ เราต้องไม่ยินดีในความสุขในความสะดวกในความสบาย จากการใช้แรงงานจากคนอื่น หรือบริโภคแรงงานของผู้อื่น เพื่อเราจะได้จัดการตัวเอง พระพุทธเจ้าถึงบอกว่า ธรรมเหล่าใดเป็นไปเพื่อความกำหนัดยินดี ไม่ใช่คนสั่งสอนของพระพุทธเจ้า เราทุกคนจะไปยินดีในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ลาภ ยศสรรเสริญมันไม่ได้
ทุกท่านทุกคนต้องมีสติมีสัมปชัญญะมีปัญญา ต้องเสียสละ การงานของเราเพื่อจะไม่เบียดเบียนคนอื่น เราต้องเสียสละ เพราะเราเน้นมาที่ตัวของเราเอง แต่ก่อนเราหวังอะไรทุกอย่างเป็นสิ่งที่ตอบแทน แต่เราคิดใหม่ เราไม่หวังอะไรตอบแทน เรามาเสียสละ การเสียสละ เราถึงจะเข้าถึงธรรมะ การทานอาหารการกินอาหารถึงเป็นยาหมดทุกอย่าง อาหารในการที่เราทานเช้ากลางวันเย็นก็ให้เป็นยา อย่าให้มีความเห็นแก่ตัว อาหารสำหรับนักบวชฉันตอนเช้าก็ให้เป็นยา เราจะไปยินดีในความอร่อยอย่างนี้ มันไม่ใช่สัมมาอาชีวะ คือการเลี้ยงชีวิตด้วยความหลง ด้วยความเอร็ดอร่อย
ด้วยการพิจารณาว่า เราย่อมพิจารณาโดยแยบคายแล้ว ฉันบิณฑบาต, ไม่ใช่เป็นไปเพื่อความเพลิดเพลินสนุกสนาน ไม่ใช่เป็นไปเพื่อความเมามันเกิดกำลังพลังทางกาย ไม่ใช่เป็นไปเพื่อประดับ ไม่ใช่เป็นไปเพื่อตกแต่ง แต่ให้เป็นไปเพียงเพื่อความตั้งอยู่ได้แห่งกายนี้ เพื่อความเป็นไปได้ของอัตตภาพ เพื่อความสิ้นไปแห่งความลำบากทางกาย เพื่ออนุเคราะห์แก่การประพฤติพรหมจรรย์ ด้วยการทำอย่างนี้ เราย่อมระงับเสียได้ซึ่งทุกขเวทนาเก่าคือความหิว และไม่ทำทุกขเวทนาใหม่ให้เกิดขึ้น อนึ่งความเป็นไปโดยสะดวกแห่งอัตตภาพนี้ด้วย ความเป็นผู้หาโทษมิได้ด้วย และความเป็นอยู่โดยผาสุกด้วย จักมีแก่เรา ดังนี้.
เรามาทานอาหารเพื่อให้ร่างกายเราอยู่ได้ เพื่อเอาชีวิตนี้ไม่เกิน 100 ปี เพื่อจะได้ประพฤติปฏิบัติธรรม เพราะเราต้องตัดอวิชชา ตัดความหลงออกจากใจของเรา อาหารมันก็เป็นยา ที่เขาปรุงแต่งใส่พริก ใส่เกลือ ใส่น้ำตาล อะไรต่างๆ ใส่หวาน มัน เค็ม มันก็เป็นยาเพื่อให้ทุกคนดำรงชีพอยู่ได้ ผู้ปฏิบัติธรรมถึงพากันรู้จัก อดทน รับประทานหรือว่าฉันให้มันได้ปริมาณ อย่าไปเอาถูกกิเลส เอาตามความหลง ตามความต้องการ
พระอริยเจ้า พระอรหันต์ท่านถึงเป็นคนไม่มีหนี้ คนติดในรส ในชาติ เขาเรียกว่าคนเป็นหนี้ คนทานผักก็อย่าไปติดในผัก คนทานผลไม้ก็อย่าไปติดในผลไม้ คนฉันเนื้อก็อย่าไปติดในฉันเนื้อ ฉันปลาก็อย่าไปติด ทุกท่านทุกคนไม่ได้สู้กับใคร สู้กับตัวเอง ทุกคนต้องมีความแข็งแรงมีความต้านทานในจิตใจ มีสัมมาสมาธิมีปัญญาเพื่อใจของเราจะได้เป็นธรรมเข้าถึงความยุติธรรม เพื่อเราจะได้พัฒนาทั้งกายทั้งใจพัฒนาทางวิทยาศาสตร์และพัฒนาใจไปพร้อมกัน
ทุกท่านทุกคนต้องรับผิดชอบในใจของเรา ในกายของเรา เราอย่าทำอะไรเพื่อขลังเพื่อศักดิ์สิทธิ์ เราพากันคิดดูดีๆ ถ้าเราจะไปคิดว่าฉันอาหารเจ ฉันอาหารมังสวิรัติดี จะได้มีธรรมมีคุณธรรม ท่านต้องไม่เอาอะไร ถ้าไปเอาอะไรมันมีปัญหาแน่ ถ้าจะไปว่าฉันเจดี ฉันผักดี พวกวัว พวกควายมันก็คงจะได้บรรลุ ถ้าจะไปว่าฉันเนื้อดี ถูกต้อง ไม่ไปตามทางของพระเทวทัตอย่างนี้ ท่านก็ไม่ต้องไปคิดอะไร เพราะชีวิตของท่านคือชีวิตที่มีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้อง และปฏิบัติให้ถูกต้อง เสียสละ ในผัสสะ ในอารมณ์ที่มันเกิดกับเราในปัจจุบัน ไม่อย่างนั้นมันจะไปไม่ได้ เพราะใจของเรามันจะมืด เราต้องเสียสละ
การประพฤติปฏิบัติเราต้องเน้นที่จิตที่ใจ เราภาวนาเราพิจารณา สู้อย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้ มันจะไม่เป็นโรคจิตโรคประสาทเหรอ มันไม่เป็นโรคจิตโรคประสาทแน่ เพราะเราทำเพื่อไม่เอา เพื่อไม่มี ไม่เป็น เพราะเราต้องมีชาคริยานุโยคประกอบความเพียรด้วยความสุข ด้วยความเสียสละ เราจะได้มีความสุขกันทุกๆ คน เราจะได้ถึง พระพุทธศาสนาถ้าไม่อย่างนั้น เราก็เป็นผู้มีปัญญาเฉยๆ มันจะมีประโยชน์อะไร ถ้าเราเอาความรู้ ความเข้าใจนั้นไปสอนคนอื่นมันเป็นเพียงนักจิตวิทยาเฉยๆ เราไม่ได้พากันแก้ตัวเองเลย เราทุกคนก็จะไม่เป็นโรคจิตโรคประสาท ชีวิตของเราจะได้สงบเย็น ดำเนินไปเรื่อยๆ อย่างนี้
ทุกๆ คนถือว่ามีสัปปายะพร้อมเพราะว่าธรรมะของพระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ดีแล้ว นั่นเป็นสัปปายะ 100% ไม่มีอะไรผิดเพี้ยน ที่ว่าธรรมะไม่สัปปายะก็คือท่านไม่ได้ปฏิบัติธรรม ท่านตามใจตัวเอง ตามอารมณ์ตัวเอง ตามความรู้สึกตัวเอง ธรรมะมันก็ไม่สัปปายะ เพราะธรรมะมันเกิดไม่ได้ ทุกท่านทุกคนไม่ว่าเราจะอยู่ที่บ้าน อยู่ที่วัด อยู่ที่ทำงาน นั่นแหละคือที่ประพฤติปฏิบัติธรรม ให้พากันเข้าใจอย่างนี้ ปฏิบัติธรรมเราต้องเข้าใจอย่างนี้ พระครั้งพุทธกาล ท่านปฏิบัติธรรมท่านก็ปฏิบัติอย่างนี้ ไม่ได้สู้กับใคร ไม่ได้อวดใคร สู้กับตัวเองปฏิบัติตัวเอง อย่างนี้ชื่อว่าเป็นผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ปฏิบัติตรง เป็นผู้ปฏิบัติออกจากทุกข์
เราทำอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้ เราถึงมีบุญมีกุศลให้เขาสำหรับพวกนักบวช ถ้าเราไปทำตามใจตัวเอง ตามอารมณ์ตัวเอง ตัวเองยังเอาตัวไม่รอด ใจก็มีหนี้มีสินเต็มไปหมด เราจะเอาบุญเอากุศลที่ไหนไปให้เขา มันมีแต่บาป ให้พากันเข้าใจ ผู้ที่มาบวชในพระพุทธศาสนา ให้พากันสำนึกนะ เราอย่าพากันเอาพระพุทธศาสนาของพระพุทธเจ้า มาหาอยู่หากินหาเลี้ยงชีพ อย่าไปถือโอกาสถือแบรนด์เนม บ้านไม่ได้เช่าข้าวไม่ได้ซื้อ ข้าวของเขาเอามากราบ เอามาไหว้ อย่าไปคิดอย่างนั้น มันเห็นแก่ตัวมากเกิน
ทุกวันนี้ปุถุชนที่บวชมาไม่สร้างพระธรรมวินัยมรรคผลพระนิพพานไว้ในใจ จึงพากันไปสร้างแต่วัตถุ ถึงได้มีการติดป้ายโฆษณาตามสี่แยก ตามถนนหนทาง ทำไปสารพัดอย่าง ถึงผิดธรรมผิดวินัย ไม่ได้มาจากใจที่ประชาชนเคารพกราบไหว้ เลยต้องหาเงินหาตังมาจากทุกทิศทุกทาง ทั้งมโหรสพ ทั้งงานวัด ทั้งอบายมุข เป็นสิ่งที่เราเป็นสามัญชนคิดไม่ออก คิดแต่เรื่องจะได้เงินอย่างเดียว พระภิกษุเลยต้องดูลิเก ดูหมอลำ ดูชกมวย ไปพร้อมกับประชาชน มันก็ไม่ใช่กิจของสงฆ์ ลามปามไปเรื่อย พระภิกษุเข้าตลาด แมคโคร โลตัส ห้างสรรพสินค้า เป็นเรื่องปกติ อย่างนี้มันเรียกว่าพระพุทธศาสนาเนื้องอก มันน่าเกลียดเกิน ทุกคนทุกท่านต้องมารู้ด้วยตัวเองว่า พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้ทรงสอนอย่างนี้ พระธรรมคำสั่งสอนก็ไม่ใช่อย่างนี้ ในพระธรรมวินัยก็ไม่มีอย่างนี้ มันออกนอกรีด ออกนอกเส้นทาง ออกจากธรรมวินัยมากเกิน
พระภิกษุก็เอาเปรียบประชาชนเกิน ให้ประพฤติปฏิบัติเพื่อพระนิพพาน เรากลับมาบริโภคกาม มาตามจิตตามใจอย่างนี้มันไม่ได้ มันเสียหาย เราอย่าไปหลงเหยื่อ คือ รูป เสียง กลิ่น รส ลาภ ยศ สรรเสริญ ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่าเป็นของเลวทราม เป็นของต่ำทราม เป็นของชาวบ้าน เป็นของปุถุชนผู้หนาแน่นด้วยกิเลสเต็มหัวใจ ไม่ใช่ของพระอริยเจ้า ไม่ใช่สิ่งที่ประเสริฐ เราต้องกตัญญูกตเวทีต่อพระพุทธเจ้า กว่าพระพุทธเจ้าจะทรงสร้างพระพุทธศาสนาได้ พระองค์ต้องบำเพ็ญพระพุทธบารมี ๒๐ อสงไขย แสนมหากัปป์ ใช้เวลาหลายล้านชาติ
แต่เพราะความเขลา คนบางคนเกิดหาเลี้ยงชีวิตด้วยการทำบาปกรรม อันเรียกว่า มิจฉาชีพ เพราะกรรมชั่วนั้นเขาจึงเป็นคนมีชีวิตมัวหมอง แม้จะยังไม่ตายคือยังมีชีวิตอยู่ ก็เป็นชีวิตที่สกปรกต่ำช้าเลวทราม จนตกแต่งให้ดีไม่ได้ ทำให้ชีวิตของตนมีแนวโน้มต่ำลงๆ เพราะฉะนั้นพระบรมศาสดาของเราจึงทรงสอนให้ทุกคนปรับปรุงงานเลี้ยงชีวิต หรืออาชีพของตน ให้เป็นคนมีสัมมาอาชีวะ อย่าเป็นคนมีมิจฉาอาชีวะ มิจฉาชีพสำหรับบรรพชิต ก็ได้แก่การแสวงหาปัจจัยเครื่องเลี้ยงชีพโดยวิธีที่เรียกว่าอเนสนาทุกอย่าง คือแสวงหาในทางไม่สมควร เช่นรับจ้างทำงานเป็นต้นส่วนมิจฉาชีพสำหรับคฤหัสถ์ ก็ได้แก่การแสวงหารายได้โดยวิธีผิดศีลธรรม ผิดกฎหมาย ตลอดจนผิดจารีตประเพณี เป็นอาชีพที่วิญญูชนตำหนิติเตียน
ภิกษุผู้ต้องการให้อาชีวะบริสุทธิ์ ต้องเว้นความประพฤติหลอกลวงต่างๆ อันเกี่ยวกับอาชีพการแสวงหาปัจจัย เช่น การพูดอวดอุตตริมนุสสธรรมอันไม่มีจริงในตน กล่าวคือเรื่องฌาน เรื่องวิโมกข์ สมาธิ สมาบัติ มรรค ผล นิพพาน เว้นการพูดเคาะ พูดเลียบเคียง แกล้งทำเป็นเคร่ง เพื่อให้ได้ปัจจัย ๔, พูดต่อลาภด้วยลาภ พูดให้ทายกเจ็บใจ เพื่อให้เขาจำใจให้ การได้ปัจจัยมาด้วยอาการอย่างนี้ เป็นอาชีววิบัติของพระภิกษุ
เพื่อให้เข้าใจอาชีวปาริสุทธิศีลชัดเจน จึงควรกล่าวถึงลักษณะอาชีพไม่บริสุทธิ์ของพระภิกษุเสียก่อน ลักษณะที่ถือว่าเป็นมิจฉาอาชีวะหรืออาชีววิบัติของพระภิกษุนั้น อยู่ที่การแสวงหามาด้วยการล่อหลอก และการละเมิดสิกขาบท ซึ่งมีผลให้สิ่งของที่ได้รับมาไม่บริสุทธิ์ เป็นของไม่ควรบริโภค
การแสวงหาด้วยการล่อหลอกนั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงรายละเอียดไว้มากมาย พระอรรถกถาจารย์ ได้แบ่งเป็นหัวข้อไว้ดังนี้
๑) กุหนา (อ่านว่า กุ-หะ-นา) หมายถึง การหลอกลวง มีอุทาหรณ์แสดงไว้ ๓ พวก คือ พวกแรก พระภิกษุเสแสร้งแสดงให้ทายกเข้าใจว่า ตนเป็นผู้สันโดษมักน้อย ไม่ปรารถนาจะรับสิ่งของใดๆ เพื่อทำให้ทายกนึกนิยมสรรเสริญตนและคิดว่า ถ้าจะหาเครื่องไทยธรรมมาถวายพระภิกษุรูปนี้ก็จะได้บุญมาก ครั้นเมื่อทายกนำสิ่งของมาถวาย ก็จะเสแสร้งกล่าวว่า ความจริงตนไม่ปรารถนาจะรับสิ่งเหล่านั้นเลย แต่เพื่อจะอนุเคราะห์ทายกนั้น ตนก็ยินดีจะรับ การแสดงพฤติกรรมเช่นนี้ ก็เพื่อลวงให้ทายกรู้สึกนิยมชมชอบตน แล้วชักชวนกันหาสิ่งของดีๆ มาถวายอีกเพราะคิดว่าคงจะได้บุญมาก
พวกที่สอง ชอบพูดเป็นเลศนัย โดยมีเจตนาที่จะทำให้หลงเข้าใจผิดว่าตนได้บรรลุฌานขั้นสูงหรือเป็นพระอริยบุคคลบรรลุโลกุตตรธรรม โดยการกล่าวถึงบุคลิกลักษณะของสมณะที่บรรลุโลกุตตรธรรมบ้าง กล่าวถึงคุณวิเศษของสมณะบางรูปที่ตนรู้จักคุ้นเคยบ้าง การกล่าวถึงเรื่องราวในทำนองนี้บ่อยๆ ก็จะทำให้มหาชนหลงเข้าใจว่าพระภิกษุรูปนั้นบรรลุคุณวิเศษเป็นพระอริยบุคคลแล้ว จึงชักชวนกันมาถวายบิณฑบาต เสนาสนะและปัจจัยต่าง ๆ มากมาย
พวกที่สาม ชอบแสร้งทำตนให้ทายกเลื่อมใส ด้วยอิริยาบถที่แสดงว่าตนเป็นพระภิกษุเคร่งในพระธรรมวินัยทายกจึงพากันน้อมนำสักการะมาถวายมากมาย
๒) ลปนา หมายถึง พูดพิรี้พิไร ได้แก่ การพูดประจบเลียบเคียงต่างๆนานา โดยมีเจตนาจะได้ปัจจัยไทยธรรมจากทายก พระอรรถกถาจารย์ได้ยกอุทาหรณ์ไว้หลายอย่าง เป็นต้นว่าเมื่อพระภิกษุเห็นทายกเข้ามาสู่วิหาร ก็รีบชิงทักถามขึ้นก่อนว่าทายกต้องการนิมนต์ภิกษุหรือ ถ้ามีความประสงค์เช่นนั้น อาตมาก็จะเป็นธุระหาภิกษุตามไปทีหลัง
อีกอย่างหนึ่งก็คือ เมื่อทายกมาสู่วิหาร แล้วสนทนาซักถามด้วยเรื่องต่างๆ พระภิกษุก็พยายามประชาสัมพันธ์ชื่อเสียงของตนเองว่า มีพระราชาหรือข้าราชบริพารระดับสูง ชื่อนั้นชื่อนี้มีความเลื่อมใสตน หรือพูดยกตนเองว่า มีสกุลใดสกุลหนึ่งที่มีอันจะกิน คอยถวายลาภสักการะให้ตนแต่เพียงผู้เดียว ไม่เคยถวายลาภสักการะพระภิกษุรูปอื่นเลย
พระภิกษุบางรูปก็พยายามทำตนให้เป็นที่รักของเหล่าทานบดี โดยการประพฤติถ่อมตัวทั้งทางกาย และทางวาจา หรือบางรูปก็อาจจะแสดงการประจบทานบดี โดยการเข้าไปอุ้มทารก ซึ่งประหนึ่งเป็นพี่เลี้ยงหรือแม่ของทารกนั้น
พระภิกษุบางรูปก็พยายามพูดเอาอกเอาใจยกยอคฤหบดีต่างๆ นานา ด้วยเกรงว่าคฤหบดีที่น้อมนำลาภสักการะมาสู่ตนนั้นจะเหินห่างไปเสีย พระภิกษุบางรูปก็พยายามพูดเกี้ยวทานบดีให้ถวายทานใหม่อีก โดยการพูดสรรเสริญการถวายทานของเขาในครั้งก่อน (ทั้งนี้ไม่รวมถึงการกล่าวยกใจ เพื่อให้ทายกทายิกาได้ระลึกถึงบุญ และมีใจปีติเบิกบานในบุญกุศล)
พระภิกษุบางรูป เมื่อเห็นอุบาสกถืออ้อย (หรือของขบฉันอื่นๆ) มาก็แสร้งพูดว่า อ้อยนั้นคงจะอร่อยกระมังครั้นเมื่ออุบาสกตอบว่า ต้องลองฉันดูจึงจะรู้ พระภิกษุ จึงพูดใหม่ว่า ถ้าตนจะบอกให้อุบาสกถวายอ้อยให้ก็จะไม่เหมาะไม่ใช่หรือ ครั้นแล้วอุบาสกก็อาจจะถวายอ้อยให้ เพราะเข้าใจว่าพระภิกษุรูปนั้นอยากฉันอ้อย การพูดเช่นนี้ของพระภิกษุจะโดยเจตนาหรือไม่ก็ตาม ล้วนจัดเป็นเรื่องของการพูดพิรี้พิไรทั้งสิ้น
จะเห็นว่าพฤติกรรมของพระภิกษุจัดเป็น “ลปนา” คือพูดพิรี้พิไรนั้นมีตั้งแต่การพูดจาตีสนิทหรือดักคอทายกทานบดีการ พูดประชาสัมพันธ์ชื่อเสียงของตนกับทานบดี การพูดเอาอกเอาใจ พูดเกี้ยว พูดยกตนหรือพูดถ่อมตนกับทานบดี จนถึงประพฤติถ่อมตนเข้าไปรับใช้ทานบดี เจตนาของพระภิกษุเหล่านี้มีอยู่เหมือนๆ กัน คือ เพื่อให้ได้มาซึ่งลาภสักการะ
๓) เนมิตติกตา หมายถึง พูดหว่านล้อม ได้แก่ การกระทำหรือการพูดอ้อมค้อม เพื่อล่อใจให้ทายกถวายของ เพราะจะขอกันตรงๆ ก็รู้สึกเก้อเขิน และเป็นอาบัติ พระภิกษุจึงแสดงนิมิตคือ พฤติกรรมให้ทายกรู้ ด้วยการพูดเป็นนัยว่าตนต้องการอะไรหรืออยากฉันอะไร แม้ทายกจะรู้เท่าทัน แกล้งปฏิเสธหรือหลบหน้าไปเสีย พระภิกษุก็ยังไม่พ้นความพยายาม ในที่สุดทายก็อดในที่นี้ไม่ได้ ก็จำใจถวายสิ่งของนั้นๆ ให้
๔) นิปเปสิกตา หมายถึง พูดท้าทายถากถางให้เจ็บใจหรือพูดเป็นเชิงบีบบังคับ เป็นคำพูดที่ฉลาดแบบเฉโกของภิกษุ เพื่อปรามาสหรือหมิ่นน้ำใจทายก โดยมีเจตนาให้ทายกถวายลาภสักการะแก่ตน เช่น กล่าวว่าสกุลนี้ไม่มีศรัทธา ไม่มีความเลื่อมใสในการทำทาน ทายกทนฟังไม่ได้ก็ถวายสิ่งของให้โดยไม่เต็มใจ หรือเมื่อไปบ้านหนึ่งก็พูดจาไพเราะกับเขา ครั้นไปอีกบ้านหนึ่งก็เอาไปนินทาให้คนในบ้านใหม่ฟัง พร้อมทั้งพูดจายกย่องผู้ที่กำลังฟังอยู่ด้วย แม้ผู้ฟังจะรู้สึกไม่พอใจ ก็จำต้องถวายลาภสักการะให้ เพราะไม่อยากถูกนินทาหรือเพราะรำคาญก็เป็นได้
นิปเปสิกตานี้พระอรรถกถาจารย์อธิบายว่าหมายถึง การด่าด้วยวัตถุสำหรับด่า ๑๐ อย่าง คอยพูดข่ม พูดใส่ร้าย พูดขับเขา พูดไล่เขา พูดหยันเขา พูดเย้ยเขา พูดเหยียดเขา พูดหยามเขาพูดโพนทะนา และต่อหน้าพูดหวาน ลับหลังตั้งนินทา
๕) นิชิคึสนตา หมายถึง การแสวงหากำไร เป็นการต่อลาภด้วยลาภของพระภิกษุบางรูป เช่น พระภิกษุได้รับสิ่งของจากทายกผู้หนึ่ง ตนรู้สึกว่ายังไม่พอใจนัก จึงนำสิ่งของนั้นไปให้ผู้อื่น โดยหวังว่าตนจะได้รับของสิ่งใหม่ซึ่งดีกว่าของเดิมเป็นการทดแทน ครั้นเมื่อได้ของสิ่งใหม่มา ก็นำไปให้ผู้อื่นอีกเพื่อแลกกับของสิ่งใหม่ที่ดีกว่าหรือแพงกว่า ทำเช่นนี้เรื่อยไปจนกว่าจะได้ของที่ตนพอใจที่สุด
วิธีการหาเลี้ยงชีวิตด้วยเล่ห์เพทุบายของพระภิกษุ ดังได้กล่าวมาทั้ง ๕ ประการนี้ ซึ่งอาจมีรายละเอียดพิสดารมากกว่าอุทาหรณ์ที่ยกมา ล้วนถือว่าเป็นมิจฉาอาชีวะของพระภิกษุทั้งสิ้น พระภิกษุรูปใดที่หาเลี้ยงชีพด้วยวิธีการเหล่านี้ แม้เพียงวิธีใดวิธีหนึ่งก็จัดว่า มีอาชีพไม่บริสุทธิ์
นอกจากการเลี้ยงชีพด้วยการล่อหลอกทั้ง ๕ ประการดังกล่าวแล้ว ยังมีเรื่องการเลี้ยงชีพด้วยติรัจฉานวิชาอันเป็นการละเมิดสิกขาบท
พระพุทธเจ้ายังตรัสบอกว่า ให้พวกเราพากันประพฤติพรหมจรรย์เพื่อมรรคผลพระนิพพาน อย่าได้กังวลในเรื่องที่อยู่อาศัย ในเรื่องขบฉันเลย ใจของพระต้องเสียสละใจจะได้เป็นธรรมเป็นคุณธรรม ถ้าไม่ประพฤติปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ชื่อว่าไม่ใช่สงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้า จะกลายเป็นศาสนาเนื้องอก เหมือนร่างกายของคนเราที่เป็นมะเร็ง ก็เพราะว่ามาจากเนื้อร้าย เนื้องอก เนื้องอกในพระพุทธศาสนามีมากมาย ตั้งแต่อดีตจนกระทั่งทุกวันนี้ เรื่องไสยศาสตร์ โหราศาสตร์ เรื่องการทำนายทายทัก การทำตนเป็นผู้วิเศษ ปลุกเสกเครื่องรางของขลัง ทำตะกรุด ทำผ้ายันต์ ทำธุรกิจพุทธพาณิชย์ต่างๆ แบบนี้นี่ ทำมาก็เพื่อว่าเอามาหลอกคนโง่ๆ เพื่อหากิน เหตุผลก็มาจากว่า พระกลุ่มนั้นไม่เคร่งครัดในพระธรรมวินัย ไม่ตั้งใจประพฤติปฏิบัติธรรม พอเอาดีทางการปฏิบัติไม่ได้ ก็เลยหันไปหาทำธุรกิจ ทำพุทธพาณิชย์ เพราะมันหาลาภ หาปัจจัยหาเงิน หาทองง่าย หลอกคนง่าย ดังนั้นแล้ว ศาสนาเนื้องอกเหล่านี้ มีมาตั้งแต่โบราณจนกระทั่งทุกวันนี้ ยิ่งเป็นหนักเข้าไปใหญ่ การกระทำเช่นนี้พุทธเจ้าบอกว่าเป็นเดรัจฉานวิชา วิชาที่มันขวาง ขวางต่อการบรรลุมรรคผลพระนิพพาน
ประชาชนส่วนใหญ่เกิดมาก็เห็นแต่เนื้องอก ไม่เข้าใจ เลยทำให้ศาสนาพุทธที่อยู่สูงส่ง พากันดึงลงมาทำให้ต่ำต้อยด้อยค่า ด้วยการเอามาเป็นเครื่องมือในการทำมาหากินอย่างไร้ยางอาย ไร้หิริโอตตัปปะ ไร้ความละอายชั่วกลัวต่อบาป คนที่มาบวชก็มาบวชแต่ทางกาย แต่ใจไม่ได้บวช ใจก็ยังเป็นโจร เป็นมหาโจร เป็นเปรต เป็นยักษ์ เป็นมาร เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉาน มาตรฐานของผู้ที่มาบวชส่วนใหญ่ ก็มาจากเกรดต่ำ เช่น ระบบสมองสติปัญญาเป็นคนไม่ฉลาด ติดเหล้า ติดยาเสพติด ติดการพนัน เป็นคนไม่รับผิดชอบ ขี้เกียจขี้คร้าน พอบวชแล้วก็เอานิสัยเดิมๆ อยู่ ไม่ได้มาบวชเพื่อมรรค ผล นิพพาน แต่ว่าบวชเพื่อเอาศาสนาทำมาหาเลี้ยงชีพ กินๆ นอนๆ ไปวันๆ เท่านั้น แถมยังประกอบมิจฉาชีพ อันเป็นมิจฉาอาชีวะ เป็นเดรัจฉานวิชาดังที่ว่ามา เราจึงจะเอาเป็นมาตรฐานไม่ได้ เราจะเอาพระส่วนใหญ่ที่ทำแบบนี้ ที่ทำกันมากๆ ทำกันจนเป็นประชาธิปไตยไปแล้ว จะเอามาเป็นแบบอย่างตัวอย่างไม่ได้ เพราะส่วนใหญ่ เอาแต่ตัวตน เอาประโยชน์ตน ประโยชน์พวกพ้องเป็นที่ตั้ง ทำเหมือนกันหมด ไม่เอาพระธรรมวินัยของพระพุทธเจ้าเป็นหลัก ทำกันแบบนี้จนเป็นประชาธิปไตยของอลัชชีไปแล้ว เป็นผู้ไม่ละอายชั่ว ไม่เกรงกลัวต่อบาป ความไม่ละอายชั่วกลัวบาปจึงเป็นสิ่งที่ปิดกั้นมรรค ผล พระนิพพาน จึงพากันเป็นสภาคาบัติกันหมด คือทำผิดเหมือนๆ กัน ต่อให้แสดงอาบัติอย่างไรก็แสดงไม่ตก เพราะผิดเหมือนๆ กัน
ปัจจัยที่จักได้มาโดยบริสุทธิ์สำหรับภิกษุนั้น ท่านแสดงไว้ 3 ทาง คือ
๑. ได้มาโดยการบิณฑบาต ถือว่าเป็นปัจจัยที่บริสุทธิ์อย่างยิ่ง แต่การบิณฑบาตนั้นต้องบิณฑบาตอย่างภิกษุ คือ เที่ยวเดินรับอาหารโดยการสำรวม มีสติสัมปชัญญะ แผ่เมตตาแก่บุคคลทั่วไป ไม่ใช่แย่งกันกับภิกษุสามเณรรูปอื่น การแย่งอาหารบิณฑบาตกันเป็นอาชีววิบัติ เป็นมิจฉาชีพ
๒. ได้มาโดยการเลื่อมใสของทายกแล้วนำเอาอาหารมาถวาย คือ เขาอาจเลื่อมใสในอาจาระมรรยาท เสื่อมใสในความรู้ความสามารถ ในธุดงคคุณ เป็นต้น แล้วนำปัจจัยมาถวาย
๓. ได้มาโดยมีผู้เลื่อมใส่ในธรรมเทศนา ชี้ผิดถูก ชั่วดีให้เขาเห็น เขาได้เว้นสิ่งที่ควรเว้น ประพฤติสิ่งที่ควรประพฤติ ให้เห็นผลดีจากการประพฤติเช่นกัน
ภิกษุผู้ไม่มีศีลธรรมอันสมควรแก่ภาวะของตน รับปัจจัยของคฤหัสถ์มาบริโภค ท่านเรียกว่า บริโภคอย่างขโมย เพราะตนไม่มีสิทธิ์ที่จะบริโภคปัจจัยเช่นนั้น ภิกษุผู้มีศีลเท่านั้นมีสิทธิ์บริโภคได้
เมื่อเราดำรงชีพเป็นนักบวช อาชีพของนักบวชก็คือเอาพระธรรมเอาพระวินัยเอาข้อวัตรเอากิจวัตร ทุกท่านทุกคน พระพุทธเจ้าไม่ให้พากันทำตัวที่น่าเกลียดเสียหาย เห็นหลายๆ คนแล้วก็น่าสงสารชีวิตที่อยู่ทางโลกลำบาก ก็พากันมาบรรพชา อุปสมบท ให้เข้าใจทุกท่านทุกคนหน่ะ มันทุกข์ มันยาก มันลำบาก เราก็ต้องเห็นภัยในวัฏฏะสงสาร ต้องทิ้งตัวตน เอาพระธรรมวินัย หยุดมีเซ็กส์ทางความคิดหยุดมีเซ็กส์ทางอารมณ์ ดูแล้วยังทำตัวน่าเกลียด เห็นแก่ตัวมากเกิน นี้ไม่ได้ว่าให้พระ เพราะว่าพระคือพระธรรม พระวินัย เพื่อให้แสงสว่าง ให้ปัญญา เพราะทุกคนมีสิทธิ์ที่จะทำได้ ปฏิบัติได้ เมื่อเราเกิดมาร่างกายของเราเป็นมนุษย์ แต่เราไม่ได้เอาร่างกายมาประพฤติปฏิบัติธรรม เราก็เป็นได้แต่เพียงคน มันเสียชาติเกิด พระพุทธเจ้าให้เรา เข้าใจอย่างนี้