แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ในวันพฤหัสบดีที่ ๒๒ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง ชีวิตของผู้สงบ ตอนที่ ๙๕ ประพฤิปฏิบัติขัดเกลาความเป็นคนมืดบอด คนสีดำสีเทาออกไป ด้วยแก้ไขตนเองในปัจจุบัน
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
เราทุกคนเกิดมาเป็นมนุษย์ ร่างกายของเราเป็นมนุษย์ แต่ใจของเราไม่ได้เป็นมนุษย์ ใจของเราเป็นคน เราต้องมาเดินตามพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้านั้นคือธรรมะ ธรรมะนั้นคือพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าคือผู้ที่มีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง เราทำตามใจตัวเอง ทำตามอารมณ์ตัวเอง ทำตามความรู้สึกตัวเองนี้ มันคืออวิชชา คือความหลง มันเป็นพลังงานแห่งการเวียนว่ายตายเกิดของสัตว์โลกทั้งหลายที่พากันเวียนว่ายตายเกิด เรียกว่า สีดำ เรียกว่า สีเทา เราทุกคนต้องพากันมารู้จักมารู้แจ้ง เอาธรรมะเป็นหลัก เอาความถูกต้อง พระพุทธเจ้าไม่ให้เราเอาตัวตน พระพุทธเจ้าบอกว่าเรารู้จักเจ้าเสียแล้วเจ้าจะทำเรือนให้เราไม่ได้อีกต่อไป
การดำเนินชีวิตของเราทุกคนมันสีดำ จางออกก็กลายเป็นสีเทา ประเทศไทยเราอย่างนี้ พระอริยสงฆ์ไม่ค่อยจะมี ตำรวจ ทหาร ข้าราชการ นักการเมืองไม่ค่อยจะมี มีแต่นักกินเมือง กันเป็นส่วนใหญ่เพราะเราเอาตามอวิชชาตามความหลง เรียกว่าตามความมืด สีดำ สีเทา ทุกท่านทุกคนต้องรู้จักทุกข์ เหตุเกิดทุกข์ ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ เหมือนเรารู้จักแกงหม้อใหญ่ เราต้มเราแกง เราต้องการบริโภค เราก็ต้องยกหม้อแกงลงเพื่อให้มันเย็น เราถึงจะได้บริโภค เราทุกคนต้องรู้จัก เพราะตามใจตัวเอง ตามอารมณ์ตัวเอง มันไม่ได้ ชีวิตของเรามันบอดอยู่แล้ว ถ้าเราเพิ่มบอดเข้าไปอีกมันก็เป็นมหาบอด ประเทศไทยเราถึงเต็มไปด้วยอบายมุข คือ ไม่รู้ทุกข์ ไม่รู้เหตุเกิดทุกข์ ไม่รู้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ มองไปไหนก็เห็นแต่สีดำสีเทา สีไม่สว่าง เราต้องพากันหยุดพลังงาน เพราะเราทุกคนต้องมาแก้ที่ตัวเราคือต้นเหตุ เราจะไปแก้ที่ลูกที่หลานไม่ได้ ต้องมาแก้ที่ใจของเรา
เราต้องจำคติที่พระพุทธเจ้าสอนพระองคุลิมาล ว่าให้หยุดทำบาปทำกรรม เพราะว่าตถาคตเจ้านั้นหยุดแล้ว องคุลีมาลได้สติถึงจะหยุด ในที่สุดองคุลีมาลก็ได้เป็นพระอริยเจ้าได้เป็นพระอรหันต์ หลายวันหลายเดือนอย่างนี้เป็นต้น คนเราต้องจัดการตัวเอง เพราะคนอื่นก็ต้องจัดการคนอื่นเขาเอง ปัญหาต่างๆ มันอยู่ที่เราเอง เหมือนวันก่อนพูดเรื่องโรคเบาหวาน ไปหาหมอหายาดีๆ มันก็แก้ไม่หาย เพราะว่ามันต้องแก้เรื่องอาหาร เรื่องอาหารยังไม่พอ บางครั้งมันมีความอยาก ต้องมาแก้ที่ใจของเรา
เรื่องกฎหมายต่างๆ มันเอาไว้แก้ไขสิ่งที่หยาบสิ่งที่สกปรก สิ่งที่น่าเกลียด แต่พระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่มันแก้ที่ต้นเหตุ คือเรื่องกรรมคือความคิดของเรา มันคิดมันปรุงมันแต่ง เพราะรูปมันก็อร่อย เสียงก็อร่อย ทุกอย่างมันอร่อย เราต้องรู้จักว่ามันอร่อยจริง แต่ว่าเรารู้จักเราต้องบริโภคด้วยปัญญา เราต้องเสียสละ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างมันเปลี่ยนแปลงเป็นอนิจจัง มันไม่แน่ไม่เที่ยง เป็นอนัตตา เพราะว่ามันไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนมันเป็นเพียงผัสสะเป็นเพียงอารมณ์ เราต้องเสียสละเราต้องทิ้งอดีตไปให้เป็น ศูนย์ อนาคตก็คือปัจจุบันที่มันเป็น fighting ที่เราน็อคเอาท์ ที่เราปฏิบัติอยู่อย่างนี้ เราต้องเอาศีลมาปฏิบัติให้มันได้สมบูรณ์ เอาสมาธิความตั้งมั่นมาปฏิบัติให้สมบูรณ์ เราต้องพากันทำอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้ มันไม่เกี่ยวข้องกับคนจน คนรวย คนหนุ่ม คนแก่ คนสาวไม่เกี่ยวกับชาติ ศาสนาไหนหรอก อยู่ที่เรามีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง
พระผู้มีพระภาคตรัสต่ว่า "โลกนี้มืดยิ่งนัก สัตว์โลกส่วนใหญ่เป็นผู้มืดบอด มีน้อยคนที่มีปัญญาเห็นแจ้ง และมีคนจำนวนน้อยที่ไปสวรรค์ เหมือนนกที่ติดข่ายแล้ว ที่รอดพ้นจากข่ายของนายพรานได้นั้นมีน้อยนัก”
โลกนี้มืดยิ่งนัก มืดอยู่ด้วยอวิชชาและความหลงผิด หาใช่ความมืดของอากาศโลกไม่ แต่หมายถึงสัตว์โลก สัตว์ทั้งหลายที่อาศัยอยู่ในโลก เขาอยู่ในความมืดจนเคยชินกับความมืดนั้น
แต่เมื่อใดเขาค่อยๆ เดินออกมาสู่แสงสว่างทีละน้อยๆ กระทั่งได้รับแสงสว่างเต็มที่ เขาจะได้การเปรียบเทียบ จึงรู้ว่าการอยู่ในความมืดนั้นเป็นความทรมาน เป็นการเสี่ยงต่ออันตรายอันน่าหวาดกลัว และการอยู่ในที่ใหม่ซึ่งเต็มไปด้วยแสงสว่างนั้นเป็นความผาสุก มีอันตรายน้อย มีโอกาสเห็นสิ่งต่างๆ ตามความเป็นจริงได้มากกว่า เป็นที่น่าเสียดายว่ามีคนเป็นจำนวนน้อยที่มีปัญญาเห็นแจ้งว่าอะไรเป็นอะไร ความจริงก็พอจะรู้บ้างว่าอะไรควรเว้นอะไรควรทำ แต่อะไรเล่าที่ทำให้เขาต้องตกอยู่ในห้วงแห่งความมืด อะไรเล่าที่ทำให้เขาต้องทนทรมานอยู่ในข่ายคือโมหะ อาจเป็นเพราะเขาประมาทมัวเมาเกินไป อาจเป็นเพราะเขาเห็นคุณค่าของธรรมะน้อยเกินไป หรือเพราะไม่อาจทนต่อสิ่งเร้าอันยั่วยวนต่างๆ ได้"
เราจะไปปล่อยให้โลกนี้มันมืด โลกเป็นสีดำสีเทา ทหารมีที่ไหนส่วนใหญ่มีแต่โจร ตำรวจมันมีที่ไหนมันมีแต่โจร ข้าราชการทุกหน่วยงานมีที่ไหนมันมีแต่โจร โจรมันอยู่ที่ไหนมันอยู่ที่ใจของเราที่มันหลง หลงในความอร่อยที่มันเป็นอวิชชา เป็นความหลง มันถึงเกิดมีบ่อนอะไรต่างๆ มีสนามม้า มีสนามมวย ประเทศนี้อยากจะสร้างบ่อนคาสิโน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ท่านเป็นผู้บำเพ็ญพุทธบารมีเพื่อจะมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตด้วยการประพฤติปฏิบัติของท่านเอง ท่านก็ไม่ให้มี ที่พากันตั้งแก๊งโจรด้วยความโลภ เรามองภาพในสนามมวยในสนามม้า พวกนี้มันค้าขายเหล้าขายเบียร์ ค้าขายประเวณี มันมาเพิ่มความตาบอด ความมืดบอด มีแต่ความทะยานไปสู่ความมืดบอด
การเรียนการศึกษา ไม่ได้เอามาเพื่อรู้ไม่ได้เอามาปฏิบัติไม่ได้เอามาเสียสละ เอามาเห็นแก่ตัว เราต้องรู้จักความดำความมืดบอด มันเกิดจากอวิชชาความหลงที่มันเป็นความเป็นไวรัส ที่จัดการหมู่มนุษย์ข้ามภพข้ามชาติ จากเมืองหลวงมันก็ขยายสู่ต่างจังหวัด เราทุกคนต้องกลับมาแก้ที่ตัวเองนะ กลับมาแก้ที่ตัวเอง เพราะว่าพระมันก็ไม่มีพระหรอก พระนั้นหมายถึงพระธรรมพระวินัย เพราะทุกคนมันหลงในเหยื่อ เพลิดเพลินในเหยื่อ ที่จริงในการเรียนการศึกษาตั้งแต่นักธรรมตรีจนถึง ป.ธ. 9 มันเป็นการศึกษาเพื่อมีปัญญาแล้วไปสอนคนอื่น มันก็ได้แค่เป็นจิตวิทยาเป็นคนรับจ้าง มันไม่ใช่คนที่ได้รับมรรคผล ได้รับพระนิพพาน เราฉลาดยังไม่เก่งยังไม่พอ ยังหลงในความเป็นมนุษย์รวย เป็นเทวดาที่รวย ที่มีอำนาจวาสนา
ทุกท่านทุกคนเราก็ต้องพากันพัฒนาตัวเอง เราจะได้พัฒนาบ้านพัฒนาเมืองเข้าสู่ศีลสู่ธรรม เขาเรียกว่าหมู่มวลมนุษย์ต้องพัฒนาให้เป็นมนุษย์ อย่าให้เป็นได้แต่เพียงคน ทุกคนมันมีความสุขความดับทุกข์อยู่แล้ว เราอย่าไปหลงให้ครอบครัวเรายากจน มันต้องมาจากเรา อย่าไปหลงตามเพื่อนตามฝูงเป็นโรคใจอ่อน เราพากันเป็นโรคใจอ่อน เราต้องเข้าใจ
การปฏิบัติมันไม่ใช่ของยาก มันเป็นของดีของประเสริฐ พวกที่อยากจะสงบทั้งหลาย มันจะไปสงบได้ยังไง มันสร้างเหตุแต่ความทุกข์ความวุ่นวาย มาถามหลวงพ่อว่าทำยังไงใจจะสงบ มันจะยากอะไร เพียงแต่หยุดตัวเอง มันจะสงบได้ไง ถ้าเรายังไปคิดไปอยาก แล้วมันจะสงบได้ยังไง เราเกิดมาเราจะมาเอาอะไร เพราะว่าทุกอย่างมันไม่ได้อยู่แล้ว ที่เราเกิดมาเพราะความโง่ เราถึงได้เกิดมา เราต้องมาหยุด มาเสียสละรู้จักอนิจจังว่ามันไม่แน่ไม่เที่ยง ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน มาหยุดให้มันเย็น เราจะได้รู้จักความสงบ
ทุกข์เป็นสิ่งที่เรารู้จัก ยิ่งกระโดดโลดเต้นมันยิ่งไปกันใหญ่ ทุกท่านทุกคนพากันเข้าใจนะ เราจะได้ถึงพระพุทธเจ้า ถึงพระธรรม ถึงพระอริยสงฆ์ในตัวเอง ทุกท่านทุกคนอย่างไปโง่หาพระภายนอก พระมันต้องเกิดที่เรา ที่ตัวเรา ที่ใจของเราอย่างนี้ ทุกคนหน่ะอย่าไปหาพระภายนอก ต้องหาพระภายในตัวเรา เราพยายามคิดให้เกิดปัญญา คือมองเห็นว่าเรามีความแก่เป็นธรรมดา มีความเจ็บเป็นธรรมดา มีความตายเป็นธรรมดา มีความพลัดพรากเป็นธรรมดา มันไม่ใช่เรื่องใหญ่ เรื่องที่เรายินดีในรูป เสียง กลิ่น รส ลาภ ยศ สรรเสริญนี้หน่ะเป็นที่สิ่งที่เรารู้จัก เราต้องหยุดตัวเอง เพราะความเคยชิน คนเขาจะเลิกเหล้า เลิกฝิ่น เฮโรอีน เลิกจากผู้หญิง ผู้ชาย เขาก็ต้องหยุดตัวเอง หยุดทางกายก่อน แล้วหยุดทางความคิด พยายามหยุดมีเซ็กส์ทางความคิด มีเซ็กส์ทางอารมณ์ เราต้องหยุด เพราะการหยุดเขาเรียกว่าเป็นคำสั่ง เป็นคำสั่งของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าก็คือตัวเราสั่งเรา เดี๋ยวสัมมาสมาธิของเราตั้งมั่น เข้มแข็ง ใจของเราจะได้สงบ ใจของเราจะได้เย็น ต้องทำติดต่อ ต่อเนื่อง หลายปี หลายเดือน
เราจะโทษใคร เราแก่ เราเจ็บ เราตาย จะไปแก้ปลายเหตุจะไปหาแต่หมอ หมอไม่ทันใจก็ไปว่าให้หมออีก เราทุกคนต้องเข้าใจ เราเกิดมาเป็นมนุษย์ก็สัปปายะอยู่แล้ว พระธรรมของพระพุทธเจ้าตรัสไว้ให้ทุกคนเข้าใจว่าเราต้องตามธรรมะ เพราะว่าเราเป็นมนุษย์เป็นผู้ประเสริฐ ถือว่าเป็นสัปปายะระดับหนึ่ง เราทำตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าพระพุทธเจ้าบำเพ็ญพุทธบารมีมาหลายล้านชาติมาบอกเรามันสัปปายะอยู่แล้ว อาหารก็มาจากการที่เรามีความสุขในการทำงาน มีความสุขในการขยัน มีความสุขในการรับผิดชอบ มีความสุขในการอดทน มีความสุขหมายถึงไม่ก่อให้เกิดทุกข์อะไร สร้างเหตุสร้างปัจจัยตามหลักวิทยาศาสตร์ อาหารก็สบายๆ อยู่แล้ว
เป็นพระเจ้าพระสงฆ์เราปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เราไม่ต้องขายเครื่องรางของขลัง เป็นหมอดูหมอเดา พากันไปดูหมอดูดวงต่อชะตาหาเงินหาสตางค์ให้มันเพิ่มความมืดให้กับประชาชนได้ยังไง ประชาชนเขาก็มืดบอดอยู่แล้ว เราอย่าไปเพิ่มความมืดบอดให้เขาอีก
ขณะที่พระสารีบุตรพักอาศัยอยู่ ณ เวฬุวัน เมืองราชคฤห์นั้น วันหนึ่งท่านออกบิณฑบาตในเมืองราชคฤห์ เมื่อได้อาหารพอสมควรแล้วจึงแวะฉันใกล้ฝาเรือนแห่งหนึ่ง พอดีปริพพาชิกานางหนึ่งชื่อสูจิมุขี แปลว่ามีหน้าแหลม หรือมีปากแหลมเหมือนเข็ม ผ่านมาเห็นเข้า ที่ว่ามีปากแหลมเหมือนเข็มนั้นอาจเป็นนามที่ได้โดยคุณลักษณะของนาง คือมีปกติชอบพูดจาทิ่มแทงคนอื่นให้เจ็บแสบ แม้เรื่องที่มาพบพระสารีบุตรนั่งฉันอยู่ใกล้ฝาเรือนนี้ก็เหมือนกัน นางอดไม่ได้ที่จะพูดทิ่มแทง บังเอิญไปแทงเอาหินเข้า เข็มคือปากของนางจึงหักไปเอง
นางเห็นพระสารีบุตรนั่งฉันอยู่อย่างนั้นจึงว่า "สมณะผู้นี้ก้มหน้าฉัน"
พระสารีบุตรตอบว่า "เรามิได้ก้มหน้าฉัน"
"ถ้าอย่างนั้น ท่านแหงนหน้าฉัน" นางพูดต่อ "เราไม่ได้แหงนหน้าฉัน" พระสารีบุตรตอบ
"ถ้าอย่างนั้น ท่านหันหน้าไปทางทิศใหญ่ฉัน" นางหาเรื่อง
"เราไม่ได้หันหน้าไปทางทิศใหญ่ฉัน"
"ถ้าอย่างนั้น ท่านหันหน้าไปทางทิศน้อยฉัน" "เราไม่ได้หันหน้าไปทางทิศน้อยฉัน"
นางสูจิมุขีจึงว่า "ข้าพเจ้าพูดอย่างใดๆ ท่านก็ปฏิเสธเสียสิ้น ถ้าอย่างนั้นท่านฉันอย่างไร?"
พระสารีบุตรตอบว่า "น้องหญิง! สมณพราหมณ์เหล่าใดเลี้ยงชีพด้วยดิรัจฉานวิชา คือวิชาดูที่ต่างๆ ว่าที่ตรงนี้ดี ตรงนี้ไม่ดี เป็นต้น สมณพราหมณ์เหล่านั้นเรียกว่า ก้มหน้าฉัน, สมณพราหมณ์เหล่าใดเลี้ยงชีพด้วยดิรัจฉานวิชาคือวิชาดูดาวนักษัตร ทำนายทายทักโดยอาศัยดวงดาว สมณพราหมณ์เหล่านั้นเรียกว่า แหงนหน้าฉัน, สมณพราหมณ์เหล่าใดเลี้ยงชีพด้วยดิรัจฉานวิชา คือรับใช้เป็นทูตเขา รับใช้ไปโน่นมานี่ให้เขา เพื่อได้ค่าจ้างหรือลาภสักการะเป็นเครื่องตอบแทนสมณพราหมณ์เหล่านั้นเรียกว่า หันหน้าไปทางทิศใหญ่ฉัน, สมณพราหมณ์เหล่าใดเลี้ยงชีพด้วยดิรัจฉานวิชา คือวิชาดูลักษณะอวัยวะร่างกาย สมณพราหมณ์เหล่านั้นเรียกว่า หันหน้าไปทางทิศน้อยฉัน, น้องหญิง! เรามิได้อาศัยดิรัจฉานวิซาเหล่านั้นเลี้ยงชีพ จึงชื่อว่ามิได้ก้มหน้าฉัน เงยหน้าฉัน หันหน้าไปทางทิศใหญ่ฉัน หรือหันหน้าไปทางทิศน้อยฉัน เราเลี้ยงชีพโดยสุจริตตามอริยประเพณี อาชีวะของเราบริสุทธิ์เต็มที่ เราแสวงหาอาหารโดยธรรม มิได้เบียดเบียนหลอกลวงผู้ใด ได้มาโดยธรรม และฉันโดยธรรม"
ถ้อยคำของพระสารีบุตรที่ตอบโต้นางสูจิมุขีนั้นน่าคิดน่าตรึกตรองสำหรับสมณพราหมณ์หรือนักบวชผู้มุ่งการเป็นอยู่โดยธรรมเป็นอย่างยิ่ง กล่าวโดยเฉพาะนักบวชในพระพุทธศาสนานั้น ถ้ามุ่งลาภสักการะและชื่อเสียง หรือยศศักดิ์เป็นจุดมุ่งหมายแล้ว ก็เรียกว่า พลาดเป้าหมายอย่างมาก
พระพุทธเจ้าไม่ได้บอกไม่ได้สอน อย่าไปตามใจตัวเอง อย่าไปตามอารมณ์ตัวเอง ไปขับรถขับเรือ ไปมีเงินมีสตางค์ ยังเหลือแต่มีภรรยาเป็นทางการเท่านั้นเอง เราอย่าเป็นคนเพิ่มความมืดให้กับตัวเอง การเรียนการศึกษาเราต้องพากันเข้าใจ แล้วเอาไปปฏิบัติทำวัตรสวดมนต์ถือศีลอะไรให้มันเคร่งขึ้น หยุดมีเซ็กส์ทางอารมณ์ หยุดมีเซ็กส์ทางความคิด เราจะได้หยุดทิฐิมานะ อัตตาตัวตน หยุดความมืดความดำความบอดของตัวเอง เราจะได้พากันเป็นพระธรรมเป็นพระวินัยอย่างนี้ มันจะเก่งได้ยังไง ไปปกครองคนอื่น ตนเองก็ยังเอาตัวเองไม่รอด เราจะเป็นผู้มีบุญที่ไหน เอาบุญที่ไหนไปให้เขา มีแต่บาปไปให้เขา เพราะว่ามันเป็นไสยศาสตร์เป็นความมืด ความบอดความดำให้ทุกท่านทุกคนพากันเข้าใจ ต้องพากันกลับมาทำความดี ไม่ทำบาปทั้งปวง ทำแต่บุญกุศลตั้งอยู่ในความฉลาด อย่าไปเพิ่มความโง่ให้ตัวเอง ของแซ่บๆ รำๆ ของหรอยๆมันเจ็บปวดนะ ต้องรู้จักว่าสิ่งที่เราควรจะประพฤติปฏิบัติธรรมเพื่อให้ตัวเองเข้าถึงความสงบความร่มเย็น เพื่อให้โลกเข้าสู่ความสงบความร่มเย็น จะได้ไม่เป็นพระกินบ้านกินเมือง ข้าราชการกินบ้านกินเมือง ตำรวจทหารกินบ้านกินเมือง เราจะได้หยุดความมืดบอด หยุดความสีดำสีเทา พยายามกลับมาหาพระธรรมพระวินัย เอากฎหมายมาใช้มาปฏิบัติ เราอย่าไปเรียนศึกษาเพื่อมาซิกแซก ซิกแซกยังไงมันก็ไปไม่พ้น เพราะเราไม่ต้องมาก๋ามากร่าง ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ต้องมาถึงเราทุกคน
พระพุทธเจ้าบอกว่า สังขารทั้งหลายทั้งปวงมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลายจงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิด ให้ทุกคนจัดการกับตัวเอง เราทุกคนไม่สงสารตัวเองหรอ ที่ท่องเที่ยวในสังสารวัฏ เป็นไงท่องเที่ยวในสงสารเพลิดเพลินดีไหม มันไม่น่าเพลิดเพลินนะ มันเป็นความโง่ ความหลงนะ เราต้องเข้าใจ เราต้องเดินไปพร้อมๆ กัน คือ ศีล สมาธิ ปัญญา อย่าให้มีใครมาเอาสีดำเป็นที่ตั้ง เอาสีเทาเป็นที่ตั้ง ไม่ว่าท่านจะเป็นพระภิกษุ สามเณร เป็นแม่ชี เป็นตำรวจ ทหาร ข้าราชการ ต้องเอาธรรมะเป็นหลัก เอาธรรมะเป็นใหญ่ ไม่มีใครยกเว้น เรียกว่าเดินไปพร้อมๆกัน เพื่อจะหยุดไวรัสแห่งการเวียนว่ายตายเกิด เรามันโชคดีขนาดไหน เราไม่ต้องไปหาหมอที่ไหน เพราะมันอยู่ในตัวของเราเอง เราไม่ต้องไปแก้ที่คนอื่น เราก็จะเข้าถึงความสุข ความดับทุกข์อย่างแน่นอน
ให้เรามารู้จักวิธีทำใจให้สงบ โดยอยู่กับการหายใจ อยู่กับการท่องพุทโธ มีสติกับการทำงาน กับกิจวัตร โดยเฉพาะการฝึกให้จิตใจอยู่กับลมหายใจเข้าออก อยู่กับการท่องพุทโธ เป็นสิ่งที่ต้องฝึก เช่น เมื่อเราเจ็บไข้ไม่สบาย เราเข้าสมาธิ เราต้องอาศัยอุปกรณ์ผูกจิต ผูกใจของเราให้พากันมารู้จักอารมณ์ สิ่งที่กระทบทางตา หู จมูก กาย พวกนี้เราเรียกว่าอารมณ์ เราต้องรู้จักมันให้ดี เมื่อเรารู้จักแล้ว เราพยายามที่ไม่หวั่นไหว ง่อนแง่นคลอนแคลน ไม่ว่าจะมาแบบรุนแรงหรือสวยสดงดงาม ให้เรารู้จักว่านี้เป็นเพียงอารมณ์ ถ้าเรารู้จัก เราฉลาด อารมณ์ก็จะสลายไป อารมณ์นี้มีปัญหามาก ทำให้เราเป็นประสาท หงุดหงิดที่สุดก็ทำให้เราทำตามความอยาก ชอบ ไม่ชอบ เบื่อ ไม่เบื่อ อย่างนี้ รักษากาย วาจา ใจ
มาพิจารณากาย กำหนดให้เห็นโครงกระดูกนั่งชัดเจน เดินก็ให้นิมิต เห็นโครงกระดูกทางจิตใจที่ชัดเจน นิมิตทางธรรมมันจะได้โผล่ขึ้นมาบ้าง เนปกตินี้เค้าเรียกว่าเห็นทางสัญญา มันเลยไม่ได้มองเห็นตน ว่าจะแยกแยะอะไรให้มันเด่นชัด ถ้าเราเอาสมาธิอย่างเดียว ไม่ฝึกให้มันเกิดนิมิตทางธรรม มันก็ไม่เกิดปัญญา มันก็สงบเฉยๆ มันจับนิมิตยังไม่ได้ นิมิตเราไม่เด่น กรรมฐานเรายังไม่เด่น มันก็ไม่เกิดปัญญา มันไม่น้อมไปหาวิปัสสนา ให้ใจมันรวมเฉยๆ กำหนดเห็นโครงกระดูก หรือคนกำลังเปื่อยเน่า หรือว่าน้ำเหลืองกำลังไหลหนอนยุบยับ ยุบยับ ยุบยับ น่าสะอิดสะเอียนที่สุดเลย ภาวนาให้มันเห็นอย่างนี้ เดินอยู่ก็เห็น นั่งอยู่ก็เห็น นอนอยู่ก็เห็นให้มัน เห็นด้วยปัญญาที่กำหนดขึ้นมาเป็นนิมิตที่เด่น เด่นเหมือนกับที่เรานึกเห็นภาพที่เราชอบเราหลง ให้มันเด่นอย่างนั้น ในภาพที่มันเพ่งพินิจพิจารณาให้เกิดปัญญา เรากำหนดบ่อยๆ มันก็เข้มแข็งขึ้น
เราต้องแก้อารมณ์แก้ความคิด เราต้องเห็นทุกข์เห็นโทษ เดินไปก้าวหนึ่งกลับไป ๓ ก้าวมันไม่ได้ เดินไป ๓ ก้าวกลับไปก้าวหนึ่งค่อยยังชั่วหน่อย มันยังไม่ขาดทุน ไม่มีใครช่วยเหลือเราได้เราต้องช่วยตัวเอง เราต้องแก้ ต้องรีบแก้ ต้องแก้เดี๋ยวนี้ ไม่ต้องรอ เรามีความเห็นผิด มีความคิดผิดว่าไม่เป็นไรหรอกมั้ง เราปล่อยไปอย่างนี้ วันหนึ่งเราคงสู้มันได้อะไรอย่างนี้ มันหลอกเราไปเรื่อย มันอาลัยอาวรณ์นะ เราจำเป็นที่ต้องตัดมัน ต้องทิ้งมัน อย่าไปกลัวมันหมดรสหมดชาติ หมดกิเลสนั้นมันไม่หมดรสหรอก ยิ่งรสหอม รสหวาน รสมัน สมบูรณ์ทุกอย่าง ถ้าเราออกจากสิ่งเหล่านี้มันต้องทรมานมันต้องเหี่ยวแห้ง เพราะกิเลสมันจะตาย เหมือนคนป่วยนี้ก็ทรมาน ธาตุขันธ์มันจะแยกออกจากกันอะไรแบบนี้ แต่ว่าคุณประโยชน์ของเราที่จะได้รับมันมาก
รู้อย่างนี้เราต้องยิ่งสู้กัน สู้กันอย่างสนุกนะ ถ้าไม่สู้อย่างนี้มันก็ไม่มีโอกาสสู้นะ ถ้าเราไม่สู้อย่างนี้มันก็เป็นการปฏิบัติผิดทาง มันก็ไม่ได้ทวนกระแสสิ จะขึ้นภูเขามันต้องเหนื่อย จะข้ามทะเลมันต้องลำบาก การข้ามนิวรณ์ทั้งหลายทั้งปวงนี้มันต้องเผชิญกันน่าดูล่ะ เผชิญกันอย่างสนุกสนาน เมามันล่ะ เราไม่ได้สู้เลยไม่ยอมสู้เลย แล้วก็ไม่เห็นโทษของความที่ตกอยู่ในอำนาจของมนต์ดำของกิเลส เลยคิดว่าเป็นของดีของวิเศษไป ท่านว่า เห็นกงจักรเป็นดอกบัวนะ
บางทีเราฟังดูอย่างนี้มันอาจจะยังไม่รู้จัก แต่ว่าถ้าเราผ่านไปแล้วเราถึงจะรู้จัก เราฟังคนอื่นพูดก็คิดว่าเขาเป็นบ้าอีก พูดอะไรก็ไม่รู้ ไม่รู้เรื่อง มันจะสบายได้อย่างไร มีทุกข์เกือบตายแล้ว นี้ว่าอย่างนั้น ถ้าสู้มากกว่านี้จะไม่ทุกข์มากกว่านี้หรือ คิดไปน่ะ นี้เราไม่ได้รับความสุข เราต้องกลับมาหาความสุขทางธรรมเยอะๆ กลับมามีสติสัมปชัญญะ รู้ตัวสบาย ปล่อยวางทุกอย่าง ปล่อยวางความชอบ ความไม่ชอบ ลาภ ยศ สรรเสริญ
กลับมาหาสติสัมปชัญญะ ให้มันสมบูรณ์ที่สบายเลย เดินก็สบาย นั่งก็สบาย นอนก็สบาย ทำอะไรอยู่สบาย เพื่อที่จะให้มันมีความสุขในทางธรรม เห็นทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นของปลอม เป็นของหลอกลวง เป็นพยับแดด เป็นลมที่ผ่านไปมาเฉยๆ เราไปวิ่งตามพยับแดด ไปวิ่งตามลม ไปวิ่งตามสิ่งแวดล้อม มันก็ทุกข์เราเปล่าๆ นะ ให้เรากลับมาหาเนื้อหาตัวเยอะๆ เราจะได้เป็นอิสระ เป็นตัวของเราเองให้มันมากๆ นะ ต้องภาวนาเข้า ถ้าเรารับความสุขอย่างนี้เยอะๆ มันก็มีพลัง ได้เห็นสิ่งต่างๆ มาเสียบแทงมาทำให้เรามัวหมอง มาทำให้เราสกปรกเฉยๆ แสดงว่าพลังภายนอกมันดึงดูดเราได้ พลังสมาธิ พลังปัญญาเรามันยังไม่พอต้องภาวนาขึ้นอีก ทั้งความสงบทั้งปัญญาต้องเพิ่มขึ้นอีก
ข้าวเปลือกนี้ไม่สำคัญสำหรับหมา ลาภ ยศ สรรเสริญสุข ทุกข์ ไม่สำคัญสำหรับเรา ชาตินี้เราจะเอาให้เหมือนกับวันหนึ่งกับคืน เราจะปล่อยวางอะไรทุกอย่าง ให้เราตั้งอกตั้งใจอยู่อย่างนี้
เราไม่ต้องมองไกล ปล่อยวางในปัจจุบันนี้ให้มันมาก ให้มันลึกซึ้ง ถ้ารู้ที่พัก รู้ที่ปลอดภัยแล้วเดี๋ยวมันก็จะเข้ามาหามันเอง แต่ถ้าเราเจริญแต่สมาธิ เราไม่ได้เจริญปัญญา เราลืมตาเมื่อไหร่ก็ได้เจอกันเมื่อนั้น ขาอ่อนเมื่อนั้น เพราะว่ามันเจริญสติสมาธิเฉยๆ ปัญญามันตัวสัมปชัญญะเราไม่ได้เอามาใช้งาน ทีนี้ต้องเพิ่มเข้าอีก แสดงว่าบทเรียนที่เราผ่านมานี้ ก็ทำให้เราฉลาดก็ทำให้เราหายโง่ ต้องสู้ใหม่ ต้องดัดตัวเอง ต้องแก้ไขตัวเอง มรรค ผล นิพพานมันต้องผ่านขึ้นมาแบบนี้อย่างนี้ๆ นักปฏิบัติที่ปฏิบัติไม่ได้ไม่ผ่าน ก็เพราะว่าขาดขั้นตอนระดับอย่างนี้ๆ คิดว่าไม่สำคัญนะ เอาไปเอามาก็หลายปีหลายพรรษาก็ไม่ก้าวหน้าได้หรอก เพราะว่าไม่รู้จักแก้ไขตัวเอง ไม่ได้ปรับปรุง
อินทรีย์คนเรามันก็ไม่เหมือนกัน เราสู้กันเดี๋ยวนี้แหละ เอามันหมดไปเดี๋ยวนี้แหละ ถ้ามันหมดแล้วมันก็ไม่มีปัญหาหรอก อย่าไปสนใจมันเรื่องอื่น ให้คิดว่าเรามีชีวิตอยู่เดี๋ยวนี้ เราสู้ให้มันหมดกิเลสไปเลย เรื่องมันไม่หมดก็เอาไว้กันก่อน
เส้นทางนี้เป็นบารมีเป็นเส้นทางที่เราเดินไป เหมือนกับเราเดินไปนี้เดินไปถางป่า พอจะไปถึงตรงนั้นมันก็หยุดแค่นั้น ถ้าไปถางต่อมันก็ไปเรื่อย บางทีเราอาจจะคิดว่ามันลำบาก เหมือนกับเราไม่เคยงานเราไม่เป็นงาน แต่ถ้าเราเข้าใจแล้ว มันก็เป็นของที่ง่ายมาก ก็บารมีคนไม่เหมือนกันน่ะ จะให้เขาเหมือนแบบเราได้อย่างไร โรคของแต่ละคนมันก็ไม่เหมือนกัน บางคนก็โรคปวดท้อง บางคนก็โรคปวดหัว ปวดขาปวดแข้งอะไรไม่เหมือนกัน จริตไม่เหมือนกัน การสั่งสมมาไม่เหมือนกันนะ แล้วแต่กรรมตัวไหนของเขามันจะโผล่ออกมา บางคนเขาก็เคยไปเกิดในชั้นพรหมนานแล้ว พอลงมาแล้วเขาก็เฉยๆ อยู่นะ บางคนก็ไปเกิดที่สวรรค์มาเกิดที่นี่ก็มากหน่อยอย่างนี้ การเกิดมันไม่เหมือนกันและกรรมคนมันก็ไม่เหมือนกัน
กำลังใจนี้สำคัญอย่าไปกลัว ทำะไรอย่าไปกลัว อย่างเขาเป็นนักกีฬาระดับโลกเขาไม่กลัวคู่ต่อสู้หรอก พอเห็นช้างตัวใหญ่ๆ เท่ากับแมลงหวี่ เขาไม่กลัวหรอก นักปฏิบัติก็เหมือนกัน ไม่กลัว สู้มัน อย่าไปท้อไปถอยเนสัชชิกทั้งคืนหรือว่าอดข้าวกี่วัน เจออุปสรรคอะไรต่างๆ นานา ไม่ต้องกลัว ขึ้นเขาลงห้วย ลงทะเลไม่ต้องกลัว พร้อมที่จะสู้ทุกเมื่อ
ถ้ากลัวแล้วมันทุกข์ตั้งแต่ยังไม้ได้สู้ คิดสารพัดอย่าง อย่าไปกลัวมัน พระพุทธเจ้าท่านจึงว่าพลังจิตนี้สำคัญมาก พลังจิตเข้มแข็ง พลังจิตไม่กลัว พลังจิตที่จะสู้ พลังจิตที่มีสัมมาทิฏฐิ มีกำลังเมื่อไหร่ก็รีบสู้ รีบปฏิบัติ อย่าไปท้อแท้ท้อถอย ก็สงสารอยู่ สงสารถึงได้มีข้อวัตรแบบนี้ เข้มแข็งแบบนี้ ถ้าไม่สงสารก็ปล่อยให้ไปตามยถากรรม ก็เพราะความสงสารถึงได้มีข้อวัตรปฏิบัติที่หนักแน่น ที่เข้มแข็ง ที่จะต่อสู้ เห็นเขาบอกว่าเป็นพระโหลๆ เป็นไม่ลำบาก ไปหาเอาที่ไหนก็ได้ ไม่ต้องมาหาที่วัดนี้ ปรับปรุงตัวเองให้เต็มที่นะ อย่าให้เสียชื่อเสียประวัติ ตอนเช้าก็ต้องภาวนาไม่ใช่นอน พิจารณาให้มันเกิดสติเกิดปัญญา เพื่อที่จะต่อสู้กับกิเลส เพื่อจะเห็นสภาพตามเป็นจริง ถ้าไปฟังเขียดมันร้องฟังไปฟังมาก็หลับ ไปพิจารณาทบทวน ความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ความไม่มีตัว ไม่มีตน เราต้องต่อสู้เอาอิสระภาพของเราคืนมา จากความไม่มีตัวไม่มีตน
ดีแล้วมันจะได้ปรับปรุงให้เห็นโทษเห็นภัยของตัวเอง ถ้าเราไม่เห็นโทษ เห็นภัยของตัวเองนี่ มันละไม่ได้นะ มันก็ว่าแต่ตัวเองถูกอยู่อย่างนั้นแหละ มันไปว่าคนอื่นโน่นผิด มันเป็นโทษใหญ่น่ากลัวที่สุด ก็นึกว่ามันถูกอยู่นั่นแหละ อันนี้ต้องเห็นถึงโทษ เห็นความผิดของตัวเอง เห็นความประพฤติ เห็นการกระทำของตัวเองอย่างชัดเจน ถ้าไม่อย่างนั้นมันก็เป็นอย่างเก่านั่นแหละ มันก็นั่งคิด นอนคิด อย่างเก่านั่นแหละ มันก็สงวนหวงแหนอยู่อย่างนั้นแหละ
ขอให้ปรับตัวเองเข้าหาธรรมวินัยอย่าไปถือสักกายทิฏฐิถือตัวถือตน ทำอะไรตามสบายว่าเป็นทางสายกลาง มันต้องฝืน ต้องอดทน ต้องเคารพนอบน้อมในศีล ในระเบียบ ในวินัย ถึงจะตายก็ยอม เพราะ "ศาสนาพุทธเป็นของประเสริฐของสูง ถ้าเราไม่ประพฤติปฏิบัติ มันก็เป็นเพียงปรัชญา" เป็นธรรมดาเหมือนทั่วๆ ไป ไม่มีประโยชน์อะไร เรามีของมีค่าจึงไม่ทำให้มีค่าอะไร พยายามสำรวจตนเอง ว่าเรามีข้อบกพร่องในธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าอะไรบ้าง แล้วพยายามตั้งตัวแก้ตัวใหม่ พยายามมีความเชื่อมั่นในการทำความดีว่าต้องได้ดี เชื่อมั่นว่าธรรมทั้งหลายเกิดแต่เหตุ ถ้าจะดับก็ต้องดับเหตุก่อน
เราอยู่ในสังคมเราก็ปฏิบัติได้ เราอยู่ในหมู่คณะเยอะๆ เราก็ปฏิบัติได้ที่ว่าเราปฏิบัติไม่ได้ คือเราไม่ได้ปฏิบัติ พิจารณาว่ารูปไม่ใช่ตัวตน เวทนา สัญญา สังขารวิญญาณไม่ใช่ตัวตน พยายามทำไป เมื่อตัวตนไม่มีแล้ว ใครจะมาสุขมาทุกข์อยู่เล่ามีแต่อวิชชาความหลงที่มันเกิดดับอยู่นี้ เมื่อรู้จักสมาธิ ปัญญาเราก็เจริญ อินทรีย์ก็แก่กล้า ให้เราปฏิบัติให้มีความกล้าปฏิบัติ การละการปล่อยวางทำไปเรื่อยๆ จนกว่าอินทรีย์มันสมบูรณ์ ถ้าเราบังคับตนเองไม่ได้ นานไปยิ่งจะบังคับตัวเองไม่ได้นะ เพราะมันติดสุขติดสบาย เราต้องฝึกจริงๆ ความสุขที่ว่าสุข เราก็คิดปรุงแต่งเอาหรอก ความทุกข์ที่ว่าทุกข์เราก็ปรุงแต่งเอาหรอก แท้จริงแล้วไม่มีอะไร มีแต่ใจไปคิดปรุงแต่งเอาเองทั้งนั้น